วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 07:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณwalaipornกล่าวผิดๆอย่างไม่รู้เรื่องว่า

"การเห็นนิมิตต่างๆ แสงสว่าง รัศมี พระพุทธเจ้าหรือเทวดา หรือนิมิตต่างๆที่นอกเหนือจากนี้ หาใช่ทางของ วิปัสสนาไม่"

ผมจึงขอตอบว่า

1. หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ทวด แม้แต่หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่ดู่ พวกท่านล้วนพบแสงสว่าง และพบพระพุทธเจ้า เทวดา มาแล้วทั้งสิ้น ไอ้พวกที่ทำสมถะไม่ถึงขั้น ทำวิปัสสนาไม่ได้เรื่อง จำคำพูดดูถูกดูแคลนตามกันมา เพื่อจะอวดเก่ง และทำเป็นเหนือกว่า มาวิจารณ์ครูบาอาจารย์เสียๆหายๆ กระดูกของครูบาอาจารย์เหล่านี้ ล้วนเป็นพระธาตุเกือบทั้งนั้น

คัดจากคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ (พระมหาโพธิสัตว์) มาฝาก

แสงสว่างเป็นกิเลส ?

มีคนเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
มีผู้กล่าวว่าการทำสมาธิแล้ว
บังเกิดความสว่างหรือ
เห็นแสงสว่างนั้นไม่ดี เพราะเป็นกิเลส
มืดๆจึงจะดี


หลวงพ่อ(หลวงปู่ดู่)ท่านกล่าวว่า

"ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูกแต่เบื้องแรก
ต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส"
(อาศัยกิเลสส่วนละเอียดไปละกิเลสส่วนหยาบ)

แต่ไม่ได้ให้ติดในแสงสว่างหรือหลงแสงสว่าง
แต่ให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์

เหมือนอย่างเราเดินผ่านไปในที่มืดต้องใช้แสงไฟ

หรือจะข้ามแม่น้ำ มหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ
แต่เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่ได้แบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไป"

แสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นกัน
ผู้มีสติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแสงสว่างภายใน
ที่ไม่มีแสงใดเสมอเหมือนดังธรรมที่ว่า


"นัตถิ ปัญญา สมา อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี"


หลวงปู่ดู่ยังพูดเสมอว่า "อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ"

ผมขอตอบเพิ่มว่า ถ้าแสงสว่างเป็นกิเลส? งั้นเราก็ควรอยู่ในที่มืดๆ ซิครับพี่ เช่นใน ผับ, ในเลาจน์ เนี่ยะ มืดๆ กำลังดี ...

พบแสงสว่างภายในเท่ากับพบปัญญาแล้ว ถ้าอยากพบมืดๆข้างในอย่างเดียว ไปในนรกมืดซิครับ หรือถ้ายังมืดไม่พออีก ก็ไปโน่นเลย...โลกันตนรก นรกขุมนี้มืดเป็นพิเศษแน่ๆ รับรองไม่ผิดหวัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

" ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนอนันตการ "

อนึ่ง...กิเลสภายในเป็นความมืดมิด อมิตาภา(พุทธเจ้า) แปลว่า แสงสว่างอันไม่มีที่สิ้นสุด
โคตมะพุทธเจ้า โคตมะ = แสงสว่างของพระอาทิตย์

"นัตถิ ปัญญา สมา อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี"


2. การวิปัสสนาถ้าเห็นนิมิตเขาไม่ให้ไปสนใจ เพราะจิตใจอาจจะวอกแวก เสียสมาธิ และฟุ้งซ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่านิมิตนั้นไม่มีจริง ต้องแยกให้ออก นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าท่านเห็นนิมิตแสงสว่าง ท่านจึงรู้เห็นเทวดา พรหม ฯลฯ และในที่สุด ก็พูดคุยกับเทวดา พรหม ฯลฯ ได้


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 08 ก.พ. 2009, 13:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


๑) วิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่คำที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้น แต่เป็นศัพท์ใหม่ของคัมภีร์ชั้นหลัง
เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และเกิดขึ้นกับนักภาวนาบางคน แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่

๒) วิปัสสนูปกิเลส เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนา แล้วเกิดผลบางอย่างที่ดี แล้วเกิดความติดใจ เช่น เห็นแสงสว่าง ก็อาจจะเห็นภพภูมิในปรโลก เลยติดใจ จึงไม่ทำให้อยากไปไกลเกินกว่านั้น หรือบางทีถึงขั้นเข้าใจว่าเป็นการบรรลุมรรคผล เพราะผู้บรรลุมรรคผลก็เห็นแสงสว่างภายในเหมือนกัน

แต่การจะรู้ว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ากิเลสภายในเขาเกิดขึ้นจากการเห็นแสงสว่างภายในหรือเปล่า?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณwalaipornครับ


คุณนี่ ... ยังไม่เข้าใจในผลพลอยได้ของสมาธิ ยิ่งคุณไปปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วย เสร็จกิเลสมันเลย คุณยังไม่ไปถึงไหนเล๊ย คุณพลศักดิ์ ยังย่ำๆๆๆๆ แล้วก็ยังย่ำๆๆๆๆ ติดอยู่กับ อุปกิเลส ยังไม่รู้ตัวอีก


หนูจ๋า!!! หนูนี้ช่างโง่จริงๆ หนูฉลาดมากเลยเรื่องโง่ๆ นิมิต และแสงสว่าง มีทั้งนิมิตปลอม และแสงสว่างจากกิเลส = วิปัสสนูกิเลส และก็มีนิมิตจริง และแสงสว่างจริง ที่ไม่ได้เกิดจากกิเลส แต่เกิดจากปัญญา

การจะรู้ว่า นิมิต และแสงสว่างไหน เป็นของปลอม มาจากกิเลส หรือเป็นนิมิต และแสงสว่าง ที่ไม่ได้เกิดจากกิเลส แต่เกิดจากปัญญา ดูได้ที่เมื่อเห็นนิมิตและแสงสว่างนั่นแล้ว ผู้เห็นมีกิเลสติดยึด = หลง หรือไม่ ถ้าผู้เห็นไม่มีกิเลส ไม่มีการติดยึดนิมิตและแสงสว่าง = ไม่หลง = ปัญญา


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 05 ก.พ. 2009, 22:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


:b22: :b22: :b22: :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2008, 16:50
โพสต์: 175

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อนโมทนาครับ คุณพลศักดิ์ :b8:

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร