วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 09:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2009, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ในมรรค 8 ข้อแรกสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ก็อย่างที่ทราบๆ กันอยู่แล้วว่า สัมมาทิฏฐินั้นคือเห็นความจริงอันประเสริฐ หรือเรียกว่า อริยสัจ มี่4ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งการเห็นอริยสัจที่เป็นสัมมาทิฏฐินั้นไม่ใช่เห็นในสัญญา คือไม่ใช่แค่จำได้ ระลึกได้ หากแต่เป็นการเห็นแบบเดียวกับที่พระโกณทัณยเห็นแล้วเปล่งวาจาออกมาว่า "ยังกิญจิสมุทยธัมมัง สัพพันตังนิโรธธัมมันติ" สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ที่เรียกๆ กันว่า เห็นการเกิดดับ

แต่ถ้ายังไม่เห็นตรงนั้น ยังไม่มีญาณ แล้วสัมมาทิฏฐิในระดับของปุถุชนล่ะ เห็นอะไรจึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ และเป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิในระดับเสขะบุคคล

สัมมาทิฏฐิ ในระดับของปุถุชนนั้น ก็จะต้องเห็น กุศลจริง และอกุศลจริง จึงจะเป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิในระดับเสขะบุคคล

เพราะการเห็นชัดถึงกุศล และอกุศล ทำให้เกิด สัมมาสังกัปโป (ดำริชอบ) คือ ดำริจะละอกุศล ประพฤติแต่กุศล

สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว (องค์ศีล) จึงเกิดขึ้นได้

พอเกิดศีลแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ สัมมาวายาโม (เพียรชอบ) เพียรระวังมิให้บาปอกุศลเกิดขึ้นในสันดาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดแล้วไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพียรยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพียรรักษากุศลที่เกิดแล้วมิให้เสื่อม สรุปก็คือ เพียรรักษาศีลนั่นล่ะ

เมื่อเพียรรักษาศีลดีแล้ว ผลข้างเคียงคือเราจะได้ สัมมาสติ เพราะเมื่อเราเพียรรักษาศีล สติเราก็ได้รับการฝึกไปโดยปริยาย คือต้องระลึกรู้อยู่เสมอและระวังมิให้ศีลด่างพร้อย

เมื่อเราเห็น และดำริแล้วว่าเอาแต่กุศล และ ละอกุศล ด้วยการรักษาศีล(วาจา การงาน เลี้ยงชีพ) และไม่ละความเพียร มีสติจดจ่อ ก็จะนำไปสู่สภาพจิตใจที่ผ่องใสไม่เศร้าหมอง เพราะเกิดปิติในความเพียรที่ทำมาดีแล้วก็จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง และหนักแน่น ซึ่งเป็นพื้นฐานของ สัมมาสมาธิ
ก็เป็นอันว่าธรรมจักรหมุนครบ 1 รอบ มีกิเลสตายไปบางส่วน (แต่ส่วนน้อย) เพราะจักรของปุถุชนมันเล็ก วงล้อเลยไม่หนักเวลาวิ่งทับกิเลสที่มันตัวใหญ่ๆ มันก็ไม่ตาย แค่เจ็บๆนิดหน่อย (แถมบางทียังโดนมันกระแทกเอาจนดุ้งเลย :b13: :b13:)
แต่ถ้ารอบต่อๆไปที่มันเป็นจักรของพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงจักรของพระอนาคามี จักรเขาใหญ่ และหนัก พวกกิเลสมันก็กลัว แล้วก็หนีหายไปบ้าง แอบซ่อนบ้าง และก็จะมีเหลือรอดอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ โดยมากเป็นพวกตัวเล็กๆ แต่ถ้าเป็นจักรของพระอรหันต์นั้น ใหญ่ที่สุด และหนักที่สุด และละเอียดที่สุด กิเลสจึงตายเกลี้ยง ไม่มีเหลือ

สัมมาสมาธิในรอบแรกนี้ก็จะส่งผลให้เห็นสัมมาทิฏฐิในรอบต่อๆ ไป....จนกว่าจะหมุนไปบดขยี้กิเลสจนตายหมดไม่มีเหลือ

:b6: :b6: :b6:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2009, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:

แต่ถ้ายังไม่เห็นตรงนั้น ยังไม่มีญาณ แล้วสัมมาทิฏฐิในระดับของปุถุชนล่ะ เห็นอะไรจึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ และเป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิในระดับเสขะบุคคล

ก็เห็นอริยสัจนั่นแหละครับ แต่เห็นแบบสาสวะ มีอาสวะอยู่ เห็นแบบอนุมานญาณ(อนุมานตามเข้าใจ)
ในแบบพระอริยชนท่านเห็นแบบปัจจักขญาณ คือเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง
เมื่อเห็นแบบอนุมานแล้ว เจริญมรรค ๘ ให้บริบูรณ์ได้ตามแนวสติปัฏฐาน ก็จะเห็นแบบปัจจักขญาณ

เรื่องอนุมานญาณ รู้โดยอนุมาน และ ปัจจักขญาณ เห็นประจักษ์นั้น พระอริยะบุคคลเองยังเห็นไม่เหมือนกันเลย
บางท่านทำวิปัสสนามีฌานเป็นบาท ก็จะพิจารณาอารมณ์องค์ฌานเป็นสภาวะธรรม เห็นความเกิดดับขององค์ฌาน
นั้น ส่วนท่านที่เจริญวิปัสสนาตั้งแต่ต้น ไม่เอาฌานเป็นบาท ก็จะนำรูปนามเป็นอารมณ์ในวิปัสสนานั้น เห็นความเกิดดับของรูปนาม เมื่อท่านทั้งสอง
เป็นพระอริยบุคคลแล้วต่างก็จะมีปัจจักขญาณคนละอย่าง แต่จะเข้าใจในปัจจักขญาณของอีกท่านหนึ่งโดยอนุมาน
ฉนั้น การที่เราเข้าใจอริยสัจ ๔ โดยอนุมานนั้น ก็เพื่อเป็นบาทของการเข้าใจอริสัจ ๔ โดยปัจจักขญาณนั่นเอง
ข้อสำคัญก็คือว่า เมื่อยังมีอาสวะ ก็เห็นแบบอาสวะไปก่อน

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบาสกธรรม ๕ ประการ คือ
1.มีศรัทธา เชื่อมีเหตุผล มั่นในพระรัตนตรัย เชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
2.มีศีล อย่างน้อยดำรงตนได้ในศีล ๕
3.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว โดยเชื่อกรรมไม่เชื่อมงคล มุ่งหวังผลจากการกระทำมิใช่จากโชคลาง หรือสิ่งที่ตื่นกันไปว่าขลังศักดิ์สิทธิ์
4.ไม่แสวงหาทักขิไณยนอกหลักคำสอนนี้
5.เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค่อยยังชั่วหน่อย...นึกว่าจะชอบแต่นุ่งสั้น ๆ
ต้องอย่างนี้สิ่ท่าน...เวลาคุยกับท่านผมจะได้ไม่ต้องระงับอารมณ์มากนัก
นุ่งยาว ๆ อย่างนี้ จระเข้ตัวนี้ไว้ชีวิตท่านครับ

สำหรับเรื่องธรรม ผมลืมไปแล้วครับ...
และก็เริ่มขี้เกียจรื้อฟื้นความจำแล้วครับ...
รู้สึกเข็ด ๆ ชอบกล...
ตามอ่านธรรมยาว ๆ ของท่านดีกว่า...
ปลอดภัยดี...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


yahoo เขียน:
ค่อยยังชั่วหน่อย...นึกว่าจะชอบแต่นุ่งสั้น ๆ
ต้องอย่างนี้สิ่ท่าน...เวลาคุยกับท่านผมจะได้ไม่ต้องระงับอารมณ์มากนัก
นุ่งยาว ๆ อย่างนี้ จระเข้ตัวนี้ไว้ชีวิตท่านครับ...

:b20: :b20: :b20:
ขอบคุณที่ไว้ชีวิตครับ... :b13:
กระผมเองที่ร่ายมาซะยาวได้นี่เกิดจากปิติครับ....ทำไปไม่รู้ตัวเลย :b9: พอตั้งกระทู้เสร็จมีคนเข้ามาตอบ กระผมเองยังจำไม่ได้เลยว่าเขียนอะไรไว้ :b32:
yahoo เขียน:
สำหรับเรื่องธรรม ผมลืมไปแล้วครับ...
และก็เริ่มขี้เกียจรื้อฟื้นความจำแล้วครับ...
รู้สึกเข็ด ๆ ชอบกล...
ตามอ่านธรรมยาว ๆ ของท่านดีกว่า...
ปลอดภัยดี...

กระผมว่าท่านไม่ระลึกถึงมากกว่าครับ...เพราะมันน่าเบื่อ...(ผมว่างั้นนะ :b13: )

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สวัสดีครับ
ถ้ายังไม่เห็นอริยสัจจ 4 อย่างแจ่มแจ้ง สัมมาทิฐิเบื้องต้นและง่ายต่อการพิสูจน์ คือเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง (เป็น อนัตตา) :b19: บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไร้สาระ แก่นสาร
และให้เห็นอีกว่า อัตตา ความเป็นตัวกู ของกู นั้น เป็นความเห็นผิด :b34: และเป็นเหตุต้นของการเกิดอวิชชา กิเลส ตัณหา และความทุกข์ทั้งปวง เอาความเห็นผิด เป็นกู เป็นเรา ของกู ของเรา หรือ อัตตาออกทิ้งได้ ก็ถึงสุขฉับพลัน ทันที เดี๋ยวนี้เลยทีเดียว
เริ่มต้นเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อน ไม่ช้าก็จะเข้าใจอริยสัจจ 4 อย่างง่ายดาย :b11:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 10:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
:b8: สวัสดีครับ
ถ้ายังไม่เห็นอริยสัจจ 4 อย่างแจ่มแจ้ง สัมมาทิฐิเบื้องต้นและง่ายต่อการพิสูจน์ คือเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง (เป็น อนัตตา) :b19: บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไร้สาระ แก่นสาร
และให้เห็นอีกว่า อัตตา ความเป็นตัวกู ของกู นั้น เป็นความเห็นผิด :b34: และเป็นเหตุต้นของการเกิดอวิชชา กิเลส ตัณหา และความทุกข์ทั้งปวง เอาความเห็นผิด เป็นกู เป็นเรา ของกู ของเรา หรือ อัตตาออกทิ้งได้ ก็ถึงสุขฉับพลัน ทันที เดี๋ยวนี้เลยทีเดียว
เริ่มต้นเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆก่อน ไม่ช้าก็จะเข้าใจอริยสัจจ 4 อย่างง่ายดาย :b11:



ผมว่าที่ท่านอโศกะ ให้เห็นในอนัตตา นี้ มันเป็นการเห็นที่สุดยอดเลยนะครับ ไม่น่าจะเป็นแค่การเห็นในระดับเบื้องต้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร