วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 17:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ลำดับพระญาณแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า

เริ่มต้นตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐาน ว่า


" ถ้ากมลสันดานแห่งอาตมะนี้ ยังไม่พ้นจาก
อาสวกิเลสกามคุณตราบใด ถึงแม้มาตรว่าหฤทัย
และเนื้อหนังทั้งเอ็นสมองอัฐิจะแห้งเหือด ตลอดถึง
เลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกายก็ดี ธรรมวิเศษล้ำเลิศ
อันใดที่เป็นวิสัยอันบุคคลจะพึงได้ด้วยเรี่ยวแรง
และความเพียรแห่งบุรุษ เมื่อยังไม่บรรลุถึงธรรม
วิเศษอันนั้น การที่อาตมาะจักคลายจากพับแพนง
เชิงสมาธิบัลลังก์วิเศษนี้เป็นอันไม่มี อันยังมิได้บรรลุซึ่ง
พระโพธิญาณแล้วไซร้ อาตมะจักไม่ทำลายสมาธิ
บัลลังก์วิเศษนี้เลยเป็นอันขาด อาตมะคงเพียรให้
บรรลุโพธิธรรมเสวยพระพุทธาภิกเษกสมบัตินวชิร
บัลลังก์อาสน์นี้ให้จงได้ "




ทรงตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงจำเริญพระสมาธิภาวนาเรื่อยมา บังเกิดสมาธิแก่กล้ามีสุวรรณประภาพวยพุ่งออกจากพระวรกาย จวบจนถึงสมัยพระสุริยายอแสงเป็นมหามงคลกาลในขณะนี้


ครั้นล่วงเข้า ราตรีปฐมยาม พระองค์ผู้มีสมาธิภาวนาอันแก่กล้า ก็สามารถยังฌาณและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ญาณเครื่องระลึกถึงชาติก่อนได้ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติในอดีตหนหลังได้ตั้งแต่ ๑-๒ ชาติ ๑๐-๒๐ ชาติ ๑๐๐-๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ชาติเรื่อยไป จนถึงสังวัฏฏกัป-วิวัฏฏกัป-สังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก โดยทรงรู้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า ในชาตินั้นพระองค์เกิดในประเทศนั้น มีชื่อและโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ และมีอาหารอย่างนั้น ดังนี้เป็นต้น


ครั้งล่วงเข้า ราตรีมัชฌิมยาม พระองค์ก็ได้บรรลุจุตูปปาตญาณ = ญาณเครื่องรู้แจ้งในจุติและอุบัติ เหตุแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติตายไปและกำลังอุบัติเกิดขึ้นใหม่ในโลกทั้งหลาย โดยทรงเห็นอย่างแจ้งประจักษ์ ด้วยอำนาจทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าสามัญมนุษย์จักษุวิสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้พากันล้มตายลงไปแล้ว ต่างผู้ต่างก็ไปเกิดในสภาพต่างๆ กัน เลวบ้าง ประณีตบ้าง มีผิวพรรณงามบ้าง ไม่งามบ้าง ถึงซึ่งความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แตกต่างกันไป ตามสมควรแก่กรรมแห่งตนที่ได้กระทำไว้


ครั้นล่วงเข้า ราตรีปัจฉิมยาม พระองค์ก็ทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาในปัจจยาการ อันเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งพระบรมสรรเพชญพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยกระทำมา โดยทรงพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึกนี้ ก็โดยสาเหตุที่พระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานพระองค์เอง และทรงสิ้นสงสัยในสันดานสัตว์เหล่าอื่น อันเป็นผลแห่งญาณก่อนๆ ที่ได้ทรงบรรลุมาแล้ว คือ


เมื่อพระองค์ได้ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณในตอนปฐมยามนั้น ได้ทรงเห็นพระองค์เองจุติจากชาตินั้นไปเกิดในชาติโน้น จุติจากชาติโน้นมาเกิดในชาตินี้ แต่ทรงเฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายชาติหลายภพเป็นนักหนา เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยดังนี้ ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของพระองค์เอง ด้วยอำนาจแห่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ


เมื่อพระองค์ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณในตอนมัชฌิมยามนั้น ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายซึ่งกำลังตายและกำลังเกิดกันมากมายนักหนาทุกเวลานาที ในสถานที่ต่างๆ กันเป็นอลหม่าน เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยในสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่นในกรณีที่ว่า "สัตว์เหล่าอื่นต้องตายเกิดและเกิดตายกันอยู่เสมอ" ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นเป็นเวลานานแสนนานจริงหรือไม่ ? ความสงสัยดังนี้ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยอำนาจแห่ง จุตูปปาตญาณ


เมื่อพระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานแห่งพระองค์เองและสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีความเกิดความตายอยู่เป็นประจำซ้ำซากดังกล่าวแล้ว ก็ทรงสังเวชสลดพระหฤทัย จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึก คือในขั้นแรกทรงปรารภ ชรามรณะ ความแก่และความตายขึ้นเป็นอารมณ์ปฐมเหตุก่อน แล้วก็ทรงทราบเป็นลำดับต่อไปว่า


ชรามรณะ....มีได้ก็เพราะ......ชาติ

ชาติ..........มีได้ก็เพราะ......ภพ

ภพ...........มีได้ก็เพราะ......อปาทาน

อุปาทาน.....มีได้ก็เพราะ......ตัณหา

ตัณหา........มีได้ก็เพราะ......เวทนา

เวทนา........มีได้ก็เพราะ......ผัสสะ

ผัสสะ.........มีได้ก็เพราะ......สฬายตนะ

สฬายตนะ....มีได้ก็เพราะ......นามรูป

นามรูป.......มีได้ก็เพราะ......วิญญาณ

วิญญาณ.....มีได้ก็เพราะ......สังขาร

สังขาร.......มีได้ก็เพราะ......อวิชชา


แล้วจึงทรงพิจารณาซึ่งที่ดับแห่งสภาวธรรมเหล่านี้สืบต่อไปว่า...


เมื่อ....อวิชชา........ดับสูญแล้ว.........สังขาร.........ก็ดับตาม

เมื่อ....สังขาร........ดับสูญแล้ว.........วิญญาณ........ก็ดับตาม

เมื่อ....วิญญาณ......ดับสูญแล้ว.........นามรูป..........ก็ดับตาม

เมื่อ....นามรูป........ดับสูญแล้ว.........สฬายตนะ.......ก็ดับตาม

เมื่อ....สฬายตนะ.....ดับสูญแล้ว.........ผัสสะ...........ก็ดับตาม

เมื่อ....ผัสสะ..........ดับสูญแล้ว.........เวทนา..........ก็ดับตาม

เมื่อ....เวทนา.........ดับสูญแล้ว.........ตัณหา..........ก็ดับตาม

เมื่อ....ตัณหา.........ดับสูญแล้ว.........อุปาทาน........ก็ดับตาม

เมื่อ....อุปาทาน.......ดับสูญแล้ว.........ภพ............. ก็ดับตาม

เมื่อ....ภพ.............ดับสูญแล้ว.........ชาติ.............ก็ดับตาม

เมื่อ....ชาติ............ดับสูญแล้ว.........ชรามรณะ.......ก็ดับตาม



แล้วก็ทรงพิจารณาทบทวนถอยหลังลงไป เพื่อให้แน่นอนเด็ดขาดอีกสืบไปว่า "ชรามรณะ" นี้มิใช่เกิดจากอะไร โดยที่แท้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ "ชาติ" เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ และ "ชาติ" นี้ก็มิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้เพราะ "ภพ"........"สังขาร" นั้นมิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ" เป็นอันว่า บัดนี้พระองค์ผู้มีพุทธบารมีได้ทรงค้นพบแล้วว่า ตัวเหตุใหญ่ยิ่งสุดยอดที่มีอำนาจบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นก็คือ "อวิชชา" นี่เอง


ขณะนี้ แม้ว่าพระองค์จะได้ทรงค้นพบสภาวธรรมอันล้ำลึก เกินวิสัยคนธรรมดาสามัญจักมีปัญญาหยั่งรู้ได้ดังกล่าวมาแล้วก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาตัวเหตุอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงค้นพบ คือ "อวิชชา" ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมมีปกติครอบงำจิตสันดานทำให้มืดมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และมิให้เห็นแจ้งในพะจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)


เมื่อทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐสุดเช่นนี้แล้ว พระองค์ผู้มีพระทัยผ่องแผ้ว ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็มีพระมนัสมั่นคง น้อมตรงไปเพื่อที่จะบรรลุ อาสวักขยญาณ = ญาณเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส คือในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการในอันที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)นั้น โดยวิธีการคือทรงเจริญพระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนาม ตามอำนาจแห่งพระไตรลักษ์แล้ว จนกระทั่งถึงเพลาตามพารุณสมัยไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า พระองค์ผู้ทรงพระอุตส่าห์สร้างพระพุทธบารมีมานานก็ได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด ทรงเห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจโดยประจักษ์ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ "สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์" ทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง


ทรงพระกรุณาตรัสเล่าถึงประสบการณ์ของพระองค์เองตอนนี้ ไว้ใน บาลีโพธิราชกุมารสูตร และ บาลีมหาวาร ดังต่อไปนี้


เราตถาคตน้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวขยญาณแล้ว
เราตถาคตรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า
"นี่ทุกข์ , นี่เหตุแห่งทุกข์ , นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ,
นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์...
เมื่อเราตถาคตรู้แจ้งอยู่อย่างนี้ เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้
จิตก็พ้นจาก กามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าจิตพ้นแล้ว
เราตถาคตรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว
กิจที่ต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อ
ความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มีอีกแล้ว



"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
ตราบใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะ
ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี
ตราบนั้นเราตถาคต
ก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์


"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
เมื่อใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นญาณทัศนะ
ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เมื่อนั้นเราตถาคตปฏิญญาว่า
เป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตรสัมมา-
สัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์" ดังนี้



//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เนื้อหาจาก โพธิธรรมทีปนี : พระพรหมโมลี



กล่าวตามคติพระโบราณาจารย์ที่ว่า สัจจฺ สตฺโต ปฏิสนฺธิ แปลว่า


"ธรรมที่เข้าใจได้ยาก และแสดงได้ยากในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีอยู่ ๔ อย่าง คือ

พระจตุราริยสัจ ๑

ปรมัตถธรรม คือ ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ๑

ปฏิสนธิ คือ ความเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๑

ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑"






ครานี้เรามาสรุปลำดับแห่งการตรัสรู้อีกครั้ง ตามที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ ดังนี้


ปฐมยาม......--->....ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมยาม...--->.....จุตูปปาตญาณ

...................--->.....พิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม

ปัจฉิมยาม...--->.....อาสวักขยญาณ

.................--->....พิจารณาวิปัสสนาญาณ

.................--->....พิจาณาลงไปที่เบญจขันธ์หรือรูปนาม เห็นจริงตามอำนาจพระไตรลักษณ์

.................--->....เห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)

.................--->....กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด

.................--->....ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ



เห็นได้ว่าญาณทั้ง ๒ อันเป็นการตามเห็นการเวียนว่ายตายเกิดทั้งของตนเองและสัตว์อื่น เป็นความรู้สำคัญยิ่งต่อการก้าวสู่ความพ้นทุกข์ ใครที่ประมาทต่อหลักการเวียนว่ายตายเกิดคิดแต่ว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่น่าสนใจ ลองทบทวนดูเสียใหม่ว่าท่านประมาทในธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้รู้แจ้งแล้วหรือไม่

ในพระญาณทั้ง ๒ นี้ เป็นขั้นโลกียญาณ เพื่อมุ่งไปที่ความหมดข้อสงสัยในการเวียนว่ายตายเกิดและเห็นความจริงในข้อนี้จึงน้อมไปที่ความสังเวชสลดพระหฤทัย หลังจากนั้นจึงทรงเห็นภัยในวัฏฏะ และเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด ทรงเริ่มหาเหตุหรือสาวหาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดจึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรม สาวหาเหตุจนไปเจอตัวการสำคัญที่สุด หรือตัวปฐมเหตุ นั่นคือ อวิชชา นั่นเอง


จากนั้นจึงพิจารณาอำนาจของอวิชชา ถึงกระนั้นในขั้นตอนนนี้พระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมครอบงำจิตสันดานทำให้มืดมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และมิให้เห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)


ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็ทรงตั้งพระทัย น้อมตรงไปเพื่อที่จะบรรลุ อาสวักขยญาณ คือในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังไม่ให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์ และพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)นั้น โดยวิธีการคือทรงเจริญพระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนาม ตามอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์


ทรงเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ โดยประจักษ์ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในที่สุด


--->>> ตามที่สรุปออกมานี้ มีข้อสังเกตที่ว่า การตรัสรู้ธรรมของพระองค์โดยลำดับพระญาณต่างๆ นั้น มิได้เกิดจากการนึกคิดตรึกตรองไปตามอาการ แต่พระองค์สรุปชัดเจนลงไปความว่า -


ตราบใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะ
ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี ตราบนั้นเราตถาคต
ก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ



พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ ซึ่งตรงนี้เองที่แตกต่างจากนักตำราหรือนักปริยัติทั้งหลายผู้คิดว่าตนเองเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้าได้ดีกว่าใครอื่นด้วยการนึกคิดตรึกตรองพิจารณาไปตามอาการแห่งตัวหนังสือ แต่ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ด้วย "ญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์" และตราบใดที่เราท่านยังมิได้ถึงซึ่งญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์แล้วไซร้ ก็ขออย่าได้ประมาทในธรรมที่ลุ่มลึกเหล่านี้โดยการเห็นเป็นของง่าย แล้วอธิบายไปตามอัธยาสัยแห่งตน แค่เพียงใช้สมองนึกคิดตรึกตรองก็สามารถเข้าใจได้อีกเลย


ขอให้ทบทวนอีกครั้งว่า

"ธรรมที่เข้าใจได้ยาก และแสดงได้ยากในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีอยู่ ๔ อย่าง คือ

พระจตุราริยสัจ ๑

ปรมัตถธรรม คือ ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ๑

ปฏิสนธิ คือ ความเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๑

ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑"



การอธิบายธรรมโดยชั้นสมองนึกคิดตรึกตรองจึงยังไม่ชื่อว่า เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะการเห็นธรรมตามความเป็นจริงมาจาก การปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมในระดับ เห็นแจ้ง รู้จริง ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ นั่นเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร