วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 07:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อทราบสาเหตุแห่งทุกข์แล้ว ขอให้ทราบวิธีการหาหนทางดับทุกข์ และรีบดับทุกข์กันอย่างจริงจัง
โดยการออกบวช.........

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


รักจังนะที่นี่
.......

Onion_L

และแล้ว พลศักดิ์ก็กลับมา

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ่อ ! จิตปภัสสร บริสุทธิ์ ไม่มีอะไร

แต่ทำไมข้อความยาวยัง smiley

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 01:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kim1 เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
นกแก้ว..นกขุนทอง..

พูดได้..แต่ตัวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง..


ต่อว่าตนเองหรือครับ คุณไม่เข้าใจเพราะในใจเต็มไปด้วยอวิชชา-กิเลส ตัณหา อุปทาน พูดให้ชัดก็คือ

ความอยากกอวดเก่ง ความอิจฉาริษยา การเห็นคนอื่นดีกว่าเก่งกว่าตัวเองไม่ได้ ฯลฯ มันได้ปิดบังความรู้จริงเอาไว้ ในบทความนี้ คุณได้อ่านไปถึง 2 ประโยคหรือเปล่า


อิ..อิ..อ่านหมดเลยครับ

ยอมรับอยู่..ว่า..ใจเต็มไปด้วยอวิชชา-กิเลส ตัณหา อุปทาน ...ก็ยังไม่ถึงอรหันต์นี้ครับ..

แต่เจ้าตัว..ความอยากกอวดเก่ง ความอิจฉาริษยา การเห็นคนอื่นดีกว่าเก่งกว่าตัวเองไม่ได้..ไม่มีครับ..สาบาน..แต่..เจ้าตัว..สงสาร..มีเต็ม

เพราะ..มันรู้เกิน..กว่าที่คุณโพสต์มาอีกนะ..เคยบอกไปแล้ว..แต่อย่างว่าแหละ..คุณมันประเภท..กะลาคว่ำที่คิดว่าเต็มแล้ว..จะเพิ่มยังงัยก็ไม่รับ..

เห็นคุณโพสต์ ก็รู้..ว่าเข้าใจถึงไหน..มันรู้อย่างนั้นจริง ๆ นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 79 พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ
ติกนิทเทส หน้า 325-326 ข้อที่ 103 ศาสดา ๓ จำพวก



ศาสดา ๓ จำพวก

[ ๑0๓ ] บรรดาศาสดาเหล่านั้น ศาสดา ๓ จำพวก แม้อื่นอีกเป็นไฉน ?

ศาสดาบางคนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งใน
ปัจจุบัน และในเบื้องหน้า

ศาสดาบางคนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ เฉพาะใน
ปัจจุบัน ไม่บัญญัติเช่นนั้นในเบื้องหน้า

ศาสดาบางคนในโลกนี้ ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งใน
ปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า

ในศาสดา๓จำพวกนั้น ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งใน
ปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า นี้เรียกว่าศาสดาผู้เป็นสัสตวาท

ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ เฉพาะในปัจจุบัน
ไม่บัญญัติเช่น นั้นในเบื้องหน้า นี้เรียกว่า ศาสดาผู้เป็นอุจเฉทวาท

ศาสดาที่ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในเบื้องหน้า นี้เรียกว่า ศาสดาผู้สัมมาสัมพุทธะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจจสมุปบาท นั้นมีสองสาย

คือ สายเกิด(สมุทัยวาร)
และ สายดับ(นิโรธวาร)

สายเกิดแสดงเรื่อง การกระทำกรรม เรื่องกรรม
สายดับแสดงเรื่อง การสิ้นกรรม หรือ การออกจากกรม หรือ การอยู่เหนือกรรม




เพราะไม่รู้แจ้งว่า "สัพเพธัมมาอนัตตา" จิตจึงเกิด การตามเห็นว่าเป็นอัตตา(อัตตานุทิฏฐิ)ขึ้น

อัตตานุทิฏฐินี้ มันฝังอยู่ในขันธสันดาร อยู่ในระดับที่ปัจจุบันใช้คำว่า จิตใต้สำนึก... ในวงจรปฏิจจสมุปบาท มันก็น่าจะอยู่ตรง อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร....
ปัจจัยในระดับจิตใต้สำนึกนี้ มันพร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะสืบสายต่อ ให้เป็นทุกข์ เมื่อ เกิดผัสสะทาง อายตนะทั้งหก.
แม้นขณะ นอนหลับฝัน บังเกิดมโนผัสสะผุดขึ้นมา มันก็ยังทุกข์ได้...สังเกตุไหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง อัตตา ในปฏิจจสมุปบาท

ผมขอเสนอดังนี้

ความจริง กู-ของกู ที่แท้จริงในโลกนี้ ไม่มีอยู่จริง...

แต่ที่ มีการตามเห็นว่าเป็นตัวตน(อัตตานุทิฏฐิ)
จนนำไปสู่ อหังการ-มมังการ(นี่กูน่ะ นี่ของกูน่ะ)
จนนำไปสู่ กู-ของกู เต็มขั้น(ชาติ)ปรากฏขึ้น เป็นอุปาทานขันธ์๕....
เป็นเพราะ จิตไม่เห็นแจ้งแทงตลอดในอนัตตา



อหังการ มมังการ อัสมิมานะ เป็นกิเลส..... ในชุด ปปัญจธรรม(ธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า)


จาก พุทธธรรม ฉบับมหาจุฬาๆ 2538
หน้า145

“..... ชุดที่6 ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นอกุศลธรรมที่ท่านมักกล่าวไว้ด้วยกัน บางทีเรียกชื่อเฉพาะชุดว่า ปปัญจะ หรือ ปปัญจธรรม(ธรรมเครื่องเนิ่นช้า, ตัวผันพิศดาร, ตัวที่ทำให้ฟามเฟ้อ) 3อย่าง เช่น ขุ.ม 29/505/337;ที.อ2/45: สํ.อ.2/375 ๆลๆ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดสัญญาซับซ้อนหลากหลายที่เรียกว่า ปปัญจสัญญา ดังที่เคยกล่าวบรรยายแล้วในบทที่2
การที่นำมาจัดเป็นชุดไว้ ณ ที่นี้ ก็ด้วยถือตามนัยของอรรถกถา ในเมื่อจะเทียบความรู้สึกยึดถือ ทั้งหลายในชุดก่อนๆ ว่าตรงกับกิเลสข้อใด หรือเมื่อต้องการเรียกชื่อง่ายๆ จะเรียกด้วยชื่อของกิเลสตัวใด
ลำดับชื่อของกิเลสชุดท้ายนี้ ตรงกันกับกิเลสในชุดที่1 และจะขอสรุปเทียบไว้ให้ดูทั้งหมดดังนี้
1.ตัณหา= เอตํ มม =มมันติ =มมังการ =มมายิตะ =ยึดอัตตนิยะ
2.มานะ= เอโสหมัสมิ = อัสมีติ = มานานุสัย = อัสมิมานะ= อัสมีติ
3.ทิฏฐิ = เอโส เม อัตตา = อหันติ =อหังการ =มมายิตะ = ยึดอัตตา .....”





กู ที่ก่อร่างจางๆ คล้ายๆหมอกควัน ในจิตใต้สำนึก(อัตตานุทิฏฐิ) ที่พร้อมจะผลักดันให้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์ ดำเนินไปข้างหน้า....

พัฒนามาเป็น อหังการ-มมังการ ในขั้นตัณหา เมื่อจิตบังเกิดนันทิราคะในเวทนา ในขั้นเวทนาของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์...

นำมาสู่ กู-ของกู เต็มตัว ที่เรียกว่า "อุปาทานขันธ์๕"... ซึ่งในจุดนี้ ทุกข์พร้อมจะบังเกิดขึ้นเต็มขั้นแล้ว!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


จะสมัยไหน ตัวกู-ของกู มันก็ไม่มีอยู่จริงหรอก

ที่มีตัวกู ขึ้น ก็เพราะว่า มีความรู้สึกแห่งตัวตน อยู่ลึกๆในจิตใต้สำนึก

ถ้าปราศจากความรู้สึกแห่งตัวตนเสียแล้ว..... ตัวกู ตัวเอ็ง ตัวใคร มันก็ไม่มี

ความรู้สึกแห่งตัวตน จะไม่เกิดขึ้น หากจิตรู้แจ้งชัดด้วยญาณว่า สัพเพธัมมาอนัตตา

นี่เป็นการขุดลงไปยังระดับจิตใต้สำนึกด้วย อาสวักขยญาณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


โอวาทธรรม หลวงปู่ สิม พุทธาจาโร


เธอจงดูโลก โดยความเป็นของว่าง
มีสติอยู่ทุกเมื่อ เพื่อจะเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง

แล้วก็ถอน อัตตานุทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นว่าตัวว่าตน ของตน นั้นเสียอีทีหนึ่ง
ถอนตัวภายในให้ว่างเสียอีกทีหนึ่ง... แล้วมันก็ว่าง


ธรรมะ จากสมุดบันทึกประจำวันหลวงปู่ ๒๕๑0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มาสู่ ประเด็นสำคัญ ของกระทู้นี้


อ้างคำพูด:
ปุจฉา; ต้นตอของอวิชชามาจากไหน???






ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ไม่มี "มูลการณ์" หรือ FIRST CAUSE ที่แท้จริงน่ะครับ

"มูลการณ์" หรือ FIRST CAUSE สำหรับพระพุทธศาสนานั้น ไม่มี

(สำหรับศาสนาอื่นนั้น มีมูลการณ์ครับ เช่น อาตมัน ปรมาตมัน เทพสูงสุดๆลๆ :b6: )



ที่ปฏิจจสมุปบาทยังคงหมุนอยู่ เหราะเหตุปัจจัย มันยังดำรงอยู่
หาใช่ว่า เพราะมี"อะไร"ที่เป็นตัวยืนพื้นคอบขับเคลื่อนวงจรปฏิจจสมุปบาท



ในหนังสือพุทธธรรม กล่าวไว้ว่า
ที่ทรงแสดงอวิชชาเป็นจุดแรกนั้น เพราะจะได้มีจุดตั้งต้นศึกษาตามได้... ถ้าไม่เช่นนั้น ผู้ศึกษาตาม ที่จะเป็นอนุพุทธะคงไม่มีจุดสังเกตุ



มีพระพุทธพจน์ ที่ว่า

1."อวิชชาเกิด เพราะอาสวะเกิด
อวิชชาดับ เพราะอาสวะดับ"

2."อาหารของอวิชชา อาหารของวิชชาและวิมุตติ"





จาก พุทธธรรม
หน้า ๕๗๖ - ๕๗๗

***************

...ขอยกกระบวนธรรมแบบปฏิจจสมุปบาทมาแสดง
อีกแนวหนึ่ง เพื่อประกอบความรู้ให้มองเห็นธรรม
ในหลายๆ แง่ เป็นเครื่องช่วยความเข้าใจในขั้นต่อๆ ไป

อาหารของอวิชชา

"ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวดังนี้ว่า:-

อวิชชาก็อีกนั่นแล มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ

เรากล่าวว่า

๑. อวิชชา มีอาหาร
อาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์ ๕

๒. นิวรณ์ ๕ มีอาหาร คือ ทุจริต ๓

๓. ทุจริต ๓ มีอาหาร คือ การไม่สำรวมอินทรีย์

๔. การไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือ
ความขาดสติสัมปชัญญะ

๕. ความขาดสติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือ
ความขาดโยนิโสมนสิการ

๖. ความขาดโยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือ
ความขาดศรัทธา

๗. ความขาดศรัทธา มีอาหาร คือ
การไม่ได้สดับสัทธรรม

๘. การไม่ได้สดับสัทธรรม มีอาหาร คือ
การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษ

การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์
ย่อมยังการไม่ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การไม่ได้ฟังสัทธรรมอย่างบริบูรณ์
ย่อมทำความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

ฯลฯ

นิวรณ์ ๕ บริบูรณ์ ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์
อวิชชามีอาหาร และมีความบริบูรณ์อย่างนี้."

(องฺ. ทสก. ๒๔/๖๑/๑๒๑)





ท่านพุทธทาส ท่านกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ เรื่อง นิวรณ์...
ท่านกล่าวว่า นิวรณ์เป็นเสมือน"ไอระเหยของกิเลส"... ท่านใช้คำที่บรรยายแล้วเข้าใจง่าย .... ไอระเหยก็คือ มันเป็นสิ่งที่ระเหยมาจากกิเลส จากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อีกที.....
และ นิวรณ์ ก็ย้อนกลับไปหล่อเลี้ยงอวิชชา!!!

ในปฏิจจสมุปบาท กิเลสวัฎฎ์ ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
นิวรณ์เป็นผลพวงของกิเลส และ นิวรร์เองก็เป็นอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงอวิชชาให้ดำรงต่อ

ปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริง จึงไม่มีต้นไม่มีปลาย


เปรียบเช่น ห่วงโซ่ที่คล้องต่อกันไปเป็นลักษณะวงกลม หรือ วัฏฏะ

ถ้าหักห่วงโซ่นั้นได้ วงจรนี้ก็ยุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามพลศักดิ์ วังวิวัฒน์คิมหันต์๑

ความเที่ยง คือ ความเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

ความไม่เที่ยง คือ ความเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง





ความว่าง คือ อัตตา หรือ อนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2009, 12:32
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นกแก้ว..นกขุนทอง..

พูดได้..แต่ตัวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง..


มาถึงตรงนี้แล้ว ยิ่งเห็นด้วยครับ
ท่าจะทิฏฐิวิปลาสแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 20:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
รักจังนะที่นี่
.......

Onion_L

และแล้ว พลศักดิ์ก็กลับมา


รักด้วยคน..คร้าบ

และแล้ว พลศักดิ์ก็จากไป

และ ขออนุญาติ..ลบข้อความ..ของผมเองที่..คุยกับ..คนที่ไม่ควรจะเอ่ยนาม..นะครับ

เดียว..คนมาอ่านทีหลัง..จะเข้าใจผิด..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 ส.ค. 2009, 20:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ฐิติภูตัง ปัจจยาการ อวิชชา ปัจจยา สังขาร

ฐิติภูตัง เค้ามูลกาลแห่งสงสาร

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ ลองเปลี่ยนสำนวนเขียนดูสิครับ จะได้ไม่ถูกลบ ซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่า

คนหลายคนต้องการเปลี่ยนโลกใบนี้ แต่มีไม่กี่คนที่คิดเปลี่ยนตัวเอง

จงอย่าตัดสินแล้วท่านจะไม่ถูกตัดสิน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร