วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 01:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5355


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานปรมัตถ์


.


ปรมัตถธรรม อีกประเภทหนึ่ง

คือ

นิพพานปรมัตถ์.


.


พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกว่า "นิพพาน"

เพราะ......ออกจาก "ตัณหา" คือ วานะ.


.


นิพพานปรมัตถ์

เป็น

สภาพธรรม ที่ ดับทุกข์.


.


จิต เจตสิก รูป....เป็นทุกข์

เพราะ ไม่เที่ยง

เกิดขึ้น แล้ว ดับไป.


.


การที่จะ "ดับทุกข์" ได้ นั้น

จะ ต้อง ดับ........"ตัณหา"

เพราะ

ตัณหา.........เป็น สมุทัย

เป็น "เหตุ" ให้เกิด ทุกข์

เป็น สมุทัย ให้เกิด ขันธ์.


ขันธ์ ซึ่ง ได้แก่

จิต เจตสิก รูป


.


การที่จะ ดับ ตัณหา ได้นั้น

ก็ ด้วย

"การอบรมเจริญปัญญา"

จน รู้ แจ้ง ชัด..........ใน

"ลักษณะการเกิดดับ"......ของ จิต เจตสิก รูป


แล้ว............."ละคลาย"

ความยินดี ความยึดมั่น ความเห็นผิด....ใน จิต เจตสิก รูป


ด้วยการ........."รู้แจ้งนิพพาน"

ซึ่ง เป็น

"สภาพธรรม ที่ ดับตัณหา ดับทุกข์ ดับขันธ์"


.


"นิพพาน"

จึง เป็น "ธรรม"........ที่ มีจริง.

เป็น "ปรมัตถธรรม"

เป็น สภาพธรรม....ที่ รู้แจ้ง ได้.



.
.
.


นิพพานปรมัตถ์


.


นิพพานปรมัตถ์

โดย ปริยายแห่ง "เหตุ"

มี ๒ อย่าง

คือ


สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑


.


คำว่า..............."อุปาทิ"

เป็น ชื่อ ของ "ขันธ์ ๕"

คือ......จิต เจตสิก รูป


.


ส อุปาทิ เสส นิพพาน

คือ

ความสิ้นไป ของกิเลส ทั้งหมด

แต่

ยังมี "ขันธ์" เกิด ดับ สืบต่ออยู่.


.


อนุปาทิ เสส นิพพาน

คือ

การดับ "ขันธ์" ทั้งหมด.

คือ การปรินิพพาน ของ พระอรหันต์.


.


คำ ว่า โดย "ปริยายเหตุ"

คือ

การอ้างถึง

ความมี "ขันธ์" เหลือ

และ

ความ "ไม่มีขันธ์" เหลือ

ซึ่ง เป็น "เหตุ" ในการบัญญัติ

"นิพพาน ๒"


.


เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้ ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์

พระองค์ ทรงบรรลุ "สอุปาทิเสสนิพพาน"


.


"กิเลส"

และ

"ธรรม" (ซึ่งได้แก่ จิต และ เจตสิก อื่น ๆ) ที่เกิด ร่วมกับ "กิเลส"

ดับ หมดสิ้น และ ไม่เกิด อีกเลย.

แต่

ยังมี "ขันธ์" คือ

จิต และ เจตสิก (ที่ปราศจากกิเลส) และ รูป

ที่ เกิด ดับ สืบต่อ อยู่.


.


พระผู้มีพระภาค

ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลาย ว่า



ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

ก็ "สอุปาทิเสสนิพพาน" เป็นไฉน



ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ เป็น พระอรหันตขีณาสพ

อยู่จบ พรหมจรรย์

ทำกิจ ที่ควรทำ เสร็จแล้ว

ปลงภาระ ลงได้แล้ว

มีประโยชน์ตน อันบรรลุแล้ว

มีสังโยชน์ในภพ สิ้นรอบแล้ว


"หลุดพ้นแล้ว"

เพราะ......รู้ โดย ชอบ.


ภิกษุนั้น

ย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจ และ ไม่พึงใจ

ยังเสวยสุข และ ทุกข์ อยู่

เพราะ...ความที่ "อินทรีย์ ๕" เหล่าใด

เป็น ธรรมชาติ...ไม่บุบสลาย

"อินทรีย์ ๕" เหล่านั้น ของเธอ

ยังตั้งอยู่.....นั้น เทียว


ดูกร ภิกษุทั้งหลาย


ความสิ้นไป แห่งราคะ

ความสิ้นไป แห่งโทสะ

ความสิ้นไป แห่งโมหะ


ของภิกษุนั้น.............


นี้ เราเรียกว่า

"สอุปาทิเสสนิพานธาตุ"


.




"อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

คือ

นิพพาน ที่ "ไม่มีขันธ์เหลือ"


.


เมื่อพระผู้มีพระภาค

ทรงดับขันธปรินิพพาน ระหว่างไม้สาละคู่

เป็น

"อนุปาทิเสสนิพพาน"


คือ การ ดับขันธ์หมดสิ้น โดยรอบ

คือ การ ดับสนิท ซึ่ง ภพทั้งหลาย

โดยประการทั้งปวง.


.


ดับ จิต เจตสิก รูป ทั้งหมด

"ไม่มีการเกิด"

อีกเลย.



.
.
.
นิพพานปรมัตถ์


.


พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี

เป็น

"พระเสกขบุคคล"


เพราะ ยังต้อง ศึกษา เจริญธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้น

เพื่อ ดับ กิเลส...ที่เหลืออยู่

ให้หมดไป.


.


ส่วน พระอรหันต์

เป็น

"พระอเสกขบุคคล"


เพราะ ดับกิเลส ทั้งหมด เป็น สมุจเฉท แล้ว

ไม่ต้อง "ศึกษาเพื่อดับกิเลส" อีก.


.


นิพพานปรมัตถ์

ว่าโดย

"ความแตกต่าง แห่ง อาการ"

มี ๓ อย่าง


คือ


สุญญตะ ๑

อนิมิตตะ ๑

อัปปณิหิตะ ๑


.


พระนิพพาน ชื่อว่า

"สุญญตะ"

เพราะ เป็น

"สภาพ ที่สูญจากสังขาร ทั้งปวง"


.


ชื่อว่า

"อนิมิตตะ"

เพราะ

"ไม่มี นิมิต คือ สังขารทั้งปวง"


.


ชื่อว่า

"อัปปณิหิตะ"

เพราะ

"ไม่มีที่ตั้ง คือ สังขาร ทั้งปวง"



. . .



เมื่อ บุคคล

"มนสิการสภาพธรรม"

โดยเป็น

"สภาพที่ไม่เที่ยง"

ย่อม "หลุดพ้น" ไป

คือ

การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ด้วย อนิมิตตวิโมกข์.


.


เมื่อ บุคคล

"มนสิการสภาพธรรม"

โดยเป็น

"สภาพที่เป็นทุกข์"

ย่อม "หลุดพ้น" ไป

คือ

การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ด้วย อัปปนิหิตวิโมกข์.


.


เมื่อ บุคคล

"มนสิการสภาพธรรม"

โดยเป็น

"สภาพธรรมที่เป็นอนัตตา"

ย่อม "หลุดพ้น" ไป

คือ

การรู้แจ้งอริยสัจจธรม ด้วย สุญญตวิโมกข์.



. . .



วิโมกข์ ๓

ย่อมมี

"ในขณะต่างกัน" ด้วย "อาการ ๔"


คือ


๑. "ด้วยความเป็นใหญ่"


บุคคล

เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง

อนิมิตตวิโมกข์ ย่อม เป็นใหญ่.


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นทุกข์

อัปปณิหิตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่.


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นอนัตตา

สุญญตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่.



. . .





๒. ด้วยความตั้งมั่น


บุคคล

เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง

ย่อมตั้งจิตไว้มั่น

ด้วยความสามารถ แห่ง อนิมิตตวิโมกข์.


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นทุกข์

ย่อมตั้งจิตไว้มั่น

ด้วยความสามารถแห่ง อัปปณิหิตวิโมกข์.


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นอนัตตา

ย่อมตั้งจิตไว้มั่น

ด้วยความสามารถแห่ง สุญญตวิโมกข์.



. . .



๓. ด้วยความน้อมจิตไป.


บุคคล

เมื่อ

มนสิการ โดย เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง

ย่อมน้อมจิตไป

ด้วยสามารถแห่ง อนิมิตตวิโมกข์


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นทุกข์

ย่อมน้อมจิตไป

ด้วยสามารถแห่ง อัปปณิหิตวิโมกข์


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นอนัตตา

ย่อมน้อมจิตไป

ด้วยสามารถแห่ง สุญญตวิโมกข์.



. . .




๔. ด้วยความนำออกไป.


บุคคล

เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง

ย่อมนำจิต ออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับ

ด้วยสามารถ แห่ง อนิมิตตวิโมกข์


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นทุกข์

ย่อมนำจิต ออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับ

ด้วยสามารถแห่ง อัปปหิตวิโมกข์.


.


เมื่อ

มนสิการ โดย ความเป็นอนัตตา

ย่อมนำจิต ออกไปสู่นิพพาน อันเป็นที่ดับ

ด้วยสามารถแห่ง สุญญตวิโมกข์.




.
.
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขอรับ อย่าคิดว่าข้าพเจ้าขัดคอ หรือคัดค้านอะไรเลยขอรับ ข้าพเจ้าเห็นมามากแล้ว เกิดความสมเพช เวทนา ในความคิด ความเข้าใจของเหล่าผู้ได้ชื่อว่า เป็น "พุทธศาสนิกชนซะเหลือเกิน " นี้ไม่ใช่ "ยกตนข่มท่าน"นะขอรับ มันน่าอนาถใจขอรับ

คุณจะเรียนจะศึกษาไปทำไมขอรับ ปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน)
เรียนไป ศึกษาไป ก็ไม่ใช่หนทางที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลส เพราะเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงการอธิบาย ในรายละเอียดต่างๆ

ทำไมพวกคุณไม่เผยแพร่ หนทาง หรือ มรรค อันเป็นเหตุที่ทำให้ก่อเกิด กิเลส ซึ่ง กิเลส เหล่านั้น ล้วนมีปัจจัยเกิดจาก จิต เจตสิก รูป ฯลฯ ถ้ารู้ ถ้าเข้าใจ ก็บรรลุ "นิพพาน"
นิพพาน เป็นชื่อชั้น หรือขั้นความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ชั้นสูงสุด ซึ่ง ชั้นนิพพานนี้ ยังแบ่งออกได้เป็นหลายแขนงขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณขอรับ อย่าคิดว่าข้าพเจ้าขัดคอ หรือคัดค้านอะไรเลยขอรับ ข้าพเจ้าเห็นมามากแล้ว เกิดความสมเพช เวทนา ในความคิด ความเข้าใจของเหล่าผู้ได้ชื่อว่า เป็น "พุทธศาสนิกชนซะเหลือเกิน " นี้ไม่ใช่ "ยกตนข่มท่าน"นะขอรับ มันน่าอนาถใจขอรับ

คุณจะเรียนจะศึกษาไปทำไมขอรับ ปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน)
เรียนไป ศึกษาไป ก็ไม่ใช่หนทางที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลส เพราะเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงการอธิบาย ในรายละเอียดต่างๆ

ทำไมพวกคุณไม่เผยแพร่ หนทาง หรือ มรรค อันเป็นเหตุที่ทำให้ก่อเกิด กิเลส ซึ่ง กิเลส เหล่านั้น ล้วนมีปัจจัยเกิดจาก จิต เจตสิก รูป ฯลฯ ถ้ารู้ ถ้าเข้าใจ ก็บรรลุ "นิพพาน"
นิพพาน เป็นชื่อชั้น หรือขั้นความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ชั้นสูงสุด ซึ่ง ชั้นนิพพานนี้ ยังแบ่งออกได้เป็นหลายแขนงขอรับ



นี่ก็อีกอาริยะบุคคลท่านหนึ่ง

เอากันเข้าไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2009, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุถุชนนั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจนิพพานในความหมายแห่งพุทธศาสนาได้เลย
ไม่ว่าจะยังไง - รูปแบบไหนก็ตาม หมดสิทธิ์โดยประการทั้งปวง
เพราะธรรมนี้เป็นของผู้ที่ปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอนแล้วจะพึงรู้และเห็นไ้ด้เอง ไม่ใช่ของสาธารณะทั่วๆไปเป็นของละเอียดลึกซึ้่งอย่างที่สุด ละเอียดขนาดไหนเหรอ ก็ละเอียดจนหาคำพูดมาพูดไม่ได้น่ะซิ

พระโสดาบันยังไม่รู้่จักพระนิพพานแต่เชื่อมั่นเกิน 100 ว่ามีแน่นอน จุดดับของจิตนี้
พระสกทาคามีก็ยังไม่รู้จักพระนิพพาน แต่เชื่อมั่นมากขึ้นมากว่าพระโสดาบันอีก
พระอนาคาีมีก็ยังไม่รู้จักพระนิพพาน แต่เชื่อมั่นมากขึ้นมากว่าพระสกทาคามีอีก
พระอรหันต์ไม่ต้องเชื่อทีนี้ เพราะเลยจุดเชื่อมาแล้ว เพราะชัดทุกสิ่งอย่าง เพราะเลิกสงสัยในธรรมทั้งปวง ด้่วยตัวของท่านเอง และตัวของท่านเองท่านก็เลิกสงสัยในตัวของท่านเองอีกด้วย

แล้วปุถุชนจะไปรู้จักนิพพานได้ไง ปุถุชนไม่รู้จักนิพพานนั่นถูกต้องแล้ว
มีแต่เรียน - ฟังตามท่้านคือพระพุทธเจ้านี้แหละ ไม่ใช่คนอื่น - ไม่ใช่ผู้อื่น ท่านว่าอย่างไรก็จำไว้ว่าท่านว่าอย่างนี้ถ้าใครมาว่าให้ิผิดไปจากที่ท่านว่าไว้ ก็อย่าไปถือเอา ก็มีแค่นั้น ถ้านับถือพระพุทธเจ้าจริงจัง

ถ้าปุถุชนจะอ้างว่าสามารถรู้จักนิพพานในความหมายพระพุทธศาสนาได้ ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ บ้า

การตั้งความหวังก็เหมือนกัน ตั้งผิดได้ไปผิด ตั้งถูกได้ไปถูก
เพราะนิพพานในความหมายของผู้สอนเลอะเทอะ นิพพานผิดมีอยู่ ถ้าใครตั้งเอาไว้ว่าจะไปนิพพานที่นั่น ก็จะได้ไปที่นั่น
เขาก็เรียกนิพพานเหมือนกันนั่นแหละ แต่นิพพานรุ่นนี้ ไปแล้วก็กลับมาทุกข์สารพัดทุกข์เหมือนเดิม
เพราะมันเป็นนิพพานนอกพระพุทธศาสนา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร