วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 23:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5358


 ข้อมูลส่วนตัว


"สัญญาเจตสิก" ก็ "จำ"

เช่น

ขณะนี้ มีเสียงอะไร ปรากฏ

"จิต" ก็ รู้แจ้ง ทันที.!


.


ขณะนั้น

"สัญญาเจตสิก" ทำกิจหน้าที่ คือ "จำ"

พร้อมกับ "จิตได้ยิน" ทันที.!


.


เช่นเดียวกับ "เวทนาเจตสิก"

ที่เกิดร่วมกับ......."จิตได้ยิน"

ก็ทำกิจ "รู้สึก" ทันที

พร้อมกับ "จิตได้ยิน"


.


เพราะฉะนั้น

จะไม่ขาด "เจตสิก ๗ ดวง"

คือ

"สัพพจิตตสาธารณเจตสิก"




ท่านผู้ฟัง


ขณะที่ "คิด" ก็มี "วิตกเจตสิก" ด้วย

เพราะว่า มีการ "จำ"

จึง มี "การคิด".....?




ท่านอาจารย์


ต้องเป็น "ขณะอื่น" ค่ะ.!

ไม่ใช่ ขณะที่ "จักขุวิญญาณจิต" เกิด.


เพราะฉะนั้น

จึงมี "การจำแนก" ว่า


"จิต"

มี "เจตสิก" ที่เกิดร่วมด้วย เท่าไร

ประเภทไหนบ้าง และ เพราะอะไร.!


ตามกิจ ตามหน้าที่ ของ จิตนั้น ๆ


.


"จิต" รู้แจ้ง อารมณ์ ได้ ทุกอย่าง.!

แต่ "จิต" จำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ


.


ถ้า "จักขุวิญญาณจิต"

ทำกิจ คือ เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะหนึ่ง

ซึ่ง เกิด และ ดับไป......อย่างรวดเร็วมาก

เพียง "เห็น" สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น.


ขณะนั้น

ยังไม่มี โลภเจตสิก โทสะเจตสิก โมหะเจตสิก เกิดขึ้น.!


แต่....หลังจากนั้น

มี โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก

เกิดร่วมด้วย...หลังจาก "เห็น" ขณะนั้น.


.


เพราะฉะนั้น

ขณะที่เป็น "วิบากจิต" คือ

ขณะที่ "จิต" เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา

แล้วหลังจากนั้น

ก็เกิด "ความติดข้อง" ในสิ่งที่ปรากฏทางตานั้น

ติดข้อง อย่างมากมาย

เพราะ

"ความไม่รู้ความจริง"


.


"จิตเห็น"

มีกิจเพียง "รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏทางตา" เท่านั้น.

ไม่ยึดถือ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ว่า เป็นของตน.


สิ่งที่ "จิตเห็น"

คือ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"

ซึ่ง

ไม่ว่าใคร ก็ เห็น ได้

แต่ ไม่เป็นของใคร.


ไม่มีสิ่งใด ที่จะมา "เป็นของเรา" ได้เลย

เพราะ เป็น เพียง "สิ่งที่ปรากฏทางตา"


แต่.....ขณะที่ "ติดข้อง" นะคะ

ขณะนั้น

"โลภเจตสิก" เกิดแล้ว

เพราะเหตุ คือ "อวิชชา"

"ความไม่รู้"


.


"โลภเจตสิก"

สภาพธรรม ที่มี "ปัจจัย"

เกิดขึ้น ขณะหนึ่ง แล้วต้องดับไป

อันนี้

คือ สิ่งที่ "ปัญญา"จะต้องรู้

จนกว่า จะ "ประจักษ์แจ้ง"

จึงจะสามารถไถ่ถอน "ความเป็นตัวตน"

ออกไปได้.!


.


มิฉะนั้น

ก็ยัง เป็น ตัวตน

เพราะว่า

"โลภเจตสิก" เกิดต่อกัน

จนเสมือน มีอยู่ ตลอดเวลา.




ท่านผู้ฟัง


อาจารย์บอกว่า จิต และ เจตสิก เกิดแล้วดับ รวดเร็ว สั้นแสนสั้น

แล้วจะประจักษ์ ได้ อย่างไร.......?




ท่านอาจารย์


ไม่ใช่ค่ะ.!

หมายความว่า

ค่อย ๆ รู้ "ลักษณะ" ของ นามธรรม และ รูปธรรม

โดย การแยกขาด จากกัน ก่อน.


.


ถ้าไม่มี "นามธรรม"

"รูปธรรม" ก็ ไม่ปรากฏ.!


.


และ ที่มี "โลก"

มีความวุ่นวาย อย่างนี้

เพราะว่า

มี "นามธรรม"


.


รูปธรรม ก็เป็น รูปธรรม....ไม่เดือดร้อน.!

ไม่ว่า ภูเขาไฟจะระเบิด น้ำจะท่วม พายุจะพัด ฯลฯ

ไม่มีใครเดือดร้อนเลย.


.


แต่ เป็นเพราะว่า มี "นามธรรม"

ซึ่งเป็น "สภาพรู้"

จึงเป็น ทุกข์ และ เดือดร้อน เพราะ สิ่งต่าง ๆ

เพราะว่า มี "ธาตุรู้"

หรือ "อาการรู้"

ที่เกิดขึ้น รู้ สิ่งที่ ปรากฏ.


.


พระผู้มีพระภาคฯ ทรงดับขันธปรินิพพาน

หมายความว่า

ไม่มี "นามธรรม" เกิดขึ้น รู้ สิ่งที่ปรากฏ อีกเลย.!

เพราะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

ทั้ง นามธรรม และ รูปธรรม.


.


เพราะฉะนั้น

การมี "สภาพรู้" คือ "นามธรรม"

เปรียบเสมือน คนที่ ต้อง ทำงาน

เกิดขึ้นมา ก็ ต้อง เห็น

ต้อง ได้ยิน................

ฯลฯ


.


"จิต" มีการรู้แจ้งอารมณ์ ทั้งนั้น

แม้ ขณะ ที่ "คิด"


.


อะไร กำลัง ปรากฏ ก็ หมายความว่า

"จิต" กำลัง รู้ สิ่งนั้น.


.


เพราะฉะนั้น

"จิต"

จึงเป็น "สภาพธรรมที่รู้แจ้ง"

คือ "รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ"


.


"อารมณ์"

คือ สิ่งที่ปรากฏ เท่านั้น

ไม่ทำหน้าที่อื่นเลย

นอกจาก ปรากฏ.!


.


ขณะที่ "จิต" รู้ "บัญญัติ"

"จิต" ก็ "รู้แจ้งบัญญัติ"

แล้วจึงมี โมหมูลจิต

มี วิจิกิจฉาเจตสิก มีอุทธัจจเจตสิก ฯลฯ

เกิดขึ้น.

ซึ่ง "จิต" ก็ "รู้แจ้ง" ทั้งนั้น

ตาม กำลัง ของ "จิต"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron