วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 01:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้เพื่อกำจัดความตระหนี่ บุคคล ที่เห็นโทษของความตระหนี่ แล้วคิดจะให้ทานเพื่อกำจัดความตระหนี่ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญเป็นพิเศษทีเดียว สมมุติว่าพระเที่ยวบิณฑบาตมีของเต็มบาตรยังจะถวายของแก่ท่านอีก อย่างนี้ชื่อว่าอยากได้บุญ ไม่ใช่จะกำจัดความตระหนี่ ถ้าต้องการจะกำจัดความตระหนี่จริง ๆ ก็ต้องไปบริจาคแก่คนที่ยังขาดแคลน เพราะความรู้สึก เสียสละ มีจริง ๆ เห็นอยู่ว่าถ้าไม่มีใครให้ เขาผู้นั้นก็จะเดือดร้อน บางครั้งการให้แก่คนที่มีกินมีใช้ จะเกิดความลังเลว่าควรจะให้หรือไม่ให้ แต่เวลาให้แก่คนที่ขาดแคลนจะไม่เกิดความลังเลเลย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บุญนั้นมีกำลัง ข่มความตระหนี่ได้ดี ให้เพื่อบูชาประณีตกว่าให้ด้วยกรุณา

ระหว่าง คนที่มีศีลกับคนที่ไม่มีศีล ให้แก่คนที่มีศีล บุญนั้นมีกำลังกว่า เพราะปรารภถึงคุณธรรมของบุคคลผู้รับเป็นการให้อย่างบูชา การให้ด้วยจิตคิดบูชาคุณประณีตกว่าการให้ด้วยกรุณาด้วยสงสาร อีกอย่างหนึ่ง การนึกถึงคำของบัณฑิตที่ท่านสรรเสริญว่าการให้การสละ บริจาคนี้เป็นทรัพย์ เป็นเสบียง สำหรับการเดินทางไปสู่นิพพาน ของคนผู้ให้นั้น เพราะหากมีความตระหนี่เป็นมลทินอยู่ในจิตใจ ถึงคราวสละก็ไม่อาจจะสละได้ เพราะความ หวงแหนสิ่งของของตน ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เป็นคนอนาถา ไร้เสบียงเป็นเครื่องช่วยเดินทางให้ถึงพระนิพพาน นึกถึงคำของบัณฑิตอย่างนี้แล้ว ก็ศรัทธาเลื่อมใสในคำของท่าน ให้ด้วยความคิดจะบูชา คือเลื่อมใสปฏิปทาดำเนินที่เป็นสัมมาปฏิบัติของบัณฑิตว่า เราจะปฏิบัติอย่างที่บัณฑิตท่านปฏิบัติกัน บัณฑิตทั้งหลายบำเพ็ญทาน เราก็จะบำเพ็ญทาน อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นการให้เพื่อบูชาเหมือนกัน คือบูชาปฏิปทาของบัณฑิต ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ประณีตกว่าการให้ด้วยกรุณา เพระมีจิตประณีตละเอียดอ่อนกว่า

การให้เพราะสักแต่เห็นว่าท่านเป็นพระภิกษุ การ ให้กับคนที่มีศีลเทียบกับคนที่ไม่มีศีลแล้ว ให้แก่คนที่มีศีลมีกำลังมากกว่า คนทั้งหลายรับรู้กันอยู่ว่า พระภิกษุคือผู้ทรงศีล เหตุนี้จึงไม่สนใจรับรู้ความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์ในพระศาสนาว่าเป็นอย่าง ไร ให้สักว่าท่านบวชเป็นพระเท่านั้นเอง ไม่สนใจว่าบวชแล้วขวนขวายธุระในพระพุทธศาสนาหรือไม่ เป็นกาฝากของพระศาสนา หรือทำให้อายุของพระศาสนายืนนาน ไม่เคยพิจารณา คิดเพียงว่าถ้าให้แก่พระได้ก็ถือเป็นมงคล

[ ตัวอย่างการใส่บาตรด้วยโลภะ ที่ ตลาดตอนเช้า ๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แม่ค้าจะจัดข้าวพร้อมทั้งกับข้าวใส่ถุงพลาสติกเตรียมไว้ให้คนซื้อ ใส่บาตรพระ พอถึงเวลาพระออกบิณฑบาต พระก็จะมาที่ตลาด มีคนมาซื้อของจากแม่ค้าหย่อนใส่บาตร พอพระรับเสร็จก็ไปที่หลังร้าน ไปถ่ายของออก คือ พอเต็มบาตรแล้วก็ไปถ่ายออกเสียทีหนึ่ง แล้วลูกมือแม่ค้าก็จะนับว่ามีกี่ถุง และจ่ายเงินให้พระไปเป็นชุด แม่ค้าขายกันชุดละสิบบาท แต่แม่ค้าซื้อคืนพระชุดละ ๓ บาทเท่านั้น ซึ่งท่านก็รับ เรื่องนี้เขาก็ทำกันอย่างเปิดเผยหาได้ปิดบังไม่ เห็นเป็นเรื่องธรรมดา คนที่ใส่บาตรก็เห็นตำตา แต่เขาไม่ถือสา วันรุ่งขึ้นเขายังมาใส่บาตรอีก ทำกันเป็นปกติทำไมจึงยังคิดใส่บาตรพระอีก ทั้ง ๆ ที่ท่านประพฤติอย่างนั้น ในขณะที่คนยากจนขัดสนยังมีอยู่มาก
ถ้า จะว่าบูชาคุณของท่านเป็นสำคัญ ว่าท่านเป็นเพศอุดมสูงกว่าเพศฆราวาส มีศีลมีกัลยาณธรรมทำนองนี้ ก็น่าจะเกี่ยวกับว่าท่านไม่มีพฤติกรรมที่น่าติเตียนอย่างนี้ปรากฏให้เห็น แต่ทว่าเห็นอยู่ตำตา คนที่ใส่บาตรพระในเวลาเช้าที่ตลาด เขาบูชาท่านในเรื่องอะไร พฤติกรรมอย่างนั้นของท่านนั่นแหละ แสดงถึงความเป็นผู้ที่ไม่ควรบูชา เพราะฉะนั้น เรื่องถวายของแก่พระก็เป็นเรื่องที่ขาดความรู้ เพราะคิดว่าถวายแก่พระแล้วได้บุญมากนั่นเอง จึงตั้งหน้าตั้งตาถวายแก่พระ สรุปว่าเขาสักแต่ว่าปรารถนาในบุญ เป็นเรื่องของความโลภพาไป คนใส่บาตรพระก็โลภอยากได้บุญ พระก็โลภอยากได้เงิน โดยการขายกลับคืนแก่แม่ค้า


การวางใจในเรื่องทาน ทำ อย่างไรถึงจะชื่อว่าวางใจได้ดี เป็นผู้มีโยนิโสมนสิการในทาน ทำให้การให้นั้นเป็นทานเป็นบุญจริง ๆ ถ้าหากว่าทานไม่มีอานิสงส์เกี่ยวกับความสุขเกี่ยวกับการป้องกันภัยในวัฏฏะ ช่วยให้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คงจะไม่มีใครทำ เพราะไม่ได้อะไรตอบแทนเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า แต่ถ้าต้องการในผลเป็นโลภะทำให้ไม่ใช่บุญ หรือทำไปเถอะจะมีผลหรือไม่ ไม่สนใจก็ไม่ถูกอีก จะวางใจอย่างไรให้เป็นบุญ

พระ พุทธเจ้าตรัสอานิสงส์ของท่านไว้เป็นอเนกประการ ตรัสถึงโทษของการไม่ยอมสละบริจาคไว้เป็นอเนกประการ เช่น คนไม่รู้จักสละบริจาค เป็นต้น ตระหนี่เกิดมาจะเป็นคนยากคน เป็นต้น ส่วนทานตรัสไว้เกี่ยวกับสุคติโลกสวรรค์มากมายหลายสูตร ตรัสอย่างนี้มิได้มีพระประสงค์ชักชวนให้คนเกิดอยากได้ในอานิสงส์ของท่าน เพียง แต่ ทรงชี้ให้เห็นว่า การกระทำนี้มีผล ไม่ใช่ไม่มีผล เหมือนอย่างมิจฉาวาทะที่บอกว่า ทาน...ไม่มีผล การบูชา มีผล เป็นต้น (ในบรรดามิจฉาทิฏฐิ ๑๐ อย่าง) เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็เก็บความรู้ไว้ แต่ในเวลาจะทำจริง ๆ อย่าตั้งจุดมุ่งหมายในอานิสงส์ไว้ล่วงหน้า ในเวลานั้น ถ้าหากจะให้แก่คนที่ขาดแคลน ก็ด้วยกรุณาเท่านั้น ไม่ได้เล็งอานิสงส์เป็นสำคัญในการกระทำแต่ละครั้ง รู้ก็รู้ไป ในที่สุด ก็ให้พิจารณาทานที่ได้บำเพ็ญแล้วก่อนหน้านั้น ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ได้มีสาระอะไรอื่นที่ยิ่งไปกว่าการช่วยให้ชีวิตดำเนินไปได้สะดวกใน ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาเท่ากัน ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถจะช่วยให้เราพ้นจากเกิดแก่เจ็บตายไปได้ จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปว่าจะนำประโยชน์สุขวิเศษมาให้อย่างนั้นอย่าง นี้

การ นึกถึงอานิสงส์เป็นเหตุให้คนเกิดกำลังใจ ขวนขวายทำกรรมดี จากตั้งแต่ชั้นต่ำ ๆ ขึ้นไปเป็นปัจจัยแก่ชั้นสูง ๆ เท่านั้นเอง ในที่สุดแม้ทานการให้ก็อยู่ในอำนาจพระไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทานช่วยให้เข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ เกิดเป็นเทวดานางฟ้าในสวรรค์ได้ก็จริงแต่ในที่สุดก็ต้องแก่ต้องตายไปเป็น ธรรมดา เช่นเดียว กับเกิดเป็นสัตว์ในภูมิอื่น เพียงแต่ว่าหากได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว โอกาสที่จะได้ทำบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป..

คัดจากบทความเรื่อง บุญ
โดย อาจารย์ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 16:30
โพสต์: 133

อายุ: 0
ที่อยู่: Uttaradit

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ
ขอบคุณครับ สำหรับแง่คิดการทำบุญ

.....................................................
" สติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2008, 14:42
โพสต์: 121


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอโมทนาสาธุกับอาจาร์ยด้วยค่ะกับแง่คิดของการคิดตักบาตร
ไม่ทราบว่าจะใช้คำนี้ถูกหรือเปล่าน่ะค่ะ "บางครั้งก็คิดเสียว่าเขาใช้ผ้าเหลืองห่มกาย
แต่ที่เราใส่บาตรตอนเช้านั้นเราก็คิดเสียว่าเราทำบูญเพื่อสะสมเสบียงไว้ให้เราและให้ญาติพี่น้อง
ที่ล่วงลับไปแล้วค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณdd ข้อความที่คุณนำมาช่างตรงกับตัวเราจริงๆค่ะ ถึงถามว่าการใส่บาตรหน้าวัดน่ะค่ะ
เพราะแบบนี้แทบจะเป็นทำเนียมของชาวกรุงไปแล้ว มีแทบทุกตลาดเลยนะคะ
ที่สำคัญพระก็จะหาเดินรับบาตรเหมือนตามต่างจังหัวดน้อยมาก
เชื่อไม๊คะตอนนั้นวันเกิดลูกก็เตรียมของใส่บาตร4 รูป ขับรถไกลมากหาพระนะคะ
สุดท้ายเลยตัดสินใจไปวัดดักหน้าวัด ยังไม่ครบเลยค่ะ
เหลือชุดหนึ่งเลยไปถวายแม่ชีแทน
เพราะเดี๋ยวนี้ท่านรับบาตรเสร็จก็จะมีมอเตอร์ไซด์ส่วนตัวส่งเลยค่ะ
ที่เล่านี่เป็นเรื่องจริงนะคะ อย่างพระที่มารับบาตรหน้าบ้านตอนนี้เหลือ1รูป
มีคนใส่เต็มประมาณ3 ย่ามเลยค่ะ แล้วถึงเวลามอเตอร์ไซด์ก็มารับน่ะค่ะ
:b48: แต่เราก็ยังตั้งใจใส่ท่านนะคะ เพราะอยากทำบุญค่ะ
บ่อยครั้งที่ลังเลลึกๆในใจน่ะค่ะ (คงได้บุญน้อยเพราะลังเลสงสัย :b32: )
ท่านจะเอาของตั้งมากมายไปไหน :b10: :b10:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ได้อ่านกระทู้ตอบ ใส่บาตรพระหน้าตลาด ของคุณddแล้วเข้าใจเลยค่ะในคำอธิบาย
ขอบคุณนะคะ ที่นำบทความดีๆมาแนะนำ ให้เราได้รู้มากขึ้นค่ะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2009, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
พระสงฆ์คือนาบุญอันยิ่ง ไม่มีนาบุญใดยิ่งไปกว่า
ผู้ทำบุญหวังบุญก็เลือกทำบุญกับพระ
ผู้ทำบุญหวังลดละเลิกความตระหนี่ ความโลภ ขัดเกลาตนเอง จะทำทานทุกประเภท ในทุกโอกาสที่สามารถทำได้ มันต่างความประสงค์กัน ต่างผลที่ได้รับกัน

อันแรก ทำกิเลสให้งอกงาม หวังได้เสวยผลแห่งบุญนั้นยิ่งๆ ขึ้นไป

คงพบเห็นโดยทั่วไปที่สาธุชนแก่งแย่งกันทำบุญในโอกาสต่างๆ
กับคนบางคนบางพวก(อาจอยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง) ให้ทานเรื่อยไปไม่ขัดเลย แล้วแต่ใครจะมาบอกบุญ...
ลองสังเกต คนผู้นี้จะใจเย็น มองโลกในแง่ดี สงสารผู้อื่นเป็นนิจ ไม่ค่อยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน

คนตระหนี่นี้ จะโลภด้วยนะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร