วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 14:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


มีคนจำนวนมากคิดว่า องคุลิมาลหนีกรรมได้เพราะบรรลุอรหันต์ เข้านิพพานไป เหมือนเข้าสู่เส้นชัยไปแล้ว วิปากกรรมก็มิอาจส่งผลได้อีก ไม่ต้องชดใช้กรรมใดๆอีกต่อไป กรรมที่เคยทำไว้จะกลายเป็นอโหสิกรรมไป แม้แต่กรรมที่ฆ่าและตัดนิ้วมือคน 999 คน

เรื่องนั้นถูกเพียงส่วนเดียว แต่ผิดในเรื่องวิบากกรรมในการฆ่าและตัดนิ้วมือคน 999 คน ผมไปตอบปัญหาของบางท่านในเว็บพลังจิต นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เลยนำมาลงในเว็บนี้ด้วย

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Jintasak

ที่สับสนกันอยู่คือ เราไปขออโหสิกรรม กับกรรมของเรา ซึ่งจริงๆ ทำไม่ได้ ...เราขออโหสิกรรมได้เฉพาะ กับผู้ที่ผูกเวรกับเรา


" เราไปขออโหสิกรรม กับกรรมของเรา ซึ่งจริงๆ ทำไม่ได้ ...เราขออโหสิกรรมได้เฉพาะ กับผู้ที่ผูกเวรกับเรา "

ผมตอบว่า


ทำได้ครับ พระพุทธเจ้าเรียกว่า การก้าวล่วงบาปกรรม พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร

เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "


ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แม้เจ้ากรรมนายเวรไม่ได้ให้อภัย ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป


ตัวอย่าง


1. หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ในวัยเด็กท่านเคยฆ่าไก่ตายเป็นจำนวนมากด้วยการหักคอไก่ ต่อมาหลังจากท่านมาบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็สำนึกในบาปกรรมที่เคยได้ทำในวัยเด็ก และท่านก็รู้ในจิตของท่านจากการปฏิบัติกรรมฐานด้วยว่า เหล่าวิญญาณไก่ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านตามมาทวงหนี้แล้ว ท่านก็ต้องรับผลกรรมนั้น โดยต้องคอหักตายในวันที่ 14 ตุลาคม 2521 (ขออภัยถ้าจำผิด)

และแล้ว.....เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ ท่านรถคว่ำคอหัก แต่ทว่าท่านไม่ตายครับ อยู่ต่อมาถึงทุกวันนี้ให้เราได้กราบไหว้ เป็นผลมาจากการสำนึกบาปหรือการก้าวล่วงกรรมของท่าน ทำให้วิบากกรรมของท่านนั้นเบาบางลงนั่นเอง


2. องคุลิมาล คนส่วนใหญ่แม้กระทั่งพระสงฆ์ต่างก็เข้าใจผิดว่า องคุลิมาลหนีกรรมได้เพราะบรรลุอรหันต์ เข้านิพพานไป นั่นเป็นความคิดที่ผิด สิ่งที่ถูกคือ องคุลิมาลท่านก็สำนึกบาป ทำการก้าวล่วงบาปกรรม ทำให้วิบากกรรมทางโลกท่านเบาบางลง ส่วนวิบากกรรมในปรโลกท่านไม่ต้องรับ แม้ว่าองคุลิมาลท่านฆ่าคนมามาก เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ :


คัดจาก ๓๖. อังคุลีมาลสูตร สูตรว่าด้วยพระองคุลิมาล

http://www.baanjomyut.com/pratripido...pidok/504.html


ต่อมาท่านบำเพ็ญเพียรก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์.(ประโยคต้นนี่แหละทำให้เกิดความสับสน เมื่ออ่านคำพูดของพระพุทธเจ้าจะเข้าใจ) เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือกไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่นมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน.

ย้ำ!!! พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน.

ด้วยเหตุนี้ วิบากกรรมทางโลกขององคุลิมาลเบาบางลง ส่วนวิบากกรรมในปรโลกท่านไม่ต้องรับ สาเหตุมาจากองคุลิมาล ท่านทำการก้ารล่วงบาปกรรม นั่นเอง ไม่ใช่สาเหตุมาจากท่านบรรลุอรหันต์ แล้วไม่ต้องรับผลกรรมอันนี้

.................................................................................................


มีผู้ถามพระพุทธเจ้าเรื่องที่เราต่างทำบาปมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นต้องตกอบายตกนรกทั้งนั้นน่ะซิ พระพุทธเจ้าตอบดังนี้


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค


.......พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย

และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์

มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้

เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้(สำนึกบาป ยอมรับความผิด) เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย(แล้วตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นอีก ขบวนการทั้งหมดเรียก การก้าวล่วงบาปกรรม) เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

[๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน(การลักทรัพย์)โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทานทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย

ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ผู้นอบน้อมสุดใจ
บาปติดตัวอยู่ดีแหละครับ แต่สำนึกได้ก็คงผ่อนหนักเป็นเบาประมาณนั้นมั้งครับ



สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมืองนาลันทา .......พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร และ มุสาวาทโดยเอนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร และ มุสาวาท

ก็กรรมดำที่เราทำมีอยู่มากมาย ข้อที่เราทำกรรมดำนั้นไม่ดี ไม่งาม เราแลพึ่งเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ทำบาปกรรมนั้นอีกเด็ดขาด (เริ่มขบวนการก้าวล่วงบาปกรรมขั้นแรก - สำนึกบาป)เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละเว้นกรรมดำนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากกรรมดำนั้นด้วย(ขบวนการก้าวล่วงบาปกรรมขั้นสุดท้าย) เป็นว่า เขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้

พระไตรปิฏกสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย อสังขาสูตร เล่มที่ 28

และ

จากหน้า 230 หนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ของคณะสังคมผาสุก เพื่อความผาสุกของสังคม

" อนึ่งการก้าวล่วงบาปกรรมนี้ คือการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกจากจิตเสีย เมื่อไม่มีอกุศลจิตแล้ว จิตนั้นก็ชื่อว่าพ้นจากบาปกรรม หากยังคงรับผลร้ายอยู่บ้าง ก็จักเป็นเพียงเศษกรรมเก่าอยู่นั้น....."


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 22 ม.ค. 2009, 23:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ผู้นอบน้อมสุดใจ
ตกลงคือหนีได้และล้างได้หรอครับ



ไม่ใช่อย่างนั้น.... การก้าวล่วงบาปกรรม เป็นการทำให้กรรมดำที่มีวิบากดำ กลายเป็นกรรมขาว และวิบากกรรมดำกลายเป็นเศษกรรมไป และจะกลายเป็นกรรมขาวและวิบากกรรมขาวในภายภาคหน้า(ถ้ามีเวลา)

แต่ถ้าเราไปการก้าวล่วงบาปกรรมใกล้ตาย แม้ว่าวิบากกรรมดำที่จะนำเราไปนรก จะกลายเป็นเศษกรรมไปแล้ว แต่เศษกรรมในนรก ก็คือ ภูมิเปรต และสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้นเราควรทำการก้างล่วงบาปกรรมเสมอ(เหมือนชาวคริสต์) ไม่ใช่ทำเฉพาะใกล้ตาย

จากหนังสือธรรมชาติของสรรพสิ่ง เล่มเดิม ให้ตัวอย่างไว้ชัดเจนมาก

นายดำเคยประทุษร้ายบุคคนผู้ไม่ผิดมาแต่กาลก่อน บัดนี้กรรมนั้นทำให้นายดำโดนประทุษร้ายโดยไม่มีความผิด นายดำสามารถเลือกตอบสนองได้ 3 วีธี คือ

1. เฉย ยอบรับวิบากกรรมอันนั้น ถือว่ากรรมสิ้นสุดลง
2. ประทุษร้ายตอบ เท่ากับพอรับผลกรรมดำแล้ว ก็สร้างกรรมดำขึ้นมาใหม่ ในภายภาคหน้าก็จะโดนประทุษร้ายอีก
3. อภัย และแผ่เมตตา เท่ากับรับวิบากกรรมดำเก่าแล้ว ก็สร้างวิบากกรรมขาวขึ้นมาแทน ในกาลต่อไป ศตรูนั้นก็จะกลายเป็นมิตร หรือได้รับวิบากกรรมขาวแทน

ดูตัวอย่างพระเทวทัต ถ้าท่านไม่ได้ทำอนันตริยกรรมหลายอย่าง กรรมดำและวิบากกรรมดำของท่าน ถ้ามีเวลาพอคงจะกลายเป็นกรรมขาวและวิบากกรรมขาวแน่นอน ดังนั้นเราควรทำการก้าวล่วงบาปกรรมเสมอ ไม่ใช่ทำเมื่อใกล้ตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง : บุคคลทั่วไป :

ไม่มีใครหนีกรรมพ้น อย่าสิคนดีที่โลกลืม พระองคุลีมาล หลังจากได้พบบรมครูแล้วท่านได้ทำกรรมอันหนักอันใดอึก กรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติซึ่งสติปัฎฐานสี่ยังไงเล่า สามารถละวางคนเห็นผิดในอัตตาได้ เมื่อละวางความเห็นผิดได้จะเอาตัวเอาตนที่ไหนมารับกรรมเล่า ( ย้ำนะละวางความเห็นผิดไม่ใช่ทำลายอัตตา เพราะทำลายไม่ได้เพราะไม่มีให้ทำลาย )เหนือสังสารไปโดยปริยาย อย่าลืมนะกรรรมแห่งสติปัฎฐานก็มี อย่ามองคำว่ากรรมเก่าต้องเลวไปเสียทั้งหมด




ย้ำ!!!


เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือกไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่นมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน.

หัดใช้หัวคิดบ้างครับ การเข้านิพพานไม่ต้องรับผลกรรมแล้ว อันนั้นก็ใช่ พระพุทธเจ้าจะพูดข้อความนี้ทำไม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นคนละเรื่อง คำพูดของพระพุทธเจ้าท่อนนี้ ชี้ชัดว่าเป็นเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม ที่ทำให้วิบากกรรมเบาลง โดนแค่ถูกประชาทัณฑ์ และไม่ต้องตกนรก

หลักฐานแวดล้อมมัดแน่นจนดิ้นไม่ได้แล้ว พวกมารยังกล้าสิงใจคุณค้ำจุน ให้รักษาค้ำจุนสัทธรรมปฏิรูปที่พวกมันทำขึ้นตั้งแต่ 500 ปีหลังปรินิพพาน โดยมารพวกนี้สิงใจสมมุติสงฆ์เถรวาทให้ไม่เข้าใจพระสัทธรรมแท้จริงของพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ณ.แห่งนี้มีธรรมะ และกัลยาณมิตร

และกระทู้สร้างสรรค์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร