วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 14:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ ยังจำผมกันได้ไหม Astroboy เองครับ
สืบเนื่องจากกระทู้ที่แล้ว

[flash=]http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19878[/flash]

ว่าด้วยหลักการศรัทธาเชื่อมั่น

ขอโทษทีครับที่บอกว่าจะมาตอบก่อนวันอังคาร
และถึงทุกคนที่พยายามจะเข้ามาแสวงหาความจริง และบรรดาผู้ให้ความรู้จากบอร์ดที่แล้วทั้งหลาย และบรรดาผู้คอยติดตาม

หลายคนคงอ่านแล้วทำความเข้าใจ แต่หลายคนก็ยังนั่งมองดูอย่างผ่านๆ เพราะมัวแต่ไปสนใจว่านี่คำถามของพวกบัวในตม

ตอนแรกก็ว่าจะเข้ามาหาข้อมูลเท่านั้น และแต่ละคนที่ตอบก็ไม่เห็นจะมีใครตรงประเด็นสักคน แล้วบางคนก็แสดงความโง่ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน อย่างเช่น

อ้างอิงคำพูด :
ตึกempire state ก็มีข้อเท็จจริงว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก
แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ตายไปหลายปีแล้ว ดับไปหลายปีแล้ว

ปัจจุบันไม่ใช่ตึกนี้แล้ว
ทำไมถึบอกว่าพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ตายได้นะ เปลี่ยนแปลงได้นะ
แต่เอาล่ะ เรื่องเล็ก แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆที่แสดงให้เห็นนัยย์สำคัญบางอย่าง



คำพูดบางคำไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำพูดของผู้ที่เรียกตนเองว่าบัวพ้นน้ำ เหมือนเป็นการประจานตัวเองว่าเป็นผู้ไร้สติปัญญา ไม่เคยจับใจความว่าอันที่จริงแล้วผมอยากถามอะไร ผมพยายามจะสื่อถึงอะไร และหลายครั้งผมก็พยายามที่เขียนตอบกลับไป แต่คนพวกนี้ ก็ยังไม่อ่านและทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพิมพ์ไปอยู่ดี อ้างวิทยาศาสตร์อ้างนู่นอ้างนี่ไม่เลิกไม่รู้จักจบจักสิ้น และผมเองก็เบื่อที่จะเถียง เพราะว่าเถียงไปก็ไร้ค่ากับพวกที่เรียกตนเองว่าบัวพ้นน้ำ และบางทีการพูดตรงๆนั้นมันก็เหมือนกับเป็นการทำร้ายจิตใจ กล่าวหาว่าเป็นการดูถูกเหยียบหยามศาสนาคุณบ้าง หลายครั้งที่ผมพยายามบอกกับตัวเองว่าพอแล้ว เลิกไปเถียงกับคนพวกนั้นได้แล้ว และหลายครั้งก็ได้ฉุกคิดขึ้นได้ ว่าคนพวกนี้เองก็เช่นกันที่พยายามจะค้นหาสัจธรรมที่แท้จริงนั้นคืออะไร และก็คิดได้ว่าจะมีสักกี่คนที่พยายามสนใจในเรื่องพวกนี้
แต่ตรงกันข้าม พอจะพูดข้อมูลของตัวเองออกไปบ้างก็กลายเป็นการเผยแพร่ศาสนา พยายามที่จะหาช่องโหว่ของกันและกันขึ้นมาถกเถียง บ้างก็กล่าวหาว่าผมกู้ร้องบ้าง บัวในตมบ้าง พูดจาขัดแย้งกันเองบ้าง

ลองมาดูกันว่าไหนล่ะคนที่พยายามที่จะรู้จริง ไหนล่ะคนที่เชื่อมั่นในสัจธรรม ไหนล่ะคนที่เชื่อมั่นในกฎของเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ

สรุปก็คือความรู้ในสิ่งที่ผมต้องการนั้นก็คือ คำอธิบายคำว่าสัจธรรมในพุทธศาสนาที่ผมได้พยายามตั้งคำถามตั้งมากมายขึ้นมาเพื่อให้พวกคุณได้ตอบกันมา สิ่งที่ผมพยายามหาคำตอบจากบอร์ดที่แล้ววันนี้มันก็คือคำตอบที่หลุดออกมาจากพวกทั้งนั้น ทั้งๆที่พวกท่านเองก็ยังชื่นชมและยินดีในสิ่งที่พวกท่านได้ตอบกันออกมา ผมจะเอาข้อมูลของที่พวกท่านให้ผมมาจัดระเบียบให้พวกท่านได้อ่านกันอีกสักครั้ง


วันนี้จะไม่ขอต่อล้อต่อเถียงกับผู้ที่เรียกตนเองว่าบัวพ้นน้ำจากหน้าบอร์ดที่แล้ว ที่แต่ผมจะลองมาเขียนให้คุณวิเคราะห์กันดูบ้าง จะไม่พยายามพูดอ้อมค้อมให้เสียเวลาเหมือนบอร์ดที่แล้ว อาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็ขอร้องสำหรับคนที่เข้ามา ให้พยายามอ่านและทำความเข้าใจและจับใจความ และจะพยายามเขียนโดยใช้ภาษาที่ง่ายและรวบรัดเพื่อให้หลายคนได้ทำความเข้าใจได้ โดยพยายามยึดเอาคำตอบของพวกคุณไว้ให้มากที่สุด แล้วอย่ามาดูถูกว่านี่คือการเผยแพร่ศาสนาหรือเป็นการเหยียบศาสนาของคุณเพื่อยกศาสนาของผมให้สูง เพราะผมรู้ว่าคนที่เรียกตัวเองว่าผู้มีสติปัญญาควรทำอย่างไร หากแต่จะบอกให้คุณทราบว่าผมมองความจริงมีลักษณะอย่างไร มาดูว่าอะไรคือเหตุผล และอะไรกันแน่คือสัจธรรม อะไรกันแน่ที่คือความงมงาย

และเหตุผลที่วันนี้ผมยังเลือกที่จะมาพูดในบอร์ดนี้เพราะผมเห็นว่าได้เปิดประเด็นไปเยอะแล้วและข้อมูลหลายอย่างก็มาจากพวกท่านทั้งนั้น และเห็นว่ายังมีอีกหลายคนพยายามที่จะติดตาม และใช้สติปัญญาที่มนุษย์ได้มาพิจารณาหาความจริงอันสูงสุด
ก่อนอื่นขอร้องก่อนเลยสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านความคิดเห็นอื่นๆที่ผมพิมพ์ลงไปในกระทู้ที่แล้ว ให้ไปอ่านให้เข้าใจก่อนที่จะมาดูในบอร์ดนี้ เพราะจะได้รู้ว่าใครกันบ้างที่ตอบกันไว้ว่าอย่างไร และผมจะไม่ขอตอบกลับคอมเม้นหลังๆแล้ว เสียเวลาพูดวนไปมาร้อยรอบก็ไม่ยอมเปิดใจเพื่อทำความเข้าใจ และก็ไม่อยากจะพูดให้ดูเหมือนว่าเป็นการประจานให้เสียความรู้สึก ยิ่งคอมเมนต์หลังๆของบอร์ดที่แล้วนี่ไม่รู้สึกละอายแก่ใจกันบ้างเลย ที่ไม่พยายามอ่านและทำความเข้าใจ แต่ก็อยากที่จะโพสต์ออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไร้ซึ่งสติปัญญาของตนเอง

และขอเน้นย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่การท้าชนศาสนา ไม่ได้เป็นการมาทำให้ปั่นป่วน แต่เป็นการพูดถึงกันในเรื่องของสัจธรรมเท่านั้น พูดถึงเหตุและผลที่หลายคนพยายามอ้างมันหนักหนา
และผมก็ไม่กังวลด้วยว่าบอร์ดนี้จะถูกลบ เพราะว่าผมรู้ว่าบอร์ดนี้เป็นบอร์ดสำหรับเผยแพร่ พุทธศาสนา และผมก็จะใช้สิ่งเหล่านี้ที่มันมาจากพวกคุณ เช่น ไม่ได้สอนให้เชื่อแต่ให้ลองปฏิบัติเองดูถึงจะรู้ รวมถึงสอนให้ใช้เหตุผลต่างๆ
อ้างอิงคำพูด :
ทางเว้บช่วยพิจารณาด้วยละกันครับว่าถ้ากระทู้มันส่อไปในทางศาสนาเปรียบเทียบ
ก็ควรจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถ้าคุณ astroboy ต้องการคุยลักษณะนั้น ให้ไปห้องศาสนาของพันทิพย์
ที่นั่นมีผู้ทรงภูมิทุกศาสนา ยอมรับกระทู้ของทุกศาสนา



ที่นี่เขามีขอบเขตว่าเป็นเว็บเผยแพร่คำสอนศาสนาพุทธครับ
ใครสงสัยอะไรในพุทธก็ถามได้คุยได้
แต่ไม่ใช่ว่ามาใช้อุบายแกล้งถาม
จะได้สบช่องหาเรื่องคุยเปรียบเทียบศาสนาให้มันวุ่นวายขึ้นมา


แต่กระนั้นก็ดีมันก็อาจเป็นสิ่งที่ประจานตัวของพวกคุณเอง ที่ว่าพวกคุณนั้นกลัวความจริง และไม่กลัวที่จะเป็นผู้ปฏิเสธศาสนาของตัวเองที่ให้ใช้เหตุผล เหมือนที่หลายคนกำลังกลัวในสัจธรรมที่กำลังจะปรากฏ ผมก็จะรอดูว่า สำหรับผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในกฎของเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ เชื่อมั่นในสัจธรรมทั้งมวล จะมีใครแสดงความไร้สติปัญญาออกมาให้เห็นกันบ้าง คอยดูให้ดีว่าส่วนไหนคือศาสนาเปรียบเทียบ จะมีไหมที่ส่วนไหนคือการพูดเพื่อเข้าข้างศาสนาของผม

และแน่แท้สำหรับผู้ที่เขลานั้นก็พยายามที่จะปฏิเสธอย่างทุกวิถีทางหากพวกเขาไม่พอใจ


ผมมีอะไรอยากให้พวกคุณรู้อะไรอีก 1 อย่าง:
อ้างอิงคำพูด :
ศาสนาพุทธที่ผมน้อมรับสถิตไว้ประจำใจด้วยศรัทธาแรงกล้า ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์แบ่งเป็นบัว4เหล่า ดังนั้นพระพุทธองค์จึงแบ่งการธรรมไว้ ตั้งแต่ พื้นๆคือใช่ศรัทธาเป็นพื้น จนถึงระดับ ใช่ปัญญาเป็นพื้น ดังนั้นจึงตอบได้ว่า เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ด้วยและเป็น สัจธรรมด้วย


เพราะว่าทุกวันนี้คุณมองระดับสติปัญญาของคนเพียงแค่บัว 4 เหล่า และเพราะว่าคุณมีทิฐิและพยายามเชื่อในสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้พยายามพูดต่อกันมาว่ามันมีเพียงแค่ 4 เหล่า พวกคุณหลายคนพยายามผลักดันตนเองให้ได้ชื่อว่า บัวพ้นน้ำ จนทำให้คุณลืมนึกถึงข้อเท็จจริงที่พวกคุณกำลังมองข้ามมันไปและไม่เคยนึกถึงมันเลย ว่าจริงๆแล้วมันมีมากกว่านั้น
แน่นอนสุดยอดของความต่ำที่สุดของระดับปัญญาคนนั้นคือบัวในตม ใครๆก็คงไม่มีใครอยากมีระดับปัญญาอย่างเช่นบัวในตม แต่หารู้ไม่บัวตมนั้นถ้ามีผู้มาขุดหน่อมันไป เอามันไปบำรุงใส่ปุ๋ย แน่นอนสักวันหนึ่งมันก็อาจจะกลายเป็นบัวบานที่สูงตระหง่านพ้นน้ำได้

และอะไรคือบัวเหล่าที่ 5
บัวเหล่านี้เกิดไม่ได้ติดอยู่ใต้ตม ไม่ได้ลอยตระหง่านอยู่บนพื้นน้ำ แต่ว่ามันติดอยู่ภายในโพรงของคอนกรีต และลักษณะอย่างไรที่ทำให้คุณได้รู้ว่าอะไรคือบัวใต้โพรงคอนกรีต
แน่นอนคอนกรีตนั้นเป็นการยากที่จะมีสิ่งใดโผล่ทะลุออกไป บัวพวกนี้จะอยู่แต่ในโพรงคอนกรีตเล็กๆที่มืดมิด มีเพียงแสงหิ่งห้อยหรือแสงไฟฉายจากนายพรานผู้มาส่องกบส่องเขียดเท่านั้นที่เล็ดลอดเข้าไปได้ พวกมันจะคิดว่าแสงหิ้งห้อยนั้นคือแสงจากดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่านายพรานจะพยายามส่องแสงต่างๆเข้าไปในโพรง เพื่อที่จะให้บัวพวกนี้ได้รู้ว่า ภายนอกโพรงของพวกมันนั้น ยังมีอะไรที่มากมายที่พวกมันไม่เคยจะออกมาดู แต่พวกมันก็ไม่เคยที่จะสนใจในแสงไฟของนายพราน เพราะว่าพวกมันนั้นกำลังหลงระเริงและพอใจอยู่กับแสงหิ่งห้อยที่พวกมันคิดว่าเป็นแสงดวงอาทิตย์ แต่กระนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าจะมีผู้พยายามสกัดคอนกรีตออกมา มันก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาถอดรากของตัวเองให้พ้นจากแผ่นดินใต้คอนกรีตนั้น และเพราะว่ามันมัวแต่อยู่ในโพรงจึงไม่รู้สภาพอากาศรอบข้างว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร แต่กระนั้นก็ดีถ้าวันหนึ่งมันออกมาได้มันก็คงไร้ความสามารถที่จะรู้สึกได้ ว่าสิ่งใดร้อน สิ่งใดหนาว ก็เพราะว่าหัวใจของพวกมันตายด้านกันไปซะแล้ว



เหตุอันใด ทำไมผมต้องยกเรื่องต่างๆจากบอร์ดที่แล้วขึ้นมาถาม วันนี้ผมจะขออธิบายคำตอบด้วยตัวผมเอง



ขอนิยามคำศัพท์ สำหรับบรรดาผู้หลงใหลในวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และพยายามจะอ้างมันขึ้นมา( อ้างอิงจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี 2542 )

วิทยาศาสตร์ : ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ , วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผล แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ
ธรรมชาติ : สิ่งที่เกิดมี และเป็นอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้นๆ ,ภาพภูมิประเทศ ว. ที่เป็นไปเองโดยมิได้ปรุงแต่ง เช่น สีธรรมชาติ

คำอธิบาย
ให้เราสร้างกล่องใบหนึ่งถูกสร้างจากวัสดุชั้นเลิศ ใส่อะไรก็ได้ที่อย่างจะใส่ลงไป แล้วปิดมันเอาไว้อย่างหนาแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ให้มีอะไรสามารถผ่านเข้าหรืออกจากกล่องใบนี้ได้ แม้แต่พลังงาน หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิด
จักรวาลก็เช่นกัน เปรียบเสมือนกับพื้นที่ว่างเปล่าภายในกล่อง ประกอบไปด้วยสสารมากมาย พลังงานอันมหาศาล รวมทั้งสิ่งที่ยังบอกเหตุผลต่างๆไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงในจักรวาล เช่นหลุมดำ
ธรรมชาติ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง และกระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้น ภายในกล่องใบนี้ หรือจักรวาลแห่งนี้
วิทยาศาสตร์ ก็คือ ความรู้ที่ได้จากการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ก็คือศาสตร์ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ และปรากฏการณ์ต่างที่เกิดขึ้นอยู่ภายในกล่องใบนี้ โดยที่ไม่เคยเลยที่จะมีผู้พูดถึงว่าเหตุอันใดล่ะ ที่สิ่งของหรือสสารต่างๆ รวมถึงหลุมดำที่พวกคุณพยายามให้ผมอธิบาย มาอยู่ภายในจักรวาลแห่งนี้ได้ จากสิ่งที่มันไม่มีทำไมกลายเป็นมีขึ้นมา มัวแต่ไปสนใจว่าในกล่องนี้มีอะไร และมีกระบวนการเกิดขึ้นอย่างไร

พระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มีจริงหรือ? อะไรที่มันขัดแย้งกับพวกคุณ
และเราจะพูดออกมาในเชิงเหตุผลว่าอย่างไร ใครกันแน่ที่งมงาย


1. สสารและพลังงาน
วิทยาศาสตร์นั้นก้าวไกล สามารถพิสูจน์อะไรที่มีอยู่ในธรรมชาติได้มากมายถึงระดับอะตอมที่ขนาดเล็กมากๆ ได้ข้อสรุปที่พิสูจน์ได้ และมีเหตุผลมากมาย เช่นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสสาร ถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปขนาดไหนก็ตาม แต่ปริมาณของมวลสารนั้นยังคงเดิมไม่หายไปไหน เช่นร่างกายของมนุษย์ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือโปรตีน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ C,H,O ต่างๆมายมาย แต่เมื่อคนตายไปแล้ว ซากศพนั้นเกิดการย่อยสลาย โปรตีนที่เกิดจากการรวมตัวกันของอะตอมธาตุต่างๆนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายไปเป็นสารประกอบอย่างอื่นแทน โดยปริมาณมวลของสสารที่เกิดจากรวมตัวกันของสารประกอบโปรตีนนั้นยังคงอยู่มิได้หายไปไหนทั้งสิ้น

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พยายามหาต้นตอของสสาร โมเลกุล แร่ธาตุ อะตอม คว้าก ย่อยลงไปเรื่อยๆพบว่ามันคือพลังงาน อย่างเช่น มวลสารที่หายไปจากการรวมตัวกันขององค์ประกอบภายในนิวเคลียสของธาตุต่างๆนั้นกลายไปเป็นพลังงานยึดเหนี่ยว ตามทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ E =mc2 และทุกวันนี้วิทยาศาสตร์นั้นมีสมมติฐานที่เกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาลอยู่มากมาย รวมถึงทฤษฎีที่ว่าการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (Bigbang) ได้รับความนิยมสูงสุด แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจบอกได้ว่าสสารและพลังงานที่มันเกิดการอัดแน่นจนเป็นเหตุให้เกิดการระเบิดนี้มาจากไหน
คำถาม สสารและพลังงานพวกนี้มาอยู่ในจักรวาลนี้ได้อย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
สมมติฐาน
1. มันมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมตั้งแต่ระยะเวลาลบอนันต์
2. มันอุบัติขึ้นมาเอง หรือว่ามันคือกระบวนการที่เกิดและดับด้วยตัวของมันเอง
3. มีผู้ทำให้มันเหล่านี้เกิดขึ้นมา

วิเคราะห์
1. สมมติฐานข้อที่ 1 ที่กล่าวว่ามันมาจากระยะเวลาลบอนันต์นี้
ความคิดที่ขัดแย้งกับสมมติฐานข้อที่ 1 : ทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ
แนวความคิดนี้กำลังจะบอกว่า สสารหรือพลังงานนั้น มันเกิดมีอยู่ในกล่องมาอยู่แล้ว ไม่ได้มาจากนอกกล่องใดๆหรือมีใครเอามาใส่ไว้ทั้งสิ้น ซึ่งตามหลักความจริงและเหตุผลแล้วสมมติฐานนี้ยังมีความเป็นไปได้ ว่ามวลสารและพลังงานต่างๆนั้นมีอยู่ในกล่องมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้วไม่ได้หายไป (T)
2. สมมติฐานข้อที่ 2 ที่กล่าวว่ามันอุบัติขึ้นมาเอง หรือว่ามันกระบวนการที่เกิดและดับด้วยตัวของมันเอง
ความคิดที่ขัดแย้งกับสมมติฐานข้อที่ 2 : ทุกอย่างมีเหตุนั้นก็ต้องมีผล
เพราะว่าถ้าจะถามว่า เหตุอันใดหรือที่สิ่งพวกนี้ถึงอุบัติขึ้นมาในจักรวาล และเหตุอันใดสิ่งเหล่านี้ถึงเกิดขึ้น และดับลงด้วยตัวมันเอง คนที่เชื่อในความคิดนี้แน่นอนย่อมไม่ใครสามารถหาคำตอบของเหตุเหล่านี้ได้ แต่ถ้ามีผู้จะตอบ ซึ่งแน่นอนมีคำตอบเพียง 1 เดียวที่จะตอบได้คือ การมีอำนาจอย่างหนึ่งทำให้มันอุบัติหรือมีการเกิดดับ* แต่ถ้ามองในแง่ของความจริง การที่จะให้อะไรก็ตามจากที่มันว่างเปล่ากลายมาเป็นมีขึ้นมาย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ เช่นกล่องของเราที่ปิดผลึกไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่มีอะไรที่จะสามารถผ่านเข้าไปได้ ก็แน่นอนว่าถ้าภายในนั้นเป็นสิ่งว่างเปล่าก็จะไม่มีสิ่งใดอุบัติขึ้นมาเองได้ นอกจากจะเปิดกล่องให้มันเข้าไป เพราะฉะนั้น จักรวาลก็เช่นกัน ที่ทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นสสารหรือพลังงานใดๆก็ตามที่มันอุบัติขึ้นมาเองภายในจักรวาลแห่งนี้ สมมติฐานนี้จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน (F)
3. สมมติฐานข้อที่ 3 ที่กล่าวว่ามีผู้ทำให้สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาในจักรวาล แน่นอนการที่กล่องของเราที่ปิดผลึกไว้อย่างดีโดยไม่มีอะไรผ่านเข้าออกได้นั้น จะมีอะไรอยู่ภายในนั้นได้ก็เพราะว่ามีผู้เปิดกล่องนั้นออกแล้วเอาสิ่งต่างๆมาใส่ เช่นเดียวกันที่ทุกวันนี้พลังงานหรือบรรดาสสารต่างๆ รวมถึงจักรวาลนั้น มีผู้ทำให้มันเกิดขึ้นอยู่ภายในจักรวาลนี้อย่างแน่นอน ซึ่งตามหลักความจริงแล้วสมมติฐานนี้มีความเป็นไปได้ (T)

จากสมมติฐานข้อที่ 1 และ 3 นั้นยังไม่มีเหตุผลอะไรมาหักล้างได้ทั้งสองกรณี แต่ความเป็นจริงแล้วนั้นมีเพียงสมมติฐานเดียวเท่านั้นที่เป็นความจริง ไม่ 1ก็ 3




2. อำนาจ
หินก้อนหนึ่งตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แน่นอนว่ามันต้องตกลงเพราะแรงดึงดูดของโลก
กล่องใบหนึ่งตั้งอยู่เฉยๆ แน่นอนมันจะเคลื่อนที่ได้ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปออกแรงทำให้มันเคลื่อนที่
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงหรือผุพังไปตามกาลเวลาก็จะต้องมีปัจจัยทำให้มันผุพัง อาจจะเกิดจากลมพัด หรือ การกัดเซาะของน้ำ หรืออาจจะเป็นการย่อยสลายของพวกจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง
โลกและดวงอาทิตย์รวมถึงบรรดาทุกอย่างในจักรวาลนั้น ที่กำลังโคจรและเคลื่อนที่อยู่ เคยมีแรงที่ไปกระทำกับพวกมันให้พวกมันเคลื่อนที่ และพวกมันอยู่รวมกันเป็นระบบอย่างเช่นระบบสุริยะ ที่บรรดาดาวต่างๆโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยมีขนาดของแรงดึงดูดและโคจรในรัศมีที่ต่างกันเพื่อที่พวกมันจะไม่ชนกัน วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้แค่ว่ามีแรงอะไร ขนาดเท่าไหร่ไปกระทำกับมัน กระบวนการเป็นอย่างไร แต่ไม่เคยเลยที่จะบอกว่า เหตุอันใดถึงมีเท่านี้ ถ้ามีมากกว่านี้จะส่งผลต่อชีวิตอย่างไร รวมถึงความสมดุลของระบบอื่นๆอย่างไร
พืชที่เติบโตขึ้นมาได้นั้น เกิดจากอำนาจชนิดหนึ่งที่คอยทำให้รากของมันพยายามดูดสารในดินเพื่อที่จะไปทำให้กลายไปเป็นส่วนต่างๆของลำต้น
มนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งรอบคอบ เราจะพบว่าเรานั้นถูกสร้าง ถูกควบคุมจากสภาพที่เป็นแค่หยดอสุจิแล้วเปลี่ยนเป็นก้อนเลือด... กลายเป็นเนื้อและกระดูก จนกระทั่งมีอวัยวะครบถ้วนแล้วออกจากท้องแม่สู่โลกกว้างในที่สุด
และจากร่างกายตัวเล็กๆ ก็ค่อยๆกลายเป็นตัวใหญ่ และก็ค่อยแก่ชรา สิ่งเหล่าก็เกิดจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณมวลสารต่างๆในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงโดยการเสื่อมสภาพของระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆไปตามกาลเวลา โดยแน่นอนไม่มีใครสามารถหนีพ้นจากความชรา และความเสื่อมสภาพของอวัยวะภายทุกอย่างได้
แต่...ไม่... ในวัยปัญญาชน เขายังไม่สามารถ แล้วนับประสาอะไรกับตอนที่เป็นเด็กไร้เดียงสา มนุษย์จึงคงเพียงแค่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง จากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสภาพที่เขาพอใจ เช่นการเปลี่ยนจากวัยเด็กมาเป็นวัยหนุ่มสาว และสภาพที่เขาไม่พอใจ เช่นการเปลี่ยนจากวัยผู้ใหญ่ที่แข็งแรง กลายเป็นวัยชราที่อ่อนแอ โดยที่เขาไม่มีอำนาจแม้แต่นิดเดียวที่จะกำหนดทิศทางพัฒนาการของร่างกายตัวเองมนุษย์หลายคนอาจจะคิดผิดว่า พ่อแม่ของเขาต่างหากที่สร้างและให้กำเนิดเขาเหมือนกับสิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นผลจากการปฏิสนธิกันระหว่างอสุจิของผู้ชายและสเปอร์มของผู้หญิง
เราเองก็ยอมรับว่า อสุจิที่เข้าไปผสมกับสเปอร์มในรังไข่คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิสนธิ , เกิดทารกในมดลูกของมารดา
แต่.....ที่เป็นปัญหาก็คือ เราเองหรือเปล่าที่เป็นผู้สร้างน้ำอสุจินั้น...?
แน่นอน... ทุกคนย่อมตอบว่าไม่ใช่.. เพราะ.. หากเราเป็นคนสร้างอสุจิเอง ทำไมคนเราเมื่อตอนเด็กๆ น้ำอสุจิไม่มีอยู่ในร่างกายแม้แต่หยดเดียว แต่อยู่ๆพอถึงวัยเจริญพันธ์มันก็มีขึ้น และเมื่อโรยรา แก่ชรา มันก็อันตรธานหายไป
ดังนั้น... ถ้าหากว่ามนุษย์คือผู้สร้างอสุจิของตัวเอง ทำไมเขาจึงไม่รักษาอสุจิของเขาให้อยู่ต่อไป...?
และทำไม... หลายคนหลายคู่ สามีภรรยาที่ต้องการบุตรแต่กลับไม่ได้บุตรอย่างใจหมาย..? หากเขาเองเป็นผู้สร้างบุตร ทำไมทั้งๆ ที่ทุกคนต่างต้องการลูกที่น่ารัก จมูกโด่ง ตาแววหวาน ผมดกดำ ร่างสมส่วน หรือต้องการลูกชาย ลูกหญิง แต่เขากลับได้ในลักษณะรูปร่างหรือเพศที่เขาไม่ต้องการ
และหากเขาเป็นผู้สร้างลูกของตัวเองจริง เขาก็สมควรเป็นผู้ควบคุม ความตายของลูก ดั่งที่เขาควบคุมการเกิด ลูกก็จะไม่แท้งหรือตาย นอกจากเป็นความประสงค์ของพ่อแม่


สรุปคือ ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่จะแปลงโดยที่ไร้อำนาจของการเปลี่ยนแปลง หรือว่าไร้เหตุของการเปลี่ยนแปลง
เรื่องเหล่านี้ทุกคนต่างรู้กันอยู่แต่ว่าหลายคนมองข้ามและละเลยมัน อย่างเช่น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมายพยายามที่จะบอกว่าจุดกำเนิดของจักรวาลเป็นอย่างไร รวมถึงทฤษฎีของการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ( Bigbang ) โดยที่มีหลักฐานมากพอที่จะสามารถอธิบายถึงทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลทฤษฎีนี้ แต่ถ้ามองลึกลงไปอีก อะไรคือเหตุที่ทำให้มันระเบิดขึ้นมา อะไรคืออำนาจที่คอยเปลี่ยนแปลงให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เหมือนกับที่คนหลายคนนั้นเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม เรื่องนรก สวรรค์ แต่ก็ไม่เคยกันเลยที่จะนึกถึงว่ามีอำนาจอะไรที่จะคอยบังคับมนุษย์นั้นให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม และก็ไม่เคยเลยที่จะคิดต่อ อำนาจอะไรที่จะคอยบังคับมนุษย์ให้ลงนรกสวรรค์ หลายคนบอกว่าผู้คุมนรก หรือ ผู้คุมสวรรค์ แต่หลายคนไม่เคยเลยที่จะคิด พวกเขาเหล่านี้มีเหตุอันใดและทำเพื่ออะไรหรือใครสั่งมา ที่จะต้องมาควบคุมนรกหรือสวรรค์


คำถาม อำนาจเหล่านี้มาจากไหน
สมมติฐาน
1. มันเป็นกระบวนการธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นเองของมันอยู่แล้ว
2. มันมีผู้ที่มีอำนาจที่คอยทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่
วิเคราะห์
จากสมมติฐานข้อที่ 1 ถ้าจะบอกว่ามันคือกระบวนการธรรมชาติที่เกิดเองของมันอยู่แล้ว
ความคิดที่ขัดแย้ง : ทุกอย่างนั้นมันต้องมีเหตุผล
ถ้าถามว่าเหตุของสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากอะไร บรรดาผู้ที่บอกว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงไปเองตามธรรมชาตินั้นก็จะมีคำตอบเดียวคือมันไร้สาเหตุ มันเกิดการเปลี่ยนแปลงของมันเอง

มาดูกันว่าคำว่าธรรมชาตินั้นคืออะไร

กล่องใบหนึ่งที่ใส่อะไรก็ได้ที่อยากจะใส่ลงไปและปิดทุกอย่างให้แน่นหนาโดยไม่ให้มีอะไรไหลผ่านเข้าออกกล่องใบนี้ หรือสมมติว่ามันมีสิ่งต่างๆอยู่ภายในกล่องไว้ตั้งแต่ดั่งเดิมแล้วก็ได้ และตั้งมันไว้เฉยๆ ถามว่ามันจะมีอำนาจอะไรไหมที่จะทำให้สิ่งของในนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง อยู่ดีของในนั้นมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเองไหม ไหนล่ะผู้ที่บอกว่ามันเกิดขึ้นเองจากกระบวนการธรรมชาติทั้งสิ้น มีใครกล้าที่จะบอกว่าธรรมชาติจะทำให้สิ่งของในกล่องเปลี่ยนแปลงไปเอง ตั้งไว้สักล้านปี มันจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม พลังงานที่ลอยอยู่ดีๆมันจะต้องมีเหตุให้มันเคลื่อนที่ไปชนสิ่งของที่เราใส่เขาไปได้อย่างไร นอกจากมีเหตุที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลง หรือจากอำนาจที่ใส่เข้าไปอยู่ในกล่องนั้นที่จะทำให้มันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่อยู่ภายในนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปเองตามธรรมหรือเปล่า จะมีชีวิตอุบัติขึ้นภายในนั้นได้หรือไม่* นอกจากอำนาจของเราที่จะเขย่ากล่องหรือใส่พลังงานเข้าไปอีกทำให้สิ่งของที่อยู่ในนั้นเคลื่อนที่

จักรวาลก็เช่นเดียวกันที่ถ้ามันมีแต่สสาร หรือพลังงาน มันก็คงไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในจักรวาลแห่งนี้ เพราะว่ามีอำนาจบางสิ่งที่คอยทำให้มันเปลี่ยนแปลงไป
เพราะฉะนั้นสมมติฐานข้อ 1 นี้จึงเป็นไปไม่ได้ ( F)
สมมติฐานข้อ 2 ที่เหลืออยู่นั้นคือคำตอบเดียว ที่มีความเป็นไปได้ที่ (T)


3. ชีวิตและความตาย
แน่นอนว่าหลายคนเคยได้ยินคำถามหนึ่งที่คุ้นหูกันมาตั้งแต่เด็กที่มักจะถามกันว่า ไก่กับไข่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน เด็กบางคนก็จะตอบว่าไข่ ถ้าตอบว่าไข่แล้ว คำถามต่อไปคือไข่มาจากไหน มันก็ต้องมาจากแม่ไก่เช่นเดียวกัน แต่ถ้ามีผู้บอกว่าไก่นั้นเกิดก่อน คำถามต่อไปคือ ไก่มาจากไหน ไก่มันก็ต้องออกมาจากการฟักไข่เช่นเดียวกัน และทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถจะพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงต่างๆ เช่นเดียวกันกับทุกชีวิตบนโลกนี้ ถ้าจะถามว่าชีวิตนั้นมาจากไหน คำตอบเดียวก็คือจากพ่อแม่ของมัน แล้วพ่อแม่ของมันล่ะมาจากไหน ก็จะต้องตอบไปว่ามาจากพ่อแม่ของมันอีกที
แนวความคิดเกี่ยวกับรูปร่างของมนุษย์
1. มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งอื่นอาจจะเป็นลิงก็ได้
2. เป็นรูปร่างของมนุษย์แบบที่เราเห็นมาตั้งแรกเริ่มแล้ว
สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์และตรรกะแล้วยังตอบโดยชัดเจนไม่ได้ แต่ผมจะไม่ขอพูดถึง เพราะว่ามันไม่สำคัญ

แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ว่าชีวิตนั้นจะขนาดเล็กหรือใหญ่ จะอยู่ ณ ที่แห่งใด จะวิวัฒนาการไปอย่างไร มันก็ต้องมาจากชีวิตอื่นทั้งสิ้น ถึงจะไม่ได้มาจากพ่อและแม่ของมัน แต่อย่างน้อยมันก็ต้องเอามาจากอีกชีวิตเหมือนกัน เช่นเซลล์ต้นแบบ พืชก็เช่นเดียวกันมันก็ต้องงอกเงยมาจากเมล็ดของพืชต้นอื่น หรือว่าเซลล์ของพืชด้วยกันทั้งนั้น และโดยพลังอำนาจนั้นทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงดูดสารอาหารในดินเพื่อไปบำรุงลำต้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ชีวิตแรกของบรรดาชีวิตทั้งมวล หรือเมล็ดแรกของพืชทั้งมวล
ทั้งมนุษย์และลิงต่างก็เป็นชีวิต แต่ไม่มีสามารถที่จะให้เลือกที่จะเป็นได้ ไม่มีใครเอาเซลล์ของลิงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ได้นอกจากมนุษย์ได้ นอกจากเซลล์ของมนุษย์เท่านั้น และไม่มีใครสามารถเอาพันธุกรรมที่ดีของคนอื่นมาใส่ให้กับชีวิตเราได้
มดก็เหมือนกัน ถึงตัวมันจะเล็กก็ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้ส่วนประกอบที่มาจากมดได้ ต่างกับเครื่องบินที่ใหญ่โตขนาดไหน มนุษย์เราก็สามารถจะสร้างมันขึ้นมาได้
สักกี่คนที่จะรู้ว่าหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลมหาศาล มีขนาดเล็กมากๆอย่างเช่นยีนนั้น มันมหัศจรรย์อย่างไร รวมถึงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมาย เช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์ต่างๆ วิทยาศาสตร์รู้เพียงว่ามันมี รู้ถึงกระบวนการที่มันเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เคยนึกถึงเลยว่าสิ่งต่างเหล่านี้มันอยู่ภายใต้จักรวาลนี้ได้อย่างไร และเพราะว่าเราเห็นมันมีอยู่แล้ว เราจึงไม่เคยนึกถึงสภาพต่างเมื่อมันไม่มี เหมือนหลายๆอย่างที่มันไม่เคยมีในจักรวาลนี้ ที่มีเพียงในละครเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดมีเมื่อไหร่มันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์

คำถาม ชีวิตแรกนั้นมาจากไหน
สมมติฐาน 1. ไม่มีการอุบัติ มีชีวิตอยู่ในจักรวาลดั้งเดิมแล้วตั้งแต่ระยะเวลาลบอนันต์ และมันค่อยๆวิวัฒนาการสืบต่อเนื่องกันมา
2. อุบัติขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
3. มีผู้มีอำนาจทำให้ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมา
วิเคราะห์
1. สมมติฐานข้อที่ 1 ไม่มีการอุบัติ มีชีวิตอยู่ในจักรวาลดั้งเดิมแล้วตั้งแต่ระยะเวลาลบอนันต์
แนวคิดที่ขัดแย้ง : ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทุกทฤษฎีของการกำเนิดจักรวาลทุกทฤษฎี
การที่เราจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเคลื่อนที่ได้ แน่นอนจะต้องมีเหตุที่ไปกระทำกับมัน ชีวิตก็เหมือนกันการที่มันเคลื่อนที่ได้ก็เกิดจากพลังงานที่มันรับเข้าไปทำให้มันเคลื่อนที่ ก็ไม่พ้นอำนาจของการที่จะให้มันได้รับพลังงาน จึงเกิดเป็นชีวิตขึ้นมา หากเราจะบอกว่าชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษนั้นมีอยู่ดั้งเดิมมาจากระยะเวลาลบอนันต์ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าเป็นบรรพบุรุษของบรรดาชีวิตที่อยู่ดั่งเดิมหรือมีอยู่ดังพร้อมจักรวาลก็ตาม ไม่ว่าชีวิตไหนมันก็ต้องเกิดขึ้นมาเหมือนกัน และการถ้าบอกว่าบรรพบุรุษของบรรดาชีวิตทั้งหลายมีมาตั้งแต่ระยะเวลาลบอนันต์ ทำไมวันนี้มีเพียงชีวิตมนุษย์เท่านั้นที่เพิ่งจะวิวัฒนาการสมองตัวเองได้และเพิ่งสร้างเครื่องบินขึ้นไปบินบนท้องฟ้าได้ ทั้งที่มีชีวิตมากมายที่พยายามที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้ามาตั้งนานแล้ว แสดงว่าชีวิตแรกนั้นมีจุดหนึ่งที่มีการอุบัติขึ้นมาอยู่ในจักรวาลนี้อย่างแน่นอนมาอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น สมมติฐานที่ 1 นี้ไม่มีทางเป็นไปได้ (F)
2. ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ดูเหมือนว่าการอุบัติขึ้นมาเองนั้นจะเข้าข่ายของการเกิดขึ้นโดยไร้เหตุ ถ้าจะถามว่าอะไรคือเหตุที่ชีวิตอุบัติขึ้น คนที่เชื่อแนวคิดนี้ แน่นอนคงไม่มีใครตอบได้ ถ้ามีผู้จะตอบก็มีคำตอบ 1 เดียวคือเหตุเพราะว่ามีผู้ทำให้มันอุบัติขึ้นมา
มาดูตัวอย่างจากกล่องของเรา ถ้าเกิดว่าเราปิดผลึกไว้อย่างดีโดยไม่มีอะไรผ่านเข้าไปได้ แน่นอนถ้าเวลามันผ่านไปนานแสนนาน จากสิ่งที่มันว่างเปล่านั้นไม่มีอะไรที่มันอุบัติขึ้นมาทำให้เกิดมีอยู่ในนั้นได้แน่ มดหรือชีวิตใดๆก็ตาม แน่นอนไม่สามารถอุบัติอยู่ภายในนั้นได้ นอกจากว่าเราจะเอามดใส่เข้าไปเอง
สมมติฐานข้อที่ 2 นี้จึงเป็นไปไม่ได้ (F)
3. สมมติฐานที่ 3 คือ มีผู้ทำให้ให้ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมา ก็คือเปิดกล่องออกมาแล้วใส่มันลงไป มีเพียงสมมติฐานข้อนี้และข้อเดียวเท่านั้นที่มีความเป็นไปได้ (T)

จากแนวความคิดเรื่องชีวิตนั้น ทำให้สรุปได้ว่ามีผู้ทำให้สิ่งต่างนั้นอุบัติขึ้นมา ละเกิดมีขึ้นมาในจักรวาล
ให้มองย้อนไปดูในเรื่องของสสารและพลังงานที่มีสมมติฐาน 2 ข้อที่เป็นไปได้ ทำให้เราได้ข้อสรุปของเรื่องสสารและพลังงานอย่างชัดเจนว่า สมมติฐานที่ถูกต้องที่สุดของเรื่องสสารและพลังงานคือข้อ 3


*ความตาย
ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการและวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลขนาดไหน คนจะสร้างอะไรได้มากมาย แต่ถ้าถามว่าเครื่องบินกับมดอะไรสร้างยากกว่า แน่นอนมดแน่ๆ เพราะว่ายังไม่เคยมีใครสร้างชีวิตขึ้นมาโดยไม่ได้เอามาจากส่วนประกอบชีวิตที่มันมีอยู่แล้ว และยังไม่มีใครเคยเห็นชีวิตใดที่อุบัติขึ้นมาเองได้ในจักรวาลนี้ เราจะปั้นดินหรือจะใช้วิวัฒนาการทั้งหมดที่เรามีอยู่นั้นออกแบบโครงสร้างให้เหมือนสิ่งมีชีวิต ก็ไม่อาจที่จะใส่ชีวิตลงไปได้ แม้แต่ศพที่เพิ่งจะตายและมีโครงสร้างหรือส่วนประกอบทุกอย่างเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเป็นศพไปแล้ว จะใส่พลังงานที่ทำให้หัวใจยังคงเต้นอยู่ หรือทำให้เลือดยังหมุนเวียนได้เหมือนตอนมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจที่จะให้ศพนั้นกลับขึ้นมามีสติปัญญา กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ แต่ที่เป็นความเชื่อที่ยังไร้ตรรกะพิสูจน์นั้นคือชีวิตหลังความตาย

“ความตาย” มันสร้างความทุกข์ทรมานใจให้กับเราอย่างทารุณ ก็เพราะว่ามันต้องเกิดกับเราสักวันหนึ่ง มันจะเกิดอะไรขึ้นในสภาพตอนนั้น มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ....ไม่มีใครกลับมาเล่าให้เราฟังเลย ... มันเป็นเรื่องที่สุดแสนเศร้า สุดแสนสลด เป็นชีวิตที่น่าสมเพศอย่างที่สุด
ทันทีที่เราเจ็บป่วย ความรู้สึกที่ทรมานนี้ทวีคูณยิ่งขึ้น ทันทีที่เราเจ็บปวดจากอุบัติเหตุหรือความป่วยไข้ต่าง ๆ มันช่างตอกย้ำความรู้สึกนี้เสียเหลือเกิน
“ความตาย” เป็นปรากฏการณ์ชีวิตที่หยุดความรู้สึกว่า เราสามารถใช้ชีวิตนี้ได้ในโลกอย่างยาวนาน และมันยังตั้งคำถามให้เราดังก้องในหัวใจตลอดว่า “มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากความตาย”


4. แนวความคิดสนับสนุนสมติฐานที่ 3 ทางด้านศิลป์ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตรรกะได้

ตัวอย่างคุณค่าของธรรมชาติที่ไร้เหตุผล
ต้นกล้วยนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของมันนั้นช่างมีประโยชน์ มันขยายพันธ์โดยการแตกหน่อ เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้นกล้วยมันออกผลเสร็จแล้ว ต้นนั้นมันก็จะตาย และคุณก็ไม่เคยคิดเลยว่ากล้วยมันออกผลมาเพื่ออะไร และมันได้ประโยชน์อะไรจากการออกผลครั้งนี้ มีเพียงชีวิตเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากจากการที่มันออกผล
เมื่อสิ่งไร้ชีวิตนั้นถูกขีดข่วนให้เป็นรอยอย่างเช่นหิน แน่นอนมันก็คงต้องเป็นรอยเช่นนั้นตลอดไป ถ้าไม่มีสภาพแวดล้อมภายนอกทำให้มันเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามนุษย์นั้นถูกขีดข่วนจนเป็นแผล แผลนั้นสามารถปิดสนิทและหายกลับมาเป็นปกติ เรารู้อยู่แล้วว่าแผลมันปิดด้วยเกล็ดเลือดที่แข็งตัว และสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนใหม่ แต่เพราะเราไม่เคยคิดเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงมีเกล็ดเลือด และโดยอำนาจอะไรที่เซลล์มันสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ใหม่
ทารกที่ออกมาจากครรภ์มารดา สิ่งเดียวที่มันสามารถทำเป็นโดยไม่ต้องเรียนรู้คือการดูดนมของมารดา และแน่นอนในเต้านมของมารดาได้เตรียมนมอันโอชะในเต้านมให้เต็มเพื่อให้ทารกน้อยได้ดื่มเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป....
สัตว์อื่นๆก็เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เต่าทะเลที่มันออกมาจากไข่ มันจะรีบหาทางลงสู่ทะเลทันที สัตว์บางชนิดเกิดออกก็ต้องยืนให้ได้ทันที พวกมันต่างๆเหล่านี้มีสัญชาติมาตั้งแต่กำเนิด เปรียบเสมือนถูกบันทึกเอาไว้ในสมองของพวกมันอยู่ก่อนที่มันจะถูกบังเกิด บางชนิดมีสัญชาตญาณในการล่า บางชนิดนั้นมีสัญชาติญาณในการดำรงชีวิตที่ต่างกันไป

ในบางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็สามารถอธิบายได้ว่า ปรากฏการณ์ต่างๆนั้นเกิดขึ้นเพื่อรักษาความสมดุล แต่ก็ไม่เคยถามอีกว่า ความไม่สมดุลทางธรรมชาตินั้นเกิดเพื่ออะไร มีเหตุอะไรถึงไม่สมดุล


ตัวอย่างทางคุณของธรรมชาติทางด้านศิลป์

มนุษย์มองเห็น ด้วยกระจกเลนส์สายตา..? ให้ได้ยินด้วยใบหูที่กางผึ่งเหมือนเรดาร์...? ให้ได้พูดด้วยลิ้นที่อ่อนนุ่ม และไร้กระดูก นอกจากนั้นมันสามารถรับรู้รสชาติต่างๆได้ทำให้เรามีความสุขในการกิน เหมือนกันถ้าถามมว่าเหตุอันใดลิ้นถึงสามารถรับรสชาดได้... สมอง ดวงตา ถูกสร้างสรรค์ให้อยู่สูงที่สุดของร่างกาย อวัยวะภายนอกถูกสร้างให้สมมาตรและเป็นคู่ทำให้ดูสวยงาม ต่างจากอวัยวะภายในที่มองไม่เห็น ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างนั้นไม่สมมาตรหรือมีเป็นคู่ สามารถยืนได้ด้วยขาสองขาอย่างสวยงาม มีมือที่ไว้คอยหยิบจับอาหารโดยไม่ต้องก้มลงไปให้ต่ำ มีสมองที่มีความคิดสลับซับซ้อน มีอารมณ์ที่สามารถแสดงออกได้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีอยู่ สามารถพูดกันได้ในเรื่องเหตุผล สามารถมีความรู้สึก สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นได้ สามารถสร้างสรรค์ ค้นคว้า หยิบจับ ในสิ่งที่มันมีอยู่ในธรรมชาติทำให้ตนเองได้รับความสะดวกสบาย ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่มีปีก แต่ก็ทำให้ตัวเองขึ้นไปบินบนท้องฟ้าได้ มีสัตว์ มีสัตว์สักกี่ชนิดที่จะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวของมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวมัน มันมีเพียงสัญชาติญาณที่ถูกประทับตราในสมองมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้น ต่างกับมนุษย์ที่พฤติกรรมต่างๆนั้นถูกพัฒนาขึ้นประสบการณ์และสภาพแวดล้อมของคนรอบข้าง และเราไม่เคยมองเห็นคุณค่าอันมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ที่ ณ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดค้นพบชีวิตอื่นใดที่เข้าใกล้เคียง และมันยังสามารถพัฒนาต่อยอดความคิดของผู้อื่นต่อไปได้เรื่อยๆ
กี่ยุคสมัยก็ตามมนุษย์เกิดมามีเพียงสองเพศเท่านั้น ไม่มีเพศชายคนไหนมีรังไข่ ทั้งภายนอกและภายในถูกแยกแยะออกจากกันอย่างชัดเจน และทำถึงมีเพียงสองเพศ ทำไมโลกนี้ไม่มีเพศชายเพียงอย่างเดียว และการที่จะมีชีวิตมนุษย์อื่นๆขึ้นมานั้น ต้องเกิดจากการผสมกันระหว่าง 2 เพศนี้เท่านั้น ทำไมจาก ญ กับ ญ ไม่ได้ วิทยาศาสตร์บอกได้เสมอว่ากระบวนการกำเนิดมนุษย์เป็นไปตามขั้นตอนอย่าง แต่ไม่เคยมีผู้ถามขึ้นเลยว่าทำไมมันถึงเป็นไปตามกฎระเบียบนี้ คนก็จะตอบกันว่าเพราะว่ามันเป็นโดยธรรมชาติ และทำไมธรรมชาติถึงถูกกำหนดมาเป็นแบบนี้
ทุกสิ่งในจักรวาล ดวงดาวน้อยใหญ่กำลังโคจร และเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มันถูจัดระเบียบไว้อย่างงดงาม เกือบทุกอย่างถูกกำหนดไว้บนความสมดุล โลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้เกิดฤดูกาล และในขณะเดียวกันมันก็หมุนรอบตัวเองเพื่อให้เกิดกลางวันกลางคืน ขณะเดียวกันก็มีดวงจันทร์มาโคจรรอบโลกอีกที ส่งผลให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและหมุนเวียนของระบบนิเวศน์ทางทะเล การพักผ่อนของชีวิตมนุษย์ที่ดีนั้น เป็น 1/3 ของเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง ส่วนอีก 2/3 นั้นเป็นเวลาที่มนุษย์จะอยู่ในโลกแห่งความจริง

อะตอมของธาตุต่างๆนั้นปัจจุบันเราทราบดีอยู่แล้วว่า มันเกิดจากองค์ประกอบเดียวกัน และวิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถแปรธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ แต่เนื่องด้วยองค์ประกอบเหล่านี้มีอำนาจอย่างหนึ่งไปกระทำกับมันทำให้มันเกิดการรวมตัวกันเป็นอะตอมของธาตุที่แตกต่างมากมาย โดยที่ไม่ทำให้เกิดเป็นธาตุหนึ่งธาตุใดโดยเฉพาะ สิ่งเหล่านี้นี่เองทำให้เกิดความหลากหลายของรูปแบบสสารในจักรวาลนี้


ในหัวข้อที่ 4 นี้จะไม่ขอพูดแล้ว เพราะพูดสามวันก็ไม่จบ และผมเห็นว่ามันไม่สำคัญมาก และพวกคุณก็น่าจะตั้งคำถามที่ขึ้นต้นด้วยทำไม กับสิ่งที่มันมีในธรรมชาติอยู่แล้ว และแน่นอนบรรดาคนเขลาก็มีคำตอบเดียวคือ ตอบว่า เพราะธรรมชาติ

สักกี่คนที่จะตั้งคำถามว่าสิ่งต่างเหล่านี้มันอยู่ภายใต้จักรวาลนี้ได้อย่างไร และเพราะว่าเราเห็นมันมีอยู่แล้ว เราจึงไม่เคยนึกถึงสภาพต่างเมื่อมันไม่มี เหมือนหลายๆอย่างที่มันไม่เคยมีในจักรวาลนี้ ที่เป็นเพียงจินตนาการในละครเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดมีเมื่อไหร่มันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เช่นเดียวกัน ที่วันนี้เรายังมีแขนขา อยู่ครบ ตาของเรายังมองเห็น เราจึงไม่เคยที่จะนึกถึงสภาพในขณะที่เราไม่มีมัน ถึงจะบอกว่ารู้สึกเห็นใจผู้คนที่ไม่มีแขนขา ไม่มีตา แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่มีวันรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของคนพวกนั้น จนกว่าคุณจะเป็นผู้ไร้แขนขาซะเอง



เราจะใช้การวิเคราะห์แนวคิดจากที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อนั้นมาวิเคราะห์ในเรื่องของความเชื่อ
แน่นอน มนุษย์ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้สมองวิเคราะห์ที่จะใช้เหตุผลวิเคราะห์ว่าสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง สิ่งใดเป็นข้อคิดเห็น และสิ่งใดที่ไม่ใช่เป็นเพียงข้อคิดเห็น แต่มันเป็นไปไม่ได้
ความเชื่อเช่นเดียวกันที่สามารถแยกแยะออกมาได้เป็น 3 ข้อคือ
1. ความเชื่อที่เป็นข้อเท็จจริง เราคงจะบอกว่าเป็นความเชื่อไม่ได้ เราน่าจะนิยามมันใหม่ว่ามันคือความจริง ในที่นี้ผมจะไม่ขอพูด เพราะว่า ณ ตอนนี้หลายคนคงทราบแล้ว กระนั้นก็ดี ถึงมันจะเป็นข้อเท็จจริงอย่างไร บรรดาคนที่เขลาก็ยังปฏิเสธมันอยู่เพราะว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ
2. ความเชื่อที่เป็นข้อคิดเห็น แต่ก็ไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลอะไรที่จะมาหักล้างว่ามันเกิดขึ้นไม่ได้
3. ความเชื่อที่เป็นข้อคิดเห็น และด้วยกับเหตุผล และหลักความจริง ซึ่งมนุษย์ที่มีสติปัญญาจะปฏิเสธได้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้


ตัวอย่างความเชื่อที่เป็นข้อคิดเห็น แต่ก็ไม่มีเหตุผลหรือหลักความจริงอันใดที่จะหักล้างว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้
1. การตอบแทนความดี ความชั่ว หรือเรื่อง นรกและสวรรค์ รวมถึงชีวิตหลังความตาย
แน่นอนคนที่ทำอะไรไว้บนโลกนี้ และยังไม่ได้รับผลในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นมีตั้งมากมาย
และก็ยังไม่มีเหตุผลหรือข้อเท็จจริงอะไรมาหักล้างในเรื่องการตอบแทนความดีนั้นว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
2. สิ่งที่อยู่นอกญาณวิสัยของมนุษย์ที่จะรับรู้ได้ เช่นวิญญาณ ภูตผี ไสยศาสตร์ รวมถึงสิ่งเร้นลับต่างๆ
บรรดาผู้ที่เชื่อในหลักของวิทยาศาสตร์อย่างฝังหัวใจนั้น หลายคนคงปฏิเสธ แต่มันก็ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อะไรที่จะไปหักล้างว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดไม่ได้ เพราะแน่นอนตามที่ผมได้นิยามความหมายของคำว่าวิทยาศาสตร์ไว้ ก็คงทราบได้เลยว่าบางอย่างนั้นวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ แต่มันมีอยู่จริงภายในจักรวาลนี้

ความเชื่อประเภทนี้นั้นเป็นข้อคิดเห็นซึ่งต่างคนก็ต่างเชื่อในรูปแบบที่ต่างกันไป วิธีวิเคราะห์หาความจริงของความเชื่อพวกนี้ก็ได้แก่ วิธีการเปรียบเทียบตัวเลือกที่มีความสมเหตุสมผลน้อยออกแล้วตัดมันออก จนเหลือตัวเลือกที่ดีที่สุด หรืออีกวิธีหนึ่งที่น่าจะดีกว่าคือ ใช้กฎลูกโซ่จากสิ่งที่พิสูจน์ว่าเป็นข้อเท็จจริงได้
นรก สวรรค์นั้นเป็นความเชื่อที่มนุษย์หลายคนบนโลกนี้ได้เชื่อกัน รูปแบบของความแตกต่างในความเชื่อเหล่านี้มีอยู่มากมาย หลายสิ่งเกิดจากการจินตนาการของผู้ที่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นขึ้นมา ซึ่งเหล่านี้ล้วนก็แต่เป็นความเชื่อทั้งนั้น หรือเป็นความเท็จที่เกิดจากการจินตนาการของคนผู้ที่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น บางคนเชื่อตามบรรพบุรุษว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนเคยมีผู้มาเล่าถึงรูปแบบให้ฟังทำให้สามารถจินตนาการตามในรูปแบบที่ผู้เล่าให้ฟังได้ จนเกิดเป็นการอุปทานหมู่ขึ้นมาและทำให้ตนมีความคิดความเชื่อที่ตนเห็นนั้นเป็นความจริงมาแล้ว


แล้วทำไมวันนี้เรื่องนรก สวรรค์ ถึงได้มีรูปแบบหลากหลายเกิดขึ้นมา รูปแบบต่างๆนั้นมันเกิดขึ้นเพื่อสนองจินตนาการในสิ่งที่มนุษย์อยากให้เป็นกระนั้นหรือ แต่แน่นอนแล้วความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เพราะว่าเราเองต่างก็เป็นมนุษย์ที่ยืนในจักรวาลแห่งนี้เหมือนกันที่จะต้องประสบกับชีวิตหลังความตายเช่นเดียวกัน แล้วใครกันที่ถูกต้องที่สุด

สิ่งที่มันอยู่นอก ญาณวิสัยของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน มันมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปในโลกใบนี้มันถูกอธิบายไว้ในหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ในเมืองไทยคนเชื่อเรื่องเปรต ผีกระสือหรืออะไรต่างๆ แต่ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงมีแต่ในประเทศไทย ในบางประเทศเชื่อในเรื่อง ซอมบี้ แวมไพร์ หรือ สิ่งเร้นลับที่แตกต่างกันไป แต่ทำไมแต่ละที่มีสิ่งเร้นลับที่ไม่เหมือนกัน ผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องเปรตก็จะกล่าวถึงความเชื่อในสิ่งเร้นลับของผู้อื่นว่ามันก็คือเปรตนั่นแหละ แต่มันเพียงแต่เห็นรูปร่างเป็นแบบอื่นเท่านั้น ส่วนที่ไม่ได้มีความเชื่อเช่นนี้ก็บอกว่าเปรตนั่นแหละมันคือ ซอมบี้ที่เห็นเป็นรูปแบบอื่นเท่านั้น แล้วใครกันแน่ที่ถูก ถ้าถามว่าความเชื่อเหล่านี้งมงายไหม ก็ตอบว่าไม่ เพราะไม่มีอะไรที่จะมาหักล้างว่ามันไม่จริง
แนวทางความคิด
• ไม่ว่าจะเป็นนรก หรือ สวรรค์นั้น ถ้าหากว่ามันมีจริงๆแล้วพวกมันก็ต่างเป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้น และไม่ได้อุบัติขึ้นมาเองโดยไร้เหตุแน่นอน
• อะไรคืออำนาจที่คอยบังคับให้บรรดาความชั่วหรือความดีลงนรกหรือขึ้น สวรรค์
• หรือผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆเกี่ยวกับเรื่องควบคุมนรก หรือสวรรค์ ทำเพื่ออะไร อยู่ภายใต้อำนาจใด เขาได้ประโยชน์อะไรจากการที่เขาทำสิ่งเหล่านี้
• สิ่งเร้นลับนอกญานวิสัยของมนุษย์เช่นเดียวกัน มันก็คือสิ่งที่เกิดมีขึ้นอยู่ในจักรวาล แล้วจากการที่ไม่มีมันมีขึ้นมาได้อย่างไร


แน่นอนว่าแนวทางที่จะหาความจริงในเรื่องรูปแบบสิ่งเหล่านี้ต้องใช้กฎลูกโซ่เท่านั้น
คือมองย้อนกลับไปผูกกับสิ่งที่ตรรกะสามารถพิสูจน์ออกมาเป็นข้อเท็จจริงได้ ผู้ที่จะตอบสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้องที่สุดคือผู้ที่มีอำนาจคอยบังคับให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามกระบวนการ หรือเรื่องรูปแบบนรกสวรรค์ หรือสิ่งเร้นลับต่างๆนั้น จะมีใครสามารถตอบถูกได้อีก นอกจากผู้ที่ทำให้นรกสวรรค์ หรือบรรดาสิ่งเร้นลับทั้งหลายเกิดขึ้นมีในจักรวาล มิใช่จินตนาการของผู้ที่อ้างว่าตนไปเห็นมากับตา หรือผู้วาดภาพสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่พวกเขาอยากให้มันเป็นโดยใช้กฎลูกโซ่นี้มองย้อนกลับไปผูกกับสิ่งที่เป็นความจริงและสามารถพิสูจน์ออกมาเป็นข้อเท็จจริงได้ เหมือนกับการที่ผมเคยบอกว่า จะคำนวณคณิตศาสตร์ขั้นสูงได้ต้องนั้น ถ้าอยู่ดีๆไปนั่งคำนวณเลยคงไม่มีใครทำได้หรอก ก็ต้องค่อยเริ่มจากบวกลบธรรมดา และต่อลูกโซ่จนกลายไปเป็นการคำนวณขั้นสูงได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือคำตอบของผู้ที่มีทำให้อุบัติขึ้นมาหรือไม่ ก็ต้องใช้วิธีตัดตัวเลือกจนเหลือตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะแน่นอนผู้ที่มีอำนาจทำให้สิ่งต่างๆเกิดมีขึ้นมา โดยจัดสิ่งที่ถูกบังเกิดไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการชนกัน และแน่นอนกับเพียงแค่คำพูดที่จะต้องพูดออกมามันจะขัดแย้งในตัวของมันเองและหลักความจริงได้อย่างไร

และเพราะว่าวันนี้พวกคุณพยายามจะข่มใจให้เชื่อในสิ่งที่บรรพบุรุษได้พยายามส่งต่อให้สืบทอดกันต่อโดยไม่คำนึงว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและขัดแย้ง และเพราะว่าคุณไม่เคยมองหาคำตอบจากที่อื่นว่าสิ่งเหล่านี้ถูกอธิบายไว้ว่าอย่างไร และมันคลอบคลุมในทุกๆสิ่งโดยไร้ข้อขัดแย้งหรือไม่ ซึ่งจริงๆเรื่องพวกนี้ผมมีคำตอบของผมอยู่แล้ว แต่จะไม่ขอพูด ณ ที่นี้นะครับเพราะเดี๋ยวมันจะนอกเรื่อง ใครสนใจก็แอดอีเมล์มาครับ

อ้างอิงคำพูด :
ที่ความเร็วเท่าแสง กาลเวลาเป็น 0
ที่หลุมดำ เชื่อกันว่า มีอำนาจบีบดึงเวลาให้ผิดเพี้ยนได้
นี่คือวิทยาศาสตร์เขาตั้งทฤษฏีเอาไว้


บอกให้เลยว่านี่ความเชื่อเท่านั้น แต่ความเป็นจริงไม่มีใครสามารถตอบได้ เหมือนกับการที่ผมเคยยกตัวอย่าง สมการ Y=1/X ยิ่งค่า X มากเท่าไหร่ค่า Y ก็ยิ่งน้อย แต่ถ้า X มากๆเลยล่ะ Y เกือบจะเป็น 0 ถึงแม่ว่า X จะมากเท่าไหร่ค่า Y ก็เข้าใกล้ 0 เท่านั้น ถ้าถึงความจริงว่ามีจำนวนอะไรที่ทำให้ Y เป็น 0 บ้าง แน่นอนว่าไม่มี เพียงแต่บอกว่าได้แค่เข้าใกล้มากจนเกือบเป็น 0 ดังเช่นทุกวันนี้เหมือนกัน มนุษย์อยากรู้ ว่าถ้ามันเข้าใกล้ 0 มากมันจะเกิดอะไร ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีจำนวนอะไรที่ทำให้มันเป็น 0 แน่นอน นี่แหละความอยากรู้ของมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรหลุมดำมันก็แค่เป็นสิ่งที่อยู่ในกล่องเท่านั้น


[b]ตัวอย่างความเชื่อที่มันเป็นไปไม่ได้และที่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ปฏิเสธได้ทันที[/b]
1. กฎแห่งกรรม หรือการเวียนว่ายตายเกิดที่เกิดขึ้นเอง ที่มนุษย์ต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรมในชาติที่แล้ว
- ถ้าจะถามว่าอำนาจอะไรที่บังคับให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม หรือการหมุนเวียนที่เกิดขึ้นเองนั้นก็คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากมีอำนาจของผู้ที่คอยบังคับให้มันเป็นไปตามนั้นเท่านั้น
- ถ้าจะบอกว่าชาตินี้เกิดจากการทำกรรมในชาติที่แล้ว ถ้าถามต่อว่า ถ้าชาติก่อนชาติที่แล้วล่ะ และชาติแรกเรามีกรรมอะไรเราถึงต้องมาชดใช้ มีผู้กล่าวว่าชาติแรกเริ่มของทุกอย่างนั้นเกิดจากจิตที่อุบัติขึ้นมา แต่ถ้าจะถามต่อไปว่า เหตุอันใดหรือจิตอุบัติขึ้นมา มันอุบัติขึ้นมาด้วยกับอำนาจอะไร จากสิ่งที่มันไม่มีทำไมอยู่ดีๆถึงมีได้ และมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเองได้โดยไร้เหตุ ข้อเท็จจริงนี้สามารถปฏิเสธความเชื่อนี้ได้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้
2. ทุกสิ่งนั้นมีเกิดก็ต้องมีดับเป็นธรรมดา- ถ้าจะถามว่าอะไรคือเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิด และดับลง จากข้างบนนั้น ณ ตอนนี้ผมคิดว่าผู้มีสติปัญญาทุกคนก็คงตอบได้
- เพราะแน่นอน 1เดียวที่มันไม่เกิด ไม่ดับ ก็คือผู้ที่มีอำนาจคอยควบคุมทำให้มันมีการเกิด และมีการดับลงนั่นเอง
3. พระเจ้าที่มีบุตร- การมีบุตรคือการเปลี่ยนแปลงภายในโดยอาศัยอำนาจที่ทำให้สิ่งต่างๆของชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นพระเจ้าที่บุตรนั้น แน่นอนว่ามีอำนาจเหนือพระเจ้าองค์นั้นที่คอยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในของผู้ที่จะเป็นผู้ให้กำเนิด และแสดงว่านี่ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจที่คอยทำให้ทุกสิ่งบังเกิดแน่นอน และคนผู้นี้ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่สูงที่สุดแน่นอน

ถ้าผูกเรื่องนิพพานไว้กับกฎแห่งกรรมก็ไม่ต้องอธิบายว่าความเชื่อนี้เป็นอย่างไร
ลองมาดูว่าถ้ามันเป็นคนละเรื่องกันล่ะ


อ้างอิงคำพูด :
คุณลองอธิบายสภาวะของหลุมดำให้ฟังหน่อย

แล้วบอกผมด้วยว่าหลุมดำเป็นอะไร

มีรูปร่างอย่างไร เหมือนกับอะไร

แล้วค่อยมาคุยเรื่องนิพพานกัน


ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่าคนที่โพสต์คำพูดนี้ขึ้นมานั้นช่างกล้าจริงๆ ไม่รู้สึกละอายแก่ใจกันบ้าง

ถ้าจะให้ผมอธิบายผมยอมรับว่าอธิบายไม่ได้หรอก เพราะบอกแล้วว่าวิทยาศาสตร์มันก็แค่ดูว่ามีอะไรอยู่ในกล่อง มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างไร อย่างเช่นหลุมดำนั้นมันมีอยู่จริงในจักรวาลนี้ไหม แน่นอนมันมีอยู่จริง พิสูจน์ได้แน่ว่ามันมี มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นมีอยู่ในกล่องนี้เท่านั้นที่วิทยาศาสตร์อธิบายถึงกระบวนการได้ยังไม่ได้มากมาย
แต่ความเชื่อเรื่อง นิพพาน มีใครกล้าออกมายืนยันไหมว่ามันคือความจริง มันมีอยู่จริง ใช้กฏลูกโซ่ไปเกี่ยวไว้กับตรรกะอันอื่นได้ไหม ไม่มีแน่นอน เพียงเพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของคนเพียงหนึ่งคนเท่านั้น และคนอื่นๆก็เห็นด้วยเพราะอยากให้ตัวเองนั้นเข้าสู่นิพพานเหมือนกัน
ถ้าผมมีเพื่อนคนหนึ่งมันไม่เคยพูดโกหกผมเลย เพราะผมไม่รู้และไม่เคยจับได้ว่ามันโกหกผม วันนี้มันมาบอกผมว่า อีกสามวันจะมีคนจะเอาเงินมาให้ผมร้อยล้าน คุณว่าผมจะเชื่อมันไหม ใจจริงก็คิดอยู่ว่ามันก็เป็นไปได้นะที่จะมีคนเอามาเงินมาให้ผมจริงๆ อีกใจหนึ่งก็คิดว่าใครนะที่จะบ้าเอาเงินตั้งมายขนาดนี้มาให้ แต่คนคนนี้ก็ไม่เคยโกหกผมนะ หรือว่าโกหกแล้วไปแล้วแต่ผมไม่รู้ แต่แน่นอนใครล่ะไม่อยากได้เงินร้อยล้าน ใจจริงก็แอบหวังว่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่มีวันรู้เลยว่าเพื่อนผมมันจะพูดจริงหรือเปล่า และแน่นอนไม่มีอะไรหรือใครที่จะมายืนยันได้เลยว่ามันคิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อให้ผมสบายใจได้หรือเปล่า และคงต้องรออีกสามวันถึงจะรู้ว่าจริงหรือไม่
ที่นิพพานก็เช่นเดียวกันใครที่จะออกมายืนยันว่าสิ่งนี้เป็นความจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดที่มันเลื่อนลอยไม่มียึดเกี่ยวเพียงเพราะมันออกมาจากปากของคนคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าต้องรอให้ถึงเวลาตายก่อนแล้วจะรู้ว่าอะไรคือความจริง

ผมคงไม่สรุปให้เสียเวลาเพราะรู้ว่าสติปัญญาของมนุษย์นั้นรู้ดีว่าอะไรคือเหตุ และผล อะไรคือถูก และผิด
รู้หรือยังว่าทำไมผมถึงตั้งคำถามมากมายในกระทู้ที่แล้ว ทีนี้คงไม่ต้องอ้อมแล้วว่าทำไม
เพราะผมสงสัยว่า ทำไม บนหน้าแผ่นดินนี้ยังมีคนปฏิเสธความจริงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงบังเกิดสรรพสิ่งทั้งหลาย และพวกท่านกลับมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความงมงาย พวกท่านมัวแต่คิดว่าพวกท่านตั้งอยู่ในกฎของเหตุและผล

สัจธรรมของพวกท่านคืออะไรกัน ไหนว่าท่านเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในกฎของเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ ไหนล่ะคนที่พยายามพูดกันหนักหนาว่า Action=Reaction ไหนว่าท่านเป็นผู้ที่ใฝ่หาสัจธรรม ไหนว่าท่านเป็นผู้รู้แจ้งทั้งมวล ท่านลองยกสมติฐานขึ้นมาและทำให้มันเป็นไปได้หน่อยสิ โดยไม่ขัดแย้งกับหลักความจริงและหลักความเชื่อที่พวกท่านยึดถือกันเป็นรากฐานกันอยู่ วันนี้พวกท่านกำลังค้นหาอะไรกันอยู่ ความจริงของพวกท่านคืออะไร และอะไรคือความงมงายของพวกท่าน ทั้งที่พวกท่านต่างก็เป็นผู้ที่บอกว่าค้นคว้าหาสัจธรรม แต่เพราะพวกท่านปิดหูปิดตา และพยายามข่มจิตใจของตัวเอง เพราะกลัวความจริงที่มันติดอยู่ที่ปลายลิ้นของพวกท่านต่างหาก
เพียงแค่เหตุผลของบรรดาคนโง่ที่ พยายามจะยกมันขึ้นมาว่า แล้วถ้ามีจริงทำไมเราไม่เห็น
บรรดาผู้ที่คิดว่าตัวเองมีติปัญญาทั้งหลาย ท่านลองมองไปรอบตัวของท่านสิ ท่านเห็นอะไรบ้าง แน่นอนว่าท่านเห็นภูเขา เห็นต้นไม้ พวกท่านกล้าปฏิเสธสิ่งที่อยู่หน้าพวกท่านตั้งมากมายไหมทั้งที่พวกท่านมองไม่เห็น ท่านใช้อากาศหายใจแต่ท่านก็ไม่เคยเห็นมันเลย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มันอำนวยประโยชน์แก่ชีวิตมนุษย์มากมายพวกท่านก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน พวกท่านสามารถอธิบายออกมาเป็นตรรกะ เป็นสมการได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครสักคนที่ปฏิเสธเรื่องนี้นอกจากผู้ที่ไร้สติปัญญาเท่านั้น แต่วันนี้เพียงแค่เหตุผลเดียวที่พวกท่านบอกว่าเพราะมองไม่เห็นกระนั้นหรือที่พวกท่านปฏิเสธ และเพราะว่าดวงตาของมนุษย์นั้นถูกสร้างมาให้มีขอบเขตเองต่างหาก และเพราะว่าในใจของท่านไม่เคยถามตัวเองเลยว่ามีคุณค่าพอที่จะเรียกร้องขอให้ตัวเองได้เห็นพระผู้สร้างได้ไหม


ทั้งหมดที่ผมพูดไปข้างบนนั้นให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูให้ดีว่ามีส่วนไหนที่พูดถึงเรื่องของศาสนาของผมบ้าง
และส่วนไหนเป็นข้อคิดเห็นของส่วนไหนคือความจริง ขอเน้นย้ำว่าสำหรับผู้มีสติปัญญาไตร่ตรอง

เพราะสิ่งที่ผมจะเขียนหลังจากนี้แหละคือ ของจริงแล้วนะครับ (ไคล์แมกซ์
)


เพราะว่าผมจะพูดถึงความจริงในสิ่งที่พวกท่านได้พูดบ้างแล้ว ว่าใครกันที่คือบัวในตม ใครกันที่งมงาย
ข้อความตัวใหญ่เป็นคำตอบของพวกคุณนะครับ
1. อ้างอิงคำพูด :
แต่ศาสนาพุทธเราไม่เกี่ยวกับความเชื่อ
มันเป็นเรื่องที่พระศาสดาของเราเป็นบรรณาธิการ รวบรวม เรียบเรียง สิ่งที่มีอยู่แล้วจริงๆในธรรมชาติ

หลักธรรมที่คุณหมายความนี้ ไม่ได้เป็นของใคร และเราไม่ได้กำหนด

หลักธรรม ของชาวพุทธ ที่เขานับถือนั้น คือ สภาพธรรมชาติของมนุษย์
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของสภาพธรรมชาติ


เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่คลั่งไคล้ในวิทยาศาสตร์ พวกเขามัวแต่สนใจว่าในกล่องใบนี้นั้นมีอะไร มีกระบวนการอะไร แต่ไม่เคยเลยที่อยากจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มาอยู่ในกล่องได้อย่างไร
ส่วนที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับความเชื่อ แล้วบรรดากฎแห่งกรรม บรรดานิพพาน นรกสวรรค์ โลกหลังความตาย สิ่งเร้นลับนอกญาณวิสัย ใครกำหนดขึ้นมา

อ้างอิงคำพูด :

เว็บนี้เป็นเว็บของพระพุทธศาสนานะครับ คุณ Astroboy ถ้าไม่มีศรัทธาในพุทธศาสนา
ถึงจะมีคนหาเหตุผลมาตอบคำถามคุณมากเท่าใด ก็คงจะยังไม่เป็นที่พอใจของคุณอยู่ดี
เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่เวลาตอบคำถามก็จะเอาคำสอนของพระพุทธองค์ มาตอบซึ่งเป็นสัจจธรรม
ถ้าหากคุณไม่มีศรัทธาในพุทธศาสนามาก่อน ก็คงยากที่คุณจะเชื่อและเข้าใจ

ทางที่ดี คุณนับถือศาสนาใดอยู่ ก็ควรไปศึกษาคำสอนของศาสนานั้นๆ ศึกษาให้กระจ้างแจ้ง
ให้บรรลุธรรมไปเลย เพราะไม่ว่าศาสนาใด ต่างก็มีผู้สำเร็จธรรมได้ทั้งนั้น หากว่าคำสอนนั้นไม่ถูก
บิดเบือนเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง คำสอนของแต่ละศาสนาก็เป็นเหมือนเครื่องมือ ให้ผู้คนเข้าถึงธรรมะ ธรรมะคือแก่นของแต่ละศาสนา


เหตุนี้เองที่โลกมนุษย์เป็นอย่างนี้ เพราะว่ามีคนอย่างนี้อยู่บนหน้าแผ่นดิน ที่เหมือนกับที่ผมเคยยกตัวอย่างเอาไว้ ที่มีผู้กล่าวว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ศาสนาใครก็ศาสนามัน มนุษย์ถึงเลือกที่จะมีศาสนาไว้เป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้เท่านั้น ไม่เคยค้นคว้าและเข้าใจในสัจธรรมที่แท้จริง มัวแต่เชื่อในสิ่งที่เป็นศาสนาของคนรุ่นก่อนได้ส่งต่อกันมา โดยไม่เคยได้นึกเลยว่า มันมีอะไรอยู่ในนั้น ต่างคนต่างก็อ้างสัจธรรมของตัวเอง


2.
อ้างอิงคำพูด :
ศาสนาพุทธมีขอบเขต มีจุดประสงค์ชัดเจน
ว่าหลักธรรมทั้งปวงของศาสนาพุทธ เรามุ่งแก้ไำขความทุกข์
เราไม่ได้มุ่งตอบสนองตันหาอยากรู้
ใครอยากจะบ้าหอบฟางไปรู้เรื่องอะไรยังไง
แต่ศาสนาพุทธไม่บ้าด้วย
เรามีขอบเขต


ตอนนี้อยู่ไหนครับบรรดาผู้ที่เชื่อมั่นในกฎของเหตุและผมอย่างฝังหัวใจ บรรดาผู้ที่เชื่อมั่นในสัจธรรม
พวกคุณกล้าได้อย่างไรที่จะพูดแบบนี้ขึ้นมา ไม่เคยคิดหรือว่าตัวเองนั้น ณ ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพยายามแสวงหาความสุข แต่ทว่าคุณไม่มีความสุขให้ไปแสวงหาเหมือนผู้อื่นเขาเพราะว่าชีวิตของคุณนั้นมีแต่ความทุกข์ เหมือนกับบรรดาที่ผู้คนในอดีตก่อนหน้าพวกท่านเคยทำกันมาแล้ว ว่าการเกิดมาได้เป็นมนุษย์นั้น แล้วเจอกับการเกิดแก่เจ็บตาย มันเป็นเหตุให้คุณทุกข์ พวกคุณพยายามหาทางที่จะทำให้ความทุกข์นี้หลุดไปซะ เหมือนกันกับพยายามคิดหาทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้เข้าสู่นิพพาน และก็ปิดหูปิดตา กำหนดขอบเขตมันขึ้นมาโดยไม่เคยคิดว่าสิ่งภายนอกนั้นมีอะไร ว่ามันจะเข้าสู่นิพพานได้จริงหรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนั้น ในใจคงจะคิดสิว่า ถ้าตัวเองเป็นฝุ่นดินเสียก็จะดี เพราะจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ แต่พวกท่านนั้นลืม ลืมที่จะตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆรอบว่าคนเราในเมื่อเกิดมาแล้ว เกิดมาเพื่ออะไร ถูกทำให้อุบัติมาเพื่ออะไร หลังจากพยายามเหลีกเลี่ยงความทุกข์แล้ว หลายคนก็คงพยายามที่คิดขึ้นมาเองบ้างว่าเกิดมาเพื่อใช้เวรกรรม โดยที่ไม่เคยคิดถึงความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น ว่าแท้จริงแล้วสัจธรรมมันเป็นเช่นไร
และเปล่าเลยในใจของพวกท่านพอใจในสิ่งที่พวกท่านต้องการให้เป็น พวกท่านต้องการสนองตัณหาของพวกท่านที่พวกท่านไม่อยากรับรู้อะไร ทั้งนั้นต่างหาก จึงคิดขึ้นมาว่าถ้าคนเราเข้าสู่นิพพานได้เสียก็จะดี


อ้างอิงคำพูด :
ไม่ใช่ว่าพอเราไม่พูดเรื่องนอกขอบเขต ก็โจมตีต่างๆนาๆ
ทั้งๆที่เรื่องนอกขอบเขตที่เอามาถาม ตัวเองก็พิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับไม่ได้เหมือนกัน
จินตนาการเชื่อถือไปเอง

แล้วก้มาทำเป้นว่าศาสนาพุทธไม่ดี ไม่ยอมตอบ
โดยไม่ดูตัวเองว่าตัวเองก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทัง้นั้น คิดเอาเอง เอออเอาเอง
ไม่มีวิธีพิสูจน์ให้เห็นจริง



ว่ากันจริงๆแล้ว
ศาสนาพุทธมีวิธีพิสูจน์ในทุกเรื่องที่เราสอน
ไม่เหมือนที่บอกให้เชื่อ ให้เชื่อ และให้เชื่อ




จำข้อความนี้ไว้ให้ดีนะครับ "ศาสนาพุทธมีวิธีพิสูจน์ในทุกเรื่องที่เราสอน"


อ้างอิงคำพูด :
ศาสนาพุทธเราบอกว่า เชื่อคือโง่
และเพราะคนโง่มันคิดไม่ออกหรอกว่าเชื่อคือโง่เป็นยังไง
พระพุทธเจ้าเลยอุตส่าห์แจกแจงว่า โง่ 10 อย่างนั้นมีอะไรบ้าง


สีแดงคือสิง่ที่คุณเป้นอยู่

๑) มา อนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มา ปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มา อิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มา ปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มา ตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มา อาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

พวกอุตริเวลาเจอกาลามะสุตรมักจะร้อนรน อยู่ไม่ได้ ทนไม่ได้
เพราะโดนกาลามสูตรสอยไปหลายข้อ โดยเฉพาะว่าคนพวกนี้ต้ิองอาศัยฝากชีวิตไว้กัีบความเชื่อ
พอศาสนาพุทะบอกว่าเราไม่ให้เชื่อ ก็เลยหาว่าเราโง่


โอ้บรรดาผู้ที่เรียกว่าบัวที่พ้นน้ำ อ่านข้อความนี้ของคุณหลายๆรอบ ใครกันที่โง่ ใครกันที่งมงาย
น่าอนาถใจยิ่งนัก ศร ที่ถูกยิงออกมามันพยศแล้วย้อนกลับไปปักอยู่กลางอกของผู้ยิง ความละอายแก่ใจของพวกท่านยังพอมีอยู่บ้างไหม พวกท่านคงไม่รู้สึกเจ็บหรอกเพราะพวกท่านกำลังนึกอยู่แค่การหาทางทำให้ตัวเองเป็นฝุ่นดินเสีย ได้ไม่ต้องมารับรู้อะไรทั้งนั้น เหมือนกับตอนนี้ที่หลายคนกำลังมือสั่นแล้ว เพราะ 10 ข้อที่พวกคุณยกมานั้นมันย้อนกลับไปปักอยู่กลางอกของพวกท่านอย่างจังๆเลย วันนี้อะไรที่ท่านเชื่อวันนี้อะไรที่ท่านว่าคนอื่นเขาโง่


ธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ท่านสอนทั้งหลาย ก็เพื่อเป็นไปให้เกิดความสุขเท่านั้นเอง
ใครจะเชื่อหรือไม่ พระพุทธเจ้าไม่เดือดร้อน
ท่านเผยแผ่หลักคำสอนไว้ เผื่อทว่า ใครคนใดพอที่จะมีปัญญาพิสูจน์ตามได้ก็จะเข้าใจได้ และจะรู้ได้
ว่าสิ่งที่ท่านบอกไว้จริงหรือไม่อย่างไร


เหมือนที่บอกไว้จริงๆว่ามันไม่ต่างอะไรกับบรรดาผู้ที่เกิดแล้วมานั่งแสวงหาความสุข นี่หรือคนมีปัญญา เพราะว่าที่พวกท่านเชื่อกันนั้นมันสอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในใจของพวกท่านอยากให้มันเป็นอย่างนั้นต่างหาก และพวกท่านก็แสนจะภาคภูมิใจเหลือเกิน

To natdanai

อ้างอิงคำพูด

มีข้อสงสัยในคำถามของท่าน Astroboy นิดหน่อยครับ กรุณาตอบด้วยเหตุผลทีนะครับ

กับคำถามเรื่องไก่กับไข่ที่ท่านว่า
ประเด็นอยู่ตรงที่ ไก่ตัวแรก ไข่ฟองแรก ชีวิตแรก เกิดขึ้นได้อย่างไร ศาสนาพุทธอธิบายไว้ว่าอย่างไร


นึกสงสัยครับว่าทำไมผมถึงต้องสงสัยประเด็นเดียวกับท่าน เพราะเรื่องนี้กระผมไม่ได้มองที่ประเด็นที่ท่านถาม แต่ประเด็นของกระผมอยู่ตรงที่ อะไรทำให้เราต้องมาสงสัยเรื่องพวกนี้ครับ ท่านตอบกระผมได้หรือไม่ว่าทำไมต้องอยากรู้เรื่องพวกนี้ครับ รู้แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น ถ้ารู้ว่าชีวิตแรกคือใคร แล้วเราจะสงสัยมั้ยว่าชีวิตแรกเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นทำไม เพื่ออะไร ถ้ารู้แล้วเราก็ต้องมาสงสัยมั้ยว่าทำไมจึงต้องเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น(หมายถึงคำตอบของคำถามที่ว่าเกิดมาเพื่ออะไร)แล้วเราจะต้องมาต่อยอดความสงสยต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดรึป่าว


ขอตอบคุณ natdanai ครับ
เพราะว่าเป้าหมายของผมไม่ใช่หนีปัญหา เหมือนที่พวกคุณพยายามบอกกันว่าให้ใช้เหตุผล แต่พอเจอปัญหาก็เลยเป็นทุกข์ และบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ เลยเลิกคิดถึงเรื่องเหล่านี้และโยนมันทิ้งไปซะ เพราะว่ามันทำให้ในใจเกิดทุกข์ นี่นะหรือคนที่พยายามแสวงหาสัจธรรม ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกที่ทำให้ชีวิตมีความสุขไปวัน มัวแต่จะหาทางทำให้พ้นทุกข์จึงปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่เคยสนใจในสิ่งที่มันมีอยู่ มัวแต่ไปสนใจในสิ่งที่ตนอยากจะเป็นเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกถ้าตนเองไม่ต้องมารับรู้สิ่งใด หรือเข้าสู่นิพพานเสีย มันก็จะดี




3. อ้างอิงคำพูด :
ใบไม้กำมือเดียว ความหมายเท่าที่ค้นพบ คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบสัจจธรรมความจริงใ นสากลจักรวาลนั้นมีมากมายดุจใบไม้ในป่าใหญ ่ แต่พระพุทธองค์ได้เลือกมาเพียงใบไม้เพียงก ำมือเดียว มาสอน เนื่องจากใบไม้กำมือเ ดียวนี้ คือ "ทางแห่งความหลุดพ้น" ส่วนอื่น ๆ นั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นจึงมิได ้นำมาสอน ...


แทบไม่ต้องอธิบายว่าใครที่เขียนคำพูดหรือเขียนหนังสือเล่นนี้ขึ้นมานั้นมีระดับสติปัญญาขนาดไหน
วันนี้ท่านผู้อ่านบทความนี้คงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสัจธรรมความจริงในสากลจักรวาล และอะไรคือใบไม้กำมือเดียวที่หยิบมาสอน วันนี้ท่านหยิบอะไรขึ้นมาสอน กฎแห่งกรรมกระนั้นหรือ นิพพานกระนั้นหรือ หรือเพียงบอกให้คนอื่นรู้ว่าในกล่องนี้มันมีอะไรอยู่บ้าง เพียงคำพูดของคนหนึ่งคนที่พวกท่านกำลังเชิดชูกันหนักหนา ไหนล่ะคนที่เชื่อในเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ และบรรดาคนโง่เท่านั้นที่หลงใหล และเพราะว่าในใจของเขาอยากให้เป็นเช่นนั้นต่างหาก

4. กลุ่มประสบการณ์นิยมหรือปฎิบัตินิยม (Experientialist)

อ้างอิงคำพูด :

กลุ่มปฏิบัตินิยมนี้กล่าวว่า ความรู้เกิดมาจากผลแห่งการปฏิบัติที่ได้รับประสบการณ์มาด้วยตนเอง ผ่านการทดลองพิสูจน์ เป็นความรู้ที่แท้จริง นักคิดกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นักปรัชญาอุปนิษัทยุคปลาย นักปรัชญาเชน เป็นต้น เรียกว่า กลุ่มรู้เองด้วยประสบการณ์และการหยั่งรู้แจ้ง

ศาสนาพุทธ

จัดอยู่ในกลุ่มนี้ พระพุทธเจ้ายอมรับว่า พระองค์แสวงหาความรู้จริงโดยอาศัยหลักการแห่งประสบการณ์จริงเป็นฐาน และความรู้ขั้นสูงสุดได้เกิดมาจากการค้นพบความจริงด้วยพระองค์เอง โดยการบำเพ็ญเพียรทางจิตจนเกิดญาณหยั่งรู้แจ้งขึ้นมา


เหตุนี้นี่เองต้นกำเนิดแห่งความเข้าใจผิดทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตจนเกิดญาณหยั่งรู้แจ้ง โดยอาศัยหลักการแห่งประสบการณ์จริงเป็นฐาน และความรู้ขั้นสูงสุดได้เกิดมาจากการค้นพบความจริงด้วยพระองค์เอง

อ้างอิงคำพูด :

มีคนสองคน คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว ไม่ถึงที่
อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน

สองคนนี้ รู้สิ่งที่รียกว่า ความจริง เหมือนๆกัน คือรู้ว่ามีหอไอเฟลจริง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้อย่างนั้น

อีกคนหนึ่ง บ้านป่าเมื่องเถื่อน เป้นชาวเขา ไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา
มีคนมาเล่าให้ฟังมามีตึกทำจากเหล็กสูงระฟ้าอย่างนี้อย่างนั้น

คนสามประเภทนี้คือ
1. คนที่เคยไปพอไอเฟลคือ พระอรหันต์ รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง
2. คนที่ดูทีวีสารคดีและสื่ออยู่บ้าน ที่รู้ว่าหอไอเฟลมีจริง คือพวกที่ กำลังศักษาศาสนาพุทธ ผู้ศึกษาธรรมขั้นปริยัติ และปฏิบัติ แต่ยังไม่ถึงปฏิเวธ (ทำยังไม่สำเร็จ)
3. คนที่สามคือ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ศึกษาอะไรเลย ได้แต่คอยคาดเดาเอาจากที่ได้ยินได้ฟัง
และเพราะตึกแบบนี้ มันไม่เคยมีใน vision ของเขามาก่อน เขาก้เลยสงสัยว่าจริงหรือไม่
โกหกหรือเปล่า


วิเคราะห์
หอไอเฟลนั้นเป็นรูปธรรมมีตัวตนอยู่จริง ถ้าคนแรกเห็นหอไอเฟลเมื่อ คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว และคนที่สอง อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน และคนที่สามไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา แต่ถ้าคนที่สองหรือคนที่สามมีโอกาสได้ไปยืนบนหอไอเฟลเช่นเดียวกับคนที่หนึ่งแล้ว แน่นอนตามเขาต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่คนที่หนึ่งได้มีโอกาสไปยืนมาเช่นเดียวกัน

ส่วนในเรื่องของการเข้าใจและค้นคว้าหาความจริงด้วยตนเองหรือการบรรลุธรรมขั้นต่างๆนั้นเป็นเพียงความรู้สึก ความนึกคิดที่อยู่ในใจของตัวเองซึ่งเป็นเพียงนามธรรม ซึ่งแน่นอนที่เดียวไม่มีโอกาสที่จะให้คนที่สองหรือคนที่สามมีความเข้าใจในความคิดของคนที่ 1 ได้โดยถ่องแท้อาจจะมีความรู้สึกที่เป็นไปตามคำอุปทานที่ตัวเองยกให้คล้ายกัน แต่ในหลักความจริงแล้วนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นได้

เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ไร้เหตุผลสิ้นดี แต่นี่แหละคือพวกคุณชอบที่เปรียบเทียบเหลือเกิน
อีกตัวอย่างหนึ่ง
ถ้าเกิดเราและเพื่อนๆของเราค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมคาร์บอน ทำตามขั้นตอนแบบที่คุณกล่าวไว้ทุกประการ จนในที่สุดเราก็ได้สรุปเรื่องราวของแบบจำลองอะตอมเรามารูปแบบหนึ่ง เพื่อนของเราคนอื่นๆได้แบบจำลองมาคนละแบบ เราเองพอใจในแบบจำลองอะตอมของเรามาก เราพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกก็น่าจะได้แบบจำลองอะตอมอย่างนี้ ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วแบบจำลองโครงสร้างอะตอมของคาร์บอนนั้น มีอยู่แบบเดียวเป็นแน่ เราจะทราบได้อย่างไรว่าแบบจำลองของใครถูกที่สุด ซึ่งต้องให้แต่ละคนใช้การอธิบายในเชิงตรรกะมาตรวจสอบถึงความสมเหตุสมผลว่าแบบจำลองของใครที่สมควรที่จะนำมาใช้ต่อไป เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่นำเอาหลักความจริงไปเปรียบเทียบกับรสชาดอาหารซึ่งตัวเองพึงพอใจมาตัดสินใจในความถูกต้องได้ หรือไม่คุณก็ไม่ต้องไปเรียน นั่งพิสูจน์สมการหาความจริงของธรรมชาติเอาเองที่บ้าน หรือไม่คุณก็ออกไปเรียนแล้วดูทฤษฎีต่างๆที่ผู้อื่นค้นคว้าค้นพบ ถ้าคุณเรียนสายวิทย์คุณน่าจะรู้ดี เหตุผลและความเป็นจริงนั้นไม่ได้มาจากตัวเองเท่านั้นอาจจะมาจากสิ่งที่ผู้อื่นค้นพบ และสามรถอธิบายออกมาเป็นเหตุผลได้ เช่นเดียวกับคณิตศาสตร์ ที่ไม่มีใครคำนวณขั้นสูงได้เลยหรอก ต้องเรียนรู้จากเหตุผลของผู้อื่น และเรานั้นสามารถต่อยอดเหตุผลเหล่านั้นออกไปได้อีก เพราะว่าความจริงในทางตรรกะกับความจริงในทางความรู้สึกของตนนั้นแตกต่างกัน ที่นี้คุณทราบหรือยังว่าความถูกต้องที่แท้จริงคืออะไร หาใช่เพียงสมมติฐานเลื่อนลอยที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์คนเดียวคนใดคนหนึ่งไม่

พวกคุณน่าจะรู้จักดีในสิ่งพวกนี้ คนที่ 1 ที่ไปหอไอเฟลมาแล้วกลับมาเล่าเรื่องให้คนที่ 2 ฟังถึงความสวยงามความยิ่งใหญ่ของหอไอเฟลที่คนที่สองไม่เคยไป แน่นอนเพื่อนเขามักจะจินตนาการภาพของหอไอเฟลได้ ถ้าเขาหลับเขาอาจจะฝันถึงหอไอเฟลที่เขาจินตนาการไว้ แต่แน่นอนจินตนาการของเขาไม่สามารถทำให้เห็นภาพของหอไอเฟลของจริงเหมือนที่คนที่ 1 ไปมาได้
นรก สวรรค์ก็เช่นกัน มีคนมาเล่าภาพของนรกสวรรค์ให้คุณฟัง แน่นอนคุณจินตนาการตามเขาได้ แต่ถ้าถามว่าคนนี้เอาเรื่องนี้มาจากไหน ก็แน่นอนเกิดจากจินตนาการภาพนรกสวรรค์ในสิ่งที่เขาอยากให้มันเป็นเท่านั้น


และการทำให้ตัวเองได้รู้ถึงความจริงด้วยอารมณ์ตัวเองหรือสิ่งที่ตนพบมานั้นนั้น เป็นความคิดที่โง่มากครับ อะไรบ้างที่มันขัดแย้งกับเรื่องพวกนี้ เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องอะไรก็ตามที่มีคนพยายามพูดว่าไปเห็นมาแล้ว และที่พยายามอ้างกันว่าต้องไปเห็นมาด้วยกับตาตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ อะไรที่บอกว่าปฏิบัติเองแล้วถึงจะรู้ว่ามันคือความจริง
ตัวอย่างอะไรที่แสดงถึงความน่าอนาถใจยิ่งนัก สำหรับบรรดาผู้ที่อวดรู้แสวงหาความจริงด้วยตัวเอง

ตอบ กฎแห่งกรรม


และสุดท้ายจากคำพูดของพวกท่านเอง


อ้างอิงคำพูด :
ทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดจากจิต เกิดจากความคิดปรุงแต่งของจิตทั้งนั้น แต่เพราะความไม่รู้จิตเลยปรุงแต่งนิมิต หรือ ปรุงความคิดหรือสภาวะซ้ำเข้าอีก นิมิตหรือสิ่งนั้น สภาวะนั้นจึงผกผันพิสดารไปตามจิตอีกที เช่น ที่คุณประสบ คือ อาการหัวโต ฯลฯ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่ง

นั่งฝึกสมาธิอยู่ (หุบปากอยู่แท้ๆตัวอย่างกระทู้ข้างบน) แต่รู้สึกว่าเหมือนปากขยับได้เอง ก็เป็นการปรุงแต่งของจิต เกิดจากความคิด

ที่เว็บพลังจิตส่วนมาก ฝึกแล้วเผลอหลับบ้าง สลืมสลือบ้าง แต่ยังไม่หลับสนิท คือ เบลอๆ แล้วจิตเห็นนั้นเห็นนี่ เห็นตนเองหลุดลอยออกไปเดินเพ่นพ่านที่นั่นที่นี่ เห็นร่างหนึ่งนั่งสมาธิ อีกร่างหนึ่งยืนดูอยู่

คนที่มีความเชื่อ มีความคิดโน้มเอียงเชื่อเรื่องกายทิพย์ เรื่องถอดจิตถอดวิญญาณ ก็ปักใจเชื่อไปทางนั้น
แต่ไปดูเถอะครับ จะเล่าว่าหลับ หรือเกือบหลับขาดสติทั้งนั้น ตื่นมาก็ปรุงแต่งซ้ำไปเลย เพ้อเรื่องกายทิพย์เป็นต้น อีก
เขียนได้ ๒ รูปดังนี้ นิมิต-นิมิตต์

ประเด็นนี้พึงเข้าใจด้วยอุปมา

ถามว่า เงาเรามีไหม ?
ตอบว่า มี
เห็นเงาไหม ?
...เห็น
ถามต่ออีกว่า เงายกมือได้ไหม
...ไม่ได้
อ้าว....เงาก็มีมือแล้วทำไมยกมือ ไม่ได้
ตอบ เพราะเจ้าของเงาไม่ยกมือ
ถาม เงายิ้ม เป็นต้นได้ไหม
ตอบแล้วแต่เจ้าของเงา เจ้าของยิ้ม เงาก็ยิ้ม เจ้าของเงาอยู่นิ่งๆ เงาก็อยู่นิ่ง ฯลฯ

สรุป นิมิตเปรียบเหมือนเงา มีเหมือนไม่มี แต่ที่พลิกผันพิสดารเพราะจิตปรุงแต่งไป

ทำความเข้าใจประเด็นนี้ไปก่อน น่าจะพอเข้าใจประเด็นที่เหลือ
ขอเวลาพิมพ์ก่อน บอกใบ้ให้ว่า ก็คล้ายๆประเด็นนี้นั่นเอง คือเขาเล่นนิมิตด้วยอาศัยจิตที่เป็นสมาธิ
จิตยังหยาบก็วาดภาพนิมิตได้หยาบขรุกขระ ฝึกไปๆ จิตมีสมาธิมากขึ้นๆ ละเอียดขึ้นก็นึกภาพนิมิตได้ประณีตสวยงามขึ้นๆ จะขยายหรือย่อนิมิตให้ใหญ่-เล็กได้ดังใจนึก

กรณี เพ่งลูกแก้ว เพ่งพระพุทธรูป เพ่งกสิณมีปฐวีกสิณ เป็นต้น เขาใช้วัตถุนั้นเป็นสื่อสร้างนิมิตขึ้น
คือเพ่งวัตถุนั้นให้ติดตา จนหลับตาเห็นรูปนิมิต ติดใจแล้ว เมื่อกสิณติดใจแล้ว ก็เพ่งกสิณซึ่งเป็นลูกแก้วเป็นต้น ต่อไป เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ฝึกไปเรื่อยๆ เพ่งไปเรื่อยๆ แรกๆจิตยังหยาบกสิณก็หยาบตามจิต
คือไม่ชัด ไม่แจ่ม ไม่เนียน ก็บริกรรมกสิณนั่นไปเรื่อยๆ เมื่อสมาธิมากขึ้นๆ จิตจะประณีตขึ้นละเอียดขึ้น
มีกำลังมากขึ้น นิมิตก็ประณีตขึ้นตามจิต
รูปกสิณก็ปรากฏในใจชัด ทรงอยู่ได้นานเลี้ยงกสิณได้นานขึ้น ก็ฝึกเล่นกสิณให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ จะให้เปลี่ยนสีไปมา ให้วนซ้ายวนขวา ดึงเข้ามาตรงหน้า นึกผลักให้ถอยออกไป นึกขยายให้ใหญ่
นึกย่อให้เล็กลง ตรึงให้หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ก็ทำได้ แล้วแต่กำลังของสมาธิอ่ะครับ

ลักษณะนิมิตจะเป็นสัมผัสที่เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนการคิดไปเองจะเป็นลักษณะที่เราฟุ้งซ่านสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้พิจาราณาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนนิมิตจะทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าแต่พระท่านบอกไม่ให้ยืดเพราะมันก็ยังไม่เที่ยงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงแค่ภพภูมิหนึ่งเท่านั้น เหตุเพราะชีวิตเราไม่ใช่อยู่แค่ภพภูมิเดียว เป็นเพราะกรรมและความผูกพันทำให้ภพภูมิเราเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ จึงทำให้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง.



นี่หรือคือ บรรดาบัวที่พ้นน้ำ

5. ตอนนี้หลายคนกำลังร้อนรุ่ม และกำลังเครียด แต่ผมคงไม่จบง่ายๆเพราะว่าสัจธรรมยังไงก็คือสัจธรรม



อ้างอิงคำพูด :
- คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ศาสนาพุทธมีขอบเขต
เราไม่ตอบในเรื่องที่ไม่สน ศัพท์เปรียบเทียบท่านใช้คำว่า ใบไม้ในกำมือ
ส่วนใบไม้ที่อยู่ในผืนป่าคือเรื่องที่ท่านไม่ตอบ และไม่ให้สนใจ เพราะไม่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์


ดูกันให้ชัดกันอีกครั้งว่าอะไรคือใบไม้ในผืนป่า
การพ้นทุกข์การเข้าสู่นิพพานของพวกคุณต่างหาก วันนี้ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ และไม่มีอะไรจะมาสนับสนุนในความเชื่อเหล่านี้เลย เพียงแต่เป็นความเชื่อที่พวกคุณต้องการอยากให้เกิดขึ้นมาจริงๆเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่

อ้างอิงคำพูด :
พระพุทธศาสนาไม่ตอบเรื่อง 4 อย่าง (อจินไตย 4)
หนึ่งในนั้นคือเรื่องโลก ที่มา ที่ไป อะไรยังไง
พระพุทธเจ้าบอกว่า ใครคิดจะมีส่วนแห่งความบ้า


จะไม่เห็นคนอื่นบ้าได้อย่างไรกัน เพราะมัวแต่ไปสนใจว่า มนุษย์นั้นมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ จึงพยายามดับทุกข์เพื่อให้ตัวเองพ้นไป โดยไม่สนใจในสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า จนลืมแล้วลืมอีกที่จะถามตัวเองว่าคนเรานั้นเกิดมาทำไม ที่หนีความทุกข์นี้มันคือสิ่งที่ถูกแล้วเหรอ จนลืมนึกถึงผู้ที่ทำให้ชีวิตอุบัติขึ้นมา

อ้างอิงคำพูด :
ที่ท่านถามว่าศาสนาพุทธอธิบายอย่างไร
ตอบว่าไม่อธิบาย
ส่วนเรื่องวิญญานนั้น ในระบบของศาสนาพุทธไม่มี
เวลาเราตายแล้ว เราจะไปจุติทันที ไปเกิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งใน 31 ภพ

คำว่าวิญญานที่เราๆท่านๆใช้กันในลักษณะผีสาง
อาจจะเป็นได้ทั้งเปรต หรือเทวดาจำแลง


เหมือนที่บอกไว้หมดเลย สิ่งที่คิดขึ้นมาเองโดยไร้ตรรกะหรือกฎลูกโซ่ใดๆมายึดเหนี่ยว นี่นะหรือความสิ่งที่ไม่ได้เรียกว่าความงมงาย ถ้าจะให้ดีกลับไปอ่านในเรื่อง ความเชื่อที่เป็นข้อคิดเห็น แต่ก็ไม่มีเหตุผลหรือหลักความจริงอันใดที่จะหักล้างว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้ จะได้มีความเข้าใจกันมากขึ้น

อ้างอิงคำพูด :
จุดหมายของพุทธไม่ใช่แต่การสนทนาโต้ตอบหาเหตุผลทางความคิดทางปรัชญา

แต่มุ่งที่การหลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ



ถึงได้บอกว่าน่าอนาถใจเช่นไรสำหรับบรรดาผู้ที่มุ่งแต่จะหลุดพ้น เดี๋ยวตามมาดูกันนะครับว่าใครกันที่คือบัวในตม

ปัญหาทาง อภิปรัชญาที่นักคิดสมัยนั้นชอบโต้แย้งกันโดยถามหาที่สุดโลก เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรียกว่า อัพยากตปัญหา 10 อย่าง คือ

1. โลกเที่ยง
2. โลกไม่เที่ยง
3. โลกมีที่สุด
4. โลกไม่มีที่สุด
5. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นอันเดียวกัน
6. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นคนละอย่างกัน
7. ตถาคตจะเกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
8. ตถาคตจะไม่เกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
9. ตถาคตทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป
10. ตถาคตไม่ใช่ทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป

ข้อสังเกต....เหมือนที่คุณถามไหมครับ....

ข้อ 1 - 4 โต้เถียงในเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ วัตถุ (รูปธรรม)

ข้อ 5 - 6 โต้เถียงในเรื่องสภาวะของชีวะ(วิญญาณ) ที่เรียกว่า อาตมัน (นามธรรม)

ข้อ 7 - 10 โต้เถียงในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด การเกิดใหม่


ไม่เคยตอบแล้ววันนี้มีความเชื่อเหล่านี้อยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างไร ใครเป็นคนคิดที่อธิบาย สภาพของวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด


อ้างอิงคำพูด :
เหตุผลที่ไม่ตอบปัญหาทางอภิปรัชญา

พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัย การโต้เถียงปัญหาทางอภิปรัชญา
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดโต้เถียงย่อมเป็นคนโง่เขลา

กว่าจะได้คำตอบก็ตายก่อนทั้งนักคิดชาวตะวันตก
และนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ถูกสักคน....

2. ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า

3. ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าที่จำต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน

4. ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม

...... พระองค์จะนิ่งเฉยเสีย หรือปฏิเสธตรงๆ

.......หรือให้ยกคำถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ

.......การไม่ตอบเป็นความฉลาด ถ้าตอบ"ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่ายของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง) ถ้าตอบ "ไม่ใช่" ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ)

.......การไม่ตอบไม่ใช่เป็นความโง่ หรือเป็นเพราะความไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งต่างหาก

เพราะแม้ตอบแล้วก็จะยังไม่จบอยู่ดี

ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และอนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และตอบปัญหานี้ได้ดี





คนที่ศึกษาพุทธประวัติจะรู้ดี ว่ามีคนจำนวนมากได้พยายามถามในสิ่งที่ผมได้ถามไปแล้ว มีคนช่างคิดช่างสงสัยอยู่มากมายที่จะมาถามพระพุทธเจ้าแต่ทำไมถึงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ


วิเคราะห์
1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดโต้เถียงย่อมเป็นคนโง่เขลา
กว่าจะได้คำตอบก็ตายก่อนทั้งนักคิดชาวตะวันตก
และนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ถูกสักคน....

เพราะว่ามัวแต่คิดว่าคนอื่นโง่เขลาเลยไม่ได้รู้ว่าคนอื่นเขาคิดกันเช่นไร มีเหตุผลอะไรกัน เพราะมัวแต่เชื่อมั่นในความคิดของตน บรรดาผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย ณ ตอนนี้ใครเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมอยู่บ้าง เช่นเดียวกับนิพพาน จะรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องรอจนตัวเองตายก่อนใช่ไหมถึงจะรู้ และที่คิดไม่ได้เพราะในส่วนลึกของหัวใจมันบอกว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ปฏิเสธพระเจ้าออกไป เพราะว่าท่านกลัวที่จะพูดถึงเรื่องของพระเจ้า ทั้งพยายามตั้งทิฐิว่ามันไม่มี ถึงแม้ว่าจะมีพระเจ้าจริงพวกเขาก็ยังปฏิเสธ ทั้งๆที่มันติดเพียงที่ปลายลิ้นของท่านเท่านั้น เพราะท่านกำลังกลัวกับความทุกข์ที่กำลังจะเกิดต่อไปหากว่ามีจริงๆ กลัวที่จะไม่ยิ่งใหญ่กว่าใคร กลัวที่จะมีผู้อื่นนั้นสูงส่งกว่าท่าน กลัวที่จะต้องก้มหัวให้ใคร ท่านจึงปิดหูปิดตาไม่สนใจที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ เพราะว่าสิ่งเดียวที่ท่านต้องการคือท่านต้องการทำตัวให้เป็นดังเช่นดิน ที่มันถูกเหยียบย่ำเช่นไรมันก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหมือนกันที่พยายามแสวงหานิพพานและปิดหูปิดตาตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น ที่สำคัญคือ เพราะว่ามันกำลังจะขัดแย้งในสิ่งที่ท่านเคยได้พูดเอาไว้ต่างหากถึงไม่มีคำว่าพระผู้สร้างปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเลย ไม่เคยเลยที่จะมีเรื่องพวกนี้เฉี่ยวเข้าไป มีแต่เรื่องสิ่งต่างๆที่พยายามจะอธิบายอยู่ว่าในกล่องมีอะไรอยู่บ้าง ไม่เคยเลยที่จะพูดถึงว่ามันมาอยู่ในกล่องนี้เช่นไร เหมือนกันที่พยายามนิยามสิ่งที่อยู่นอกญาณวิสัยขึ้นมาเองเพื่อสนองตัณหาในสิ่งที่ตนเองอยากให้เป็นเช่นนั้น โดยพยายามมองคนอื่นว่าโง่ไปหมด และปิดหูปิดตาไม่ยอมรับว่าผู้อื่นเขาอธิบายไว้อย่างไรบ้าง
นี่นะหรือความคิดของผู้แสวงหาสัจธรรม

2. ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า
มีคนอยู่คนหนึ่ง เป็นนักเที่ยว วันๆเอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่หาความสุขไปวันๆ วันหนึ่งมีคนมาบอกเขาว่าเลิกเหอะหันมาปฏิบัติธรรมกัน คุณคิดว่าเขาจะเลิกกันไหม แน่นอนว่าคนผู้นี้ไม่เลิกหรอก เพราะว่าตนเองมีความสุขอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะไปหาทางทำให้พ้นทุกข์อีกทำไม เขาจะเลิกก็ต่อเมื่อวันใดวันหนึ่งที่เขาแก่ตัวจนไม่มีความสุขให้เขาแสวงหาแล้วเขาจึงเข้าไปปฏิบัติธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์
เช่นเดียวกับพวกท่านเลยถ้าผมชวนพวกท่านว่า วันนี้มาค้นหาความจริงพวกนี้กันเถิด พวกท่านคงไม่หรอกเพราะพวกท่านมีความสุขอยู่แล้วทำไมต้องไปทำให้ตัวเองคิดมากให้ตนเองเกิดความทุกข์ด้วยล่ะเสียเวลา

3. ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าที่จำต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน
เพราะว่ามัวแต่หาทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ปิดหูปิดตาตัวเอง จนลืมอีกนั่นแหละ ว่าความจริงแล้ว มนุษย์เกิดมาเห็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสาเหตุของการทุกข์ใจ และก็ลืมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องเจอกับเกิดแก่เจ็บตาย แล้วเราจะเกิดมาเพื่ออะไร และในที่สุดพวกท่านก็ลืมที่ค้นหาคำตอบ จนวันตายพวกท่านก็หาคำตอบไม่เจอ และจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้ตอบ



4. ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม

...... พระองค์จะนิ่งเฉยเสีย หรือปฏิเสธตรงๆ

.......หรือให้ยกคำถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ

.......การไม่ตอบเป็นความฉลาด ถ้าตอบ"ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่ายของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง) ถ้าตอบ "ไม่ใช่" ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ)

.......การไม่ตอบไม่ใช่เป็นความโง่ หรือเป็นเพราะความไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งต่างหาก

เพราะแม้ตอบแล้วก็จะยังไม่จบอยู่ดี


ขอแยกวิเคราะห์ข้อ 4 ย่อยลงไปอีก
ที่บอกว่าไม่รู้คำตอบแล้วทำไมไม่ตอบ
- เพราะถ้าตอบออกมาแล้วคำตอบมันขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับคำสอนของตัวเองอย่างเห็นได้ชัดเจนในเกือบทุกเรื่อง เห็นชัดเจนในเรื่องกฎแห่งกรรม
- ไม่ใช่ไม่จบและเพราะกลัวว่าคำว่าพระเจ้าที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นจะหลุดออกไป เพราะบอกแล้วว่าภายในจิตใจมันมีทิฐิพยายามที่จะปฏิเสธพระเจ้าออกไปทุกวิถีทางต่างหาก
- และเพราะว่าให้ยกคำถามเว้นว่างไว้ก่อน เหมือนการผัดวันประกันพรุ่ง จนตายก็ยังไม่ได้ตอบ
- และนับได้ว่าเป็นการฉลาดอย่างที่คุณว่า เพราะถ้าตอบออกมาความขัดแย้งมากมายมั่นทำให้ปั่นป่วนแล้วกลัวจะเกิดความทุกข์ จนหลุดออกจากหนทางพ้นทุกข์
- และนี่ก็เป็นการฉลาดที่สุด เพราะว่าถ้าสมัยนั้นพูดออกมาคงไม่มีศาสนาพุทธอยู่ถึงปัจจุบันเป็นแน่แท้

6.
อ้างอิงคำพูด :
อันนี้แรงเกินไปนะคุณ
ที่มาเรียกพระพุทธเจ้าว่าคนคนนี้


สิ่งที่น่ารังเกียจมาก คือเวลาเราไปเยี่ยมบ้านเพื่อน หรือไปบ้านใคร
เราต้องยกมือไหว้ผู้ใหญ่ในบ้านนั้น เพราะมันสิ่งที่คนในบ้านนั้นเคารพ

อย่ามีนิสัยหยาบกระด้างจนไม่ยกมือไหว้ใครในบ้านนั้น เพราะคิดว่าตัวเองสูงกว่า
ถ้าไม่คิดว่าจะเข้าไปในบ้านเขา รับไม่ได้ ก้อย่าเข้าไป
ถ้าเข้าไปแล้วต้องไหว้พ่อแม่เขา
หรือไม่ก็แสดงการเคารพคารวะผู้ที่คนอื่นเขาเคารพ


เวลาตัวเองพูดยังต้องมีจริตในการพูดกับพระเจ้า ว่าคำไหนต้องใช้กับพระเจ้า
การพูดถึงพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน
ให้เกียรติกันบ้าง

อยากสูงส่งก็เชิญทำไป แต่ไม่จำเป็นต้องเหยียบกันอย่างนี้

คุณเองเชื่อฟังพ่อแม่หรือเปล่า แล้วเชื่อทำไม
คุณเชื่อพระเจ้าคุณหรือเปล่า เชื่อทำไม
ก็เหตุผลเดียวกันนั่นแหละ

เราเชื่อพระพุทธเจ้าก็เหตุผลเดียวกับคุณเชื่อในพระเจ้านั่นแหละ
เราหวังพึ่งท่าน เราศรัทธาท่าน เราต้องการท่านนำทางชีวิตและวิญญานของเราไปสู่ที่อันควร


เรียนถึงคนโพสต์ข้อความนี้และบรรดาผู้ติดตามทุกท่าน
ก่อนอื่นผมขอเรียนตามตรงว่าผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในเกียรติของมนุษย์ทุกคน ไม่มีว่ามนุษย์คนใดบนโลกนี้ผมก็ให้เกียรติในความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคน ถึงแม้ว่าเกียรติของผมจะถูกย่ำยีเพียงไร ผมพยายามให้เกียรติเขาคนนั้นทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าผมจะไม่ให้เกียรติแด่มนุษย์คนอื่นมากกว่าที่จะให้เกียรติของผมเป็นแน่
และคำว่า “คนคนนี้” ผมไปลดเกียรติของเขาลงยังไงไม่ทราบ แม่ของผมเองผมก็ยังเรียกว่าคนคนนี้ แต่คุณน่าจะลองอ่านในสิ่งที่ผมกำลังพิมพ์ต่อไปนี้
- คนคนนี้เองไม่ใช่เหรอ ที่กำลังดูถูกสติปัญญามนุษย์ทุกคน รวมทั้งคุณและผม โดยการบอกว่าตรัสรู้จนเห็นชัดแจ้ง แล้วยังบอกว่าคนที่คิดถึงเรื่อง อจินไตย 4 มีส่วนของความบ้า แต่ในทางตรงกันข้าม ตัวเองต่างหากที่พยายามปิดหูปิดตา ไม่อยากพบเห็นอะไรเพราะกลัวว่ามันเป็นเหตุแห่งการทำให้เกิดทุกข์
- ระดับของสติปัญญาพวกคุณน่าจะเห็นจากการที่บำเพ็ญทุกรกิริยาแล้ว นี่หรือคือวิธีหาความจริงของผู้มีสติปัญญา
- ใครศึกษาพุทธประวัติเยอะจะรู้ว่ามีใครบ้างที่ถูกย่ำยีเกียรติลงไปแบบนี้ เพราะว่าในสมัยนั้นก็มีคนพยายามจะมาบอกในเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ทว่า ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับฟังกลัวว่าจะเป็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ต่างหาก


แต่ ณ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้
ผู้ที่ให้พวกท่านอุบัติขึ้นมา ผู้ที่ให้สิ่งต่างๆมากมายงอกเงยขึ้นมาจากในดินให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน พวกท่านไม่เคยจะให้เกียรติผู้นี้เลย มัวแต่ไปบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ นอกจากนั้นพวกท่านยังแสดงความยโสโอหังโดยการหาสิ่งอื่นขึ้นมาทดแทนผู้ที่บังเกิดพวกท่านทั้งหลายขึ้นมา และพยายามลดเกียรติของตน
มันเกิดอะไรขึ้นที่คนมากมายยอมไปให้เกียรติกราบไว้กับรูปปั้นที่มีมนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้นมาแล้วบอกว่านี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยให้เกียรติแก่ท่านแม้แต่น้อย ทั้งที่พวกท่านทุกคนต่างก็รู้ดี แต่ก็พยายามที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่าการยึดเหนี่ยวจิตใจ
นี่นะหรือการกระทำของคนที่บอกว่าเป็นผู้เชื่อมั่นในเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ


7.
อ้างอิงคำพูด :
ขออนุญาตโต้แย้ง-เพราะพระศาสดาของผมท่านรู้แจ้งตลอดว่าโลกย่อมเปลี่ยนแปลงท่านจึงให้หลักกว้างๆที่พร้อมจะปรับเพื่อให้สรรพชีวิตสามารถยังชีพได้ตามควรแก่กาลนั้นๆ ดังนั้นท่านจึงไม่กำหนดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ดังนั้นพระสูตรของเราจึงมีผู้รู้และเชียวชาญกรุณาระบุให้ชัดเจนในแต่ละสมัยครับ..และอีกอย่าง.ผมเป็นชาวพุทธที่ไม่เน้นการคิดและศึกษาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนหรือเป็นเทพแต่ผมศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เห็นว่าเป็นสิ่งดี(สิ่งดีของผมคือไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจร้อนใจเสียหาย...ไม่ใช่ว่าเห็นตามบัญญัติของสังคมที่บอกว่าสิ่งนั้นเรียกว่าดีสิ่งนี้เรียกว่าไม่ดี


วิเคราะห์
นี่นะหรือสัจธรรม นี่นะหรือคนที่เชื่อมั่นในเหตุและผลอย่างฝังหัวใจ ไม่ได้ต่างอะไรกับการขายผ้าเอาหน้ารอดเลย แต่ก็ไม่เป็นไรถึงมันจะถูกแก้ไขอย่างไร จะถูกเปลี่ยนแปลงให้สมบูรณ์อย่างไร ก็หนีไม่พ้นสัจธรรม เหมือนกับสัจธรรมที่ผมเจอในสิ่งที่มันมีอยู่ในพวกคุณ ไม่ว่าคุณจะจำพระไตรปิฎกได้หมด ไม่ว่าคุณจะบรรลุธรรมขั้นไหนๆก็ตาม ในนั้นมันก็แค่เป็นกล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติเท่านั้น ก็คือดูว่ามีอะไรอยู่ในกล่อง โดยไม่มีส่วนใดเลยที่กล่าวถึงเหตุที่เข้ามาอยู่ในกล่องนี้เลย และก็จริงเสียด้วยว่าเป็นการปิดหูปิดตาไม่ยอมรับในสิ่งภายนอกเลย ไม่เคยดูสิ่งที่ผู้อื่นพยายามอธิบายเรื่องนอกญาณวิสัยของมนุษย์ พูดเองเออเองไปหมด ทุกอย่างพยามหลีกเลี่ยงในที่ตอบที่ตอบในเรื่องเหตุของการอุบัติ หรือเรื่องของพระเจ้า ผมถึงได้บอกว่าในใจคนเรามันเต็มไปด้วยทิฐิ ถึงแม้ในพระไตรปิฎกจะมีความขัดแย้งอย่างมากมายอยู่ภายใน แต่คุณเองก็พยายามข่มใจตัวเอง และมองข้ามสิ่งเหล่านั้นทำเป็นไม่เห็นมันเพราะว่ามันคือเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เพราะใครที่บอกว่าไม่เคยเจอความขัดแย้งในนั้นจงคิดใหม่ เพราะหลังจากนี้ที่คุณอ่านและทำความเข้าใจบทความนี้แล้วคุณจะเจอสิ่งต่างๆที่มันขัดแย้งในตัวมันเองอย่างมากมาย ในสิ่งที่คุณพยายามจะข่มใจให้เชื่อทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้
และขอให้ผู้มีสติปัญญาพิจารณาดูว่า เวลาคุณไปดูหนังแนวแฟนตาซีคุณคิดอย่างไร แน่นอนซุปเปอร์แมนนี้แสนจะเท่ห์ เมื่อมันบินขึ้นไปบนฟ้าได้ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่ามันไม่มีพลังงานหรือเหตุอันใดไปทำกับมันเลย แต่คนดูก็ชอบเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คนดูต้องการอย่างนั้น คนถึงชอบซุปเปอร์แมน
เหมือนกันเลย 25 ศตวรรษแล้ว ผ่านมาไม่รู้กี่รุ่นแล้ว อย่าว่าแต่หลักธรรมคำสอนที่ถูกเปลี่ยนเลย ประวัติศาสตร์หรืออะไรต่างๆมันจะเหลือได้อย่างไร เหมือนกันที่หลายต่อหลายคนพยายามจะเปลี่ยนแปลงมันตามที่ตนเองต้องการ เพราะว่ามันอาจจะทำให้คุณชอบ อาจทำให้คุณเห็นว่ามันขลัง ทั้งที่คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เพราะบอกแล้วว่าถึงอย่างไรในใจคุณก็ยังไม่ปฏิเสธ เพราะว่ามันคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณพอใจ

8.


อ้างอิงคำพูด :
บางท่าน อาจจะเข้าใจผิดว่า หลักพุทธธรรมได้รับการยอมรับเฉพาะเพียงนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังบางท่าน

ความจริงแล้ว หลักพุทธธรรม ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะ การนำมาประยุกต์ใช้ในการรับมือกับการเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจ

ลองอ่าน

การเจริญสติกำลังเป็นแฟชั่นฮิตในอเมริกา
http://www.budpage.com/bn188.shtml

การใช้"สติ"ร่วมรักษาภาวะผิดปกติทางจิต
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... d0745679ca



และ มีนักวิทยาศาสตร์ อีกจำนวนมากในประเทศตะวันตก กำลังสนใจหลักพุทธธรรมมาก

"สมาธิ" ทางลัดศึกษากลไกสมอง
http://larndham.net/index.php?showtopic=18882&st=0&hl=สมอง

การทำสมาธิช่วยเพิ่มขนาดสมองได้
http://larndham.net/index.php?showtopic=20204&st=0

"ธรรมะ"เหนือกว่าประสาทอัตโนมัติ ผลการวิจัยจากโครงการGENOME
http://larndham.net/index.php?showtopic=14538&st=0&hl=ระบบประสาท

ผลวิจัยการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิต่อสมอง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ต่อการทำสมาธิ
http://larndham.net/index.php?showtopic=14295&st=0#top


ขอร้องว่าอย่าโพสต์มาเลยเรื่องพวกนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการโฆษณาขายสินค้าเลย จะบอกให้ว่าสิ่งเหล่านี้มันธรรมดามากครับ ไม่ได้หนึ่งในร้อยของสิ่งที่ผมเห็นมา และเพราะการที่พวกคุณมัวแต่ปิดหูปิดตาอยู่นี่เอง และกำภาคภูมิใจและหลงระเริง ในสิ่งที่พวกท่านมีอยู่กันอย่างหนักหนา อย่างเช่นเรื่อง การฝึกสมาธิ สติ จนพวกท่านคงคิดเอาเองว่ามีนี่คือสิ่งที่มาจากความคิดของพวกท่านแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น จนไม่เคยมองในสิ่งที่เป็นของคนอื่นเลย เหมือนกับบรรดาบางคนที่พยายามอ้างไอสไตน์บ้าง อ้างวิทยาศาสตร์บ้าง นำไปเปรียบเทียบกับไอสไตน์ เพียงเพราะว่าพวกท่านชื่นชมและยินดีและกำลังหลงระเริงกับคำพูดของพวกเขา เพียงเพราะว่าคนพวกนี้เป็นอัจฉริยะกระนั้นหรือ ไม่ต่างอะไรที่ให้คนอื่นมานั่งดูถูกสติปัญญาของตนเอง



มีคนบอกว่าผมพูดแรงไปหรือเปล่า แต่ผมขอบอกว่าเปล่าเลยพูดตามตรงและสัจธรรมต่างหาก
เพราะบอกแล้วว่าการพูดตรงๆนั้นมันเปรียบเสมือนยาขม ที่พวกคุณต่างก็ไม่ชอบและไม่อยากกิน แต่แม่ของคุณอยากให้คุณกินเพื่อที่คุณจะได้หายจากโรค
เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ผมรู้ดีว่าตอนนี้สภาพหลายคนเป็นอย่างไร บางคนกำลังเครียดมาก บางคนโมโหมากพยายามที่จะหาวิธีลบกระทู้นี้ออกไปให้ได้ บางคนกำลังมือสั่น และก็กังวลที่จะกดคีย์บอร์ดออกไป
แต่บางคนก็ยังนิ่งเฉยเพราะที่อ่านผ่านมานั้นในจิตใจมีแต่ทิฐิที่เชื่อมั่นความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพิมพ์ออกไปบ้างเลย ถึงกระนั้นก็ดีก่อนที่จะแสดงความโง่ออกมากรุณากลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง



ผมจะขอพูดสิ่งที่อยู่ในใจของพวกท่าน ณ ตอนนี้ให้ฟัง

- เมื่อคุณได้อ่านกระทู้นี้จนถึง ณ ตอนนี้ สิ่งแรกที่คุณกำลังคิดหาอยู่คือช่องโหว่ที่จะปฏิเสธมัน
- ในใจส่วนลึกบอกว่า เรื่อง พระเจ้าเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่หรอกน่า ปฏิเสธมันออกไปเถอะ
- พวกคุณกำลังหาสมมติฐานที่เป็นไปได้ของคุณขึ้นมา แล้วพยายามวิเคราะห์มันเพื่อที่จะทำให้มันเป็นไปได้ แต่เปล่าเลย ณ ตอนนี้คุณกำลังจะเจอสิ่งที่มันขัดแย้งกับความเชื่อของพวกคุณอยู่ เพราะว่าพวกคุณชอบอ้างกันมานัก มีเหตุก็ต้องมีผล action = reaction แต่พวกคุณก็ต้องจนมุมเพราะหาเหตุไม่ได้ และกังวลอยู่ที่จะนึกถึงคำตอบในเรื่องของพระเจ้า
- พวกคุณหลายคนกำลังคิดว่า จะมาสนใจทำไมกับเรื่องพวกนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่เหตุทำให้เกิดทุกข์ แต่คุณก็กำลังลืมว่าสภาพของคนในอดีตก่อนหน้าพวกคุณที่จ้องแต่จะปลดทุกข์มีสภาพอย่างไร จนตายก็ยังไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้ และวันนี้ก็ยังไม่ทราบคำตอบเลยรู้เลยว่าคนที่ทำให้เราบังเกิดขึ้นมานั้นบังเกิดเรามาเพื่ออะไร แน่ใจหรือว่าชดใช้เวรกรรม
- ตอนนี้คำว่าพระเจ้ากำลังติดอยู่ที่ปลายลิ้นของบางคน แต่ในใจก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เราอุส่าห์มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติมาเกือบครึ่งชีวิตของเราแล้ว วันนี้จะให้เปลี่ยนจิตใจของตนเองไปได้อย่างไร
- บางคนกำลังคิดว่าสิ่งที่ตนได้ปฏิบัติธรรมมาได้ไปเห็นมานั้นมันคืออะไร และผมก็ได้บอกคำตอบของสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว
- หลายคนกำลังนึกสมเพชตัวเองที่ ณ ตอนนี้ตนเองนั้นเปรียบเสมือน นักการเมืองบางคน ที่พยายามหาช่องโหว่ของกฎหมาย และเอาหัวโผล่ขึ้นมา แต่ก็ออกมาได้แค่หัว ซึ่งตัวนั้นยังติดอยู่ในข้างในเหมือนเดิม และยังค้างอยู่อย่างนั้น ซึ่งก็เป็นการประจานความโง่ออกมาให้ผู้อื่นเห็น
เช่นเดียวกันที่บางคนกำลังหาช่องโหว่ของกระทู้นี้อยู่แล้วหยิบยกมันขึ้นมาโจมตี
- หลายคนรับไม่ได้นะที่ผมพูดแรงเกิน แต่อย่างที่บอกว่ายาขมมันทำให้คุณหายจากโรคได้ โดยเฉพาะโรคที่ยึดติดกับที่ตั้งของตนไม่ยอมออกมาดูว่าภายนอกนั้นมีอะไรถึงแม้ว่าจะมีคนพยายามไปเปิดฝาคอนกรีตให้บัวพวกนั้นโผล่ออกมา
- ต่อจากนี้หลายคนคงไปค้นคว้าหาคำตอบ จากบรรดาผู้มีสติปัญญาผู้บรรลุถึงแก่นสารของธรรมทั้งหลาย หรืออาจจะเป็นพระไตรปิฎกทุกเล่มเลยก็ได้ แต่ก็พยายามจำคำพูดผมไว้ เพราะต่อจากนี้คุณจะเห็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงอยู่มากมาย และแน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครตอบคุณได้ จะมีแค่คำตอบว่าอย่าไปสนใจเพราะมันทำให้คุณเป็นทุกข์ แล้วคุณก็จะรู้อะไรหนึ่งอย่าง ว่าในนั้นมีเพียงแค่บอกว่าในกล่องมีอะไรเท่านั้น บอกว่าธรรมชาติของมนุษย์หรือสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในกล่องนี้มีธรรมชาติอยู่อย่างไร คุณจะไม่เจอเลยคำถามที่ว่ามันเข้ามาอยู่ในกล่องนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะบอกแล้วว่าพูดออกมาเป็นเหตุไม่ได้ เพราะพูดออกมามันจะติดคำว่าพระเจ้าอยู่ที่ปลายลิ้น
- หลายคนคงกำลังจะด่าคนที่โพสต์กระทู้นี้อยู่ในใจ ว่ามันช่างเลวเหลือเกิน เป็นมารศาสนาที่มาทำลายความศรัทธาของผู้คนที่ได้พยายามสร้างไว้อย่างมากมาย แต่คนมีสติปัญญาจะรู้ดี ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นเป็นความจริงหรือเปล่า เพราะแน่นอนบรรดาคนโง่นั้นจะพยายามหาทางทุกวิธีเพื่อที่จะปฏิเสธ เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้พวกเขาไม่พอใจ
- บางคนกำลังร้อนเป็นไฟ คันไม้คันมือ คันปาก อยากที่จะเถียงออกมา แต่ก็บอกว่าก่อนที่จะเถียงออกมาให้ย้อนกลับไปทำความเข้าใจอีกครั้งก่อนที่จะมาเถียง เพราะว่าเดี๋ยวมันจะเป็นการประจานความโง่ของตัวเอง
- บางคนไม่ไหวแล้ว รับไม่ได้หาทางทุกวิธี เพื่อที่จะลบกระทู้นี้ออกไปให้ได้ แต่แน่ล่ะว่า คุณกลัวความจริง คุณกำลังปฏิเสธสัจธรรม แต่คุณไม่กลัวที่จะเป็นผู้ปฏิเสธศาสนาของตนเองเลย
- บางคนคิดว่านี่คือการดูถูก หลบหลู่ศาสนาของคุณ แต่ลองคิดให้ดีว่าผมไปดูถูกพวกคุณอย่างไร เพราะผมเพียงพูดตรงๆและพูดจริงเท่านั้น ถ้าตรงไหนคุณคิดว่าคือการดูถูกก็ให้ยกออกมา
- เดี๋ยวอีกไม่นานคงมีคนขึ้นมาเถียงและเรียกร้องให้ลบกระทู้นี้ออกไป เพราะมันเป็นการบ่อนทำลายความศรัทธาของผู้คน แต่เปล่าเลยพวกคุณกำลังกลัวความจริง ไม่กล้ายอมรับสัจธรรมต่างหาก
- หลายคนคงบอกว่าเจ้าของกระทู้นี้บ้าจะพูดให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจว่าศาสนาพุทธสอนอะไร แต่เปล่าเลยคนที่ไม่ยอมเข้าใจและถือทิฐิอวดดีนั้นคือพวกคุณเองไม่ใช่เหรอ ที่ปิดหูปิดตาตัวเอง และพยายามลั่นกลอนหัวใจของพวกท่านเอาไว้เอง
- หลายคนคงพยายามคิดว่านี่ผมมาเผยแพร่ศาสนาตัวเองหรือเปล่า ขอตอบว่าตรงไหนคือการเผยแพร่ศาสนาให้ยกมา เพราะว่าที่ผมพูดนี้คือสัจธรรม

และเรียนถึง webmaster ถ้าผมทำผิดกฏิกาบอร์ดนี้จงยกขึ้นมาและแจ้งให้ผมทราบ ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ถึงอยากที่จะลบมันออกไป เพราะผมรู้ดีว่าคนมีสติปัญญาควรทำเช่นไร ไม่ใช่ว่ามันทำให้พอใจถึงพยายามที่หาทางดับทุกข์ด้วยการลบทิ้งมันซะ ตรงไหนเป็นการเผยแพร่ศาสนาของผมให้ยกขึ้นมา ตรงไหนเป็นการดูถูก กล่าวหาว่าร้ายพวกคุณก็ให้ยกขึ้นมา อย่าแสดงออกมาซึ่งความไร้สติปัญญาที่จะปฏิเสธความจริง เพราะที่ผมพูดออกมานั้นก็มาจากคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น ที่สอนไม่ให้เชื่อ ที่สอนให้ใช้สติปัญญาพิจจารณาหาเหตุผลวันนี้ผมทราบคำตอบทุกอย่างว่าคนเชื่อมั่นในเหตุและผลอย่างฝังหัวใจเขาอธิบายคำว่าสัจธรรมกันไว้ว่าอย่างไร แต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำตอบมันช่างเป็นอะไรที่ตื้นซะเหลือเกิน

หลายคนคงสงสัยว่าถ้าไม่ศรัทธาแล้วมาบ่อนทำลายทำไมมาสร้างความปั่นป่วนทำไม
ขอตอบว่าเพราะผมเองก็เป็นคนที่ตามสัจธรรมเช่นเดียวกันเหมือนกับพวกคุณ แต่เวลานี้ไม่ทราบว่าบรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้ใฝ่หาสัจธรรม รวมถึงนักปรัชญามากมาย กำลังตามหาอะไรอยู่ เท่าที่รู้มีเพียงการปิดหูปิดตา ให้ตัวเองหลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น จนพวกท่านนั้นลืมอะไรไปบางอย่าง
เหมือนที่บอกไว้ไม่มีผิด ว่าคำว่าพระเจ้ามันติดอยู่ที่ปลายลิ้นของพวกท่าน แต่ว่าพวกท่านนั้นได้ตั้งทิฐิเอาไว้ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องปฏิเสธมันออกไปให้ได้ถึงแม้ว่ามันเป็นความจริงก็ต้องปฏิเสธออกไป เพราะว่ามันทำให้ท่านเกิดความทุกข์ มันจะทำให้พระพุทธเจ้าที่พวกท่านนับถือนั้นไม่ยิ่งใหญ่ มันจะทำลายความเชื่อของบรรพบุรุษของพวกท่านที่ถูกส่งต่อกันมา มันจะทำให้ท่านต้องก้มหัวและยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่เพราะว่าท่านกลัวเสียศักดิ์ศรี และวันนี้พวกท่านได้ลงทุนมาเยอะแล้วพวกท่านจะไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆแล้ว เพียงแค่คำพูดของเด็กบางคนที่จะมาทำให้เปลี่ยนใจกระนั้นหรือ แต่เปล่าเลยพวกท่านมัวแต่หลงระเริงอยู่กับสติปัญญาของตัวเองที่คิดว่ามีมากกว่าผู้อื่นต่างหาก เหมือนกับที่คนก่อนหน้าพวกท่านได้พยายามดูถูกสติปัญญาของพวกท่านเอาไว้ และวันนี้พวกท่านก็กำลังดูถูกสติปัญญาของผู้อื่นเช่นเดียวกัน เพราะว่าเหมือนที่ท่านกำลังดูถูกผมว่านี่เป็นการโต้เถียงกับเด็กอายุ 19 กับบรรดาผู้ใหญ่ที่มากด้วยประสบการณ์และสติปัญญาอันสูงส่งอย่างพวกคุณ แต่ผมเองนั้นไม่เคยสนใจว่าใครเป็นคนฉลาด และไม่สนด้วยว่าใครเป็นคนโง่ เพราะผมรู้ว่าถ้าเรา มีเหตุผลแยกแยะว่าอันไหนถูกผิด แค่นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาแล้ว แต่เพราะว่าพวกท่านกำลังมั่นใจในตนเองมากเกินไป และเพราะพวกท่านกำลังชื่นชมและยินดีกับสิ่งที่คำพูดของคนๆหนึ่งได้พูดออกมา และในบรรดาคนรุ่นก่อนหน้าพวกท่านโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เหมือนที่ ณ ตอนนี้พวกท่านกำลังลืมว่าแท้จริงบัวเหล่าที่ 5 นั้นก็มีเหมือนกัน


บัวพวกนี้จะอยู่แต่ในโพรงคอนกรีตเล็กๆที่มืดมิด มีเพียงแสงหิ่งห้อยหรือแสงไฟฉายจากนายพรานผู้มาส่องกบส่องเขียดเท่านั้นที่เล็ดลอดเข้าไปได้ พวกมันจะคิดว่าแสงหิ้งห้อยนั้นคือแสงจากดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่านายพรานจะพยายามส่องแสงต่างๆเข้าไปในโพรง เพื่อที่จะให้บัวพวกนี้ได้รู้ว่า ภายนอกโพรงของพวกมันนั้น ยังมีอะไรที่มากมายที่พวกมันไม่เคยจะออกมาดู แต่พวกมันก็ไม่เคยที่จะสนใจในแสงไฟของนายพราน เพราะว่าพวกมันนั้นกำลังหลงระเริงและพอใจอยู่กับแสงหิ่งห้อยที่พวกมันคิดว่าเป็นแสงดวงอาทิตย์ แต่กระนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าจะมีผู้พยายามสกัดคอนกรีตออกมา มันก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาถอดรากของตัวเองให้พ้นจากแผ่นดินใต้คอนกรีตนั้น และเพราะว่ามันมัวแต่อยู่ในโพรงจึงไม่รู้สภาพอากาศรอบข้างว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร แต่กระนั้นก็ดีถ้าวันหนึ่งมันออกมาได้มันก็คงไร้ความสามารถที่จะรู้สึกได้ ว่าสิ่งใดร้อน สิ่งใดหนาว ก็เพราะว่าหัวใจของพวกมันตายด้านกันไปซะแล้ว


คนที่ศึกษาพุทธประวัติจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้ก็มีคนพยายามมาพูดกับพระพุทธองค์แล้ว สมัยนี้ก็ยังมีอยู่เหมือนที่พยายามจะบอกให้เข้าใจสำหรับบรรดาผู้แสวงหาสัจธรรมทั้งหลาย แต่เปล่าหรอกพวกที่ท่านไม่สนใจกับแสงที่ที่พยายามมีคนส่องเข้าไปเพื่อให้สิ่งที่อยู่ข้างในได้รู้ว่าข้างนอกมันมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะ แต่กระนั้นก็ดีพวกท่านไม่ก็ไม่อยากจะออกมาดูเพราะว่าข้างนอกนั้นอาจจะอากาศหนาว อยู่ข้างในโพรงนี่แหละจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และเพราะว่าวันพวกท่านกำลังหลงระเริงอยู่กับแสงหิ่งห้อยที่พวกท่านนั้นแสนจะชื่นชมในมันหนักหนา โดยไม่รู้ว่าแสงหิ่งห้อยนั้นมันจะดับลงไปเมื่อไหร่ แต่กระนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าจะมีผู้พยายามสกัดคอนกรีตออกมา มันก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาถอดรากของตัวเองให้พ้นจากแผ่นดินใต้คอนกรีตนั้น และเพราะว่ามันมัวแต่อยู่ในโพรงจึงไม่รู้สภาพอากาศรอบข้างว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร แต่กระนั้นก็ดีถ้าวันหนึ่งมันออกมาได้มันก็คงไร้ความสามารถที่จะรู้สึกได้ ว่าสิ่งใดร้อน สิ่งใดหนาว ก็เพราะว่าหัวใจของพวกมันตายด้านกันไปซะแล้ว


และขอบคุณสำหรับข้อความนี้

อ้างอิงคำพูด :
ธรรมชาติของไก่ มักพอใจแต่ข้าวปลือก,ข้าวสาร,อาหารเม็ด เสียเวลาและก็โง่ด้วยที่จะมาบอกมันถึงความสวยงามของเพชร พลอยเพราะมันมีปัญญารู้แค่นั้น ไม่เหมือนข้าวเปลือกอาหารเม็ดที่มันสามารถจิกกิน รู้สึกได้ว่าอิ่มท้อง เพราะสัมผัสได้ ตวงได้ด้วยกระเพาะตัวเองนี่ถ้าไม่ได้ยินมันร้อง กะต๊ากๆ ก็คงไม่ได้หันมาดูว่าที่แท้...มันเป็นไก่ นี่เอง...



ที่ผมพูดไปอ้อมๆจากบอร์ดที่แล้ว เพราะหวังว่าคุณจะมีสติปัญญาและพยายามทำความเข้าใจ ณ เวลานี้ผมว่าคุณหลายที่มีสติปัญญานั้นคงจะทราบคำตอบของผมจากหน้าบอร์ดที่แล้วทั้งหมดแล้ว ว่าความดีความชั่วใครเป็นผู้กำหนด คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน จะมีใครตอบคำถามได้ดีไปกว่าผู้ที่ทำให้มีผมขึ้นมาในจักรวาลแห่งนี้ ให้คุณดูในเรื่องธรรมชาติที่ไร้เหตุผล พยายามตั้งคำถามขึ้นมาเยอะแล้วคุณจะรู้ว่า คำว่า ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปราณีนั้น ไม่มีใครอื่นใดที่สมควรจะได้รับนอกจากผู้นี้จริงๆ

ณ เวลานี้สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดตอนนี้คือพวกคุณไม่ยอมอ่านและจับใจความในสิ่งที่ผมพิมพ์ลงไป มัวแต่อ่านผ่านๆแล้วไม่ยอมสนใจในบางส่วนที่พวกคุณไม่พอใจ และคุณก็จะจับใจความในข้อความบางส่วนที่พวกคุณพอใจกับมันที่มันเป็นช่องโหว่และพยายามหาทางที่จะปฏิเสธออกมาให้ได้ และพยายามที่จะบอกตัวเองว่าถึงอย่างไรก็ต้องปฏิเสธออกไปไว้ก่อน [color=#FF40BF]เพราะว่า ณ ตอนนี้หัวใจของคุณนั้นมันถูกลั่นกลอนเอาไว้ และไม่มีใครหรอกที่จะปลดกลอนนี้ออกนอกจากตัวของคุณเอง [/color]


และไม่มีใครที่อธรรมต่อพวกท่านหรอก นอกจากพวกท่านจะอธรรมต่อตัวของพวกท่านเอง

หลังจากนี้คงมีคนไม่ค่อยเข้าใจ และพยายามตั้งคำถามอยู่หลายอย่าง แต่ผมว่าคุณลองย้อนกลับไปอ่านอีกรอบผมว่าคำตอบน่าจะอยู่ในนี้อยู่แล้ว หรือ พูดจาสิ่งใดที่ผิดพลาดออกไปก็ขอให้ยกมา เพราะว่าบางทีอาจตกหล่นลงไป เพราะอยากให้ข้อความนี้เสร็จไวๆ เพราะสัญญาไว้ว่าจะมาโพสต์ให้วันอังคาร และจับต้นชนปลายยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดออกมา เพราะถึงเวลาจะพิมพ์แล้วมันนึกไม่ออก และเชื่อสิว่าหลังจากนี้คงมีคนพยายามจะลบกระทู้นี้ให้ได้เพราะว่ารับไม่ได้กับสิ่งที่ปรากฏ ถ้าอ่านแล้วข้องใจหรือมันขัดแย้งก็ให้ยกขึ้นมาได้เลยนะครับ แต่อย่ามาพูดเป็นการแสดงไร้สติปัญญาให้ผู้อื่นเห็นละกันครับ อย่างเช่นจากกระทู้ที่แล้วที่มีคนถามว่าผมนับถือศาสนาอะไร นี่ก็เป็นการประจานตัวเองเลยนะครับ ที่ไม่ยอมได้อ่านทำความเข้าใจความคิดเห็นอันอื่นๆเลย

สุดท้ายผมอยากบอกว่า ไม่อยากคนนั้นมองศาสนาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี อยากให้มองว่าการค้นหาสัจธรรมต่างหากเป็นสิ่งที่ตนเองต้องมี ค้นหาว่าตัวเรานั้นเกิดมาเพื่ออะไร สภาพของโลกหลังความตายต่างหากที่ต้องค้นหา

ขอบคุณสำหรับผู้ติดตามและทำความเข้าใจครับ
Astroboy-37@hotmail.com ผู้เขียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 01:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเอาปัญญาทางโลก กับ ปัญญาทางธรรม อธิบายเหมารวมกันสิครับ
อ่านกระทู้แล้วเหนื่อยใจครับ
แค่นี้นะครับ :b28:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ม.ค. 2009, 21:10
โพสต์: 66


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านกระทู้แล้วเหมือนมีคำตอบนะครับว่า

(กุรอ่าน57:1-7) "สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดินแซ่ซ้องสดุดีแด่อัลลอฮ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ"

"อำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย และพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง"

"พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย และทรงเปิดเผยและทรงเร้นลับ และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง"

"อำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และการงานทั้งหลายถูกให้กลับไปยังอัลลอฮ.เท่านั้น"

"พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก"


(วิวรณ์ 22:13) "เราคืออัลฟาและโอเมกาเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลายเป็นปฐมและเป็นอวสาน"


....................


มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ผู้เป็นเหตุแห่งการมีทั้งมวล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1854

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ธรรมะสว้สดี สำหรับท่านเพื่อนสมาชิกใหม่

:b11: ก่อนอื่นขอชมว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความอุตสาหพยายามเป็นอย่างมาก ในการเขียนและเรียบเรียงข้อมูล (ซึ่งยาวมาก) แต่อาจเพราะบัวหิมะ ยังบ้องตื้นอยู่ เหมือนพวกบัวใต้น้ำ :b26: อ่านแล้วรู้สึกสับสนปนเปชอบกล ทำให้คิดว่าท่านก็ไม่แตกต่างจากที่กล่าวมาเท่าไหร่ เหมือนที่ผู้ใหญ่กล่าวว่าคนเรามักมองสิ่งไกลตัว แต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวกลับมองไม่เห็นหรือไม่ทันได้นึกถึง ผิดตกอย่างไรก็ขออภัยด้วย

:b18: แต่ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จัก ขอคุณพระคุ้มครองและขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป :b13:

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
To natdanai

อ้างอิงคำพูด

มีข้อสงสัยในคำถามของท่าน Astroboy นิดหน่อยครับ กรุณาตอบด้วยเหตุผลทีนะครับ

กับคำถามเรื่องไก่กับไข่ที่ท่านว่า
ประเด็นอยู่ตรงที่ ไก่ตัวแรก ไข่ฟองแรก ชีวิตแรก เกิดขึ้นได้อย่างไร ศาสนาพุทธอธิบายไว้ว่าอย่างไร


นึกสงสัยครับว่าทำไมผมถึงต้องสงสัยประเด็นเดียวกับท่าน เพราะเรื่องนี้กระผมไม่ได้มองที่ประเด็นที่ท่านถาม แต่ประเด็นของกระผมอยู่ตรงที่ อะไรทำให้เราต้องมาสงสัยเรื่องพวกนี้ครับ ท่านตอบกระผมได้หรือไม่ว่าทำไมต้องอยากรู้เรื่องพวกนี้ครับ รู้แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น ถ้ารู้ว่าชีวิตแรกคือใคร แล้วเราจะสงสัยมั้ยว่าชีวิตแรกเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นทำไม เพื่ออะไร ถ้ารู้แล้วเราก็ต้องมาสงสัยมั้ยว่าทำไมจึงต้องเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น(หมายถึงคำตอบของคำถามที่ว่าเกิดมาเพื่ออะไร)แล้วเราจะต้องมาต่อยอดความสงสยต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดรึป่าว

ขอตอบคุณ natdanai ครับ
เพราะว่าเป้าหมายของผมไม่ใช่หนีปัญหา เหมือนที่พวกคุณพยายามบอกกันว่าให้ใช้เหตุผล แต่พอเจอปัญหาก็เลยเป็นทุกข์ และบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ เลยเลิกคิดถึงเรื่องเหล่านี้และโยนมันทิ้งไปซะ เพราะว่ามันทำให้ในใจเกิดทุกข์ นี่นะหรือคนที่พยายามแสวงหาสัจธรรม ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกที่ทำให้ชีวิตมีความสุขไปวัน มัวแต่จะหาทางทำให้พ้นทุกข์จึงปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่เคยสนใจในสิ่งที่มันมีอยู่ มัวแต่ไปสนใจในสิ่งที่ตนอยากจะเป็นเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกถ้าตนเองไม่ต้องมารับรู้สิ่งใด หรือเข้าสู่นิพพานเสีย มันก็จะดี


ท่านAstroboyเองตอบไม่ตรงประเด็นที่ถามครับ กระผมเห็นท่าน ต่อว่าหลายๆท่านว่า ไม่อ่านทำความเข้าใจคำถามให้ดีจึงตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านถาม..... :b10:
ย้ำคำถามนะครับ
1.อะไรทำให้เราต้องมาสงสัยเรื่องพวกนี้ครับ (ชีวิตแรก ฯลฯ)
2.เราจะต้องมาต่อยอดความสงสัยต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดรึป่าว(นอกจากสรุปเอาว่ามันมีอำนาจบางอย่างทำให้มันเป็น)
หรือท่านไม่กล้าที่จะตอบ

ปัญหาของกระผมไม่ได้อยู่ที่เดียวกับท่านไงครับ สำหรับสิ่งที่ท่านสงสัยหรือที่เรียกว่ามันเป็นปัญหามันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาของผมอยู่ตรงที่ทำไมต้องสงสัยต่างหาก และศาสนาพุทธก็ตอบปัญหาให้กระผมได้ ท่านเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ท่านจึงไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง สิ่งที่ท่านวิเคราะห์มานั้นเป็นเพียงเปลือก เป็นเรื่องของธรรมชาติ ส่วนศาสนาพุทธนั้นสอนให้เราบรรลุธรรม ไม่ใช่บรรลุธรรมชาติ ธรรมนั้นเป็นแก่นของธรรมชาติ ดังนั้นการศึกษาธรรมชาติ(การปฏิบัติธรรม)เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาผลการทดลองคือการบรรลุธรรม

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ดูท่าว่าผมจะได้ตอบคำถามจนเมื่อยแน่ครับ คุณ natdanai


อ้างคำพูด:
ท่านAstroboyเองตอบไม่ตรงประเด็นที่ถามครับ กระผมเห็นท่าน ต่อว่าหลายๆท่านว่า ไม่อ่านทำความเข้าใจคำถามให้ดีจึงตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านถาม.....


ผมว่าคำตอบมันอยู่ในนี้แล้ว แต่คุณยังวิเคราะห์ไม่ออกครับ
ผมจะค่อยๆตอบให้นะครับ
เดี๋ยวมันจะคาใจ

อ้างคำพูด:
ย้ำคำถามนะครับ
1.อะไรทำให้เราต้องมาสงสัยเรื่องพวกนี้ครับ (ชีวิตแรก ฯลฯ)


ผมมองไปรอบๆกาย ผมเห็นต้นไม้ เห็นภูเขา เห็นดวงดาว เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
สิ่งที่มันอยู่ในดินมันงอกเงยออกมาทำให้ผมอิ่มท้อง ผมมีความสุขกับสิ่งที่มันอยู่บนโลกใบนี้
ทุกอย่างมันอยู่บนความสมดุล มีดวงอาทิตย์ให้ความอบอุ่น และในขณะเดียวกันโลกก็หมุนรอบดวงอาทิตย์จนเกิดเป็นฤดูกาล และขณะเดียวกันมันก็หมุนรอบตัวเองเป็นกลางวันกลางคืนทำให้มีสิ่งปกปิดร่างกายยามที่ผมนอน

ผมเกิดมาแล้วสักวันหนึ่งผมก็ต้องตาย
แต่ในขณะเดียวกันก่อนที่ผมจะตายนั้นผมผ่านอะไรมากมาย ชีวิตผมเกิดมาเริ่มต้นจาก 0 ผมเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่มันมีอยู่บนโลกใบนี้ ผมอยากจะหยุดเวลาที่ผมมีความสุขเอาไว้แต่ผมก็ทำไม่ได้ ร่างกายของผมมันเติบโตขึ้น และในขณะเดียวกันมันก็จะสึกกร่อนลงไป ผมก็อดสงสัยอีกไม่ได้ว่า ทำไมมนุษย์ถึงมีสมองที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆจนหาใครเทียบไม่ได้ แต่ถึงผมมีประสบการณ์มากมาย เรียนรู้อะไรตั้งมากมาย แต่สุดท้ายมันก็ต้องกลับไปเป็น 0 เพราะว่าความตาย แล้วผมจะดิ้นรนกับชีวิตนี้ทำไมเพราะถึงยังไงผมก็ต้องกลับไปเป็น 0 แต่ทว่าผมกลัวว่าหลังตายผมจะเจอกับอะไร

มีคนมากมายที่เกิดขึ้นมา แล้วทำความดี ความชั่ว สิ่งต่างๆ แล้วตายลงไปโดยเขาไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ทำไมถึงไม่ยุติธรรมกับผมเลย

ผมเป็นแผล แต่ขณะเดียวกันมันก็หายดีกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ต่างๆกับก้อนหินเมื่อมันเป็นแผลมันก็อยู่อย่างนั้น ผมว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิต และเป็นชีวิตที่มีมากกว่าสมองคือจิตใจ
ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าผมเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร มีเหตุอะไรถึงเกิดมา แล้วเมื่อเกิดมาทำไมต้องพบกับความสุข และความทุกข์ ทั้งๆที่บางคนนั้นทุกข์หนักหนา แต่ก็ต้องเกิดมา ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าเหตุอันใดสิ่งที่มันงอกเงยขึ้นมาจากแผ่นดินมันคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข และเหตุอะไรที่จะต้องพบเจอการเกิดแก่เจ็บตายซึ่งมันทำให้ผมทุกข์

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมเกิดขึ้นมากันแน่ ชีวิตของผมและชีวิตอื่นๆนั้นมีขึ้นมาได้อย่างไร อำนาจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ภายใต้จักรวาลที่คอยทำให้ผมมีความสุขและทุกข์นี่คืออำนาจอะไร แล้วสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นมีเพื่ออะไร

ผมจึงหาที่มาของชีวิตว่ามันมาได้อย่างไร ผมจึงหาที่มาของสิ่งต่างๆว่ามันมาได้อย่างไร ผมจึงหาที่มาของอำนาจที่มันคอยเปลี่ยนแปลงว่ามันเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร

จากการวิเคราะห์ของผมรู้ได้ทันทีเลยว่า มีผู้ทำให้ผมมีชีวิต มีผู้ทำให้สสารต่างๆเกิดขึ้นมาเพื่อผม มีผู้ทำให้มันเปลี่ยนแปลงให้พืชงอกเงย ให้สิ่งต่างๆนั้นโคจรเพื่อผม

เป็นเหตุให้ผมตามหาผู้ที่ให้ผมมีชีวิตขึ้นมา แล้วถามว่าให้ผมมีชีวิตขึ้นมาเพื่ออะไร

และวันนี้ผมรู้แล้วว่าเกิดมาทำไม รู้แล้วว่ามีสสารสิ่งของต่างๆเพื่ออะไร และมีอำนาจการเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร


ต่างกับพวกคุณที่คิดว่าทำไมต้องมาใสใจในเรื่องพวกนี้
พวกคุณไม่เคยถามว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
พวกคุณสนใจแค่คำว่าเกิดมาแล้ว เจอทุกข์ เจอการ เกิดแก่เจ็บตาย มันคือความทุกข์ พยายามดับทุกข์ดีกว่า

พวกคุณมีความทุกข์แต่พวกคุณก็เกิดมาแล้ว โดยไม่เคยถามว่าทำไมเกิดมาแล้วถึงต้องเจอกับความทุกข์
ในแต่ละวันพวกคุณพยายามทำให้ความทุกข์หมดสิ้นไป พวกคุณไม่เคยสนใจในสิ่งรอบข้างๆแล้วมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทางโลก มันจะเป็นเหตุแห่งทุกข์

พวกคุณสนใจแต่ว่า ถ้าฉันไม่ได้เกิดมาฉันก็ไม่ต้องทุกข์ แต่ฉันเกิดมาแล้วฉันเลยพยายามที่จะหาทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมคือไม่ต้องมารับรู้อะไร ฉันอยากจะเข้าสู่นิพพานจริงๆเลย เพราะว่ามันจิตใจของฉันได้ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะเข้านิพพานได้หรือไม่ แต่ฉันก็ฝันถึงมันและหวังที่จะเข้าไปเพื่อที่ฉันจะต้องไม่ต้องมารับรู้อะไรทั้งสิ้น

สัจธรรมของพวกคุณคือการดูว่าสิ่งที่อยู่ธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลงอย่างไร
สัจธรรมของพวกคุณคือการดูว่ามนุษย์นั้นมีพฤติกรรม มีจิตใจอย่างไรกระนั้นหรือ

พวกคุณมัวสนใจในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ว่ามันมีอะไรบ้าง กระบวนการเป็นอย่างไร
แต่พวกคุณไม่เคยสนใจว่าสิ่งต่างๆทำไมถึงมีขึ้น และทำไมถึงมีกระบวนการเช่นนี้

เข้าใจหรือยังครับคุณ natdanai





อ้างคำพูด:
2.เราจะต้องมาต่อยอดความสงสัยต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดรึป่าว(นอกจากสรุปเอาว่ามันมีอำนาจบางอย่างทำให้มันเป็น)
หรือท่านไม่กล้าที่จะตอบ

ปัญหาของกระผมไม่ได้อยู่ที่เดียวกับท่านไงครับ สำหรับสิ่งที่ท่านสงสัยหรือที่เรียกว่ามันเป็นปัญหามันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาของผมอยู่ตรงที่ทำไมต้องสงสัยต่างหาก และศาสนาพุทธก็ตอบปัญหาให้กระผมได้ ท่านเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ท่านจึงไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง สิ่งที่ท่านวิเคราะห์มานั้นเป็นเพียงเปลือก เป็นเรื่องของธรรมชาติ ส่วนศาสนาพุทธนั้นสอนให้เราบรรลุธรรม ไม่ใช่บรรลุธรรมชาติ ธรรมนั้นเป็นแก่นของธรรมชาติ ดังนั้นการศึกษาธรรมชาติ(การปฏิบัติธรรม)เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาผลการทดลองคือการบรรลุธรรม



พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่สิ้นสุด ก็เพราะว่าในใจพยายามหาทางที่จะปฏิเสธคำว่าพระเจ้าออกไปให้ได้
ถึงค้นหาต่อไปมันก็ต้องลงท้ายที่พระเจ้าอยู่ดี เหมือนที่บอกไว้ว่า เราตั้งทิฐิเอาไว้ว่ายังไงเราก็ต้องปฏิเสธพระเจ้าออกไปให้ได้ เพราะว่ามันขัดแย้งกับคำพูดของตนเองที่พูดออกไปทุกอย่างๆ และเพราะว่ากลัวว่าต่อไปนี้จะมีคนที่สูงส่งกว่า และเพราะว่าเดินหน้ามาเยอะแล้วไม่อยากจะถอยหลังกลับไป และเพราะว่ามันทำให้ท่านทุกข์

และคุณดูให้ดีว่าสิ้นสุดหรือเปล่า ที่มันไม่สิ้นสุดเพราะว่าพูดคำว่าพระเจ้าออกมาไม่ได้ และเพราะว่ามันติดอยู่ที่ปลายลิ้นของตัวพระพุทธองค์เองต่างหาก ถึงได้บอกเลยว่า

นี่เป็นความคิดของผู้ที่เชื่อมั่นในเหตุและผลอย่างฝังหัวใจกระนั้นหรือ

กับการที่หาเหตุ ของการเกิดมนุษย์ เกิดสิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในจักรวาล ไม่ได้
คุณก็เลยตั้งกฎขึ้นมาว่ามันคือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการเกิดและการดับ กฎแห่งการเปลี่ยนแปลงในจักรวาล


เพราะว่าในใจยังไงก็ต้องปฏิเสธพระเจ้าออกไปให้ได้

และคุณพิจารณาดูว่า สิ่งเหล่านี้มีคนพยายามไปบอกพระพุทธองค์แล้ว แต่พระองค์ไม่สนใจแต่กลับมองกลับไปว่าเป็นเรื่องอจิณไตย เพราะมันทำให้เกิดทุกข์ หาทางดับทุกข์โดยการปิดหูปิดตา และพยายามที่จะเข้าสู่นิพพานกันดีกว่า
และแล้วสัจธรรมคืออะไร วันนี้ผมทำให้คุณเห็นแล้วว่า

กฎแห่งกรรม กฎแห่งการเกิดและการดับ กฎแห่งการเปลี่ยนแปลงในจักรวาล

นี่มันคือทางออกสำหรับบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่าเชื่อมั่นในเหตุและผล พวกเขาจึงได้ตั้งกฎนี้ขึ้นมา

ดูให้ดีว่ามันคือการหลีกเลี่ยงที่จะพูดในเรื่องของพระเจ้า

แต่ความเป็นจริงเหตุผลของมนุษย์ก็ประจักษ์แล้ว ว่ากฎเหล่านี้มันเป็นไปไม่ได้

รบกวนคุณ natdanai ค่อยๆทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพิมพ์ไป

ขอร้องครับ
ค่อยๆตั้งสติ และทำความเข้าใจ


ผมว่ามันไม่เกินปัญญาของมนุษย์ที่จะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก
จากคำพูดของคุณผมดูก็รู้แล้วว่าคุณกำลังเด็กอยู่

และค่อยๆคิดนะว่าที่ผมพูดไปนะจริงไหม



และจะรู้ว่าภายนอกของโพรงของพวกท่านนั้นมีอะไรอีกเยอะ
วันนี้ผมเองก็แค่มาบอกให้ท่านรู้เท่านั้นว่ามันมีภายนอกอีกเยอะ ท่านจะพิจารณาหรือไม่ก็ตามใจ

แต่เปล่าหรอกตัวของพวกท่านนั้นมองสิ่งเหล่านี้ว่ามันทำให้ท่านเป็นความทุกข์ และมันกำลังทำให้ท่านไม่พอใจ

เหมือนคนในอดีตก่อนหน้าพวกท่าน ที่พระเจ้านั้นติดอยู่ที่ปลายแต่พูดออกมาไม่ได้เพราะว่ากลัวจะเสียศักดิ์ศรี

ไม่มีใครหรอกที่จะอธรรมต่อพวกท่าน นอกจากตัวของพวกท่านที่อธรรมต่อตัวเอง
ขอบคุณนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเองไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิดเดียวเกี่ยวกับธรรมที่ศาสนาพุทธกล่าวถึง

ท่านเข้าใจผิดและคิดไปเองว่ากฏแห่งกรรม การเกิดดับ การเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม...ด้วยความคิดตื้นๆหยาบๆแบบนี้แล้วก็มาตัดสินว่าพระพุทธเจ้าปิดบังความจริง ท่านออกจะใจแคบเกินไปนะครับ อีกอย่างท่านเองก็ขลาดเขลาอยู่มิใช่น้อยจึงดูแคลนสิ่งที่ศาสดาของศาสนาพุทธได้ทรงตรัสสอนไว้แบบไม่เคยแม้แต่ที่จะคิดพิจารณาเลย มีแต่เอาพญันชนะมาตีความ แต่อรรถของมันกลับไม่เคยสนใจ

ความจริงกฏทั้ง 3 ข้อที่ท่านกล่าวถึงเป็นเพียงกฏของธรรมชาติ แต่มันไม่ใช่สัจธรรม

ท่านเองก็เห็นแต่เปลือกแล้วตัดสินได้หรือว่ามันไม่หวาน ในเมื่อท่านเองยังไม่ได้กิน :b10:

ท่านจงอย่าได้มั่นใจนักว่าสิ่งที่ท่านรู้คือสัจธรรม เพราะความจริงแล้วท่านยังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนคนหลับฝันอยู่ ยังไม่ตื่น ยังหลงอยู่ในความฝันว่าเป็นเรื่องจริง....

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะในศาสนาพุทธนั้น
หากท่านใช้สติปัญญาที่หยาบพิจารณาท่านก็จะได้พบกับธรรมชั้นหยาบๆ
หากท่านใช้สติปัญญาที่ละเอียด ประณีต ท่านก็จะได้พบธรรมที่ละเอียด ประณีต

แต่ผู้ท่านผู้ใช้ชื่อว่า astroboy ไร้ซึ่งสติปัญญาแม้แต่ชั้นหยาบๆ จึงไม่เคยเลยที่จะพิจารณา ท่านจึงไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธรรมะ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ astroboy

ถามหน่อยนะ ใช้ ปาทานหรือเปล่า ถ้าใช้ ปาทาน เราก็เป็นญาติกัน ดีใจที่ได้พบญาติทางอินเตอร์เนต

ไม่แปลกใจหรอกนะ ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่า คนๆนี้ ที่บ้านเขาก็เหมือนคุณ กับพ่อเขา เวลาเขาแนะนำให้คนอื่นรู้จัก เขาจะบอกว่า นี่ ด่าด๋า แต่ถ้าแนะนำแม่ให้รู้จัก เขาจะบอกว่า คนๆนี้ คือ แม่ฉัน

ขอถามเพื่อความแน่ใจ ว่าเป็นอิสลามจริงๆหรือตั้งใจจะนำเอาความเป็นอิสลามมาป่วนเขาเล่นๆ ถามหน่อยว่า อา ลีฟ บา ตา แปลว่าอะไร ถ้าเคยอ่าน ต้องแปลได้นะ

ตรงคำถามข้อที่ 1. ที่คุณเคยถามไว้ ว่า 1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม

-- บังเอิญเป็นคนไม่ค่อยจะคิดมาก เกี่ยวกับศาสนา จะว่าตามบรรพบุรุษก็ไม่ใช่ จะว่า สัจธรรมก็ไม่ใช่ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังแต่แรกนั่นแหละ อณุญาติให้เดาเอาเอง ไม่ได้กวนนะ แต่พูดจริงๆ คือเป็นคนไม่คิดมากน่ะ และไม่เคยหาเหตุที่ว่า ทำไมเราต้องนับถือศาสนา หรือทำไมต้องมีศาสนา รู้แค่ว่า มันก็มีกันมาตั้งแต่เกิด เท่านั้นเอง

ตอบแล้ว ไม่เห็นตอบกลับเลยว่าคิดอย่างไร กับคำตอบนี้ แล้วก็ขอถามกลับบ้าง ที่คุณบอกว่า สัจธรรม นั้น ตกลงแล้ว สัจธรรม นี้ ในความหมายของคุณคืออะไร

ข้อ 2. ที่คุณถามไว้ค่ะ จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ

การนับถือศาสนา เรื่องในอดีตก็เล่าให้ฟังแล้วว่า นับถือเพราะอะไร คำถามนี้ถือว่าเป็นปัจจุบัน เมื่อก่อนไม่เชื่อค่ะ ตอนนี้เชื่อมั่นแล้วค่ะ เพราะศาสนาพุทธ มีบางสิ่งบางอย่างที่ศาสนาอื่นๆไม่มีค่ะ

ข้อ 3. ที่คุณถามไว้ค่ะ 3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง

เชื่อได้ค่ะ เพราะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง สามารถอ้างอิงอธิบายเหตุและผลได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้าค่ะ

3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา


ข้อนี้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองค่ะ เมื่อพิสูจน์ได้แล้ว จึงจะรู้และตอบได้ว่า พระพุทธเจ้านั้นแท้จริงแล้วเป็นอะไร และมีความพิเศษเหนือกว่าคนเราได้อย่างไร ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ก็ตอบไม่ได้หรอกค่ะ แล้ว อัลเลาะห์ ล่ะคะ เป็นอะไร หรือว่า เป็นพระเจ้าอย่างเดียว แล้วทำไมถึงมี อัลเลาะห์ ขึ้นมาได้ค่ะ อจะแบ่งปันข้อมูลตรงนี้ได้ไหม เพราะเท่าที่บรรดาญาติที่เป็นอิสลามทั้งหลายเคยพูดให้ฟังนั้น ลืมไปหมดแล้วค่ะ ว่าอธิบายไว้ว่าอย่างไรบ้าง ขอทบทวนความจำหน่อยค่ะ

3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

ข้อนี้ คำถามย๊าวยาว
ดีชั่วใครกำหนด ความคิดของแต่ละคนค่ะเป็นตัวกำหนดการกระทำของตัวเองค่ะ คุณอาจจะทำชั่ว แต่คุณอาจจะคิดว่า คุณกำลังทำความดีก็ได้ แต่ในความคิดของคนอื่นๆ คุณนั้นกำลังทำชั่ว

ถ้าต้องอยู่ในโลกนี้คนเดียว แล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง
- งง .. กับคำถาม อยู่คนเดียว แล้วจะทำชั่วได้ยังไง ก็ในเมื่อไม่มีอะไรหรือใครเลย ตกลงจะถามอะไรแน่หรือคะ

ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

- อันนี้มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละคน เราจะไปบังคับให้ใครเชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ มันเป็นเพียงความคิดของแต่ละคนเท่านั้นเอง เพียงเขาคิดว่าเขาเชื่อ เขาย่อมเชื่อตามความคิด เมื่อเกิดความเชื่อ ถ้าทำแล้วได้ผล ความศรัทธาย่อมเกิดตามมา

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

- โห .. นรก สวรรค์หรือ ไม่เคยสนใจหรอก มันเป็นเรื่องที่นำมาแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงไม่ได้ ยกเว้นถ้าแสดงเหตุที่ทำ กับผลที่ได้รับก็พอแสดงเหตุและผลนั้นให้ฟังได้
บรรลุธรรมหรือ อะไรคือความหมายของคำว่า บรรลุธรรมล่ะ
แนวทางการปฏิบัติหรือ ปฏิบัติแล้วเห็นผลสิ ถึงจะพูดได้เต็มปากว่า ทำตามแล้วได้ผลจริงๆ ในศาสนาพุทธมีอธิบายไว้ และพิสูจน์ได้ค่ะ แล้ว อิสลามล่ะ มีอธิบายไว้หรือเปล่า และพิสูจน์ได้ไหม

แค่นี้ก่อนเนอะ อย่าลืมตอบคำถามที่ถามด้วยล่ะ อ้อ... ถ้าเคยตอบไปแล้ว รบกวนตอบซ้ำหน่อยนะ แค่ก๊อปมาวางเท่านั้นเอง คือ ข้อความที่คุณสนทนามานั้น ยาวมากๆ

ขออัลเลาะห์คุ้มครองคุณค่ะ

ธรรมะสวัสดี :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงคุณ natdanai

ผมว่าคุณพอเหอะครับ อย่าแสดงความโง่ออกมาให้คนอื่นเขาเห็นอีกเลยครับ

คนที่ทำความเข้าใจที่ผมพิมพ์ไปได้คงจะรู้นะครับว่าใครโง่

ต่างกับคุณที่ไม่พยายามทำความเข้าใจเอาซะเลย มัวแต่คิดที่พยายามจะกดให้คนอื่นโง่ไม่มีผิด

คุณกำลังดูถูกผมนะที่ไม่เข้าใจคำสอนของคุณ บางทีคุณไม่คิดเหรอว่าผมอาจรู้จักพระไตรปิฎกมากกว่าคุณก็ได้

หรือว่าคุณนั้นท่องได้แค่ ก ไก่ ข ไข่ แล้วพยายามอยากจะโชว์ความรู้เท่าหางอึ่งของตัวเอง

หรือว่าสติปัญญาของคุณมีไม่พอที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพิมพ์ไป

หรือว่ากลัวเสียศักดิ์ศรี ถึงพยายามขอให้ได้พูดไว้ก่อนเพื่อจะให้ตนเองดูฉลาด

นิสัยไม่ต่างกับพวกนักการเมืองบางคนเลยนะครับ พยายามหาช่องโหว่ของกฎหมาย

แล้วก็เอาหัวโผล่ขึ้นมา แต่ก็ออกมาได้แค่หัว ตัวก็ยังคงติดอยู่อย่างนั้น เพื่อที่จะเป็นการประจานความโง่ให้คนอื่นได้ชื่นชมกัน

ผมว่าคุณร้อนจนควรไปพบจิตแพทย์แล้วนะครับ

คุณควรพิจารณาตัวเองด้วยนะครับ

ก็แน่ล่ะครับ ว่ามันอยู่ใต้คอนกรีตมันจะมีทางโผล่ขึ้นมาได้ยังไง


To คุณ walaiporn


อ้างคำพูด:
สวัสดีค่ะ astroboy

ถามหน่อยนะ ใช้ ปาทานหรือเปล่า ถ้าใช้ ปาทาน เราก็เป็นญาติกัน ดีใจที่ได้พบญาติทางอินเตอร์เนต


ไม่ใช่ครับ ผมคนไทย 100%

อ้างคำพูด:
ไม่แปลกใจหรอกนะ ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่า คนๆนี้ ที่บ้านเขาก็เหมือนคุณ กับพ่อเขา เวลาเขาแนะนำให้คนอื่นรู้จัก เขาจะบอกว่า นี่ ด่าด๋า แต่ถ้าแนะนำแม่ให้รู้จัก เขาจะบอกว่า คนๆนี้ คือ แม่ฉัน

ขอถามเพื่อความแน่ใจ ว่าเป็นอิสลามจริงๆหรือตั้งใจจะนำเอาความเป็นอิสลามมาป่วนเขาเล่นๆ ถามหน่อยว่า อา ลีฟ บา ตา แปลว่าอะไร ถ้าเคยอ่าน ต้องแปลได้นะ


ไม่มีคำแปลครับ
เป็นตัวอักษรตัวที่ 1 2 และ 3 ครับ

อ้างคำพูด:
ตรงคำถามข้อที่ 1. ที่คุณเคยถามไว้ ว่า 1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม

-- บังเอิญเป็นคนไม่ค่อยจะคิดมาก เกี่ยวกับศาสนา จะว่าตามบรรพบุรุษก็ไม่ใช่ จะว่า สัจธรรมก็ไม่ใช่ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังแต่แรกนั่นแหละ อณุญาติให้เดาเอาเอง ไม่ได้กวนนะ แต่พูดจริงๆ คือเป็นคนไม่คิดมากน่ะ และไม่เคยหาเหตุที่ว่า ทำไมเราต้องนับถือศาสนา หรือทำไมต้องมีศาสนา รู้แค่ว่า มันก็มีกันมาตั้งแต่เกิด เท่านั้นเอง


ตอบแล้ว ไม่เห็นตอบกลับเลยว่าคิดอย่างไร กับคำตอบนี้ แล้วก็ขอถามกลับบ้าง ที่คุณบอกว่า สัจธรรม นั้น ตกลงแล้ว สัจธรรม นี้ ในความหมายของคุณคืออะไร

ข้อ 2. ที่คุณถามไว้ค่ะ จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ

การนับถือศาสนา เรื่องในอดีตก็เล่าให้ฟังแล้วว่า นับถือเพราะอะไร คำถามนี้ถือว่าเป็นปัจจุบัน เมื่อก่อนไม่เชื่อค่ะ ตอนนี้เชื่อมั่นแล้วค่ะ เพราะศาสนาพุทธ มีบางสิ่งบางอย่างที่ศาสนาอื่นๆไม่มีค่ะ


ข้อ 3. ที่คุณถามไว้ค่ะ 3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง

เชื่อได้ค่ะ เพราะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง สามารถอ้างอิงอธิบายเหตุและผลได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้าค่ะ


3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา


ข้อนี้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองค่ะ เมื่อพิสูจน์ได้แล้ว จึงจะรู้และตอบได้ว่า พระพุทธเจ้านั้นแท้จริงแล้วเป็นอะไร และมีความพิเศษเหนือกว่าคนเราได้อย่างไร ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ก็ตอบไม่ได้หรอกค่ะ แล้ว อัลเลาะห์ ล่ะคะ เป็นอะไร หรือว่า เป็นพระเจ้าอย่างเดียว แล้วทำไมถึงมี อัลเลาะห์ ขึ้นมาได้ค่ะ อจะแบ่งปันข้อมูลตรงนี้ได้ไหม เพราะเท่าที่บรรดาญาติที่เป็นอิสลามทั้งหลายเคยพูดให้ฟังนั้น ลืมไปหมดแล้วค่ะ ว่าอธิบายไว้ว่าอย่างไรบ้าง ขอทบทวนความจำหน่อยค่ะ



3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

ข้อนี้ คำถามย๊าวยาว
ดีชั่วใครกำหนด ความคิดของแต่ละคนค่ะเป็นตัวกำหนดการกระทำของตัวเองค่ะ คุณอาจจะทำชั่ว แต่คุณอาจจะคิดว่า คุณกำลังทำความดีก็ได้ แต่ในความคิดของคนอื่นๆ คุณนั้นกำลังทำชั่ว

ถ้าต้องอยู่ในโลกนี้คนเดียว แล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง
- งง .. กับคำถาม อยู่คนเดียว แล้วจะทำชั่วได้ยังไง ก็ในเมื่อไม่มีอะไรหรือใครเลย ตกลงจะถามอะไรแน่หรือคะ

ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

- อันนี้มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละคน เราจะไปบังคับให้ใครเชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ มันเป็นเพียงความคิดของแต่ละคนเท่านั้นเอง เพียงเขาคิดว่าเขาเชื่อ เขาย่อมเชื่อตามความคิด เมื่อเกิดความเชื่อ ถ้าทำแล้วได้ผล ความศรัทธาย่อมเกิดตามมา

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

- โห .. นรก สวรรค์หรือ ไม่เคยสนใจหรอก มันเป็นเรื่องที่นำมาแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงไม่ได้ ยกเว้นถ้าแสดงเหตุที่ทำ กับผลที่ได้รับก็พอแสดงเหตุและผลนั้นให้ฟังได้
บรรลุธรรมหรือ อะไรคือความหมายของคำว่า บรรลุธรรมล่ะ
แนวทางการปฏิบัติหรือ ปฏิบัติแล้วเห็นผลสิ ถึงจะพูดได้เต็มปากว่า ทำตามแล้วได้ผลจริงๆ ในศาสนาพุทธมีอธิบายไว้ และพิสูจน์ได้ค่ะ แล้ว อิสลามล่ะ มีอธิบายไว้หรือเปล่า และพิสูจน์ได้ไหม



แค่นี้ก่อนเนอะ อย่าลืมตอบคำถามที่ถามด้วยล่ะ อ้อ... ถ้าเคยตอบไปแล้ว รบกวนตอบซ้ำหน่อยนะ แค่ก๊อปมาวางเท่านั้นเอง คือ ข้อความที่คุณสนทนามานั้น ยาวมากๆ

ขออัลเลาะห์คุ้มครองคุณค่ะ

ธรรมะสวัสดี


คุณ walaiporn รบกวนคุณอ่านบอร์ดหน้านี้ก่อนนะครับ แล้วตรงไหนไม่เคลียร์
ค่อยมาโพสต์ถามทีละจุดนะครับ ผมเหนื่อยที่จะพิมพ์ซ้ำหลายๆรอบ
และคำถามพวกนี้ผมไม่ต้องการคำตอบหรอก เพราะว่าคำตอบที่พวกคุณตอบออกมากี่ที มันต้อนตัวพวกเขาจนมุมเองมาหมดแล้วนะครับ คุณอ่านก่อนนะครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม

กรุณาอ่าน และทำความเข้าใจด้วยนะครับ ของคุณครับ



viewtopic.php?f=1&t=20094

อันนี้นะครับ มาดูบรรดาคำพูดของบัวพ้นน้ำทั้งหลายด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนตัวผมเองนะครับ เรื่องใครสร้างโลกหรืออะไร ใครสร้างอะไร ผมยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ว่าเกิดมาทำไม อาจจะเป็นเพราะผมได้อ่าน เรียนรู้สิ่งต่างๆในศาสนาพุทธทำให้ผมไม่ได้สนใจ เพราะถึงผมสนใจไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เมื่อก่อนผมก็เคยลองถามตัวเองเหมือนกันว่า

เกิดมาทำไม สมมติมีคนมาตอบผมว่า เกิดมาเพื่อทำ......(ต่างๆนานา) ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเชื่อเขาได้ไหม ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนที่ตอบผม หรือข้อมูลที่ผมได้รับรู้มานั้น จะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าสมมติว่าสิ่งที่เขาบอกมานั้นจริง บอกประมาณว่าให้เราทำดีกับตัวเอง ทำทุกคน ผมว่าผมก็ทำอยู่ระดับนึงแล้ว ถ้าเขาบอกว่าให้่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ผมก็คงไม่ทำตามเขาอยู่ดี ผมไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนะครับ แต่ผมไม่ทำตาม

นั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผม และหลายๆคน(หรือเปล่า)ไม่ได้ถามตนเองว่า เกิดมาเพื่อ....อะไร รู้ ไม่รู้ ยังไงชีวิตนี้เราก็คงทำตามแบบสิ่งที่เราคิดว่า ทำแล้วสบายใจ ไม่เครียด ไม่ทุกข์

สมมติว่าจะหาจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ถ้าสมมติว่ามันมีอะไรมาจุกปากจริงๆ อยากจะพูดว่าพระเจ้า อ๊ะ สมมติผมพูดไปว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างจริง แล้วยังไงครับ ท่านสร้างให้ผมแล้วไงต่อ ท่านสร้างนู่น สร้างนี้ให้ผม ทั้งต้นไม้ แม่น้ำ ฯลฯ อือ...ผมต้องกตัญญูต่อท่านไหม...ถ้าจะกตัญญู จะทำอย่างไร ผมคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำความดีอยู่ดีคงไม่บอกให้ผมไม่ได้ความชั่วหรอกนะ ช่วยเหลือผู้อื่น แต่คงไม่ถึงขั้นว่า ช่วยเหลือผู้อื่นแล้วเราเครียด เราเป็นทุกข์ ถึงอย่างไรเราก็ต้องหาทาง หาสิ่งต่างๆ หรืออะไรต่างๆนานา มาทำให้ผมมีความสุขอยู่ดี เพราะถ้าผมเครียดมีความทุกข์ ผมคิดว่าตอนนั้นสมองผมคงไม่สามารถจะคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่นได้ ยังไงตนเองก็ต้องทำตนให้มีความสุข สบายใจเสียก่อน ถึงแม้ว่าผมคิดได้ หาทางช่วยเขาได้ แต่ผมเครียดนะ ผมว่าถ้าทำหาทางช่วยคนพวกนั้นไประดับนึง(อาจจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ ก็ตาม) พวกเขาก็ต้องแนะนำ หรือตักเตือนอยู่ดีว่า ทำอะไรดูแลตนเองด้วย หรือ ไม่ต้องสนใจ พ่อแม่หรอก เราดูแลตัวเองให้ดีละกัน ผมคิดว่ายังไงพ่อแม่ผมก็ต้องออกมาแนวนี้อยู่ดี

ต่อครับสมมติว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งจริง ทำไมท่านต้องการให้ผมเผชิญ กับสิ่งที่ไม่ชอบ ทั้งป่วย ทั้งโดนแฟนทิ้ง(ว่าเข้านั้น) แล้วทำไมอีกหลายๆคน ไม่เจอปัญหาเหมือนกับผมบ้าง เมื่อผมตกทุกข์ได้ยาก มีอะไรรับประกันไหมว่า ถ้าผมอ้อนวอนพระเจ้าแล้ว ท่านจะช่วยผมทันที หรือว่าต้องรอให้ผมช่วยตนเองทำดีระดับนึงก่อนจึงจะช่วย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมก็ช่วยเหลือดูแลตนเองก่อนไม่ดีกว่าหรือ หรือว่าจะแบ่งเป็นกรณีๆไป

1.อ้อนวอนพระเจ้า + ช่วยเหลือตนเองโดยอยู่ในความดี
2.อ้อนวอนพระเจ้า + ช่วยเหลือตนเองโดยอยู่ในความชั่ว
3.อ้อนวอนพระเจ้า + ไม่ทำอะไรเลย
4.ไม่อ้อนวอนพระเจ้า+ ช่วยเหลือตนเองโดยอยู่ในความดี
5.ไม่อ้อนวอนพระเจ้า+ ช่วยเหลือตนเองโดยอยู่ในความชั่ว
6.ไม่อ้อนวอนพระเจ้า+ ไม่ทำอะไรเลย

ถ้าสมมติว่าเข้ากรณีที่ 1 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็จะโอเคมั่กมาย ถ้าไม่ช่วย ผมไม่มีความจำเป็นต้องอ้อนวอนท่าน เพราะอ้อนวอนแล้ว ทำดีแล้ว ยังไม่ช่วย เราจบกัน

ถ้าสมมติว่าเข้ากรณีที่ 2 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็คงจะโอเค+อึ้มกิมกี่ และแอบคิดในใจ แค่อ้อนวอนและทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องดี ท่านก็ช่วยแล้ว ถ้าไม่ช่วยอาจจะกลับไปคิดว่าถ้าเราทำดี ท่านจะช่วยเราไหมนะลองทำดีไหม ถ้าทำ กลับไปเข้ากรณีที่ 1 ถ้าไม่ทำ ไปสู่กรณีที่ 3

ถ้าสมมติว่าเข้ากรณีที่ 3 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็คงโอเคมั่กๆ ไม่ต้องทำอะไร นั่งๆนอนๆ เดี๋ยวท่านก็คงช่วยเราแล้ว ถ้าไม่ช่วยเราผมก็คงอาจจะแอบบ่นเล็กน้อย อะไรว๊าแค่นี้ช่วยไม่ได้(^^')ไหนๆ ลองทำดี หรือทำชั่วดูซิ เข้ากรณีที่ 1 และ 2

ถ้่าสมมติว่าเข้ากรณีที่ 4 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็คงโอเคและผมก็จะคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนท่าน ทำความดีไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่ามีพระเจ้าไหม ถ้ามีท่านก็ช่วยเราเอง ส่วนถ้าท่านไม่ช่วย ถ้าคนนั้นนับถือพระเจ้า ก็จะไปสู่กรณีที่1 ถ้าไม่นับถือ ก็ออกจาก กรณีนี้ไปค่อยว่ากันอีกทีนึง ยกไว้ก่อน

ถ้าสมมติว่าเข้ากรณีที่ 5 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็คงจะโอเค+อึ้มกิมกี่ และแอบคิดในใจ ทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องดี ท่านก็ช่วยแล้ว ถ้าไม่ช่วยอาจ
ถ้าคนนั้นนับถือพระเจ้าจะกลับไปคิดว่าถ้าเราทำดี ท่านจะช่วยเราไหมนะลองทำดีไหมถ้าทำ กลับไปเข้ากรณีที่ 1และ4 ถ้าไม่ทำ ไปสู่กรณีที่ 3และ6 หรืออาจจะไปกรณีที่ 2
ถ้าคนนั้นไม่นับถือกรณีนี้ก็ยกไว้เหมือนกัน

ถ้าสมมิตว่าเข้ากรณีที่ 6 แล้วท่านช่วยเรา ผมก็คงโอเค+นั่งๆนอนๆยิ่้งกว่ากรณีที่ 3 ถ้าไม่ช่วยเรา ถ้านับถือผมก็คงอาจจะแอบบ่นเล็กน้อย อะไรว๊าแค่นี้ช่วยไม่ได้ ต้องอ้อนวอนใช่ไหมเนี้ย ลองอ้อนวอนดูซิ
ถ้าคนไม่นับถือ ก็ยกไว้เช่นกัน


ผมคิดว่าในหลายๆครั้งในชีวิตผม ถ้าจะได้ดี หรือไม่ได้ดี ผมไม่เคยไปอ้อนวอนต่อเทวดา หรือพระเจ้าท่านไหร่เท่าไรนักในปัจจุบันนี้ เพราะเท่าที่ผมเคยอ้อนวอนเทวดา ผมไม่เคยเห็นผลใดๆกลับมาเลย ผมยอมรับว่าเมื่อก่อน ก็อ้อนวอนเทวดาบ่อย เดี๋ยวนี้ไม่ ทำดีไปเรื่อยๆ ถ้าดีเีดี๋ยวดีเอง คงไม่หวังว่า ถ้าทำชั่วแล้วมันจะได้ผลดีตอบ ทำความชั่วไม่ค่อยลงทำ ไม่ได้กระแดะนะครับ แต่จริงๆ

ถ้ามีคนแนะนำให้อ้อนวอนพระเจ้าเพิ่มเติม ในกรณีนี้ถ้าพูดถึงว่าต้องเข้าศาสนาอย่างเต็มตัว ผมยอมรับครับว่าไม่เคย แต่ถ้าอ้อนวอนพระเจ้าเฉยๆ ผมเคยครับ แต่ผลที่ออกมาสำหรับผมก็เหมือนเทวดา ไม่ได้อยู่ดี อาจจะไม่บ่อยครั้งมั้ง หรือไม่เข้าศาสนา อาจจะเป็นไปได้ แต่คนรู้จักผมหลายๆคนที่อ้อนวอนพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าคนๆนั้นจะทำดีหรือไม่ก็ตาม ผลที่ออกมา ผมก็มองว่าไม่แตกต่างกันคนรู้จักผมหลายๆคนที่ไม่ได้อ้อนวอนพระเจ้าเหมือนกัน

ไปๆมาๆเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเราต้องอ้อนวอนพระเจ้า ทำไมต้องทำดี ทำไมต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผมคงตอบตนเองว่าเป็นเพราะต้องการให้ตนเองนั้นมีความสุข

//ข้อความต่อจากนี้เริ่มเข้าศาสนาพุทธเต็มตัวละ
แล้วถ้าเรามีความสุขละ ความสุขนั้นมันมาได้อย่างไร บางคนแค่เห็นต้นไม้ก็ชื่นใจละ สำหรับบางคนเห็นต้นไม้ก็เฉยๆ อาจจะมีคนคิดอยากเก็บผลไม้ หรือตัดไม้ขายก็ว่ากันไป สรุปต้นไม้ต้นเดียวคิดกันต่างๆนานา แล้วสมมติว่าเราได้ความสุขมาจากต้นไม้แล้ว ทำไมความสุขนั้น อยู่ดีๆมันแปลสภาพไปแล้วละเมื่อเจอสิ่งกระทบอื่นๆทั้ง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัส รสชาติ และคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ อาจจะเป็นเพราะแค่มันเปลี่ยนไปแค่นั้น เราไม่พอใจว่ามีอะไรมาขัดจังหวะ ถ้าสิ่งๆนั้นที่ขัดจังหวะเป็นสิ่งที่เราชอบ อาจจะจริงอยู่ สุข สบายใจมากขึ้น แต่ถ้ามันไม่ชอบละ เริ่มทุกข์ เริ่มเครียดแล้ว ถ้าลองได้รู้จักความทุกข์ สุข มากขึ้นเรื่อยๆบ่อยๆขึ้น อาจจะเริ่มมองทุกข์เป็นมารความสุข ไม่ได้แล้วขอยกความสุขไว้ก่อน ขอจัดการความทุกข์ก่อน ให้หายจากทุกข์ แล้วเราค่อยมาโกยสุขต่อดีไหม ว่าแล้วก็หาทางกำจัดความทุกข์ โดยวิธีการต่างๆ นานา โดยอาจจะต่อยอดจากสิ่งที่คนอื่นๆ บอกว่าสิ่งนั้นดี ลองทำดูซิ ถ้าทำแล้วจะกำจัดความทุกข์ได้ไหม... ถ้าทำแล้วไม่ได้ ลองดู สิ่งอื่นแทนว่ามีวิธีไหนบ้าง กำจัดความทุกข์ ลองไปเรื่อยๆ ถ้าเจอแล้ว เอ๊ะ ฟลุ๊คเปล่าน๊า ถ้าลองดูใหม่ สรุปว่าฟลุ๊คจริง ก็หาวิธีไปเรื่อยๆ จนเจอวิธีที่ลองกี่ครั้ง ก็กำจัดความทุกข์ได้ืทุกครั้ง หรืออาจจะบ่อยครั้งได้ ถ้าไม่เจอจริงๆ หาทั่วโลกไม่เจอ ผมคิดว่าต้องมีคนออกแสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยตนเอง โดยทดลองด้วยวิธีต่างๆนานา แน่ๆ

อย่าลืมนะครับ ข้อความที่อยู่ข้างบนนั้นเป็นสิ่งที่ผม สมมติเพื่อคิด วิเคราะห์ พิจารณา

และผมก็คงตอบเหมือนที่เคยตอบว่า ผมไม่สามารถหาคำตอบ ตรรกะ อย่างที่คุณอยากได้มาตอบคุณได้ แต่เนื่องจากประเด็นนี้ไปๆมาๆ เริ่มไม่เกี่ยวกับตรรกะ

ข้อความทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำความพุทธศาสนิกชน ถึงหาทางดับทุกข์ หรือว่าสิ่งที่ผมกล่าวไปทั้งหมดนั้น...เป็นสิ่งที่ผมคิดเองเออเองคนเดียว

ส่วนเรื่องบัว 4 เหล่า ผมยังคิดว่าคงมีแค่ 4 เหล่าจริง
1.บุคคลที่สอนนิดหน่อย ก็เข้าใจ
2.บุคคลที่สอนยากขึ้นมาก แล้วเข้าใจ
3.บุคคลที่สอนยาก ต้องเคี่ยวเข็น ตั้งใจ หลายๆ ปัจจัยแล้ว จึงเข้าใจ
4.บุคคลที่สอนเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับฟัง หรือ ตั้งใจรับฟังแล้วสามารถทำให้เห็นได้

ส่วนเหล่าอื่นๆพวก บัวเต่าถุย บัวใต้คอนกรีด หรืออะไรก็ตาม สำหรับผมแล้วเป็นเหมือนคำที่ดูถูกคนเสียมากกว่า เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เราบอกว่าเป็น บัว เหล่าที่5 นั้น สมมติว่าวันดีคืนดี คนๆนั้น นึกจะมาทดสอบ ทดลอง สิ่งๆต่างๆ แล้วเกิดทำได้ดีกว่าเรา หน้าแตกนะครับนั้น เขาอาจจะแค่ขี้เกียจ หรือยังไม่ีอะไรหลายๆอย่างไม่พร้อมสำหรับเขาอาจจะมีภาษาประมาณว่า กรรมบังตา หรือมารลวง หรือกิเลส มันล่อลวง ทั้งเรื่องความคิด เรื่องการศึกษา ต่างๆ นานา ลึกๆเขาอาจจะพร้อมกว่าเราก็เป็นไปได้ แค่ยังไม่ถึงเวลาสำหรับเขาแค่นั้นเอง

เจริญในธรรมครับ

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ astroboy

ยังเป็นเพียงเมล็ดพันธ์เอง ยังไม่ใช่ดอกบัวเลย :b9:

ส่วน " บัว " ซ้ายมือ ที่เว็บเขามีเขียนไว้ว่าเป็นบัวอะไรนั้น หมายถึงจำนวนที่เข้ามาโพสในเว็บนี้

ทำไมถึงไปเรียกคนที่มาตอบคำถามว่า " บัวพ้นน้ำ " ล่ะคะ ก็ในเมื่อมันเป็นเพียง ความแตกต่างในความคิดของแต่ละคนเท่านั้นเอง

เหมือนที่พูดว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นทุกข์ อันนั้นมันก็เป็นเพียงความคิดนี่คะ ที่จริงแล้ว การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพียงเราเข้าใจมัน รู้อยู่กับมัน เราก็สุขอยู่อย่างนั้นได้ เพราะเราไปคิดว่ามันทุกข์ มันก็ทุกข์ ถ้าคิดว่ามันสุข มันก็สุข ทุกอย่างมันอยู่ที่เราคิดเท่านั้นเองนี่คะ

เห็นมีแต่เรื่องแสวงหาสัจธรรม แล้ว นิยามคำว่า สัจธรรม นั้นคืออะไรหรือคะ ทำไมต้องไปแสวงหาด้วย :b9:
พอดีเป็นคนศึกษาน้อย เรื่องภาษาเปรียบเทียบ ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นักค่ะ ขออภัยด้วย :b8:

เท่าๆที่อ่าน อ่านยังไม่ละเอียด คุณเป็นคนรู้จักแยกแยะ หาเหตุและผล ( ไม่พูดนะว่าคุณเป็นคนฉลาด เพราะถ้ามีคำว่า ฉลาด ก็ต้องมีคำว่า โง่ มาคู่กัน ไม่ค่อยชอบคำเปรียบเทียบสองคำนี่เท่าไรนัก เพราะเหมือนมาเหยียบย่ำซึ่งกันและกัน )

" โอ้บรรดาผู้ที่เรียกว่าบัวที่พ้นน้ำ อ่านข้อความนี้ของคุณหลายๆรอบ ใครกันที่โง่ ใครกันที่งมงาย
น่าอนาถใจยิ่งนัก ศร ที่ถูกยิงออกมามันพยศแล้วย้อนกลับไปปักอยู่กลางอกของผู้ยิง "

อันนี้จริงนะ ถ้าเราไปด่าว่าเขา เท่ากับคำพูดนั้นบ่งบอกว่า ตัวเราเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไม่ใช่คนเช่นนั้น เราก็คงไม่ไปว่าใครเขาอย่างนั้น :b16:

คุณเป็นคู่สนทนาที่น่าสนใจ เอาเป็นว่า สนใจที่จะสนทนากับคุณต่อ แต่ตอบคำถามก่อนได้ป่ะว่า คุณให้นิยามคำว่า " สัจธรรม " นั้นว่าอย่างไร บอกแล้วว่า ภาษาที่ใช้กันนั้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก

ขออภัยด้วยค่ะ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็น " ปาทาน ไ ด้วยกัน เลยไปกล่าวตู่ว่าเป็น " ญาติ " แต่ก็แปลกใจว่า เมื่อคุณเป็น " พุทธ " แล้วคุณขึ้นไปบนสุเหร่าได้อย่างไร แถมยังได้อ่านด้วย งงน่ะ :b8:

ไว้ค่อยมาสนทนาใหม่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ astroboy
ก็ไปไล่ๆอ่านดู นิยามของคำว่า สัจธรรม อ้อ ... เพิ่งรู้ว่า หมายถึง ความจริงอันสูงสุด ถ้าเป็นเมื่อก่อน ใครพูดแบบนี้ ดิฉันต้องถามต่อว่า แล้วเอาอะไรมาวัดว่า นี่คือ ความจริงอันสูงสุด อธิบายเป็นรูปธรรมได้ไหม ข้อเปรียบเทียบน่ะ เหมือนของหลายๆสิ่งมารวมกันแล้วเราบอกว่า อันนี้น่ะดีที่สุด
แต่ถ้า ปัจจุบันนี้ ไม่ถามแล้วล่ะค่ะ พออ่านแล้วก็อ้อ ... แค่นั้นเอง มันก็เป็นเพียงนิยามหนึ่งเท่านั้นเอง แล้ว นิยามนี้ มีจริงหรือเปล่านี่สิน่าสนใจ เหมือนๆหลายๆนิยามที่น่าสนใจ แต่รู้สึกว่า พอเกิดความสนใจเข้า ความปวดหัวก็ตามมา เพราะข้อมูลแต่ละที่ไม่ตรงกันเลย ก็เลยเปลี่ยนจากความน่าสนใจ เป็นไม่สนใจ จะเป็นอะไรหรืออย่างไร สนใจไปก็เท่านั้น
คุณโชคดีนะที่มาสนทนาที่เว็บบอร์ดนี้ ที่นี่ค่อนข้างเปิดกว้างในข้อคิดเห็น สุดแต่ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ก็ต้องอยู่ในกฏในเกณฑ์ที่มีไว้ แต่ถ้าเป็นเว็บบอร์ดอื่น คุณอาจจะโดนแบนไปแล้วก็ได้ เขาไม่มาให้ความสำคัญต่อคุณหรอกค่ะ
viewtopic.php?f=1&t=19110

ที่นี้เท่าที่อ่านๆดูแล้ว ข้อความของคุณนั้น เป็นข้อความของคนที่ " ขี้สงสัย " ซึ่งดิฉันก็มีสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณคือ เป็นคนที่ไม่ค่อยสงสัยอะไร แบบว่า ฟัง ใครพูดอะไรก็ฟัง ฟังเหตุและผลของเขาที่แสดงข้อคิดเห็นมา ถ้าถามว่าเชื่อไหม ดิฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรกับใครง่ายๆ แม้แต่กับครูบาฯ ดิฉันก็ต้องถกกับท่านประจำว่า ทำไม อะไร อย่างไร ก็จะแงะๆอกมา ชี้ให้เห็นถึงเหตุและผล ถ้าถามอีกว่า ฟังขนาดนั้นแล้ว เชื่อเลยไหม ขอตอบว่า เฉยๆค่ะ คือแบบว่า รับฟัง แล้วก็ค่อยๆดูไปเรื่อยๆว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าใช่ก็เออ มันใช่จริงๆ ถ้าไม่ใช่ก็เออ ... มันไม่ใช่แฮะ แต่ ... มันก็ไม่แน่หรอก สักวันมันจะไม่ใช่แบบที่เราคิดก็ได้

อย่างเช่น เรื่องการมาว่ากล่าวกัน เรียกว่า การด่าแบบผู้มีการศึกษาหน่อย ถ้าเราไปเอาคำพูดเขามาแล้วคิดว่า เขากำลัง ด่า คุณก็จะเกิดความไม่พอใจเขา แต่ถ้าคุณคิดว่า เขากำลังชม คุณก็ย่อมเกิดความพอใจในคำพูดของเขา ถูกต้องไหมคะ ตัวดิฉันเอง เวลาสนทนาในกระทู้ ดิฉัน ไม่ได้มองแค่ตัวหนังสือที่คนๆนั้นโพสลงมา แต่ดูไปถึงอารมณ์ของเขาว่าคนๆนั้น รู้สึกกับข้อความที่เราโพสไปนั้น ว่า เขารู้สึกอย่างไร ตัวหนังสื่อมันบ่งบอกถึงอารมณ์ของคนๆนั้น เพียงสนทนากันไม่กี่ครั้ง เราก็จะจับอารมณ์ของเขาได้ เช่น กระทู้นี้ ยกมาให้อ่าน แบบไม่ได้คิดจะว่าหรือติติงใคร
viewtopic.php?f=1&t=19855&start=15

คือเราเห็นว่า ข้อความของเขาค่อนข้างรุนแรงในอารมณ์ แต่ตัวเราไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใดกับสิ่งที่เขาโพสมาเลยแม้แต่สักนิดเดียว เราก็เลยไปกระเซ้าเย้าแหย่เขาแทน ส่วนเขาจะโพสอะไรมา นั่นก็คือ ความคิดของเขา ความคิดของแต่ละคนเราไปห้ามเขาไม่ได้ อยากโพสอะไรก็โพสไป เมื่อยมือเดี๋ยวก็หยุดเอง สนทนากันมันต้องมีเหตุและผลมาอ้างอิง ไม่ใช่มาเอ่ยอ้างว่า ตัวเองเป็นปัจจัยให้ชีวิตของแต่ละคนนั้นมีอันเป็นไป ว่า " ถ้าไม่เชื่อแม้แต่คนเดียว ธรรมชาติ ก็จะเป็นผู้จัดการกับพวกคุณเอง ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ชนชาติใด จะอยู่ที่ไหน หนีไม่พ้นดอกนะคุณ " คุณอ่านแล้วคุณรู้สึกอย่างไรล่ะกับคำพูดนี้ ดิฉันอ่านแล้วรู้สึก ขำๆ แบบรู้สึกว่า ทำไมเราต้องเอาชีวิตของเราไปโยงใยกับสิ่งอื่น ทำไมต้องให้สิ่งอื่นมาบงการมากำหนดความเป็นไปในชีวิตของเรา เราเองก็สามารถจะกำหนดชีวิตเราเองได้นี่ ถ้าเราต้องการทำ

คุณไม่ลองเข้าไปสนทนากับเขาดูหรือคนนี้น่ะ เผื่อคุณจะได้ข้อมูลที่แตกต่างไปจากคนที่คุณเคยสนทนาด้วย
viewtopic.php?f=1&t=20048

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


3.3 ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

ไม่ทราบจริงๆแฮะข้อนี้ เพราะไม่ได้ศึกษาตำรามากมาย เลยตอบตาตำราที่มีไว้ไม่ได้ค่ะ เพียงแต่มองว่า เหตุ ( การกระทำของตัวเอง ) มี ผล ( ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง ) ย่อมมี เช่น ถ้าถามว่า สุข ทุกข์ ใครทำให้เกิด ก็ต้องบอกว่า ตัวเองทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น หาใช่คนอื่นๆไม่ ทุกอย่าง มันติดอยู่ที่ความคิด คิดว่า สุข มันก็ สุข คิดว่า ทุกข์ มันก็ทุกข์ ถ้าไม่ไปคิด มันก็ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ มันมีแค่นี้เอง

3.3.2 ไข่กับไก่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน ทุกวันนี้ยังไม่มีชีวิตไหนที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น หรือไม่มีชีวิตไหนในพิภพจักรวาลนี้ที่อุบัติขึ้นมาเอง

วิทยาศาสตร์ ได้แค่ 1 เอง เพราะไม่ค่อยชอบค้นหาคำตอบที่มันวนไปวนมา แต่ว่า เท่าที่จำได้ตอนเรียนมา ตรงไหนมีอ๊อกซิเจน ตรงนั้นย่อมมีสิ่งมีชีวิต เกิดขึ้น
เรื่องไก่กับไข่ มองว่า เหมือนแม่กับลูก เพียงแต่ลูกคนนั้นออกมาเป็นตัวเป็นตน ส่วนไก่นั้น ออกลูกมาเป็นฟอง ไม่มีแม่ไก่ จะมี ลูกไก่หรือไข่ เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

อ้างอิงคำพูด:
ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง การเกิด และดับ ล้วนเกิดจากอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น อำนาจนี้มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้แหละที่หลายคนพยายามตอบออกมาว่ามันคือ ธรรมชาติ

ธรรมชาติคืออะไร การอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นขัดกับหลักตรรกะแน่นอน หรือเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างอนันต์หรือเปล่า มีจิตใจหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมถึงเนรมิตจิตใจคนได้งดงามขนาดนี้ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

สารคดี เวลาเขาเอาเรื่องโลก ยุคก่อนไดโนเสาร์ จนกระทั่งวันที่อุกกาบาตลง ทุกอย่างจบสิ้นไป ถ้าถามว่า ดูแล้วเชื่อไหม ดูแล้วรู้สึกอย่างไร ก็ตอบว่า เฉยๆนะ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ มันเป็นเพียงสิ่งที่เขาอนุมาณมา แล้วมาสร้างให้เราได้ศึกษาเท่านั้นเอง อันนี้ตอบตามความคิดของตัวเอง ถ้าตอบตามตำรา ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา

อืม ... จริงอย่างที่คุณพูด บางทีคำพูดก็ตกๆหล่น เพราะอ่านข้อความของคุณทั้งหมดยังไม่ละเอียด เหมือนทำการบ้านเลย แต่เป็นการบ้านที่รู้สึกว่า เออ ... อยู่คนละมุมกับเราเลยแฮะ อย่างที่บอกไว้น่ะ คนขี้สงสัย กับคนที่ไม่ค่อยสงสัยหรือไม่ใส่ใจ

- พระพุทธเจ้า ถ้าศึกษาตามพุทธประวัติท่านเป็นคน เพราะว่ามีบันทึกหลักฐานยืนยันไว้

แล้วมีความพิเศษ กว่าคนอย่างเราๆได้ยังไง

- พระองค์ทรงมี สติ สัปชัญญะ เป็นเลิศ ซึ่งคนแบบเราทั่วๆไปนั้นไม่มี

ทำไมจึงคิดอย่างนั้น

- ก็ดูจากที่พระองค์ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ ว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอก ส่วนจะเป็นทางสายเอกจากอะไรไปสู่อะไรนั่นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ซึ่งตรงนี้แหละที่ศาสนาพุทธมีสอนไว้ แต่ศาสนาอื่นๆไม่มี เพราะเท่าที่อ่านๆมาหลายศาสนา สอนเหมือนกันหมดว่า ให้ทุกคนเป็นคนดี คำว่า คนดี เอาอะไรมาวัด ทุกอย่างมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดของแต่ละคน แต่ทำอย่างไรที่จะเห็นว่า ดีนั้นดีจริงๆ ดีตามความเป็นจริง เป็นที่ยอมรับของทุกคนไม่ว่าจะศาสนาไหน นั่นต่างหากที่ศาสนาอื่นๆไม่มีสอนไว้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร