วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 03:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อยากขอความเห็นค่ะว่า เวลาที่คนมักนิยมใส่บาตรตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตามหน้าตลาด
ที่นิยมใส่บาตรกันมากในปัจจุบัน ที่จะมีพระมายืนคอยรับบาตร ข้างๆพระก็จะมีแม่ค้าคอยเรียก
คนซื้ออาหารที่จัดไว้เป็นชุดๆน่ะค่ะ ที่เราสังเกตบางครั้งก็จะมีการเวียนอาหารบ้าง หรือบางแห่งก็จะมี
ลูกศิษย์คอยหยิบใส่ถุงที่เตรียมมา แล้วก็จะมีรถคอยขนกลับวัด ท่านคิดอย่างไรกับการทำบุญแบบนี้คะ
:b8: ตามความคิดเรารู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ :b8: ทั้งกับแม่ค้าที่คอยเรียกด้วยค่ะ
เข้าใจค่ะว่าการทำบุญไม่ต้องหวังหรือคิดมาก ถ้าใจคิดอยากทำก็เป็นกุศลแล้ว
แต่พระท่านน่าที่จะเดินรับนะคะ อย่างแถวบ้านเรานะคะ ที่ตลาดมีพระยืนแยะมากเลยค่ะ
บางตลาดยืนเป็น 10 รูปเลยค่ะ บางครั้งเราก็เคยใส่ แต่จะใส่เป็นปัจจัยมากกว่าค่ะ
เพราะคนจะใส่อาหารแยะมากจนเราว่าท่านจะนำไปไหน
รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะคะ ว่าเราควรคิดอย่างไรดีที่จะไม่เป็นอกุศลจิต
ทุกวันก็จะใส่บาตรหน้าบ้านเดี๋ยวนี้เหลือพระเดินแค่องค์เดียวเองค่ะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


พระปลอมละมั้ง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b8: อยากขอความเห็นค่ะว่า เวลาที่คนมักนิยมใส่บาตรตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตามหน้าตลาด
ที่นิยมใส่บาตรกันมากในปัจจุบัน ที่จะมีพระมายืนคอยรับบาตร ข้างๆพระก็จะมีแม่ค้าคอยเรียก
คนซื้ออาหารที่จัดไว้เป็นชุดๆน่ะค่ะ ที่เราสังเกตบางครั้งก็จะมีการเวียนอาหารบ้าง หรือบางแห่งก็จะมี
ลูกศิษย์คอยหยิบใส่ถุงที่เตรียมมา แล้วก็จะมีรถคอยขนกลับวัด ท่านคิดอย่างไรกับการทำบุญแบบนี้คะ
:b8: ตามความคิดเรารู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ :b8: ทั้งกับแม่ค้าที่คอยเรียกด้วยค่ะ
เข้าใจค่ะว่าการทำบุญไม่ต้องหวังหรือคิดมาก ถ้าใจคิดอยากทำก็เป็นกุศลแล้ว
แต่พระท่านน่าที่จะเดินรับนะคะ อย่างแถวบ้านเรานะคะ ที่ตลาดมีพระยืนแยะมากเลยค่ะ
บางตลาดยืนเป็น 10 รูปเลยค่ะ บางครั้งเราก็เคยใส่ แต่จะใส่เป็นปัจจัยมากกว่าค่ะ
เพราะคนจะใส่อาหารแยะมากจนเราว่าท่านจะนำไปไหน
รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะคะ ว่าเราควรคิดอย่างไรดีที่จะไม่เป็นอกุศลจิต
ทุกวันก็จะใส่บาตรหน้าบ้านเดี๋ยวนี้เหลือพระเดินแค่องค์เดียวเองค่ะ :b8:


สวัสดีค่ะพี่วรรณ :b8:
น้ำเข้าใจความรู้สึกของพี่ค่ะ เพราะเคยเป็นมาก่อน เมื่อก่อนน้ำจะเลือกใส่ เมื่อได้มาปฏิบัติมากขึ้น เข้าใจในเรื่องของเหตุที่ได้กระทำและผลที่ได้รับ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เลยเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับน้ำไป เพราะเชื่อมั่นว่า ใครทำอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น น้ำก็เลยไม่ไปคิดอะไรเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น เพราะถ้าไปคิด คิดดีแล้วไป แต่ถ้าคิดไม่ดีล่ะคะ เท่ากับเราไปสร้างเหตุใหม่ร่วมกับบุคคลที่เรามองเห็น สู้มองผ่านๆไปซะ แล้วมองแต่ภาพที่คนเขาตั้งใจทำบุญแล้วเราตั้งจิตอนุโมทนาร่วมกับเขา แบบนี้ได้บุญมากกว่าค่ะ อย่างน้อยอันดับแรกที่ได้คือ ความอิ่มเอิบใจ เกิดปีติตามคนที่เขากำลังจบของอธิษฐานและได้ใส่บาตรกัน :b12:

ที่ปากน้ำเยอะมากๆค่ะ เวียนอาหารแบบที่พี่พูดมา ในซอยหมู่บ้านที่น้ำอยู่ก็มีค่ะ แต่น้ำเฉยๆค่ะ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ค่ะ คือหมายถึงคนทุกคน ไม่ใช่เจาะจงเฉพาะพระสงฆ์ค่ะ

ใครสร้างเหตุอย่างไร เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราเอาใจเราเข้าไปข้อง เท่ากับเราได้สร้างเหตุใหม่เกิดขึ้นแล้วค่ะในอนาคต สร้างร่วมกับคนเหล่านี้ กุศลน่ะดีค่ะ อกุศลอย่าไปเอามันเลยค่ะ

พี่วรรณ .. สงสัยถ้าพี่โดนแบบที่น้ำโดนพี่คงกริ๊ดแน่ๆเลย ... มีเรื่องเล่าค่ะ วันนั้นน้ำใส่บาตรพระในหมู่บ้าน คือองค์นี้ท่านจะเดินมาประจำ ก็ใส่บาตรท่าน ตอนที่ใส่ของในบาตรท่าน ท่านรวบมือน้ำ น้ำยังไม่ได้ปล่อยของ ก็มองหน้าท่าน แล้วก็มองท่านแบบนิ่งๆค่ะ แต่จิตไม่คิดอะไร แล้วพูดกับท่านว่า น้ำกลัวของร่วง เดี๋ยวน้ำจะไม่ได้บุญ น้ำจะใส่ในบาตรของท่านเองค่ะ ท่านก็ปล่อยมือน้ำ ... ทุกวันนี้น้ำก็ยังใส่บาตรท่านอยู่ เวลาท่านรับบาตร เดี๋ยวนี้ท่านสำรวมมากๆ .. แค่นี้น้ำก็ได้รับบุญเต็มๆค่ะ เพราะน้ำไม่ไปคิดอกุศลกับท่าน น้ำมองแค่ว่า ใครสร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผิดกับน้องที่อยู่ด้วยกัน วันนั้นน้องเขาก็โดนค่ะ แต่โดนแค่แตะมือ ตอนรับของ .. น้องเขาไม่พอใจมากๆ บอกว่า พระทำแบบนี้ไม่ดี น้ำบอกน้องเขาว่า หมดเลย แทนที่จะได้บุญ จิตไปคิดอกุศล จิตตกเลย น้องเขาบอกว่า เขายังทำใจไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น้องเขาก็เลิกใส่บาตรพระองค์นี้ค่ะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 16:30
โพสต์: 133

อายุ: 0
ที่อยู่: Uttaradit

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไร ได้เคยแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

เอาอาหารใส่บาตรแล้ว บุญได้เกิดขึ้นแล้ว ขณะเดียวกัน ความคิดที่เป็นอกุศล(ของจะเหลือ หรือจะเป็นพระปลอม) ได้เกิดขึ้นพร้อมการใส่บาตร เป็นการทำกรรมที่ได้ทั้งบุญทั้งบาป
คนฉลาดคิดว่าการให้อาหารเป็นทาน ให้แล้วได้บุญจึงคิดใส่บาตร ใส่บาตรแล้วจบ ไม่คิดต่อที่เป็นลบ เขาย่อมได้บุญที่ไม่มีบาปเจือปน

การนำปัจจัยใส่ในบาตร
การบิณฑบาตของภิกษุ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้มีศรัทธาได้ประกอบบุญ ด้วยการนำอาหารมาใส่ลงในบาตรเป็นทานแล้วภิกษุนำอาหารนั้นไปใช้บำรุงธาตุขันธ์ให้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ธาตุขันธ์ประกอบกรรมดีให้กับตนเองและสังคม ดังนั้นการนำทรัพย์ไปใส่ลงในบาตรจึงผิดไปจากจุดประสงค์ของการบิณฑบาตชาวพุทธที่ดีไม่สมควรกระทำ

....ด้วยความเคารพ

.....................................................
" สติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณ "


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงชู เมื่อ 29 เม.ย. 2009, 08:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนคุณ O.wan เคยถามเรื่องตักบาตรครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนถามว่าให้คนที่บ้านใส่แทนจะได้บุญไหม
แต่คราวนี้สงสัยประเด็นใหม่
คุณ O.wan ยึดกลักไว้ เมื่อมีหลักเราก็มีที่เกาะที่ยึด
หลักได้แก่เจตนาในกาลทั้งสามคือ

ปุพพเจตนา – ก่อนให้ย่อมมีใจดี (เจตนาก่อนให้)
มุญจนเจตนา - กำลังให้ ยังจิตให้เลื่อมใส (เจตนากำลังให้)
อปราปรเจตนา - ครั้นให้แล้วย่อมมีใจชื่นบาน (เจตนาหลังจากให้แล้ว)


หลักท่านว่า ดังนี้

ปุพฺเพว ทานา สุมโน - ททํ จิตฺตํ ปสาทเย
ทตฺวา อตฺตมโน โหติ - เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทา ฯ

หลังจากให้แล้วสำคัญ ที่ว่าสำคัญก็เพราะว่า เราจะประคองให้จิตมีสุขโสมนัสจากการกระทำนั้นไม่ค่อยจะได้ หรือทำไปๆ พอมีใครมาทักท้วงเข้าหน่อย เริ่มสับสนไม่แน่ใจแล้ว เพราะอะไร ? เพราะเราไม่มีหลักยึดที่แน่นอน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำบุญในพระพุทธศาสนาที่จะมีผลานิสงส์มาก อาทิ การทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ (ในตอนเช้า) ประกอบด้วยองค์คุณ ๓ ประการ คือ

๑. ปัจจัยสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์
๒. เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์
๓. พระภิกษุสามเณรเป็นผู้บริสุทธิ์



บุคคลผู้จะทำบุญในพระพุทธศาสนา ควรพิจารณาเลือกบุญเขตที่เหมาะสม ดังพระบาลีว่า “วิเจยฺย ทานํ ทาตพฺพํ วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสฎฐํ” (แปลว่า ควรเลือกให้ทาน การเลือกให้ทาน พระตถาคตเจ้าทรงยกย่อง)

สำหรับการถวายปัจจัย(เงิน)แก่พระสงฆ์ขออนุญาตยกข้อความจากท่านผู้รู้มาดังนี้

การรับเงินและทอง
การถวายเงินกับพระสงฆ์เป็นการกระทำที่ไม่สมควร พระพุทธองค์ทรงตำหนิทั้งผู้รับและผู้ให้
คือ สำหรับผู้รับทรงบัญญัติพระวินัยปรับอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ต้องสละทิ้งเงินก่อนจึงปลง
อาบัติได้ ส่วนผู้ถวายทรงแสดงเรื่องการให้ทานแบบอสัตบุรุษคือผู้ไม่ฉลาดย่อมถวายของที่
เป็นอกัปปิยะ คือ ของที่ไม่สมควรแก่บรรพชิต ส่วนพระสงฆ์แม้รับเพื่อผู้อื่นก็เป็นอาบัติและ
การพัฒนาหรือช่วยเหลือสังคมไม่ใช่กิจของสงฆ์
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=920

พระรับเงินทองได้หรือไม่
พระ ภิกษุในพระพุทธศาสนารับเงินทองไม่ได้
ถึงจะใช้ให้ผู้อื่น คือไวยาวัจกรรับแทนก็ไม่ได้ โดยที่สุดยินดีเงินทองที่คนอื่น คือไวยาวัจกรเก็บเอาไว้ให้ หรือที่เขาถวายวางไว้ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้ หรือยินดีเงินทองที่อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธานำเงินทองมาถวายโดยฝากธนาคารไว้ให้ แต่มีชื่อพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของบัญชีอยู่ก็ไม่ได้ เป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด (สำหรับสามเณร ก็ไม่ควรเหมือนกัน เพราะผิดสิกขาบทข้อที่ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ซึ่งเป็นผู้ควรแก่การทัณฑกรรมตามที่กล่าวไว้แล้วในมหาขันธกะ) (วิ.มหา. ๔/๒๘๕)
การ รับเงินทองของพระภิกษุในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้ง ฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ได้นามว่า พุทธบริษัท ดูเหมือนว่า การรับเงินทองเป็นเรื่องที่ดี เป็นสิ่งที่น่ากระทำได้ เหมาะสมแก่กาลสมัยนิยม ถึงเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีเรื่องปรากฏในพระวินัยปิฎกว่า “ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ วัดเวฬุวันวิหาร ใกล้เมือง ราชคฤห์ พระอุปนันทศากยบุตรเป็นภิกษุเข้าไปฉันเป็นประจำในตระกูลหนึ่ง ซึ่งตระกูลนั้นจะแบ่งอาหารไว้ถวายท่านส่วนหนึ่งเสมอ วันหนึ่งเขาได้เนื้อมา ก็แบ่งไว้ถวายแก่ท่าน ส่วนที่เหลือจากการแบ่งนั้นก็ได้ทำอาหารกินกัน เมื่อได้อรุณแล้วก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารไว้ถวายท่าน บังเอิญเช้านั้นเด็กในบ้านตื่นขึ้นมาแต่เช้าร้องอ้อนวอนอยากกินอาหารนั้น จึงให้เด็กกินเสีย
เมื่อ ได้เวลาท่านอุปนันทะ ก็เข้าไปฉันในตระกูลนั้น เขาก็นิมนต์ให้ท่านนั่งแล้วก็ได้เล่าเรื่องที่ตนเก็บเนื้อไว้ถวายนั้น ให้ท่านฟัง พร้อมทั้งบอกต่อไปอีกว่า ถึงแม้ว่าไม่ได้ถวายเนื้อนั้นแต่ก็เก็บมูลค่าของเนื้อนั้นไว้มีมูลค่า ๑ กหาปณะ พระคุณเจ้าจะให้กระผมจัดหาวัตถุอะไร มาถวายขอรับ ส่วนท่านอุปนันทะรู้อย่างนั้นแล้ว บอกให้ถวายเงินทันที หลังจากท่านกลับไปแล้วเขาก็ได้ติเตียนโดยประการต่าง ๆ ว่า พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรทำไมจึงรับเงินเหมือนอย่างพวกเราหนอ
เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ทรงติเตียนพระอุปนันทะอย่างรุนแรงว่า “ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับเงินและทองเล่า การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว”
พระ พุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามไว้ว่า “อนึ่งภิกษุใด รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับไว้ให้ก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้ให้ ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์”
(วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐)

สิกขาบทเกี่ยวกับการห้ามพระภิกษุสามเณร รับเงินและทองนี้ เป็นพุทธบัญญัติที่สาธารณะแก่พระภิกษุทุกรูป ไม่ว่าจะอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ก็ยังเป็นสิกขาบทที่บัญญัติไว้ให้สาวกของพระองค์ได้ประพฤติปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดอยู่เสมอ

โทษที่เกิดจากเงิน

เมื่อ พระมีเงินมาก ความคิดแบบอย่างสมณะวิสัยก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ความคิดความอ่านเหมือนอย่างโยมก็เข้ามาแทนที่ อยากจะได้อะไรก็ซื้อ เห็นโยมมีอะไรก็อยากจะมีเหมือนกับโยม เห็นโยมสร้างบ้านสวย ๆ พระเห็นแล้วอยากได้ก็สร้างกุฏิสวย ๆ ด้วย บ้านโยมติดแอร์ กุฏิก็ติดแอร์ด้วย โยมมีรถเบนซ์คันหรูขับ พระก็มีรถเบนซ์คันหรูขับด้วย โยมมีมือถือยี่ห้อไหนรุ่นไหน พระก็มีมือถือยี่ห้อนั้นรุ่นนั้นบ้าง โยมมีโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น

โยมต้องการเอาเงินมาทำบุญควรทำอย่างไร

เมื่อโยมมีศรัทธาต้องการเอาเงินมาทำบุญกับพระภิกษุควรทำให้ถูกต้องตามพระวินัย วิธีที่ถูกต้องนั้น มี ๒ วิธี คือ
๑. โยมเขียนใบปวารณาเสร็จแล้ว นำเงินเหล่านั้นไปมอบไว้กับไวยาวัจกรพร้อมสั่งว่า “คุณช่วยจัดหาสิ่งของที่สมควรถวายแก่พระคุณเจ้า เท่ากับจำนวนเงินนั้น” แล้วนำเอาใบปวารณามาถวายพระ ให้ท่านรับรู้รับทราบเฉพาะในใบปวารณาเท่านั้น
วิธี ที่หนึ่งนี้มีวิธีปฏิบัติเหมือน ในเมณฑกสิกขาบทคือ ทายกเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกรเอง เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ไม่ยินดีมูลค่า (เงิน) ยินดีแต่กัปปิยภัณฑ์ (สิ่งของที่สมควร) จะขอกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีกำหนด แม้ตั้งพันครั้งก็ควร
๒. โยมนำเงินเหล่านั้นมาแล้ว พระถามว่า “ที่วัดนี้มีไวยาวัจกรไหมครับ” หรือพูดว่า “ใครเป็นไวยาวัจกรเก็บรักษาเงินเหล่านี้” ถ้าไวยาวัจกรอยู่ต่อหน้า ท่านจะตอบว่า “คนนี้เป็นไวยาวัจกร” ถ้าไวยาวัจกรไม่ได้อยู่ต่อหน้า ท่านก็จะตอบว่า “คนชื่อนี้อยู่บ้านโน้นเป็นไวยาวัจกร” ถ้าโยมไม่ถามก่อน ท่านจะบอกอ้างไวยาวัจกรว่า “เอาไปไว้กับคนนั้น คนนั้นเป็นไวยาวัจกร” อย่างนี้ไม่ได้ ไม่พ้นจากอาบัติ ท่านได้แต่พูดปฏิเสธว่า “อาตมาไม่รับเงิน หรือพระรับเงินไม่ได้ต้องอาบัติ”
เมื่อ โยมเอาเงินเหล่านั้นไปมอบมห้ไวยาวัจกร และสั่งเขาให้เข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปหาพระบอกว่า “โยมได้บอกไวยาวัจกรให้เข้าใจแล้ว ท่านต้องการสิ่งของที่สมควร ขอจงบอกนะครับ” วิธีที่สองนี้ มีวิธีปฏิบัติเหมือนในราชสิกขาบท คือ พระภิกษุเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกร มีกำหนดขอได้ ๓ ครั้ง แต่ไม่เกิน ๖ ครั้ง (ขอได้ ๓ ครั้ง ยืนได้ ๖ ครั้ง ถ้าจะขออย่างเดียวขอได้ไม่เกิน ๖ ครั้ง)

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้ทานที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ [ปฐมสัปปุริสสูตร]

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 488

๗. ปฐมสัปปุริสสูตร

[๑๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้

๘ ประการเป็นไฉน คือ ให้ของสะอาด ๑ ให้ของประณีต ๑ ให้

ตามกาล ๑ ให้ของสมควร ๑ เลือกให้ ๑ ให้เนืองนิตย์ ๑ เมื่อให้

จิตผ่องใส ๑ ให้แล้วดีใจ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘

ประการนี้แล.

สัปบุรุษย่อมให้ทาน คือ ข้าวและน้ำที่

สะอาด ประณีตตามกาล สมควร เนืองนิตย์ ใน

ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นเขตดี บริจาคของ

มากแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดายทาน ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง

ย่อมสรรเสริญทาน ที่สัปบุรุษให้แล้วอย่างนี้

เมธาวีบัณฑิตผู้มีศรัทธา มีใจอันสละแล้ว บริจาค

ทานอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความ

เบียดเบียนเป็นสุข.

จบ สัปปุริสสูตรที่ ๗

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 14:07
โพสต์: 285

อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปคิดมากเลยนะครับ ให้คิดว่าเป็นการทำบุญเหมือนกัน
การให้อาหารแก่สัตว์ เดียรัจฉาน ก็ถือว่าทำบุญ
การให้อาหารแก่ขอทาน ก็ถือว่าทำบุญ

การให้ทานแก่พระสงส์ที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็ถือว่าทำบุญ
แต่ผลของการทานจะต่างกัน (ขออนุญาตไม่อธิบายผลนะครับ ถ้าผู้รู้ท่านใดอยากจะตอบก็เชิญได้ครับ)
ขอให้คิดว่า เราให้ทานเพื่อปลูกนิสัยแห่งการเสียสละ
เพื่อเป็นปัจจัย สำหรับเดินสู่เส้นทางนิพพาน
เราให้เพื่อเป็นการสะสมบุญทีละเล็กทีละน้อยตราบวันเข้าสู่นิพพานครับ

.....................................................
"ใครเกิดมา ไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เลื่อมใส ไม่ปฎิบัติ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เป็นโมฆะตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย"

"ให้พากันหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
http://www.luangta.com/

"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
หลวงปู่มั่น

"ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว"
หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ชลบุรี
http://www.wimutti.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ทุกคำอธิบายค่ะ :b8:
แต่อยากถามต่อค่ะ ที่ว่าไม่สมควรที่จะใส่เป็นปัจจัย(เงิน) แล้วถ้าเราอยากทำบุญ
ได้ไม๊คะ ที่ตัวเองทำบ่อยๆคือ เวลาไปส่งลูกแต่เช้าไม่ได้เตรียมของไปใส่บาตร
เพราะบางครั้งเตรียมไปก็ไม่เจอพระ เพราะเราจะขับรถไปเลื่อยๆไม่มีโอกาสยืนคอย
แต่บางครั้งเจอพระก็ไม่ได้เตรียมน่ะค่ะ ถ้ามีจังหวะให้ใส่ได้ก็จะใส่เป็นปัจัยน่ะค่ะ
:b48: เคยมีบางคนบอกว่าใส่เป็นปัจจัยดีกว่าของ เพราะพระจะได้ของจากคนใส่มากแล้ว
ถ้าเป็นปัจจัยท่านจะได้เอาไว้เผื่อขาดเหลือที่จำเป็น ยามเจ็บป่วยไว้เป็นค่ายา ค่ารักษา
เราก็เลยพยายามที่จะใส่ปัจจัยค่ะ แต่ไม่มากมายนะคะ แค่ความสามารถของเรา
:b48: แต่อย่างท่านแนะนำว่าไม่สมควรก็จริงค่ะ เพราะเราเคยไปถวายของที่กุฏิพระนะคะ
ท่านก็จะมีพร้อมทุกอย่างเลยค่ะ เคยมีหลานคนหนึ่งนะคะไปบวชพระมา
สองพรรษาสึกมาเที่ยวคุย บวชพระดีนะมีเงินตั้งหลานหมื่นตอนสึกเพราะรับนิมนต์บ่อย
เราฟังดูแล้วแปลก แต่ก็คงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลน่ะคะ
:b48: ช่วยอธิบายต่อด้วยนะคะ เพราะจริงๆก็อยากทำทั้งสองอย่าง :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b8: ทุกคำอธิบายค่ะ :b8:
แต่อยากถามต่อค่ะ ที่ว่าไม่สมควรที่จะใส่เป็นปัจจัย(เงิน) แล้วถ้าเราอยากทำบุญ
ได้ไม๊คะ ที่ตัวเองทำบ่อยๆคือ เวลาไปส่งลูกแต่เช้าไม่ได้เตรียมของไปใส่บาตร
เพราะบางครั้งเตรียมไปก็ไม่เจอพระ เพราะเราจะขับรถไปเลื่อยๆไม่มีโอกาสยืนคอย
แต่บางครั้งเจอพระก็ไม่ได้เตรียมน่ะค่ะ ถ้ามีจังหวะให้ใส่ได้ก็จะใส่เป็นปัจัยน่ะค่ะ
:b48: เคยมีบางคนบอกว่าใส่เป็นปัจจัยดีกว่าของ เพราะพระจะได้ของจากคนใส่มากแล้ว
ถ้าเป็นปัจจัยท่านจะได้เอาไว้เผื่อขาดเหลือที่จำเป็น ยามเจ็บป่วยไว้เป็นค่ายา ค่ารักษา
เราก็เลยพยายามที่จะใส่ปัจจัยค่ะ แต่ไม่มากมายนะคะ แค่ความสามารถของเรา
:b48: แต่อย่างท่านแนะนำว่าไม่สมควรก็จริงค่ะ เพราะเราเคยไปถวายของที่กุฏิพระนะคะ
ท่านก็จะมีพร้อมทุกอย่างเลยค่ะ เคยมีหลานคนหนึ่งนะคะไปบวชพระมา
สองพรรษาสึกมาเที่ยวคุย บวชพระดีนะมีเงินตั้งหลานหมื่นตอนสึกเพราะรับนิมนต์บ่อย
เราฟังดูแล้วแปลก แต่ก็คงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลน่ะคะ
:b48: ช่วยอธิบายต่อด้วยนะคะ เพราะจริงๆก็อยากทำทั้งสองอย่าง :b8:



ตอนผมบวช แค่ 7 วันนะ ได้ตั้งหลายพัน
สวดผิดสวดถูก
แต่ว่าแจกออกไปหมด แจกเณรบ้าง ใส่ตู้ส่วนกลางบ้างค่าน้ำค่าไฟ
ที่เอาไปใช้ส่วนตัวนั้น เห็นจะมีนิดเดียว


นี่คุณโอว่าน จะบอกอะไรให้ อย่ามัวมาเสียเวลาคิดเลย ได้บุญกระพร่องกะแพร่งเปล่าๆ
แนะให้ไปบริจาคโรงพยาบาลสงฆ์นะ โรงพยาบาลสงฆ์เป้นหน่วยงานที่เขาตั้งกันขึ้นมาดุแลพระป่วย
ไม่ใช่พระดำเนินงานเอง ไม่ผิดพระวินัย
นอกจากจะไม่ต้องมีอะไรให้นอนกลุ้มแล้วนะ ยังขึ้นชือว่าทำบุญกับหมู่สงฆ์ เป้นสังฆทาน
วันก่อนคุณ dd เอามาโพสต์ที่ว่า ทำบุญกับหมู่สงฆ์ ยังได้บุญกว่าทำกับพระพุทธเจ้าอีกนะ (ไม่แน่ใจนะ จำไม่ได้ ที่ว่า 100 ครั้ง 10 ครั้งน่ะครับ)

ช่วยพระป่วย โอ นึกถึงผลของทานที่เราทำนะ มากมายมหาศาลจริงๆ

นี่ถ้าอยากให้ประทับใจนะ ก็ให้ไปที่โรงพยาบาลเลย
ไปดุ ไปฟัง ไปรู้ ไปเห็น มันจะได้มีความระลึกบุญอันนี้ได้
ยิ่งไปรู้เห็นว่าว่าเงินเราช่วยได้มากขนาดไหนนะ ยิ่งดีใจ รู้สึกว่าบุญที่ทำนี้มันกว้างขวางยิ่งใหญ่
คิดขึ้นมาทีไรก้สุขใจว่าได้ทำอานิงค์เอาไว้มาก

(แถมจอดรถง่ายด้วยนะ )

อันไหนสงสัยอย่าทำนะ
ทำอันที่ไม่สงสัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ "ทิด"คามิน แหมดีจังได้ทราบประวัติของท่านบางตอน :b8: :b8: :b12:

งิน ทอง ( สิ่งอื่น ๆ ที่ใช้แทนเงินทอง) ไม่ใช่ปัจจัย4 ของพระภิกษุ เพราะปัจจัย 4
ของพระภิกษุ ได้แก่ อาหารบิณฑบาตร 1 จีวร 1 ที่อยู่ 1 ยารักษาโรค 1 เท่านั้น
ธุระของพระภิกษุ ก็มีเพียง 2 อย่าง คือ

1 คันถธุระ คือ ศึกษาพระธรรม ( จากพระไตรปิฎก หรือจากผู้รู้พระไตรปิฎก )
2 วิปัสสนาธุระ คือ อบรมเจริญวิปัสสนาเพื่อความเป็นพระอรหันต์

บุญหรือกุศลจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากครับ บางขณะเป็นการให้ด้วยการสละออก
บางขณะก็หวังได้บุญเป็นผลตอบแทนกลายเป็นความติดข้องต้องการไป จิตเกิดดับ
สลับอย่างรวดเร็วมาก ลองพิจารณาตามความจริง การถวายเงินทองแก่พระภิกษุสงฆ์
เป็นการร่วมกระทำผิดวินัยแล้ว เรากำลังช่วยให้ท่านได้มีโอกาสเจริญโลภะหรือว่าขัด
เกลากันแน่ การใช้จ่ายเงินทองส่วนมากเป็นไปในการสนองความต้องการใช่ไหม บาง
ทีถวายสิบบาทยี่สิบบาท แล้วต้องผิดวินัยสงฆ์จะคุ้มกันหรือเปล่าก็ไม่รู้


ขออนุญาติแนะนำคุณ O.wan ว่าหากเราจะมีส่วนช่วยในการทำลายพระวินัยแล้ว ไม่น่าจะเป็นทางที่สวัสดีเลย
หากอยากถวายทาน แม้ยาหม่องยาสีฟัน ยาแก้ไข้แก้ไอ แปรงฟัน มีดโกน แชมพูก็ถวายได้ ซื้อติดรถไว้ครับ อนุโมทนาครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ทำบุญแก่พระสงฆ์ที่อาพาธ เราก็ทำนะคะ ที่โรงพยาบาลจุฬาน่ะค่ะ จะบริจาคเลยแล้วแต่ทาง
โรงพยาบาลจะไปทำอะไร โมทนาสาธุด้วยนะคะ สำหรับคำแนะนำของท่านค่ะ :b8:
:b5: ได้บุญกระพร่องกะแพร่งเปล่าๆ
คุณคามิน แนะนำคำนี้เห็นภาพเลยนะคะ :b32: :b32:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ารู้สึกคับข้องใจ ก็อย่าทำเลย...
ไปโรงบาลสงฆ์ก็ดี จะได้บิลมาเผาเล่นด้วย อ้อ บริจาคโลงซิ ไม่มีใครเอาไปใช้เล่นเป็นแน่ อุอุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไปทำมาเดี๋ยวพระอด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b8: อยากขอความเห็นค่ะว่า เวลาที่คนมักนิยมใส่บาตรตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตามหน้าตลาด
ที่นิยมใส่บาตรกันมากในปัจจุบัน ที่จะมีพระมายืนคอยรับบาตร ข้างๆพระก็จะมีแม่ค้าคอยเรียก
คนซื้ออาหารที่จัดไว้เป็นชุดๆน่ะค่ะ ที่เราสังเกตบางครั้งก็จะมีการเวียนอาหารบ้าง หรือบางแห่งก็จะมี
ลูกศิษย์คอยหยิบใส่ถุงที่เตรียมมา แล้วก็จะมีรถคอยขนกลับวัด ท่านคิดอย่างไรกับการทำบุญแบบนี้คะ
:b8: ตามความคิดเรารู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ :b8: ทั้งกับแม่ค้าที่คอยเรียกด้วยค่ะ
เข้าใจค่ะว่าการทำบุญไม่ต้องหวังหรือคิดมาก ถ้าใจคิดอยากทำก็เป็นกุศลแล้ว
แต่พระท่านน่าที่จะเดินรับนะคะ อย่างแถวบ้านเรานะคะ ที่ตลาดมีพระยืนแยะมากเลยค่ะ
บางตลาดยืนเป็น 10 รูปเลยค่ะ บางครั้งเราก็เคยใส่ แต่จะใส่เป็นปัจจัยมากกว่าค่ะ
เพราะคนจะใส่อาหารแยะมากจนเราว่าท่านจะนำไปไหน
รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะคะ ว่าเราควรคิดอย่างไรดีที่จะไม่เป็นอกุศลจิต
ทุกวันก็จะใส่บาตรหน้าบ้านเดี๋ยวนี้เหลือพระเดินแค่องค์เดียวเองค่ะ :b8:

...ตัวเราเองก็เวียนแบบนี้แหละครับ เกิดมา...โต...แล้วก็ตาย...แล้วก็เกิดอีก...โตอีก...ตายอีก นี่พระท่านแสดงธรรมนะครับนี่... :b13:
อ้างคำพูด:
:b8: ทุกคำอธิบายค่ะ :b8:
แต่อยากถามต่อค่ะ ที่ว่าไม่สมควรที่จะใส่เป็นปัจจัย(เงิน) แล้วถ้าเราอยากทำบุญ
ได้ไม๊คะ ที่ตัวเองทำบ่อยๆคือ เวลาไปส่งลูกแต่เช้าไม่ได้เตรียมของไปใส่บาตร
เพราะบางครั้งเตรียมไปก็ไม่เจอพระ เพราะเราจะขับรถไปเลื่อยๆไม่มีโอกาสยืนคอย
แต่บางครั้งเจอพระก็ไม่ได้เตรียมน่ะค่ะ ถ้ามีจังหวะให้ใส่ได้ก็จะใส่เป็นปัจัยน่ะค่ะ
:b48: เคยมีบางคนบอกว่าใส่เป็นปัจจัยดีกว่าของ เพราะพระจะได้ของจากคนใส่มากแล้ว
ถ้าเป็นปัจจัยท่านจะได้เอาไว้เผื่อขาดเหลือที่จำเป็น ยามเจ็บป่วยไว้เป็นค่ายา ค่ารักษา
เราก็เลยพยายามที่จะใส่ปัจจัยค่ะ แต่ไม่มากมายนะคะ แค่ความสามารถของเรา
:b48: แต่อย่างท่านแนะนำว่าไม่สมควรก็จริงค่ะ เพราะเราเคยไปถวายของที่กุฏิพระนะคะ
ท่านก็จะมีพร้อมทุกอย่างเลยค่ะ เคยมีหลานคนหนึ่งนะคะไปบวชพระมา
สองพรรษาสึกมาเที่ยวคุย บวชพระดีนะมีเงินตั้งหลานหมื่นตอนสึกเพราะรับนิมนต์บ่อย
เราฟังดูแล้วแปลก แต่ก็คงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลน่ะคะ
:b48: ช่วยอธิบายต่อด้วยนะคะ เพราะจริงๆก็อยากทำทั้งสองอย่าง :b8:

ท่านพึงรู้ว่าคนที่ออกบวชนั้น(เอาเฉพาะสัมมาทิฏฐินะครับ)ละแล้วซึ่งความตะหนี่ ดังนี้แล้วสิ่งที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อคนเหล่านี้จึงมีเพียง ปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกเหนือจากปัจจัย 4 แล้วก็ถือว่าเกินความจำเป็น(แต่ก็มีได้มิใช่ไม่ได้...แค่เป็นภาระ) ส่วนเรื่องการใส่บาตรด้วยเงินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมครับ เพราะบาตรเอาไว้ใส่ของที่จะฉัน แล้วเราเอาเงินไปใส่ในบาตร บาตรก็เปื้อนสิครับ พระก็จะได้ฉันอาหารที่ไม่สะอาด... :b32: :b32:

แต่ถ้าปราถนาอยากทำบุญด้วยเงินล่ะก็แนะนำให้เลือกที่ทำหน่อยนะครับ เพราะเงินมันร้อน (เหมือนถ่านที่ยังดับไม่สนิด) ถ้าคนไม่รู้มาจับก็จะออกแรงกำมันก็ลวกมือ แต่ถ้าคนรู้จับเขาก็แค่ประคองไว้ ร้อนก็ร้อนอุ่นๆไม่ลวกมือ เราเอาเงินไปให้กับพระที่ไม่ได้ปฏิบัติก็เหมือนเอาถ่านไฟไปให้คนไม่รู้ถือนั่นแหละ มันทำร้ายเขา... :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron