วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 05:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญพร เหล่าบรรดานักปฏิบัติส่วนมากมักคิดว่า สภาพว่าง ( สูญญตาธรรม )ที่เป็นสภาวะธรรมชั้นสูงคือการที่ดับหมดไม่เหลือซึ่งทุกสิ่ง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไม่ใช่ทุกสิ่งมันว่างแต่มันคือการว่างจากทุกสิ่งคือจะเห็นว่าทุกอย่างมันมีเป็นไปตามของมันเหมือนเดิมแต่ว่างปราศจากตัวเราเข้าไปมีเป็นตามมันเท่านั้น สภาวะดี ร้าย อารมณ์ต่างๆคงมีอยู่เป็นปกติ แต่ไม่มีตัวตนเข้าไป ชั่ว ดี มีเป็น ไม่หลงเกิด หรือหลงดับตามมัน อยู่นอกเหนือทุกอารมณ์ ทุกสภาวะการณ์โดยสิ้นเชิง ขอเจริญพร......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เห็นด้วยครับ ว่างจากตัวตน
ทุกสรรพสิ่งเป็นอนัตตา ครับ
จิต เจตสิก รูป เป็นของชั่วคราว มีแล้วหายไป
ก่อนมีก็ไม่ได้ กองอยู่ที่ใด
ปรากฏขึ้นดุจเสียงพิณ ก่อนที่เสียงพิณจะดัง ไม่มีที่กักเก็บเสียงนั้นไว้ อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น
ปรากฏขึ้นแล้วก็ดับไป ยามที่ดับไปแล้ว จะไปตามหาที่ไหนก็ไม่เจอ
ฉันใดฉันนั้น จิต เจตสิก รูป ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ยิ่งเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เราไม่มีจริง เป็นแต่สภาพธรรม เกิดขึ้นดับไปตามเหตุตามปัจจัย

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์คงหมายถึง สูญตาความว่างในความว่าง ใช่ไหมขอรับ แต่การเอาจิตตามดูอารมณ์ตามรู้ นั้นก็ยังไม่ว่างเพราะจิตยังมีภาระตามรู้อยู่ แล้วความว่างโดยจิตว่างด้วย ทำอย่างไรขอรับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




caliz10.jpg
caliz10.jpg [ 13.95 KiB | เปิดดู 8164 ครั้ง ]
tongue
ทุกอย่างมันมีเป็นไปตามของมันเหมือนเดิมแต่ว่าง ปราศจากตัวเรา เข้าไปมีเป็น ตามมันเท่านั้น สภาวะดี ร้าย อารมณ์ต่างๆคงมีอยู่เป็นปกติ
แต่ไม่มีตัวตน เข้าไป ชั่ว ดี มีเป็น ไม่หลงเกิด หรือหลงดับตามมัน อยู่นอกเหนือทุกอารมณ์ ทุกสภาวะการณ์โดยสิ้นเชิง ขอเจริญพร......

อนุโมทนาสาธุ ในปัญญาอันแจ่มชัด อนัตตา ครับ
:b8: :b8: :b8: :b53: :b53: :b18:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 10:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์คงหมายถึง สูญตาความว่างในความว่าง ใช่ไหมขอรับ แต่การเอาจิตตามดูอารมณ์ตามรู้ นั้นก็ยังไม่ว่างเพราะจิตยังมีภาระตามรู้อยู่ แล้วความว่างโดยจิตว่างด้วย ทำอย่างไรขอรับ..

เจริญพรโยม โยมถามได้ถูกแล้ว ถ้ายังเอาจิตคอยตามดูตามรู้อยู่แล้วจะว่างได้อย่างไร จิตก็คือรู้ รู้ก็คือจิตทีนี้โยมก็ปล่อยเลยไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร จะรู้ก็ชั่งมันไม่รู้ก็ชั่งมันกิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น เมื่อไปรับรู้แล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้ที่จะไปปรุงแต่งเพราะมีล่องของตัณหาและอุปทานอยู่แล้ว ทุกอารมณ์ความรู้สึกปล่อยผ่านมาเองและผ่านไปเองทั้งหมด ตอนใหม่ๆนั้นอาจจะยังไม่ชินเพราะด้วยอนุสัยย้ำรู้ย้ำเห็นมานานแต่ก็ไม่ต้องไปสนใจมันปล่อยผ่านมาเองและไปเอง ถ้าโยมทำอย่างนี้ได้ตัวตนอันเกิดจากตัณหาและอุปทานจะค่อยๆลดลงๆในที่สุด และเมื่อถึงที่สุดแล้วโยมจะสามารถสัมผัสได้ถึงความว่างโดยจิตว่างที่แท้จริง อยู่นอกเหนือสภาวะการณ์ปรุงแต่งต่างๆ นอกเหนือความเห็นความหมายทุกชนิด อยู่นอกเหนือทุกอารมณ์การรับรู้ต่างๆได้ ขอเจริญพร...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
:b13: :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุทธจิตโต เขียน:
ท่านอาจารย์คงหมายถึง สูญตาความว่างในความว่าง ใช่ไหมขอรับ แต่การเอาจิตตามดูอารมณ์ตามรู้ นั้นก็ยังไม่ว่างเพราะจิตยังมีภาระตามรู้อยู่ แล้วความว่างโดยจิตว่างด้วย ทำอย่างไรขอรับ..

เจริญพรโยม โยมถามได้ถูกแล้ว ถ้ายังเอาจิตคอยตามดูตามรู้อยู่แล้วจะว่างได้อย่างไร จิตก็คือรู้ รู้ก็คือจิตทีนี้โยมก็ปล่อยเลยไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร จะรู้ก็ชั่งมันไม่รู้ก็ชั่งมัน กิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น เมื่อไปรับรู้แล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้ที่จะไปปรุงแต่งเพราะมีล่องของตัณหาและอุปทานอยู่แล้ว ทุกอารมณ์ความรู้สึกปล่อยผ่านมาเองและผ่านไปเองทั้งหมด ตอนใหม่ๆนั้นอาจจะยังไม่ชินเพราะด้วยอนุสัยย้ำรู้ย้ำเห็นมานานแต่ก็ไม่ต้องไปสนใจมันปล่อยผ่านมาเองและไปเอง ถ้าโยมทำอย่างนี้ได้ตัวตนอันเกิดจากตัณหาและอุปทานจะค่อยๆลดลงๆในที่สุด และเมื่อถึงที่สุดแล้วโยมจะสามารถสัมผัสได้ถึงความว่างโดยจิตว่างที่แท้จริง อยู่นอกเหนือสภาวะการณ์ปรุงแต่งต่างๆ นอกเหนือความเห็นความหมายทุกชนิด อยู่นอกเหนือทุกอารมณ์การรับรู้ต่างๆได้ ขอเจริญพร...




:b8: ตรงนี้ไม่แน่ใจเท่าไรเลยท่าน...

คือ...เคยคิด ๆ อยู่เหมือนกัน...แต่มันจะมีกรณีผู้ฉลาดแกมโกงน่ะท่าน...
ไม่ได้ละ...แต่รู้เทคนิคในการเข้าสู่จิตว่าง...
มันจะกลายเป็นคล้ายกับการ สารภาพ บาปไป...

คือ...เอกอนยังไม่แน่ใจนัก
ว่าการเข้าถึงความว่างในลักษณะนี้จะมีศักยภาพในการชำระล้างจิตใจหรือไม่...
...
ท่านช่วยให้ความกระจ่างด้วย...

:b8: :b8:


และในอีกมุมหนึ่ง...
เอกอนก็มองว่า...มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะปล่อย...
...ซึ่งมันก็ไหลเข้าสู่กระบวนการขัดเกลาไปโดยปริยาย...
ส่วนเรื่องประเด็น...ฉลาดลักไก่...มันก็ต้องเข้าสู่กระบวนการขัดเกลาอยู่ดี...
...


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 27 ก.ย. 2010, 12:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ

ถ้าเป็นแบบนี้เสียแล้วย่อมไม่ต่างจากวางจิตไว้ปลายทาง ตามชื่อเรียกขาน
อันว่า ความว่าง หากเป็นดังนี้ จะเป็นว่างโดยแท้จริง ได้อย่างไร

ท่านลองพิจารณาดูก่อน แล้วช่วยอธิบายด้วยครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 15:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ

ถ้าเป็นแบบนี้เสียแล้วย่อมไม่ต่างจากวางจิตไว้ปลายทาง ตามชื่อเรียกขาน
อันว่า ความว่าง หากเป็นดังนี้ จะเป็นว่างโดยแท้จริง ได้อย่างไร

ท่านลองพิจารณาดูก่อน แล้วช่วยอธิบายด้วยครับ

เจริญพร .... ถูกอย่างที่โยมเข้าใจ เป็นเหมือนการกำหนดจิตไว้ปลายทาง แต่ที่โยมเข้าใจคือการที่กำหนดจิตไว้ปลายทางแล้วจะเข้าถึงสภาพว่างโดยแท้จริงในทันทีใช่หรือไม่ ? ถ้าใช่อาตมาขอตอบว่าไม่สามารถเข้าถึงสภาพว่างโดยทันที เป็นอย่างที่โยมกระทู้ข้างบนกล่าวคือจะดำเนินการสู่สภาวะขัดเกลาก่อนเพราะว่าจิตคนเราเต็มไปด้วย กิเลสต่างๆ การทำวิธีนี้คือการปล่อยวาง แต่ในระยะเริ่มต้นจะต้องผจญกับกิเลสต่างที่เข้ามายึดครองใจ ตัณหา อุปทานต่างๆ แต่โยมก็ไม่ต้องไปสนใจความยาก ความง่าย ชั่งมัน ปล่อยวางอย่างเดียว
กิเลสพวกนี้เมื่อไม่มีเราไปตอกย้ำมันก็จะค่อยจางคลายและหายไปเอง เหมือนไฟที่ไร้ฟิน เมื่อไม่มีฟืนคอยเติมเชื้อเสียแล้วย่อมดับไปเอง ในระหว่างที่กำลังดำเนินในช่วงสภาวะขัดเกลาโยมก็จะสัมผัสได้ถึงความเบากายเบาจิต ในระดับต่างๆอันเป็นผลมาจากการปล่อยวาง และเมื่อถึงที่สุดแล้วปล่อยวางได้เต็มรอบแล้วย่อมเข้าสู่สภาวะว่างโดยแท้จริงได้ ขอเจริญพร ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ
ตรงนี้ ต้องระวังสักนิด กับการวางจิตไว้ปลายทาง
หากผู้ปฏิบัติไปติด อยู่กับชื่อเรียกขาน หรือความว่าง ที่กล่าวไว้
ไปทำความว่างให้ปรากฏเกิดขึ้นเสีย เปรียบเสมือน

สิ่งที่ปรากฏอยู่ ไม่ทำให้ชัดแจ้ง กลับไปทำสิ่งที่มีอยู่แล้วอันเป็น
ชื่อเรียกขาน หรือความว่า ต่างๆ อันเป็นสิ่งๆนั้น ให้ปรากฏ

ดังนี้ ท่านต้องชี้ให้ผู้ปฏิบัติ ได้เห็นด้วยว่า
ปล่อยวางนี้ปล่อยวางอย่างไร การละนี้ละอย่างไร

ท่านต้องชี้ให้ขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็น เกรงว่าจะเป็นการหลงติด
อยู่กับความว่าง จากการวางจิต ดักจิต ไว้ปลายทาง

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุทธจิตโต เขียน:
ท่านอาจารย์คงหมายถึง สูญตาความว่างในความว่าง ใช่ไหมขอรับ แต่การเอาจิตตามดูอารมณ์ตามรู้ นั้นก็ยังไม่ว่างเพราะจิตยังมีภาระตามรู้อยู่ แล้วความว่างโดยจิตว่างด้วย ทำอย่างไรขอรับ..

เจริญพรโยม โยมถามได้ถูกแล้ว ถ้ายังเอาจิตคอยตามดูตามรู้อยู่แล้วจะว่างได้อย่างไร

จิตก็คือรู้
รู้ก็คือจิต ทีนี้โยมก็ปล่อยเลย ไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร จะรู้ก็ชั่งมัน ไม่รู้ก็ชั่งมัน

กิเลสต่างๆเริ่มไปจากตัวที่ไปรับรู้อารมณ์ทั้งสิ้น

เมื่อไปรับรู้แล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ที่จะไปปรุงแต่ง
เพราะมีล่องของตัณหาและอุปทานอยู่แล้ว


ทุกอารมณ์ความรู้สึกปล่อยผ่านมาเองและผ่านไปเองทั้งหมด
ตอนใหม่ๆนั้นอาจจะยังไม่ชิน เพราะด้วยอนุสัยย้ำรู้ย้ำเห็นมานาน
แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ปล่อยผ่านมาเองและไปเอง

ถ้าโยมทำอย่างนี้ได้ ตัวตนอันเกิดจากตัณหาและอุปทานจะค่อยๆลดลงๆในที่สุด
และเมื่อถึงที่สุดแล้วโยมจะสามารถสัมผัสได้ถึงความว่างโดยจิตว่างที่แท้จริง

อยู่นอกเหนือสภาวะการณ์ปรุงแต่งต่างๆ
นอกเหนือความเห็นความหมายทุกชนิด
อยู่นอกเหนือทุกอารมณ์การรับรู้ต่างๆได้ ขอเจริญพร...



กราบนมัสการ เรียนถามพระคุณเจ้า ครับ

ที่บอกว่า ไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร นั้น
แล้วจิตจะไปรู้อยู่กับสิ่งใด ครับ :b45:

ทั้งสิ่งที่จิตเข้าไปรู้ และตัวจิตเอง คือสิ่งที่ต้องปล่อยวางทั้งหมดใช่ไหมครับ
นั่นก็คือ ทั้งตัวความว่าง และตัวที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นด้วย ใช่ไหมครับ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 18:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญพร อาตมาขอบคุณสำหรับคำแนะนำ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 18:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


กราบนมัสการ เรียนถามพระคุณเจ้า ครับ

ที่บอกว่า ไม่ต้องเอาจิตไปคอยรับรู้อะไร นั้น
แล้วจิตจะไปรู้อยู่กับสิ่งใด ครับ

ทั้งสิ่งที่จิตเข้าไปรู้ และตัวจิตเอง คือสิ่งที่ต้องปล่อยวางทั้งหมดใช่ไหมครับ
นั่นก็คือ ทั้งตัวความว่าง และตัวที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นด้วย ใช่ไหมครับ

เจริญพรโยม ..... ที่โยมถามว่าหากไม่คอยเอาจิตไปรับรู้แล้วนั้นจิตจะไปรับรู้อะไร ? โยมก็ไม่ต้องเอาจิตไปคอยอยู่กับสิ่งใดเลย โยมไม่ต้องกลัววาโยมจะไม่รับรู้อะไรเลย โยมมีขันธ์ 5 มีวิญญาณขันธ์ทำหน้าที่รับรู้ประเด็นที่อาตมากล่าว เมื่อวิญญาณขันธ์ของโยมทำหน้าที่รับรู้มาแล้วโยมอย่าไปซ้อนรู้นั้นด้วยวิธีการใดๆตัวที่คอยเอาจิตไปรับรู้นั้นเป็นอุปาทานในวิญญาณขันธ์ ลำพังการทำงานของธาตุขันธ์ไม่ใช่กิเลส แต่การเข้าไปซ้อนการทำงานของสภาวะธรรมต่างหาก

ทีนี้โยมก็ปล่อยวางทั้งหมดเลยไม่ว่าจะตัวจิตหรือสิ่งที่จิตไปรับรู้ แม้ตัวความว่างเองหากมีตัวตนเข้าไปซ้อนดูซ้อนรู้ก็ไม่ใช่ว่างแท้จริง หากเราไปยึดตรงที่ว่างหากไปเจออารมณ์ในทางตรงกันข้ามจิตจะเกิดผลักไสในอารมณ์นั้น โยมก็ทิ้งเลยปล่อยเลยว่าไม่ใช่ตรงที่ว่างหรือไม่ว่างแล้วจะพบว่างแท้ ที่ไม่ขึ้นกับอารมณ์ใด จิตแบบไหน อยู่นอกเหนือความเป็นจิตทุกชนิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 18:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


จะตัวความว่างตัวไปดูความว่างปล่อยทิ้งไปเลย หากเอาจิตไปเกาะอยู่ตรงไหนความหนักความตึงจะเกิดหรือสภาวะทุกข์นั้นเอง ปล่อยให้ธาตุขันธ์ทำงานของมันไปอย่างอิสระไร้การเข้าไปผูกมัดจากตัวเรา ( อุปทาน ) องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ เราท่านทั้งหลายจึงไม่ควรเข้าไปเจริญขันธ 5 ด้วยวิธีการใดๆ ขอเจริญพร ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2010, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใกล้เคียง หรืออาจพูดว่าเหมื่อน คำที่ท่านพุทธธาส กล่าวใว้ในหนังสือเลย

และใกล้เคียงเรื่องความว่างในพระสูตรท่านเวยหลาง อีกด้วย

เป็นอีกความหมายหนึ่งที่ไม่ได้พูดมาลอยๆเป็นแน่ต้องเกิดขึ้นและมีอยู่จริงในความว่างนั้น

ความว่างในความว่าง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร