วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 11:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


“เห็นเหตุปัจจัยไม่หลงสมมติ”
๑๐ กันยายน ๒๕๕๒ เทศน์ที่บริษัท บีที เวิลด์ลีส จำกัด
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
สมัยพุทธกาลก็มีเทวดากับมนุษย์ร่วมกันสร้าง พระพุทธเจ้าประทับที่เมืองปาฏลีบุตร ตกกลางคืน พระองค์เห็นมีอำมาตย์อยู่สองคน คุมทหาร คุมช่าง คุมงานก่อสร้างเมืองปาฏลีบุตร พระเจ้าอชาตศัตรูให้ไปสร้างเมืองปาฏลีบุตร เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านป้องกันการรุกรานจากแคว้นวัชชี พระองค์เห็นพวกเทวดาชั้นสูงก็ร่วมกับอำมาตย์ เทวดาชั้นรองก็ร่วมกับพวกแม่ทัพนายกองลงมาเรื่อยๆ ร่วมกันสร้างเมือง จับคู่กันทำอยู่ ท่านจึงว่าเมืองนี้ต่อไปจะเจริญก้าวหน้า พอรุ่งเช้าอำมาตย์ก็ถวายอาหาร และก็ว่าพระองค์จะเสด็จออกทางไหนของเมือง พอเสด็จออกตรงไหนเขาก็ตั้งโคตม ทวาร ตั้งเป็นชื่อไป ชื่อประตูเมือง ลงท่าน้ำไหนก็ตั้งเป็นชื่อท่าน้ำนั้น แม่น้ำคงคา นี่เรื่องของเรื่อง อันนั้นในพุทธกาล สมัยปัจจุบันก็มี อันนั้นเทวดาก็ร่วมสร้างเมือง และต่อมาสองร้อยปี แคว้นมคธก็ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร ก็เป็นตามพุทธทำนาย อันนี้มันเป็นความรู้พิเศษ ที่ท่านเห็นเหตุเห็นปัจจัยแล้ว ปัญญาญาณของท่านจะสาวเข้าไป คือเห็นเหตุอย่างนี้ ผลมันจะไปอย่างไร เมื่อมีเหตุอันนี้เกิดขึ้น ผลอนาคตจะเกิดอะไร หรือเมื่อท่านเห็นเหตุอันนี้นี่ ย้อนกลับไปอดีตนี่มีเหตุอะไร ผลตรงนี้เกิดจากเหตุอะไร เหมือนท่านเดินธุดงค์ไปพร้อมกับสงฆ์หมู่ใหญ่ ไฟไหม้ป่ามา มันไหม้เข้ามานี่ท่านก็ยืนดูอยู่ มาถึงหน้าท่านไม่ไกลเท่าไรมันก็ดับ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็บอกว่า อานุภาพแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งใหญ่นัก ไฟก็มาดับ พระองค์ก็ตรัสว่า ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่อานุภาพของเราตถาคต อันนี้มันเป็นสัจจบารมีอันหนึ่งของนกคุ่ม พระก็เลยถามท่านว่า มันเป็นอย่างไรพระเจ้าค่ะ ภิกษุสงฆ์ถาม ท่านก็จึงตรัสเล่าให้ฟัง สมัยพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้เป็นนกคุ่ม เกิดเป็นนกคุ่ม ปีกก็ยังไม่งอก แม่ต้องเอาอาหาร พ่อแม่เอาอาหารมาเลี้ยง ทีนี้ไฟไหม้ป่ามา พ่อแม่ก็ตื่นไฟหนีหมด บินหนีหมด แล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านก็อธิษฐานสัจจบารมีท่าน ปีกของท่านมีอยู่ ขาของท่านมีอยู่ แต่บินยังไม่ได้ พ่อแม่ก็กลัวไฟหนีไป ด้วยสัจจะคือความจริงนี้ ขอไฟจงดับ เท่านั้นน่ะ ไฟมันไหม้มา ไหม้มา มันยังไม่ถึงรังมันก็ดับ เหตุนั้นอานิสงส์แห่งสัจจบารมีนี้มันจะคุ้มได้เป็นกัป ตรงนั้นน่ะ ที่ตำแหน่งตรงนั้น พอไฟมันไหม้มามันก็ดับ ด้วยสัจจบารมี เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ อันนี้เมื่อผล ผลที่ปรากฏให้เห็นคือไฟมันมาแล้วมันดับ นี่ท่านก็สาวไปหาเหตุ ว่าผลนี่มันมีเหตุจากอะไร ท่านจึงเห็นว่าเหตุตัวนี้คือสัจจบารมีของนกคุ่มที่ทำเอาไว้ ตั้งสัจจาธิษฐานเอาไว้ เป็นสัจจบารมียังอยู่ไฟก็เลยดับ อันนี้เรื่องของกรรม สัจจบารมีนี้ต้องสร้าง ต้องสั่งสมมา ผู้ใดถ้าพูดจริงทำจริง รักษาสัจจะมั่นคงมันก็เป็นบารมี หลายภพหลายชาติเข้า หลายภพหลายชาติเข้า หลายภพหลายชาติเข้า มันก็เลยเป็นบารมี เป็นพลังอันหนึ่งเมื่อตั้งสัจจาธิษฐานขึ้น มันเลยเปลี่ยนเป็นปาฏิหาริย์ขึ้น สัจจบารมี เหตุนั้นนี่มันจึงเรื่องของกรรม เมื่อเห็นผลตรงนี้ ท่านก็สาวไปหาเหตุได้ เมื่อเห็นเหตุอันนี้ ท่านก็พยากรณ์ผลข้างหน้าได้ เหมือนคอมพิวเตอร์ เมื่อเราให้ข้อมูลมันเข้าไปทั้งหมดแล้ว ให้ข้อมูลเข้าไปเข้าไปเข้าไป มันมีโปรแกรมประมวลผลน่ะ ถ้าสั่งให้มันประมวลผลมันก็ประมวลผลออกมาได้ เมื่อประมวลผลออกมาก็รู้ว่าผลนี้จะเป็นอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเหตุนั้นน่ะการที่เขาพยากรณ์อนาคตได้ ก็เพราะว่าสติปัญญาตัวนั้น มันเป็นอัตโนมัติของเขา เขาเรียกว่า อนาคตังสญาณ ญาณหยั่งรู้อนาคต คือหมายความว่าญาณนั้นนี่ ปัญญาญาณหรือว่าตัวสมาธิตัวนั้น เมื่อเห็นเหตุตัวนี้มันจะประมวลผลออกไป ว่าอนาคตนี่เมื่อเหตุปัจจัยตัวนี้มา ผลมันจะเกิดอะไร ทีนี้ เมื่อเห็นสภาวธรรมตัวนี้ เห็นผลปัจจุบันตัวนี้เกิดอยู่ตั้งอยู่ตรงนี้ เขาจะสาวไปหาเหตุว่า มันมีเหตุอะไรที่ทำให้เกิดผล อันนี้ถ้าพูดถึงเรื่องทางโลก เหมือนเราทำงานนี่ ถ้าเรารู้เรื่องเหตุปัจจัยตัวนี้ เราก็จะสามารถรู้ว่าข้างหน้ามันจะไปอย่างไร เมื่อเรารู้ว่าข้างหน้ามันจะไปอย่างไร เราก็เตรียมรับมันซะ หรือไม่ตอนนี้อย่างเช่น ผลประกอบการ ผลประกอบการตัวนี้มันเป็นอย่างไร แต่ละจุดมันเป็นอย่างไร อันนี้มันเป็นผลที่มันปรากฏให้เราเห็นอยู่ขณะนี้ เหตุนั้นนี่มันจึงต้องมีฝ่ายบัญชี ทำไมต้องมีบัญชี ก็เพื่อประมวลข้อมูลเรื่องการเงิน รายรับรายจ่ายใช่ไหม การประเมินรายรับรายจ่ายที่ปัจจุบันที่เกิดขึ้นตรงนี้ มันจึงลงที่ปัจจุบันบัญชีที่เกิดขึ้น เมื่อประมวลเข้ามาแล้วนี่ มันมีอะไรที่เกิดขึ้นนี่ แล้วภาพที่มันปรากฏในหน้าบัญชีตัวนี้ มันมีอะไรเป็นเหตุ อย่างผลประกอบการเป็นลบหรือเป็นบวก เป็นลบเป็นบวกนี้นี่มันมีอะไรเป็นเหตุ นี่ต้องดู ทีนี้ถ้าภาพรวมทั้งหมดเป็นลบ มันก็ต้องไปดูภาคย่อย แต่ละภาคแต่ละส่วน ว่ามันเป็นลบหมดไหม มันมีอาจจะมีภาคบางภาคบวกภาคบางภาคลบ นี้ภาคบางภาคบวกภาคบางภาคลบก็ต้องไปดูว่าภาคที่มันบวกมันบวกเพราะอะไร มันต้องมีเหตุให้บวก ภาคที่เป็นลบนี่มันลบเพราะอะไร มันก็ต้องมีเหตุให้เป็นลบ นั่นคือหมายความว่า อันนี้ผลนี้ที่ปรากฏนี้สาวไปสู่เหตุ ผลตัวนี้สาวไปสู่เหตุ เมื่อเราเห็นเหตุแล้วว่าอะไรเป็นเหตุให้บวกให้ลบ ส่วนใหญ่เราจะไปดูผลประกอบการที่เป็นลบ เพราะผลประกอบการที่เป็นลบเป็นปัญหาความเดือดร้อน แต่จริงๆแล้วเราต้องดูผลประกอบการที่เป็นบวกด้วย อะไรที่เป็นเหตุให้มันเป็นบวก มันมีเหตุปัจจัยอะไร อะไรที่มันให้เป็นลบ มันมีเหตุปัจจัยอะไร ให้แก้เหตุที่มันเป็นลบตรงนั้นซะ ไม่ว่าเรื่องระบบการทำงาน อันนี้พูดถึงตัวเราก่อน ตัวเรานี่คือระบบการทำงานของเรา มันเอื้อต่อสิ่งที่มันจะเป็นบวกไหม ข้อที่สองนี่พูดถึงบุคคลที่ลงไปทำงาน อันนี้พูดถึงระบบแล้วพูดถึงตัวบุคคลเข้ามา อันนี้เรื่องของเราก่อน ทีนี้จบล่ะ เมื่อสองส่วนนี้โอเค ทีนี้เรื่องของสิ่งแวดล้อม เหมือนลูกค้าคือเศรษฐกิจนี่ มันเป็นอย่างไร ตัวนี้เราจะต้องเห็น ตัวนี้เป็นเรื่องคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะต้องวิเคราะห์ทั้งสองส่วน ส่วนของตนเองกับส่วนผู้อื่น แล้วมันจะรู้ทันทีว่า เมื่อเห็นตรงสองส่วนแล้วจะรู้ว่า ส่วนไหนนี้ปรับปรุงได้แก้ไขได้ ส่วนไหนที่แก้ไขไม่ได้ปรับปรุงไม่ได้ จะต้องลงไปดู บางสภาวะอย่างเศรษฐกิจนี่มันแย่มาก อย่างเหมือนไอเอ็มเอฟล่ะ ที่ปิดสถาบันการเงิน บางอย่างมันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นน่ะ อันนั้นไม่ต้องไปเสียเวลากับมัน เพราะมันแก้ไม่ได้ ส่วนไหนที่เป็นส่วนที่แก้ได้ ส่วนนั้นน่ะจะต้องไปทำ ทำให้มากด้วย เพราะส่วนนั้นล่ะมันจะเป็นส่วนมาเติมส่วนที่มันแก้ไม่ได้ นี่ต้องดูแต่ละส่วนแต่ละส่วน มันต้องต้องดู อันนี้เป็นหลักที่เราจะต้องดูต้องใช้สติปัญญานั่นเอง ต้องลงไปดู อันนั้นสภาพเศรษฐกิจหรืออะไร ถ้ามันลึกเข้าไปกว่านั้นนี่ บางอย่างถ้ามันเป็นธุรกิจที่ใหญ่ บางอย่างแม้แต่ลูกค้านี่ เหมือนเราทำการค้ากับ เราเป็นบริษัทที่ส่งของออก มีลูกค้าคนกลางลูกค้าย่อย บางครั้งมันยังต้องไปดูเรื่องลูกค้า ทำอย่างไรจะให้ลูกค้านั้นอยู่ได้ เมื่อลูกค้าอยู่ได้สินค้าตัวนี้ก็มีสิทธิที่จะออกไปได้ ถ้าลูกค้ามันอยู่ไม่ได้ ไม่มีเงินน่ะ สินค้าตัวนี้จะดีอย่างไรก็ออกไม่ได้ นี่เหมือนกัน อันนี้พูดถึง นี่ล่ะฉะนั้นต้องไปดูตรงนั้นด้วย ถ้ามันจะครบวงจรน่ะ ถ้าบางธุรกิจอันนี้บางธุรกิจ อาจจะไม่ใช่ธุรกิจของเรา นี่ต้องลงไปดูถึงขั้นนั้น เหมือนบริษัทเหมือนกัน ถ้าบริษัทอยู่ได้พนักงานก็อยู่ได้ ถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้พนักงานก็ต้องลอยแพ ไปหางานใหม่ ก็เท่านั้น นั้นของทุกอย่างในโลกนี่ เขาจึงเรียกว่าเหตุปัจจะโย มันมีเหตุมีปัจจัยซึ่งกันและกัน สิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยซึ่งกันและกันนั้นเอง เมื่อมีเหตุหนึ่งอยู่ เมื่อมีเหตุนี้อยู่ สิ่งนี้จึงมีอยู่ เมื่อไม่มีเหตุนี้ สิ่งนี้จึงไม่มี นี่เขาเรียก เหตุปัจจะโย เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน เมื่อเหตุนี้ดับสิ่งนี้ก็ดับ มันเป็นเรื่องเหตุปัจจัย เขาเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตาหรือปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาท เรื่องของเหตุปัจจัยเรื่องของความสัมพันธ์นั้นเอง ที่มันเกิดเป็นลูกโซ่เป็นสาย ซึ่งถ้าเราเคยเรียน สมัยอาตมาเคยเรียนในมัธยมเขาเรียกระบบนิเวศวิทยา ซึ่งมันสัมพันธ์กัน ควบคุมกันในตัวของมันเอง เหตุนั้นนี่มันจึงต้องดูเข้าไป พิจารณาเหตุผลแต่ละส่วนแต่ละส่วน อันนี้เป็นเหตุอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นบางครั้งมันจึงถึงขั้นที่ว่า เราอาจจะต้องลงไปดูถึงขั้นที่ว่า ทำอย่างไรให้ลูกค้าเขาอยู่ได้ เมื่อเขาอยู่ได้ อันนี้มันก็อยู่ได้ด้วย อันนี้บางธุรกิจนะอันนี้นี่แหละนั้น เพราะฉะนั้นเหตุนั้นนี่ การอะไรเราต้องดูว่าผลตัวนี้มันต้องมีเหตุมันต้องสาวไปหาเหตุ อันนี้เราตามระบบที่เราทำงาน แต่ถ้าเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ท่านได้อภิญญา แล้วพร้อมกับสติปัญญาที่ท่านเลิศ พอท่านเห็นเหตุอันนี้ปั๊บ ท่านจะบอกเลยว่า เห็นผลตรงนี้ปั๊บ ท่านบอกเลย เหตุมันอยู่ตรงนี้ไปแก้ซะ ไม่ต้องไปเปิดบัญชียาก เพราะคอมพิวเตอร์ดวงนั้นนี่จะประมวลทั้งหมดเท่าที่เราไล่มาเป็นสเตปนี่ ประมวลเสร็จแล้วก็บอกว่าตรงนี้แหละไปแก้ซะ หรือว่ามีเหตุตรงนี่ ผลข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เหตุนั้นการพัฒนาองค์กร ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ การพัฒนาองค์กร ฝรั่งมันจึงพยายามหาวิธีการต่างๆมา แต่อาตมาว่าวิธีที่พัฒนาองค์กรได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด แล้วก็ถูกที่สุด คือการที่เราไม่ติดไม่ยึดในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพราะอะไรถึงพูดอย่างนั้น เพราะธรรมชาติโลกนี้นี่ เป็นโลกของอนิจจัง เหตุนั้นธรรมะท่านจึงพูดไว้สองอย่าง ธรรมสองคือสังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งคือพระนิพพาน ในโลกนี้ยกเว้นพระนิพพานเป็นสังขตธรรมทั้งหมด ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีเหตุเป็นแดนเกิด เมื่อเหตุดับผลก็ดับ ที่เราอยู่ทั้งหมดแม้แต่ตัวเรารูปนามขันธ์๕ก็เป็นสังขตธรรมหมด เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ว่า โลกนี้นี่เป็นโลกของสังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อมันมีปัจจัยปรุงแต่ง มันมีเหตุปัจจัยที่หมุนไหลเวียนต่อเนื่องเป็นสายอยู่ ความไม่คงที่นั่นเองจึงเป็นสิ่งที่แน่นอน ความไม่คงที่นั่นเองเป็นสิ่งที่แน่นอน สิ่งที่ไม่แน่นอน โลกนี้เป็นโลกที่ไม่แน่นอน ความไม่คงที่นั่นเองเป็นสิ่งที่แน่นอน เหตุนั้นถ้าเราเข้าใจหลักความจริงของโลกตรงนี้ การพัฒนาคือการที่เราไม่ติดยึด เมื่อเราไม่ติดยึดในสิ่งใดก็ตาม การประพฤติปฏิบัติ ณ ขณะนั้นจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร มันขึ้นกับเหตุปัจจัยที่ปัจจุบันตรงนั้นน่ะจะให้ทำอย่างไร เหมือนเราขับรถนี่ พวกโยมเคยขับรถกันมา เคยคิดไหม เคยพิจารณาไหม จะต้องมีหลักสูตรไหม ขับรถไปเคลื่อนรถออกไป๕นาทีเหยียบเบรกครั้งหนึ่ง ออกไปอีก๕นาทีเหยียบเบรกครั้งหนึ่ง หือ รับรองปัญหาเกิด จริงไหม หรือว่าขับรถไม่ต้องเหยียบเบรกเลย ถึงที่หมายค่อยเหยียบเบรกทีเดียว หือ เป็นสิ่งที่เราเจออยู่ชีวิตประจำวัน น่ะ มีโรงเรียนสอนขับรถสอนวิธีนี้ไหม นั่นแหละคือความจริง โยมจะเร่งจะเหยียบเบรกจะอะไรก็ตามนี่ จะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามันขึ้นกับอะไรล่ะ โยมเคยพิจารณาไหม ใช่ไหม มันขึ้นกับอะไร จะเลี้ยวมันขึ้นกับถนนน่ะ ใช่ไหม มันมีทางให้เลี้ยวไปทางไหนเราจะไปทางไหน ใช่ไหม เมื่อรถมันว่างเราจะเร่งเท่าไหร่ เมื่อรถมันข้างหน้ามันชะลอเราจะต้องชะลอไหม เมื่อมันหยุดเราก็ต้องหยุดไหม ถ้าไม่หยุดก็ชนท้ายมันน่ะ นั้นคืออะไรโยมเคยพิจารณาไหม ในชีวิตประจำวันน่ะ โยมขับรถกันทุกวันน่ะ ขับรถกันแทบทุกคนน่ะ เคยพิจารณาไหม อันนั้นแหละคือความจริงน่ะ อันนี้ยังไม่เคยพูดนะเรื่องขับรถ เพิ่งพูดวันนี้ เมื่อขณะนั้นน่ะมันมีเหตุปัจจัยอะไรต่างหาก ใช่ไหม ฉะนั้นพี่ชายอาตมาซึ่งบวชเป็นพระ สมัยเป็นฆราวาส เขาก็ น้องชายไปส่งอาตมาขับรถไปส่ง ตอนเป็นแพทย์ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น ไปบรรจุโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น เขาก็ขับรถ เพิ่งหัดขับรถ เขาบอกดูดูรถคันหน้านั้นน่ะ เขาบอก นี่ดูมันสิ รอบมันนะ ดูสิมันไม่ใช่เหยียบเบรกน่ะ ดูความเร็วของล้อมัน มันเริ่มมันเริ่มช้าน่ะ อย่าจี้มันนะมันช้าเราต้องผ่อนล่ะ ถ้าไปจี้มันแล้วเหยียบเบรกไม่ทันน่ะ มันหยุด เขาสอนน้องให้สังเกต เหตุนั้นนี่เราต้องดูอยู่ตลอด ใช่ไหม ต้องดูอยู่ตลอดแล้วรถคันนั้นมันไปอย่างไร มันเบรกเราก็ต้องเบรก ไม่เบรกก็ชนมัน ไอ้ทำไมต้องเบรกล่ะ นั่นล่ะคือเหตุปัจจัยมันบอก มันเป็นเหตุปัจจัยที่มันบอกว่าเราต้องทำอะไร เหตุปัจจัยนั่นล่ะที่บอกว่าเราต้องทำอะไรนั่นล่ะคือเรื่องของธรรมะ ไม่ใช่เราอยากทำหรือไม่อยากทำนะ เข้าใจไหม สิ่งที่เราทำอยู่ตรงนั้นล่ะไม่ใช่เราอยากทำหรือไม่อยากทำ บางทีใจเราร้อนอยากจะไปถึงที่นั่นให้ทันที แต่รถข้างหน้ามันเบรกล่ะ มันไม่มีทางเราก็ต้องเบรกถูกไหม นั่นล่ะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำหรือไม่อยากทำ แต่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยบอกว่าต้องทำอย่างนี้ ขณะนี้ต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้เราฝืนไปล่ะ มันก็ต้องชนกัน อุบัติเหตุเกิด ความทุกข์จึงเกิดไง ความทุกข์มันเกิดเพราะตรงนี้แหละ เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ยังทีนี้ อันนี้พูดธรรมะแบบไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรวันนี้ ไม่มีอะไรจะพูดน่ะ พอถึงเวลาก็พูดไปตามเรื่องตามราว มัน นี่แหละทุกข์มันเกิดเพราะตรงนี้ รถข้างหน้ามันหยุดน่ะเราก็ต้องหยุด ถ้าเราไม่หยุดก็ต้องชนเขา พอชนเขาเราไม่ตายก็เจ็บ ไม่เจ็บก็รถเสียหายต้องเสียเงิน ตอนนี้เป็นทุกข์ไหม ทุกข์เกิดเพราะตรงนี้แหละ ตรงที่เขาให้หยุดเราไม่ยอมหยุดน่ะ ใช่ไหม ทีนี้ในถนนหลวงเหมือนกัน เขาก็มีทำวิจัยนานมาแล้วเขาพูดมา ถนนไฮเวย์ใหญ่ๆนี่จะไปขับยี่สิบสามสิบ คนที่ขับยี่สิบสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงขับรถให้ช้านะ อุบัติเหตุมาก เพราะอะไร ไฮเวย์มันวิ่งเร็วล่ะ มัวแต่ไปต้วมเตี้ยมต้วมเตี้ยม คนที่เขาเร็ว มันก็เลยไม่ตรงเหตุปัจจัย มันเลยชนกันเปรี้ยง แต่เขามาชนเรานั่นแหละ เขาจึงบอกต้องขับให้พอดีของมัน ไม่ใช่เร็วมากแต่ก็ไม่ใช่ต้วมเตี้ยม เพราะเร็วมากบางครั้งการควบคุมของเราไม่ทัน ประสาทมันควบคุมไม่ทัน หรือบางทีมันเป็นทางโค้งทางอะไรที่เราไม่คาดคิดเพราะเราไม่ชำนาญทาง มันก็อาจจะแหกโค้งได้ เหตุนั้นต้องเร็วแต่ไม่ใช่เร็วมากจนเกินการควบคุม แล้วก็ไม่ใช่ช้า เพราะในถนนไฮเวย์ตัวนั้นมันบอกอยู่ในตัวมัน นั่นแหละคือเหตุปัจจัยมันบอก นั่นแหละถ้าเราไม่รู้จักตรงนี้เอาตามใจเรา ฉันจะขับช้าเพราะเขาบอกว่าขับช้าๆปลอดภัย ใช่ไหม ขับรถเร็วไม่ปลอดภัย พอไปฝังอยู่ในความคิดตรงนี้มันก็ต้องเกิดโอกาส เขาเรียกว่าProbability โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุต้องสูงกว่าปกติในถนนไฮเวย์ ใช่ไหม แต่ถ้าถนนในหมู่บ้านในซอยบ้านน่ะ ยี่สิบสามสิบกิโลเมตรได้ก็ดี เพราะมันซอยเยอะแยะไปหมด เล็กๆ จะวิ่งร้อยกิโลเมตรก็รับรองชนบ้าน นั้นคือเหตุปัจจัยเขาบอก นั่นแหละคือเรื่องของธรรมะ เข้าใจยัง เรื่องของธรรมะ มันจะไปอย่างไร นี่ตัวนี้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไร ไม่ใช่เราทำด้วยความที่เราชอบใจหรือไม่ชอบใจ ข้อที่หนึ่งนะ เหมือนขับรถนี่ บางทีเราไม่ได้ชอบใจจะหยุดหรอกนะ เพราะเราอยากไปถึงที่หมายโดยเร็ว แต่เหตุปัจจัยตัวนั้นมันบอกว่าเราต้องหยุด เราก็ต้องหยุด หยุดเพื่อความปลอดภัยเพื่อความไม่ทุกข์นั่นเอง นี่ข้อที่หนึ่ง ไม่ได้ทำด้วยความชอบใจหรือไม่ชอบใจ ข้อที่สอง ข้อที่หนึ่งแล้วข้อที่สอง ไม่ได้ทำด้วยกฎเกณฑ์ ใช่ไหม เหมือนยกตัวอย่างให้ฟัง ขับรถไป๕นาทีเหยียบเบรกครั้งหนึ่งนะ ขับไป๕นาทีเหยียบเบรกครั้งหนึ่งนะ ถ้าโยมเป็นกฎเกณฑ์อย่างนั้นนี่ ปัญหาต้องเกิดแน่นอน ไม่เขาชนท้ายเราเราก็เกิดปัญหาแน่ ข้อที่สาม การกระทำตรงนั้นนี่ เมื่อไม่ได้ทำด้วยความชอบใจหรือไม่ชอบใจ ไม่ได้ทำด้วยกฎเกณฑ์ที่ตายตัว การกระทำนั้นทำด้วยอะไร ก็ทำด้วยเหตุปัจจัย ณ ปัจจุบันตรงนั้นน่ะ เขาให้ทำอะไรก็ทำไปตามนั้น ทีนี้มีปัญหาถามขึ้นมาว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุปัจจัยมันบอกให้ทำอย่างไร ก็เมื่อไหร่เราไม่มีการกระทำด้วยความชอบใจหรือไม่ชอบใจ เราไม่มีการกระทำด้วยกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เมื่อนั้นสติปัญญาจะเป็นอิสระ จะรู้ว่า ณ ปัจจุบันตรงนั้นนี่ ให้มีสติอยู่ที่ปัจจุบันตรงนั้น ให้มีสติอยู่ที่ปัจจุบันตรงนั้นน่ะ ให้รู้ว่า ณ ปัจจุบันตรงนั้นน่ะ มันมีเหตุปัจจัยอะไรที่จะบ่งชี้ ที่จะเป็นรหัส ที่จะเป็นลายแทงนั่นเองพูดง่ายๆเหมือนลายแทง ที่จะบอกเราว่าเราควรทำอะไร ณ ขณะนั้นน่ะ เข้าใจยัง เหมือนรถเอาเทียบรถให้ฟังง่ายๆมันเหยียบเบรกล่ะ เราตามหลังก้นมันเราก็ต้องเหยียบเบรก นั่นล่ะไอ้ตัวไฟแดงของมัน มันจึงต้องมีไฟเบรกใช่ไหม แดงแว้บขึ้นมา นั่นล่ะมันเป็นรหัสบอกให้เราเหยียบเบรก ถ้าเราไม่เหยียบเบรกเราก็ชนมันปัง เสร็จแล้วเราก็เสียเงินใช่ไหม นั้นล่ะเราต้องอ่านตรงนี้ให้ออก การจะอ่านสิ่งเหล่านี้ให้ออก ก็คือต้องละสองสิ่งแรกก่อนที่พูดให้ฟัง เหตุนั้นเราปฏิบัติธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่นะไม่ใช่ไม่ทำนะ เพียงแต่เราไม่ได้เอามาขบคิดมาพิจารณา ว่าเราอาศัยธรรมะอยู่ เขาเรียกว่า ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เมื่อเราไม่ได้ทำด้วยความชอบใจไม่ชอบใจด้วยความหลงในกฎเกณฑ์ตายตัว เหตุปัจจัยตรงนั้นมันบอกให้เราจอดหยุดเหยียบเบรกเราก็เหยียบ นั่นล่ะคือเรื่องของธรรมะ เรื่องของสติ ณ ปัจจุบันตรงนั้นน่ะ สติมันระลึกรู้ปัจจุบันตรงนั้น เรื่องของปัญญาวิจัยเหตุปัจจัย ณ ปัจจุบันตรงนั้น แล้วมันจะรู้ขึ้นมาว่า มันให้ทำอะไร เมื่อทำไปตามที่สติปัญญาตรงนั้นที่มันบอก มันก็เลยปลอดภัยไง คำว่าปลอดภัยตัวนี้ล่ะ นั่นล่ะคือ ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมแลย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม มิใช่อ้อนวอนพระเป็นเจ้า ไม่ได้อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อ้อนวอนอะไรให้คุ้มครอง เข้าใจ? เพราะฉะนั้นเหตุนั้นนี่การทำอะไรทุกอย่าง เหมือนกัน เมื่อบัญชีมันอย่างนี้เราก็สาวดูเหตุมันซะ แก้ที่เหตุมันซะ เดี๋ยวเมื่อเหตุตัวนี้มันดับ เหตุใหม่เกิด ผลใหม่ก็เกิด ทีนี้เมื่อมาดูเหตุปัจจุบันของเราอย่างบริษัทนี้ มาดูซิ ระบบการทำงาน อุปนิสัยคน ผลมันจะไปอย่างไร สิ่งแวดล้อม สภาวะเศรษฐกิจ ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร นี้เราจะทำนายผลแล้วนะ เมื่อเรารู้แล้วว่าตรงนี้เป็นอย่างนี้เราจะเฝ้าดูแล้ว มันจะเป็นจริงไหม ถ้าเป็นจริงตรงนี้แหละต้องรีบแก้แล้ว เหตุนั้นระบบถ้าเรายึดระบบนั้นตายตัว ก็เหมือนว่าขับรถ๕นาทีเหยียบเบรก ๕นาทีเหยียบเบรก ๕นาทีเหยียบเบรก ปัญหาต้องเกิด เพราะฉะนั้นเราต้องทำด้วยความไม่ใช่พอใจหรือไม่พอใจ ไม่ใช่ยินดีหรือยินร้าย เราต้องทำด้วยเหตุปัจจัยนั่นเอง ระบบเหมือนกันเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย ระบบอันหนึ่งอาจจะมีประโยชน์ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่ออีกเวลาหนึ่งเกิดขึ้นระบบนั้นอาจจะไม่เหมาะสมนั่นเอง ระบบนั้นคือการที่เราทำเราประพฤติมาอยู่อย่างนั้นจนเคยชินอย่างไร จึงเป็นวัฒนธรรมของสถานที่นั้น ตรงนี้จึงต้องถูกพิสูจน์อีกครั้ง ระบบไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมายืนตายตัวว่า เพราะระบบเป็นอย่างนั้นประเพณีเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ระบบประเพณีขององค์กรนั้นจะต้องถูกพิสูจน์แล้วพิสูจน์เล่า ว่าระบบหรือประเพณีขององค์กรนั้นนี่ เป็นสิ่งที่สมควรที่จะคงอยู่ ณ ปัจจุบันตรงนี้ไหม หรือจะต้องเปลี่ยนแปลงขึ้นไปอีก จะต้องถูกพิสูจน์อยู่เรื่อยๆ เพราะอะไรจึงต้องถูกพิสูจน์ เพราะโลกนี้มันเป็นอนิจจัง เป็นโลกแห่งสังขตธรรมที่พูดให้ฟังแล้ว เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อปัจจัยมันเปลี่ยนไป เหตุปัจจัย ปัจจัยนี้คือเหตุอันหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยตัวนี้มันเปลี่ยนแปลงไป ระบบที่ใช้อยู่ตรงนี้แน่ะมันอาจจะไม่เหมาะสมแล้ว เมื่อไม่เหมาะสมยังใช้ระบบกฎเกณฑ์ตัวนี้อยู่ ผลทุกข์ก็จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน นั่นเรียกว่าการไม่รู้เท่าทันในปัจจุบัน การไม่ได้อยู่ในปัจจุบันนั่นเอง การไม่เท่าทันการไม่ได้อยู่ในปัจจุบันนั่นเองก็คือ การขาดสติระลึกรู้ในปัจจุบันนั่นเอง ขาดปัญญาในปัจจุบันนั่นเอง เหตุนั้นนี่เราส่วนใหญ่เมื่อปัญหาเกิดก็จะไปโทษคนอื่น ว่าเพราะคนนั้นเพราะสิ่งนั้นเพราะสิ่งนี้ แต่ลืมไป ลืมพิจารณาว่า เราก็เป็นองค์กรอันหนึ่งของปัญหา เมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เราตัวเราเองก็จะต้องถูกการพิสูจน์ ถูกการวิจัย ถูกการค้นคว้าหาเหตุหาผลอีกเหมือนกัน ตัวเราก็ต้องเป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่งเหมือนกัน ที่จะต้องถูกวิจัย ถูกวิเคราะห์ ไม่ใช่แค่เฉพาะส่วนภายนอก เหตุนั้นการที่เราวิเคราะห์ทั้งเราด้วยทั้งผู้อื่นด้วย นั่นคือความไม่ลำเอียงใช่ไหม เหมือนเวลาศาลขึ้นตัดสินคดีความ มีผู้พิพากษาไปกินเหล้ากับทนายโจทก์ นี่โยมเขาเล่าให้ฟัง แล้วเขาก็บอกว่า พี่ (น้องของโยมที่เขาเล่าให้ฟัง) คดีความของพี่นี้แพ้แน่นอน แล้วสุดท้ายก็ตัดสินแพ้จริงๆ แพ้ไม่ใช่แพ้เพราะความจริง แพ้เพราะผู้พิพากษาไปกินเหล้ากับทนายโจทก์ มันมีอคติเกิดแล้ว ซึ่งตามจรรยาบรรณของผู้พิพากษาเขาไม่ให้ทำอย่างนี้ เพราะอาตมาเคยรู้จักกับผู้พิพากษาหรือลูกเขา ซึ่งเป็นหัวหน้าศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา เขาจะรักษาตรงนี้เคร่งครัด เพราะไม่นั้นความลำเอียงจะเกิด อันนี้ฉันใดฉันนั้น การวิเคราะห์เหมือนกัน เราจะต้อง ตัวเราเองจะต้องถูกพิสูจน์ ถูกวิเคราะห์วิจัยอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน ทั้งระบบภายนอกทั้งสิ่งภายนอก มันจึงเป็นความไม่ลำเอียง มีความเสมอกัน คือวิเคราะห์ ถูกวิเคราะห์ถูกวิจัยเหมือนกันเสมอกัน ไม่มีอคตินั่นเอง เหตุนั้นนี่ธรรมะสอนเรื่องของสัจธรรมคือความจริง ความจริงที่มีอยู่ในโลก ผู้ใดจะเห็นความจริงได้ ผู้นั้นต้องมีใจที่เป็นกลางนั่นเอง ไม่มีอคติ ผู้ที่ไม่มีอคติ เครื่องมือที่จะเข้าไปเพื่อจะเข้าไปวิเคราะห์คือตัวสติปัญญานั่นเอง เหตุนั้นจึงต้องฝึกตัวสติตัวปัญญาให้เกิด สติปัญญาจะเกิดจะทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีตัวสมาธิ คือความตั้งมั่นในงานนั้น เหตุนั้นสมาธิตัวนี้เองเป็นฐานแห่งปัญญา เมื่อมีสติต้องมีความตั้งมั่นในงานนั้น เมื่อตั้งมั่นในงานนั้นไม่ลงไปเล่นคือในงานนั้นไม่มีอคตินั่นเอง เมื่อจิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตนั้นตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ก็จะไม่ลงไปเล่นในสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อไม่ลงไปเล่นในสิ่งนั้น ก็จะวิเคราะห์วิจัยความจริงของสิ่งนั้นตามความเป็นจริงของเขา เพราะไม่มีอคติ เหมือนศาลนั่นเอง ตัดสินคดีความตามข้อมูลนั่นเอง นั่นล่ะความจริงจึงจะปรากฏ เหตุนั้นเราจึงต้องเจริญตัวสติให้มาก เจริญตัวสมาธิคือสัมมาสมาธิ คือเจริญความเห็นให้ถูกต้อง หัดละวางอคติให้มาก ถอนความเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเราในสิ่งทั้งปวงออก เมื่อเราถอน พยายามถอนสิ่งนี้ออก สติปัญญาตัวนั้นเมื่อไม่ทำด้วยความรักความชัง ความยินดียินร้ายอย่างที่บอกให้ฟัง ไม่ทำ เมื่อไม่ทำในสิ่งนี้ แม้แต่กฎเกณฑ์มันก็จะรู้ว่า กฎเกณฑ์นั้นคือสมมติอันหนึ่งเฉยๆที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งาน เขาก็จะใช้กฎเกณฑ์นั้นเพื่อประโยชน์ในงานในสมมตินั้นเฉยๆ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น เขาจะทำในเรื่องสมมติโลกในสังขตธรรมนี้ตามเหตุตามปัจจัยของสิ่งนั้นเท่านั้น ทำแล้วก็ดับไป ทำแล้วก็ดับไป เหตุปัจจัยที่เขาทำตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ทำด้วยโลภโกรธหลง เหตุนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดความเจริญในสมมตินั้นเอง เข้าใจยัง ความเจริญนั้นจึงเป็นความเจริญที่ยั่งยืนไง ในหลวงจึงมามีพระราชดำรัสคือเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง จึงเกิดความเจริญที่ยั่งยืนนั่นเอง เพราะการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ด้วยเหตุปัจจัยด้วยความพอเหมาะพอดี จึงไม่มากไปไม่น้อยไป จึงเป็นการเจริญที่ก่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เหตุนั้นการเจริญสติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าเราจะทำอะไรตั้งแต่ตื่นนอนถึงลงนอนพยายามหัดระลึก เมื่อตื่นขึ้นมาก็อย่ารีบพูดรีบลุกขึ้น เพราะมันจะคิดลุกแล้วนี่ ให้เอาสติระลึกรู้ว่ามันตอนนี้มันคิดจะลุกแล้วใช่ไหม มันขยับก็ให้ตามรู้การขยับเขยื้อนของมือของเท้า จะทำอะไรพยายามสติตามตามมันไป ดูมันไปศึกษามันไป ทำอะไรทุกอย่าง ไม่ว่าจะขับรถให้สติอยู่ที่รถนั่นล่ะ อย่าให้พลั้งเผลออย่าให้มันชนกัน เหตุนั้นเขาจึงไม่ให้โทรศัพท์มือถือขับรถไง เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะมันแบ่งสอง อันตรายมันจะเกิดไง เหตุนั้นเราต้องหัดนิสัยใหม่ ต้องวางให้ได้ ต้องหัด อย่าเห็นประโยชน์ในบางอย่างทำให้มันเกิดโทษบางอย่าง เพราะโทษนั้นคือนิสัยนั่นเอง นี่เราต้องหัด ไม่นั้นวันหนึ่งถ้ากรรมนั้นมันมีผลน่ะ มันเกิดอุบัติเหตุขึ้น ผลประโยชน์ที่ได้มันไม่คุ้มกับที่มันเสีย นี่เขาจึงต้องหัด เหตุนั้นสติต้องตามระลึกอยู่จะทำอะไรจะบัญชีก็เหมือนกัน จะกรอกตัวเลขแม้แต่กดคอมพิวเตอร์สติก็ต้องตาม มันจะรู้ว่ามันกดผิดกดถูกด้วยใช่ไหม เมื่อกดผิดก็รู้ว่ากดผิดก็แก้ซะ ถ้ากดถูกก็กดต่อไป เพราะถ้ากดผิดแล้วไม่รู้ว่ากดผิด ไอ้ตัวผิดตัวนี้บางครั้งถ้าเป็นเรื่องสำคัญนี่เป็นปัญหาใช่ไหม เหมือนเขาลงหนังสือพิมพ์ล่ะ ทวงหนี้เขาได้อย่างไร กี่ล้านน่ะ ใบทวงหนี้ออกไปกี่ล้านน่ะ แล้วคนเซ็นก็เซ็นไปตามหน้าที่เฉยๆ ในหนังสือพิมพ์ลงมีอยู่ล่ะ (แปดหมื่นกว่าล้าน) ทวงหนี้ได้อย่างไร แล้วการออกไปอย่างนั้นหมายความว่าอะไร มันก็เพราะการกดผิดนั่นเอง สิ่งที่กดผิดนั้นน่ะ ไอ้ใบทวงหนี้เยอะๆไอ้นั้นนั่นน่ะ มันเป็นผลนะ เหตุมันคืออะไร เหตุก็คือตอนกดใช่ไหม นั่นล่ะขาดสติ เหตุที่ไม่มีสตินั่นเอง งานการเลยเป็นปัญหา ทุกข์เลยเกิดเห็นยัง แล้วก็เกิดการฟ้องร้องเกิดการอย่างน้อยๆก็เสียชื่อเสียงของหน่วยงานนั้น เกิดการฟ้องร้องเครดิตทุกอย่างมันก็เสีย แล้วจะไปเอาคืนน่ะ ลำบากแล้วนะ ไอ้เสียแล้วจะเอาคืนนี่ยาก นี่ตรงนี้เพราะอะไร เพราะการกดนั่นเอง การกดนั้นเป็นกิริยาอันหนึ่ง แต่เหตุลงไปลึกๆคือการไม่มีสติระลึก ว่าเรากดอะไรแล้วเราดู นี่ต้องดู นั้นตัวสติต้องฝึกให้มาก ตั้งแต่ตื่นนอนถึงลงนอน ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ไม่ใช่เราต้องไปฝึกไปอยู่วัดนะ ไปนั่งสมาธิเดินจงกรมอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ใช่ การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่กายใจเรา อาตมาจึงพูดเป็นเหมือนปริศนาแต่เป็นข้อเตือนสติ การปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่ทางจงกรมไม่ได้อยู่ที่อาสนะนั่งสมาธิ การปฏิบัติธรรมอยู่ที่กายใจเรา ถ้าเข้าใจตัวนี้การปฏิบัติธรรมอยู่ที่กายใจเรา จะรู้เลยว่าทำได้ทุกเมื่อ ทำได้ทุกเวลา ทำได้ทุกสถานที่ ตราบใดกายใจนี้ยังไม่สลายก็ยังมีการปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แค่นี้มันจะล้างความเห็นผิดหมดเลย ว่าฉันไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ฉันไม่มี พวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิหมดเลย ขบวนการมิจฉาทิฏฐิก็เป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่ง เป็นความคิดอันหนึ่งในใจนั่นเอง แต่เป็นนามธรรม ก็เหมือนข้างนอกนั่นเองที่เทียบให้ฟัง ลองขับรถไปดูสิ ขับไป๕นาทีเหยียบเบรกครั้ง ๕นาทีเหยียบเบรกครั้งปัญหาเกิดไหม ใครไม่เชื่อลองดูก็ได้ในถนนนี้ แล้วจะพิสูจน์ได้ ท้าพิสูจน์ว่ามันจะจริงไหม ปัญหาจะเกิดไหม ขับไปเลย๕นาทีปั๊บตั้งเวลา๕ นาทีนาฬิกาไว้เลย เป๊ง๕นาทีปั๊บเหยียบ เป๊ง๕นาทีปั๊บเหยียบ ปัญหาจะเกิดไหม นั่นคือกฎเกณฑ์นั่นเอง เพราะฉะนั้นกฎเกณฑ์หลายๆอย่างอยู่ในใจเราทั้งนั้น ที่เราติดยึด เขาเลยเรียกเป็นทิฏฐิเกิดขึ้น เมื่อทิฏฐิความเห็นเกิดขึ้นตัวนี้เลยเป็นมานะเกิด ไม่ยอมขึ้นมา พอมานะเกิด การประชุมการกระทำงานอะไรก็ตามในหน่วยงานนั้น ปัญหาเกิดทุกครั้ง เพราะไม่เอาเหตุเอาผลกัน เอาแต่ของกูถูกล่ะ เอาแต่ความเห็นกูถูก คนนั้นเลยไม่พร้อมที่จะพัฒนา ไม่พร้อมที่จะพัฒนา แล้วก็น่าเสียดายน่าสังเวชด้วยนะ ทำไมอาตมาจึงพูดประโยคนี้ เพราะการที่หน่วยงานเสียหายนั้นมันเรื่องเล็ก เรื่องเล็กนะ แต่เรื่องใหญ่อยู่ที่ตัวเองน่ะ ในเมื่อเราจมปลักอยู่ในของกูตัวกู ในความคิดความเห็นที่ผิดอยู่ที่กฎเกณฑ์อยู่อย่างนี้ ตัวนี้มันเป็นเหตุให้เราไปทำสู่ความชั่ว ตัวนี้เมื่อเราละอัตภาพสังขารนี้ไป เหตุตรงนี้จะทำให้เราไปสู่ทุคติ จึงว่าน่าเสียดายที่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเอง แต่กลับไม่ได้พัฒนาตนเอง ด้วยความหลงบางอย่างที่ครอบงำเอาไว้ เรื่องหน่วยงานมันเรื่องเล็กเพราะมันเรื่องภายนอก แต่เรื่องตัวเราที่ต้องตายเกิดอีกไม่รู้เท่าไหร่ มันเป็นเรื่องใหญ่มากที่เราทิ้งโอกาสของตัวเอง เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของหาได้ยาก เพราะมนุษย์สมบัตินี้ต้องอาศัยบุญกุศลระดับหนึ่งที่จะได้เกิด แล้วก็เป็นภูมิที่สามารถลงต่ำขึ้นสูงได้จนถึงพระนิพพาน สัตว์เดรัจฉานไปพระนิพพานไม่ได้นะ ไม่ใช่ฐานะที่จะไปได้ นั้นเราทิ้งโอกาสภูมิมนุษย์ไป เหมือนฝนตกเราไม่หาภาชนะรองน้ำ เมื่อฝนแล้งไป เมื่อเดือดร้อนจะใช้น้ำก็ไม่ได้ใช้ นี่เป็นข้อที่๑ ซึ่งเราได้ทิ้งโอกาสของเราไป ซึ่งจะพัฒนาตัวเองนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั้นภูมิมนุษย์เป็นภูมิที่สามารถจะพัฒนาอะไรหลายๆอย่างในจิตใจตัวเองได้มาก เป็นภูมิที่มีโอกาสอันสูงที่สุด ซึ่งน่าเสียดายถ้าเราทิ้งโอกาสของเราเอง นี้จึงเป็นคุณประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลก เพราะอะไร เพราะการอุบัติเกิดขึ้นของพระองค์ ทำให้สามารถเข้าใจรู้เรื่องอะไรบางอย่าง รู้ถึงสิ่งที่เราจะต้องกระทำ เพราะถ้าไม่มีการอุบัติเกิดขึ้นของพระองค์ ธรรมะเหล่านี้เราจะไม่รู้เลยว่าภพภูมิมันจะไปอย่างไร จะไปอยู่อย่างไร บางคนก็ว่าตายแล้วสูญเหมือนฝรั่ง มีสามีพยาบาลคนหนึ่งเป็นฝรั่ง คนแก่ได้เมียสาว ฝรั่งมันไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิดอีกนะ มันว่าตายแล้วสูญน่ะ นั่งสมาธิไปทำไม ยูทำไมทำสิ่งไร้สาระ ถามภรรยา แล้วก็มีเงินบำนาญจากรัฐบาลอเมริกันส่งมาที่นี่ ก็ซื้อของกินฟุ่มเฟือย ก็อยู่ในตรงนั้น หาแต่ความสุขความสบายคือเวทนาขันธ์นั่นเอง แค่นั้น จึงว่าน่าเสียดาย เมื่อตายไปแล้วพวกนี้ก็ไม่มีทางไปสู่ที่สูง ไปสู่แต่ที่ต่ำ เกิดเป็นมนุษย์จะได้ไหม ยังยากเลย นี่คือสิ่งที่เขาไม่ได้อบรมไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้ศึกษามาตั้งแต่ ของเรานี้พ่อแม่ยังพาทำ อย่างน้อยก็เห็นการใส่บาตร การเห็นก็คือการเรียนรู้อันหนึ่งแล้ว มันจึงฝังเข้าไป อย่างน้อยๆของเรานับว่าแย่นะ เมื่อเทียบกับฝรั่งคนนี้แล้วเราดีกว่าเยอะ นั่นล่ะเหตุนั้นน่ะจึงพูดให้ฟัง พอจะจับใจความได้ไหม การทำด้วยเหตุปัจจัย ไม่ว่าเรื่องอันไหนก็ตาม นี้ยกตัวอย่างรถยนต์ให้ฟัง แม้แต่ในเรื่องใจเหมือนกัน ถ้าเราทำให้ถูกเหตุปัจจัยแล้วความทุกข์ใจก็จะดับ เพราะเห็นโทรทัศน์เขามาลงเป็นโรคจิตกันตั้ง๓๐เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะความไม่เข้าใจตรงเหตุปัจจัยนี้แหละ ไม่มีสติไม่มีปัญญาตัวนี้ก็เลยเป็นโรคจิต จิตแพทย์รักษาไม่ได้นะ รักษาได้แต่เฉพาะอาการให้ยาควบคุมเฉยๆ แต่ไม่เด็ดขาด ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นรักษาได้เด็ดขาด แล้วก็เป็นสมุจเฉทด้วย เด็ดขาดเลย แต่เสียดายเพราะอะไร เพราะคนปฏิบัติไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีอุปนิสัยที่จะปฏิบัติ หรือไม่ก็ไป กรรมตัวนั้นมันบังคับไว้อยู่ เรื่องของวิถีกรรม ก็คือโอกาสนั่นเอง เพราะฉะนั้นงานการ องค์กรไหนถ้าจะรีไซเคิลองค์กรได้ องค์กรนั้นก็ต้องละของกูตัวกูลงให้มาก แล้วก็ต้องพร้อมที่จะพิสูจน์ระบบ วัฒนธรรม ประเพณีขององค์กร พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเราเอง พร้อมจะพิสูจน์เหตุปัจจัยภายนอก เมื่อสามส่วนนี้สมบูรณ์เมื่อไหร่องค์กรนั้นจะมีแต่เป็นองค์กรที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้า เป็นองค์กรที่จะเจริญไปยั่งยืน อาตมาเคยถามคุณทวีพลน่ะ มอเตอร์ไซค์นี่แหละมันจะก้าวต่อไปอย่างไร ตลาดข้างหน้า ถ้าคุณทวีพลบอกว่าอีกสองสามปีมันแย่แล้วนะ มันไม่มีทางโตแล้วนะ รีบเปลี่ยนองค์กรนี้ซะ หางานใหม่ทำ ค้าขายแบบใหม่ทำแบบใหม่ซะ เราต้องวิจัยตรงนั้นด้วย ไม่ใช่เราหยุดนิ่ง เพราะถ้าสามปีข้างหน้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมา ถ้าเรามองแต่อย่างนี้ (แบบเดิม) เมื่อถึงวันนั้นน่ะ เราเสร็จน่ะ มิฉะนั้นเขาจะมีหอเตือนภัยสึนามิทำไม มีพยากรณ์อากาศทำไม โยมเข้าใจตรงนี้ไหม เขามีเพื่ออะไร เหมือนพายุไซโคลนพายุอะไร เฮอริเคนเข้าอเมริกา เขายังมีทำไมเตือนภัย ใช่ไหม เขาก็เตรียมอพยพคนน่ะ เพราะเมื่อสิ่งนั้นมาเมื่อไหร่ ความเสียหายจะน้อย ถูกไหม เหตุนั้นเหมือนกัน ถ้าธุรกิจนี้ไปไม่ได้ เรารู้แล้วว่ามันจะไปไม่ได้ เราต้องเตรียมธุรกิจใหม่รองรับ เราต้องปรับตัวเข้าไป เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราไม่เดือดร้อนแล้ว องค์กรนี้ก็จะสามารถรอดพ้นวิกฤตไปได้ ฉะนั้นเราต้องวิเคราะห์ ต้องถามมันด้วย ไม่ใช่ทำไปวันๆหนึ่ง ต้องถามมัน (พระอาจารย์ขา ถ้าเกิดในกรณีที่การทำหน้าที่ในส่วนของบริษัทนะคะ มีการติดต่อประสานงานกันนะคะ แต่ว่าในบางอย่างนี่ คือเวลาที่เราติดต่อประสานงานค่ะ เราไม่ได้งาน ณ เวลาที่กำหนดนะคะ มันก็มีความขุ่นมัวทั้งผู้ที่ไปติดตามและผู้ที่รับการติดตาม จะแก้ปัญหาอย่างไรให้ทุกข์นั้นน้อยลง) คือจริงๆแล้วมันหน้าที่มันบังคับล่ะ ให้เราต้องเอาตามกำหนดเวลานี่ ใช่ไหม แต่ทีนี้เมื่อเราทำหน้าที่เต็มที่แล้วมันไม่ได้ มันไม่ใช่เหตุผลที่เราจะขุ่นมัวที่จะขัดเคืองนะ เพราะความขัดเคืองนั้นมันเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง คือความเป็นของกูตัวกูเกิดในใจเราใช่ไหม ถูกไหม ตรงนี้เป็นเหตุผลแห่งความไม่พอใจ ยินร้ายเกิด ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องละ เพราะมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในใจเรา เราทุกข์ไป ถามง่ายๆเถิดเราทุกข์ไป ณ เวลานี้ งานตัวนี้จะส่งเรา ณ เวลานี้ทันทีไหม ถ้าโยมทุกข์ไป ณ เวลานี้แล้วงานส่งไป ส่งให้โยมทันที ณ เวลานี้ก็ควรทุกข์นะ แต่เมื่องานมันไม่มา ณ เวลานี้แล้วโยมทุกข์ไปเพื่ออะไร เมื่อโยมทุกข์แล้วโยมอย่าลืมนะว่า ผลแห่งความทุกข์ความขุ่นมัวของจิตตรงนี้ล่ะ มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลอะไรในอนาคตล่ะ โยมอ่านตัวนี้ไหม เอาง่ายที่สุดเลยล่ะ เวลาโยมขุ่นมัวโยมอะไรนี่ สติสัมปชัญญะโยมจะขาดล่ะ สมาธิก็ไม่ตั้งมั่น แล้วงานการอย่างอื่นที่โยมจะทำต่อ มันจะเป็นจุดพลาดแล้วนะ เมื่อพลาดจากตรงนี้ นี่แหละมันจะเป็นให้เกิดปัญหาอีกอันหนึ่ง แต่ปัญหาที่โยมจะโทษใครไม่ได้แล้ว เพราะปัญหานี่มันจากเราพลาด ถูกไหม เหตุนั้นนี่ในเมื่อเราเห็นเหตุเห็นผลตรงนี้แล้ว เราจะขุ่นมัวไปเพื่ออะไรกัน เรามีแต่ต้องสำรวมจิตเรานั่นเอง ต้องหัดพิจารณาว่าเราจะแก้ปัญหาตรงนั้นอย่างไร ไม่ว่าการเจรจาสื่อสารกับเขา เราจะสื่อสารอย่างไรเพื่อไม่เกิดความขุ่นมัวทั้งสองฝ่าย แล้วจะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยกันแก้ปัญหาตรงนั้นน่ะ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เอาเรื่องเลยล่ะ ก็มีอย่างเดียวแนะนำคุณทวีพลไล่ออก มีอย่างเดียวไล่ออก ก็ไม่เอาเรื่องจริงๆนี่คือหมดแก้ไข ถ้าคนนั้นยังมีความแก้ไขมีเจตนาอยู่ เขาอาจจะมีเหตุบางอย่างนะ เอาง่ายๆอย่างเช่น เราต้องการให้ส่งงานวันนี้พอดีเขาป่วยไป๔-๕วัน งานตรงนี้เขาขาดเขาไม่ได้ติดตาม จะให้ส่งอย่างไรเขาก็ไม่มีปัญญาน่ะ นี่เราต้องไปลึกเข้าไปตรงนั้นอีก คนเรามันมีผิดพลาดกันทุกคนน่ะ แต่ผิดพลาดตรงนั้นแน่ะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงหรือเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ไหม ถ้าเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ อุปนิสัยตัวนั้นแก้ไขไม่ได้เลยจริงๆนะ อย่างที่ว่าต้องให้ไล่ออกซะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ มันเป็นเหตุที่มาประจวบหรือมันพลั้งเผลอตัวไปบางครั้งบางคราวนะ มันก็ให้อภัยซึ่งกันและกันก็ค่อยๆแก้ แล้วตัวนี้เราแก้ด้วยความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน วันหนึ่งต่างคนต่างมีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน วันนั้นหน่วยงานนั้นจะไปได้ง่าย สบาย แต่ถ้าสองฝ่ายมีแต่ความระแวงต่อกันน่ะ คอยจับผิดจับอันนั้นกัน ความร่วมมือตัวนั้นไม่เกิดหรอกนะ เกิดก็เกิดแบบฝืนๆน่ะ ทำไปอย่างนั้นเองกลัวโดนไล่ออก เหมือนเราบอกชีที่วัด มันทำงานบางทีมันก็บอก กลัวอาจารย์จะไล่ออกจากวัด จึงบอกไม่ใช่นะ ทำงานตรงนั้นทำเพื่อกุศล เราทำเพื่อกุศลของเรานะ ไม่ใช่ทำเพราะฉันนะ มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้ทำ ทำเพื่อสร้างบารมีเรา ไม่ใช่ทำเพื่อกลัวฉันจะไล่ออกจากวัด นี่เหมือนกัน เขาต้องมีจิตสำนึกว่า เขาทำเพราะหน้าที่ของเขาที่เขาจะต้องรับผิดชอบ เขาไม่ได้ทำเพราะถูกเราบังคับ ถ้าเขาทำเพราะถูกเราบังคับ เราจะเหนื่อยมากนะ เหนื่อยจริงๆนะ ตรงนี้เป็นปัญหาที่เราจะทำอย่างไรที่จะสื่อสารเขา ที่จะสอนเขา ที่จะแนะนำเขา ให้เขาเกิดจิตสำนึกตรงนี้ ซึ่งแรกๆมันต้องยากนะ ไม่มีที่ไหนไม่ยากหรอก ถ้ามันง่ายๆนะ ไม่มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่หรอก ไปดูเลยแทบทุกหน่วยงานจะมีคอร์ส(หลักสูตร)ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ใช่ไหม ฝึกอยู่เรื่อยๆ บางทีทั้งปี ปีหนึ่งหลายครั้งน่ะ จนหมดหน่วยงานแล้วก็เวียนกลับใหม่ เพราะอะไร เพื่อทบทวนเพื่ออะไรหลายๆอย่าง นั่นล่ะมันต้องใช้เวลา ถ้าเราเข้าใจความจริงอันนี้มันจะบรรเทาความขัดเคือง อ๋อ มันเป็นของมันอย่างนี้ล่ะ เราต้องใช้ความเพียรความพยายาม ไม่นั้นคำว่าเพียรคำว่าอดทนน่ะไม่มีหรอก ไม่ต้องไปศึกษา เพราะมันมีปัญหามีความยากมีเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง มันจึงต้องมีความเพียรความอดทน ซึ่งเราต้องเอามาใช้ไง สิ่งที่เราเอามาใช้นั่นล่ะเป็นประโยชน์ต่อเรา ประโยชน์ต่อเรานะ ไอ้เขาน่ะมันเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราน่ะได้ก่อนอันดับแรก ใช่ไหม.

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุกับท่านขงเบ้งด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร