วันเวลาปัจจุบัน 18 มิ.ย. 2025, 18:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าว ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ไตรสิกขานี้ เมื่อนำมาแสดงเป็นคำสอนในภาคปฏิบัติทั่วไป ได้ปรากฏในหลักที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ( พุทธโอวาทที่เป็นหลักใหญ่ ๓ อย่าง ) คือ

๑. สพพฺปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ( ศีล )
๒. กุสฺลสสูปสมฺปทา การบำเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม (สมาธิ )
๓. สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องใส (ปัญญา )


( พุทธธรรม พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตโต )




รายละเอียดจาก

http://www.dra.go.th/ewtadmin/ewt/dra_b ... =buddha_44


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 20:44
โพสต์: 341

ที่อยู่: ภาคตระวันออก

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

pic02.jpg
pic02.jpg [ 53.81 KiB | เปิดดู 11657 ครั้ง ]
สาธุ ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติให้แจ้งเถิดครับท่านผู้เจริญในธรรมและจะรู้ได้เฉพาะตน สาธุขอท่านทั้งพึงเจริญในศาสนาของพระศาสดา

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ท้งปวง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรไม่ให่้ตัวเองแบกทุกข์ไว้

แค่นี้ก็สบายใจแล้วครับ ปล่อยวางบ่อย ใจก็บริสุทธิ์เองครับ

cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่


ไม่ถูกทั้งหมดครับ ต้องอาศัยทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41:

cool

... โอวาทปาติโมกข์ที่พระบรมศาสดาทรงแสดง ถือเป็นหลักธรรมคำสอนที่สำคัญ หรือเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนา เลยทีเดียว ได้แก่

๑.การไม่ทำบาปทั้งปวง ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจาและใจ เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียดหรือเพ้อเจ้อ ไม่ผูกอาฆาตพยาบาทหรืออยากได้ของผู้อื่น เป็นต้น

๒.การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่าง เช่น ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น พูดจาอ่อนหวานและถูกกาลเทศะ มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ฯลฯ

๓.การทำจิตใจให้ผ่องใส ด้วยการละบาปทั้งปวง ถือศีลและบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม (ศีล สมาธิ ปัญญา) การบำรุงรักษาจิตให้เข้มแข็งผ่องใสบริสุทธิ์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การบริหารจิต ซึ่งต่างกับการบริหารกาย เพราะการบริหารกายต้องทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอแต่การบริหารจิตจะต้องฝึกฝนให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งการฝึกจิตให้สงบ คือการทำสมาธินั่นเอง

การทำจิตใจให้ผ่องใสหรือการฝึกจิต คือ การฝึกสติควบคุมจิตใจให้จดจ่อกับสิ่งที่ทำโดยระลึกอยู่เสมอว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่ ต้องทำอย่างไร พร้อมกับระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาด การทำสมาธิ คือ การฝึกควบคุมจิตใจให้จดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง โดยไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะหยุดทำสมาธิ การฝึกจิตให้มั่นคงแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่ปฏิบัตินี้ คือ การบริหารจิตและเจริญปัญญา การพัฒนาจิตให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว และบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ จะต้องบำเพ็ญภาวนาทางจิต ที่เรียกว่า "สมาธิ" ด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา จนถึงขั้นบรรลุอรหันตผล อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง ซึ่งการทำจิตใจให้ผ่องใสนี้จะต้องขจัดนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ อันเป็นเครื่องขัดขวางจิตมิให้สงบ คือ ความพอใจในกาม / ความอาฆาตพยาบาท ความหดหู่ท้อแท้ ความง่วงเหงาหาวนอน /ความฟุ้งซ่าน รำคาญ /และความลังเลสงสัย เช่น สงสัยว่าทำดีทำชั่วมีผลจริงหรือไม่ :b16: :b16:

ครับ สำหรับโอวาทปาติโมกข์ที่กล่าวข้างต้น ถือได้ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นการสอนหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องแก่พุทธศาสนิกชน :b1:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: smiley

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกคำตอบครับ :b8: :b8:

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าว ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่


แบบชาวบ้าน ๆ ก็ มองโลกในแง่บวก ค่ะ

คิดบวกแบบที่ เค้า กำลังอินเทรนด์ กัน ค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แมวขาวมณี เขียน:
แบบชาวบ้าน ๆ ก็ มองโลกในแง่บวก ค่ะ

คิดบวกแบบที่ เค้า กำลังอินเทรนด์ กัน ค่ะ


จริงๆนะครับ คนส่วนมาก
ด้านหนึ่งพากันเข้าใจว่าการทำให้จิตใจผ่องใสก็คือคิดบวก

อีกด้านก้คือความเชื่อว่าการบังคับไม่ให้จิตใจมันเลว เป็นการชำระให้ผ่องใส

ผมว่าทั้งสองด้านคือส่วนสุดสองประการไม่มีผิดเพี้ยนเลยนะครับ
คืออันหนึ่งปล่อยไหล อันหนึ่งอันหนึ่งทวนกระแสแต่ทิศทางขึ้นอยู่กับทิฐิ



การชำระจิตใจให้ผ่องใส

ผ่องใส ก็คือไม่เปื้อน
ไม่เปื้อนก็คือไม่ให้มันเปื้อน
ที่ไม่ให้มันเปื้อนคือพากเพียรตั้งมั่นเห็นชัดตามจริงว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา
ไม่เป็นเนื้อเดียวกับเรา สักว่าเป็นปรากฏการณ์มาปรากฏ
ควมจริงที่พบทำให้รู้สึกว่า ไม่มีอะไรน่ายึดถือ
เมื่อไม่ยึดจึงไม่เปื้อน
ไม่เปื้อนก็ผ่องใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำจิตให้ผ่องใส คือ อย่างไร ?

ลองศึกษาตามที่ท่านเจ้าคุณท่านประมวลไว้น่ะครับ



.......................



มาสู่คำถาม


อ้างคำพูด:
ทำจิตใจให้ผ่องใส ทำอย่างไร




คำตอบ คือ อบรมจิต ตามพุทธพจน์



จิตเป็นอนัตตาก็จริง...แต่ อบรมได้ ฝึกได้

ดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า....จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้

การอบรมจิตนี้ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ขั้นสูง

คำว่า ศาสตร์ คือ มีหลักการ มีหลักวิชา
คำว่า ศิลป์ คือ ต้องรู้จักถึงนัยยะของความละเอียดปราณีต

ต้องรู้จักจริตนิสัยของตนเอง และ เลือกเฟ้นธรรมที่เหมาะสมกับจริตนิสัยตน
อีกทั้ง ยังต้องรู้จักว่า ในสมัยใด ควรปฏิบัติต่อจิตเช่นใด



ถ้าจะสรุปในมุมมองของผม ก็น่าจะเป็น

ปฏิบัติต่อจิต "ตามจริตนิสัย" และ "ตามสมัยที่ควร"



ดังนี้



1.ปฏิบัติต่อจิต "ตามจริตนิสัย"

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ สุตตันตปิฎกที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส


พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่า

บุคคลนี้เป็นราคจริต
บุคคลนี้เป็นโทสจริต
บุคคลนี้เป็นโมหจริต
บุคคลนี้เป็นวิตักกจริต
บุคคลนี้เป็นศรัทธาจริต
บุคคลนี้เป็นญาณจริต.

พระผู้มีพระภาคตรัสบอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต.

ตรัสบอกเมตตาภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต.

ทรงแนะนำบุคคลผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่ในเพราะอุเทศและปริปุจฉา ในการฟังธรรมโดยกาล ในการสนทนาธรรมโดยกาล ในการอยู่ร่วมกับครู.

ตรัสบอกอนาปานัสสติแก่บุคคลผู้เป็นวิตักกจริต

ตรัสบอก ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ความที่ธรรมเป็นธรรมดี ความที่สงฆ์ปฏิบัติดี และศีลทั้งหลายของตน ซึ่งเป็นนิมิต เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต.

ตรัสบอกอาการไม่เที่ยง อาการเป็นทุกข์ อาการเป็นอนัตตา อันเป็นวิปัสสนานิมิตแก่บุคคลผู้เป็นญาณจริต.



ถ้าดูจากพระสูตร

จริต ประกอบด้วย

1.ราคจริต
2.โทสจริต
3.โมหจริต
4.วิตกจริต
5.ศรัทธาจริต
6.ญาณจริต


ราคจริต ถ่วงดุลย์ด้วย อสุภกรรมฐาน

โทสจริต ถ่วงดุลย์ด้วย เมตตาภาวนา

โมหจริต ถ่วงปรับดุลย์ด้วย การฟังธรรมตามกาล หรือ อยู่กับครูบาอาจารย์

วิตกจริต ถ่วงดุลย์ด้วย อานาปานสติ

ศรัทธาจริต ส่งเสริมด้วย พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ ศีลานุสติ

ญาณจริต ส่งเสริมด้วย การพิจารณาไตรลักษณ์โดยตรง


พึงสังเกตุว่า มีทั้ง การถ่วงดุลย์ และ การส่งเสริม ในเรื่องของจริต
หาใช่มีแต่การถ่วงดุลย์อย่างเดียวไม่




2.ปฏิบัติต่อจิต "ตามสมัยที่ควร"


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

สีติวรรคที่ ๔

๑. สีติสูตร

[๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมไม่ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑
ไม่ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑
ไม่ยังจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ๑
ไม่วางเฉยจิตในสมัยที่ควรวางเฉย ๑
เป็นผู้น้อมไปในธรรมเลว ๑
และเป็นผู้ยินดียิ่งในสักกายะ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แลย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑
ย่อมประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑
ย่อมยังจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ๑
ย่อมวางเฉยจิตในสมัยที่ควรวางเฉย ๑

เป็นผู้น้อมไปในธรรมประณีต ๑
และเป็นผู้ยินดียิ่งในนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรกระทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ฯ



ในสมัยใด สมควรปฏิบัติต่อจิตเช่นใด ก็พึงปฏิบัติเช่นนั้น

จึง ไม่ใช่การให้ปฏิบัติต่อจิตด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น

หากแต่เป็น การเลือกเฟ้นวิธีการที่เหมาะสมในแต่ละสมัยด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขออนุญาตแสดงความเห็นดังนี้ค่ะ.... :b8:

การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
ในข้อนี้คำว่าผ่องใส
น่าจะหมายถึงความแช่มชื่น เบิกบาน ที่เกิดจากจิต
ส่งผลให้จิตใจพรักพร้อม
ต่อการปฏิบัติภารกิจหน้าที่การงานต่างๆ
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

สำหรับในทางโลกุตรธรรมแล้ว
หมายถึงต้องเจริญปัญญาเพื่อดับทุกข์


และการเจริญปัญญานั้น
เป็นเรื่องของฝึกจิตเพื่อให้เข้าใจ
และรู้เท่าทันต่อความเป็นไปของโลกและชีวิต
ซึ่งก็ต้องอาศัย ศีล และ สมาธิ เป็นบาทฐาน ตาม หลักไตรสิกขา


นั่นคือในเบื้องต้น ศีล ต้องบริสุทธ์เสียก่อน
นอกจากรักษาศีลแล้ว ก็ต้องฝึกสมาธิมาอย่างดี
เพื่อให้จิตสงบนิ่ง เพียงพอ

เพราะจิตที่สงบนิ่งเนื่องจากมีสมาธิ
จะช่วยให้เราเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต
ได้ง่ายกว่าจิตที่วุ่นวายและสับสน

ศีลและสมาธิที่ฝึกฝนมาอย่างดีแล้วนั้น
จะส่งผลให้ผู้นั้นมีกาย วาจา และใจ ที่สะอาด สงบ

จิตใจที่สะอาดและสงบนี้จะช่วยให้
เราไตร่ตรองเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้ง่ายขึ้น
ว่าทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนอยู่ภายใต้ กฏแห่งไตรลักษณ์


นั่นคือ อนิจจัง-ไม่เที่ยง
ทุกขัง- ทนอยู่ในสภาพใดๆ ถาวรไม่ได้
อนัตตา- ไม่มีตัวตน ไม่มีเจ้าของ สักแต่มีองค์ประกอบประชุมกัน


มิควรแก่การยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใด

และเมื่อไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดแล้ว
จนละอวิชชา และกิเลส อันเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทั้งปวงแล้ว
จึงถือว่าจิตได้ผ่องใส ปราศจากอกุศลทั้งปวงอย่างแท้จริง
นั่นก็คือ การบรรลุความเป็นพระอรหันต์ (อรหันตผล) นั่นเอง


แต่ในขั้นต้นเริ่มจากการศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ให้รู้ตามเป็นจริงตามลำดับขั้น
เพราะขณะที่จิตเป็นกุศล
ขณะนั้นจิตปราศจากนิวรณ์ ชื่อว่าผ่องใส เช่นกันค่ะ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวไว้ดังนี้ว่า...

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑

พึงทราบในคาถาที่สอง.
บทว่า สพฺพปาปสฺส ได้แก่อกุศลทุกชนิด.
บทว่า อกรณํ คือไม่ให้เกิดขึ้น.
บทว่า กุสลสฺส ได้แก่กุศลอันมีในภูมิ ๔.
บทว่า อุปสมฺปทา คือได้เฉพาะ.
บทว่า สจิตฺตปริโยทปนํ คือยังจิตของตนให้ผ่องใส.
ก็บทนั้นย่อมมีได้โดยความเป็นพระอรหันต์


:b8: :b8: :b8:

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓

การยังจิตของตนให้ผ่องใสจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ชื่อว่า สจิตฺตปริโยทปนํ.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์ คือ เครื่องกางกั้นแห่งจิต

สังโยชน์ คือ เครื่องร้อยรัดมัดใจหมู่สัตว์ไว้ในวัฏฏะสังสาร



นิวรณ์ และ สังโยชน์จึงเป็นสิ่งที่ยังให้จิตไม่ผ่องใส




ปุจฉา-วิสัชชนา ประเด็น นิวรณ์ และ สังโยชน์

โดย หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต :b8:



พระธรรมเจดีย์
นิวรณ์แลสังโยชน์นั้น ข้าพเจ้าทำไมจึงไม่รู้จักอาการ คงรู้จักแต่ชื่อของนิวรณ์แลสังโยชน์?

พระอาจารย์มั่น
ตามแบบในมหาสติปัฏฐานพระพุทธเจ้าสอนสาวก ให้รู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์พระสาวกของท่านตั้งใจกำหนดสังเกต ก็ละนิวรณ์แลสังโยชน์ได้หมดจนเป็นพระอรหันต์โดยมาก ส่วนท่านที่อินทรีย์อ่อน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นพระเสขบุคคล ส่วนเราไม่ตั้งใจไม่สังเกตเป็นแต่จำว่านิวรณ์หรือสังโยชน์ แล้วก็ตั้งกองพูดแลคิดไปจึงไม่พบตัวจริงของนิวรณ์และสังโยชน์ เมื่ออาการของนิวรณ์แลสังโยชน์อย่างไรก็ไม่รู้จัก แล้วจะละอย่างไรได้

พระธรรมเจดีย์
ถ้าเช่นนั้นผู้ปฏิบัติทุกวันนี้ ที่รู้จักลักษณะแลอาการของนิวรณ์แลสังโยชน์จะมีบ้างไหม?

พระอาจารย์มั่น
มีถมไปชนิดที่เป็นสาวกตั้งใจรับคำสอนแลประพฤติปฏิบัติจริงๆ

พระธรรมเจดีย์
นิวรณ์ 5 เวลาที่เกิดขึ้นในใจมีลักษณะอย่างไร จึงจะทราบได้ว่าอย่างนี้ คือ กามฉันท์ อย่างนี้คือพยาบาท หรือถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา และมีชื่อเสียงเหมือนกับสังโยชน์ จะต่างกันกับสังโยชน์หรือว่าเหมือนกัน ขอท่านจงอธิบายลักษณะของนิวรณ์แลสังโยชน์ให้ข้าพเจ้าเข้าใจจะได้สังเกตถูก?

พระอาจารย์มั่น
กามฉันทนิวรณ์ คือ ความพอใจในกาม ส่วนกามนั้นแยกเป็นสอง คือ กิเลสกามหนึ่ง วัตถุกามอย่างหนึ่ง เช่น ความกำหนัดในเมถุนเป็นต้น ชื่อว่ากิเลสกาม ความกำหนัดในทรัพย์สมบัติเงินทองที่บ้านนาสวน และเครื่องใช้สอยหรือบุตรภรรยาพวกพ้อง และสัตว์เลี้ยงของเลี้ยงที่เรียกว่าวิญญาณกทรัพย์ อวิญญานกทรัพย์ เหล่านี้ ชื่อว่าวัตถุกาม ความคิดกำหนัดพอใจในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่ากามฉันท์นิวรณ์ ส่วนพยาบาทนิวรณ์คือ ความโกรธเคือง หรือคิดแช่งสัตว์ให้พินาศ ชื่อว่าพยาบาทนิวรณ์ ความง่วงเหงาหาวนอน ชื่อว่า ถีนะมิทธนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ชื่อว่า อุธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ความสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แลสงสัยในกรรมที่สัตว์ทำเป็น เป็นบาป หรือสงสัยในผลกรรมเหล่านี้ เป็นต้น ชื่อว่าวิจิกิจฉารวม 5 อย่างนี้ ชื่อว่านิวรณ์ เป็นเครื่องกั้นกางหนทางดี

พระธรรมเจดีย์
กามฉันทนิวรณ์ อธิบายเกี่ยวไปตลอดกระทั่งวิญญาณกทรัพย์ อวิญญาณกทรัพย์ ว่าเป็นวัตถุกาม ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ยังครองเรือน ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติอัฐฬสเงินทองพวกพ้อง ญาติมิตร ก็จำเป็นจะต้องนึกถึงสิ่งเหล่านั้น เพราะเกี่ยวเนื่องกับตน ก็มิเป็นกามฉันทนิวรณ์ไปหมดหรือ?

พระอาจารย์มั่น
ถ้านึกตามธรรมดาโดยจำเป็นของผู้ที่ยังครองเรือนอยู่ โดยไม่ได้กำหนัดยินดีก็เป็นอัญญสมนา คือเป็นกลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป ถ้าคิดถึงวัตถุกามเหล่านั้นเกิดความยินดีพอใจรักใคร่เป็นห่วง ยึดถือหมกมุ่นพัวพันอยู่ในวัตถุกามเหล่านั้น จึงจะเป็นกามฉันทนิวรณ์ สมด้วยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า


น เต กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก อารมณ์ที่วิจิตรงดงามเหล่าใดในโลกอารมณ์เหล่านั้นมิได้เป็นกาม


สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม ความกำหนัดอันเกิดจากความดำริ นี้แหละเป็นกามของคน


ติฏฺฐนฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก อารมณ์ที่วิจิตรงดงามในโลก ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง


อเถตฺถธีรา วินยนฺติ ฉนฺทํ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงทำลายเสียได้


ซึ่งความพอใจในกามนั้น นี่ก็ทำให้เห็นชัดเจนได้ว่า ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตนี้ ถ้านึกคิดถึงวัตถุกามตามธรรมดาก็ไม่เป็นกามฉันทนิวรณ์ ถ้าคิดนึกอะไรๆ ก็เอาเป็นนิวรณ์เสียหมด ก็คงจะหลีกไม่พ้นนรก เพราะนิวรณ์เป็นอกุศล

พระธรรมเจดีย์
พยาบาทนิวรณ์นั้น หมายความโกรธเคือง ประทุษร้ายในคน ถ้าความกำหนัดในคน ก็เป็นกิเลสกามถูกไหม?

พระอาจารย์มั่น
ถูกแล้ว

พระธรรมเจดีย์
ความง่วงเหงาหาวนอน เป็นถีนะมิทธินิวรณ์ ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เราหาวนอนมิเป็นนิวรณ์ทุกคราวไปหรือ?

พระอาจารย์มั่น
หาวนอนตามธรรมดา เป็นอาการร่างกายที่จะต้องพักผ่อน ไม่เป็นถีนะมิทธนิวรณ์ กามฉันทหรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วก็อ่อนกำลังลงไป หรือดับไปในสมัยนั้นมีอาการมัวซัวแลง่วงเหงาไม่สามารถจะระลึกถึงกุศลได้ จึงเป็นถีนะมิทธนิวรณ์ ถ้าหาวนอนตามธรรมดา เรายังดำรงสติสัมปชัญญะอยู่ได้จนกว่าจะหลับไป จึงไม่ใช่นิวรณ์ เพราะถีนะมิทธนิวรณ์เป็นอกุศล ถ้าจะเอาหาวนอนตามธรรมดาเป็นถีนมิทธแล้ว เราก็คงจะพ้นจากถีนะมิทธนิวรณ์ไม่ได้ เพราะต้องมีหาวนอนทุกวันด้วยกันทุกคน

พระธรรมเจดีย์
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ที่ว่าเป็นอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์นั้น หมายฟุ้งไปในที่ใดบ้าง?

พระอาจารย์มั่น
ฟุ้งไปในกามฉันทบ้าง พยาบาทบ้าง แต่ในบาปธรรม 14 ท่านแยกเป็นสองอย่าง อุทธัจจะความฟุ้งซ่าน กุกกุจจ ความรำคาญใจ แต่ในนิวรณ์ 5 ท่านรวมไว้เป็นอย่างเดียวกัน

พระธรรมเจดีย์
นิวรณ์ 5 เป็นจิตหรือเจตสิก?

พระอาจารย์มั่น
เป็นเจตสิกธรรมฝ่ายอกุศลประกอบกับจิตที่เป็นอกุศล

พระธรรมเจดีย์
ประกอบอย่างไร?

พระอาจารย์มั่น
เช่นกามฉันทนิวรณ์ก็เกิดในจิต ที่เป็นพวกโลภะมูล พยาบาทกุกกุจจนิวรณ์ ก็เกิดในจิตที่เป็นโทสะมูล ถีนะมิทธอุทธัจจะ วิจิกิจฉา ก็เกิดในจิตที่เป็นโมหะมูล พระพุทธเจ้าทรงเปรียบนิวรณ์ทั้ง 5 มาในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกายสีลักขันธวรรค หน้า 93 ว่า กามฉันทนิวรณ์ เหมือนคนเป็นหนี้, พยาบาทนิวรณ์ เหมือนคนไข้หนัก, ถีนมิทธนิวรณ์เหมืนอนคนติดในเรือนจำ, อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์เหมือนคนเป็นทาส, วิจิกิจฉานิวรณ์ เหมือนคนเดินทางกันดารมีภัยน่าหวาดเสียว เพราะฉะนั้น คนที่เขาพ้นหนี้ หรือหายเจ็บหนัก หรือออกจากเรือนจำ หรือพ้นจากทาส หรือได้เดินทางถึงที่ประสงค์พ้นภัยเกษมสำราญ เขาย่อมถึงความยินดีฉันใด ผู้ที่พ้นนิวรณ์ทั้ง 5 ก็ย่อมถึงความยินดีฉันนั้น แลในสังคารวสูตร ในปัจจกนิบาต อังคุตตรนิยาย หน้า 257 พระพุทธเจ้าทรงเปรียบนิวรณ์ด้วยน้ำ 5 อย่าง ว่าบุคคลจะส่องเงาหน้าก็ไม่เห็นฉันใด นิวรณ์ทั้ง 5 เมื่อเกิดขึ้นก็ไม่เห็นธรรมความดีความชอบฉันนั้น กามฉันทนิวรณ์ เหมือนน้ำที่ระคนด้วยสีต่างๆ เช่น สีครั่ง สีชมพู เป็นต้น พยาบาทนิวรณ์ เหมือนน้ำที่มีจอกแหนปิดเสียหมด อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์เหมือนน้ำที่คลื่นเป็นระลอก วิจิกิจฉานิวรณ์ เหมือนน้ำที่ขุ่นข้นเป็นโคลนตม เพราะฉะนั้นน้ำ 5 อย่างนี้ บุคคลไม่อาจส่งดูเงาหน้าของตนได้ฉันใด นิวรณ์ทั้ง 5 ที่เกิดขึ้นครอบงำใจของบุคคลไม่ให้เห็นธรรมความดีความชอบได้ก็ฉันนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อไร.มันมีการปรุงแต่งในทางจิตใจ
จากสิ่งที่เข้ามาทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ
หมายความสั้นๆว่า เมื่อใดมันมีการปรุงแต่งที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เกิดผลเป็นความเร่าร้อนแผดเผาเจ็บปวด แสบเผ็ดขึ้นมา
ก็เรียกว่านรก อย่างนี้มันเป็นนรกจริง นรกจริงๆ
นั่งนำตาไหลอยู่นั่นแหละ เมื่อไรมันมีการปรุงแต่งในทางจิตใจ
จากสิ่งที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เป็นที่ถูกอกถูกใจหลงใหลเพลิดเพลิน
ไม่เห็นแก่อะไรหมด แต่เห็นแก่รสอร่อยนั้นอย่างเดียว
อย่างนี้ก็เรียกว่าสวรรค์ มันเป็นสวรรค์จริงใช่ไหม ......
มันรู้สึกได้จริงด้วยการสัมผัสนี่ ว่าเป็นนรกว่าเป็นสวรรค์
พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ แม้ปู่ ย่า ตายายของเราพูดว่า
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี่ท่านพูดถูก พูดตามพระพุทธเจ้า

ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม


ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ............ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




004.jpg
004.jpg [ 36.96 KiB | เปิดดู 11317 ครั้ง ]
การละกิเลสสังโยชน์ 10 ทั้งหลายได้หมดสิ้น
ย่อมชื่อว่าการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว

ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนีผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ




เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย มหาราชันย์ เมื่อ 23 ก.ย. 2009, 15:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร