วันเวลาปัจจุบัน 04 มิ.ย. 2025, 05:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปวิธีอธิบายนิพพาน 4 อย่าง

1.แบบปฏิเสธ
2.แบบไวพจน์
3.แบบอุปมา
4.แบบบรรยายภาวะโดยตรง

(ที่ท่านกล่าวไว้เต็มตามลิงค์)

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... sc&start=0

ใน 4 อย่างนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า คนอ่านแล้วติดตาตรึงใจได้แก่นิพพานแบบอุปมา น่าจะอ่านเข้าใจง่ายเหมือนอ่านนวนิยาย นึกเห็นภาพว่าเป็นเมืองเป็นมหานครที่สวยงาม ผู้อยู่ในนิพพานนั้นจะมีแต่ความสุข
ซึ่งในโลกมนุษย์นี้ไม่มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 พ.ย. 2008, 15:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้จะตัดเอาเฉพาะส่วนดังกล่าวมาลงให้พิจารณาโดยเฉพาะ
เริ่มจาก
=>

เมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรง มีพุทธดำริว่า “ธรรม ที่เราเข้าถึงแล้วนี้
ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่ใช่วิสัยของ ตรรกะ) ละเอียดอ่อน
เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงทราบ”
และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า “ธรรมที่เราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตว์
ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก”
(วินย.4/7/8 ; ม.มู.12/321/323)

ธรรมในที่นี้ หมายถึงปฏิจจสมุปบาท และ นิพพาน (จะว่าอริยสัจจ์ 4 ก็ได้ใจความเท่ากัน) แต่ถึงแม้
จะยากอย่างนี้ ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงพยายามสั่งสอนชี้แจงอธิบายอย่างมากมาย

ดังนั้น คำว่า นิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากว่า คือ เตือนว่าไม่ควรเอาแต่คิดสร้าง ภาพและถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สร้างสัญญา ผิดๆ ขึ้นเสียเปล่า ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึง เพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้นเมื่อยังไม่รู้ ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้แล้ว ก็อาจเปลี่ยนข้อความจากที่นิยมพูดกันว่า นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ (หรือที่บางท่านถึงกับพูดว่า พูดไม่ได้ บรรยายไม่ได้) มาใช้ตามพุทธพจน์นี้ว่า เห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ ยาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อนิพพานเป็นสิ่งเห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ยาก เมื่อยังไม่เห็น ก็นึก ไม่เห็น
เมื่อไม่เข้าใจ ก็คิดไม่เข้าใจ ถ้อยคำที่จะใช้บอกตรงๆ และ สัญญาที่จะใช้กำหนดก็ไม่มี ดังได้กล่าวมาฉะนี้ จึงน่าสังเกตว่า ในการกล่าวถึงนิพพาน ท่านจะพูดอย่างไร หรือใช้ถ้อยคำอย่างไร
ตามที่ประมวลดูพอจะสรุปวิธีพูดถึงหรืออธิบายนิพพานได้ 4 นัย คือ


1. แบบปฏิเสธ คือ ให้ความหมายแสดงถึงการละการกำจัดการเพิกถอนภาวะไม่ดี ไม่งาม ไม่เกื้อกูล ไม่เป็น
ประโยชน์ต่างๆที่มีอยู่ในวิสัยของฝ่าย วัฏฏะ เช่น ว่า “นิพพาน คือ ความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ” -
(สํ.สฬ. 18/497/310; 513/321)

“นิพพาน คือ ความดับแห่งภพ”- (สํ.นิ. 16/271/142)
“นิพพาน คือ ความสิ้นตัณหา”- (สํ.ข.17/367/233)
“จุดจบของทุกข์”- (สํ.สฬ. 18/85/53 ฯลฯ) ดังนี้ เป็นต้น หรือใช้คำเรียกอันแสดงภาวะที่ตรงข้ามกับ
ภาวะฝ่ายวัฏฏะโดยตรง เช่น “เป็นอสังขตะ” - (ไม่ถูกปรุงแต่ง) “อชระ” - (ไม่แก่)
“อมตะ” - (ไม่ตาย) เป็นต้น


2. แบบไวพจน์ หรือ เรียกตามคุณภาพ คือ นำเอาคำพูดบางคำที่ใช้พูดเข้าใจกันอยู่แล้ว อันมีความหมายเกี่ยวกับภาวะที่สมบูรณ์หรือดีงามสูงสุด มาใช้ เป็นคำเรียกนิพพาน เพื่อแสดงถึงคุณลักษณะของนิพพานนั้น ในบางแง่บางด้าน เช่น สันตะ (สงบ) ปณีตะ (ประณีต) สุทธิ (ความบริสุทธิ์)เขมะ (ความเกษม) เป็นต้น


3. แบบอุปมา ถ้อยคำอุปมามักใช้บรรยายภาวะและลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน มากกว่าจะใช้บรรยายภาวะของนิพพานโดยตรง เช่น เปรียบพระอรหันต์เหมือนโคนำฝูงที่ว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่งแล้ว
(ม.มู.12/391/420)
เหมือนคนข้ามมหาสมุทร หรือห้วงน้ำใหญ่ที่มีอันตรายมากถึงฟากขึ้นยืนบนฝั่งแล้ว
(สํ.สฬ.18/285/196; 314/218)
จะว่าไปเกิดที่ไหน หรือจะว่าไม่เกิดเป็นต้นก็ไม่ถูกทั้งสิ้น เหมือนไฟดับไปเมื่อสิ้นเชื้อ
(ม.มู.13/250/246 ฯลฯ)
อย่างไรก็ตาม คำเปรียบเทียบภาวะของนิพพานโดยตรงก็มีอยู่บ้าง เช่นว่า นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์- (สํ.ข.17/197/132)
เหมือนฝั่งโน้นที่เกษมไม่มีภัย- (สํ.สฬ.18/316/219)
และเหมือนข่าวสารที่เป็นจริง- (สํ.สฬ.18/342/242) เป็นต้น
ที่ใช้เป็นคำเรียกเชิงเปรียบเทียบอยู่ในตัวก็หลายคำ เช่น อาโรคยะ (ความไม่มีโรค สุขภาพสมบูรณ์)
ทีปะ (เกาะ ที่พ้นภัย) เลณะ ( ถ้ำ ที่กำบังภัย) เป็นต้น

ในสมัยคัมภีร์รุ่นต่อๆมา ที่เป็นสาวกภาษิตถึงกับเรียกเปรียบเทียบนิพพานเป็นเมืองไปก็มี
ดังคำว่า “อุดมบุรี” (ขุ.อป.33/157/282- ปุรมุตฺตมํ )
และ “นิพพานนคร” (มิลินท.349) ซึ่งได้กลายมาเป็นคำเทศนาโวหารและวรรณคดีโวหาร
ในภาษาไทยว่า อมตมหานครนฤพาน บ้าง
เมืองแก้วกล่าวแล้วคือพระนิพพาน บ้าง

แต่คำเหลานี้ ไม่จัดเข้าในบรรดาถ้อยคำที่ยอมรับว่า ใช้แสดงภาวะของนิพพานได้

(แทรกลิงค์ที่อธิบายนิพพานแบบอุปมา-ภัมภีร์มหายานนำไปอธิบาย)

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=159921


4. แบบบรรยายภาวะโดยตรง แบบนี้มีน้อยแห่ง แต่เป็นที่สนในของนักศึกษา นักค้นคว้ามาก โดยเฉพาะผู้ถือ
พุทธธรรมอย่างเป็นปรัชญา และมีการตีความกันไป ต่างๆ ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันได้มาก นำมาให้ดูตรงนี้เป็นตัวอย่าง เช่น

อกัณหอสุกกะ- ไม่ดำไม่ขาว (ไม่จำกัดชั้น วรรณะ ไม่เป็นบุญเป็นบาป)
อกตะ- ไม่มีใครสร้าง
อกิญจนะ-ไม่มีอะไรค้างใจ, ไร้กังวล
อัจจุตะ- ไม่เคลื่อน, ไม่ต้องจากไป
อชระ - อชัชชระ- ไม่แก่, ไม่คร่ำคร่า
อชาตะ- ไม่เกิด
อนตะ-ไม่โอนเอนไป, ไม่มีตัณหา
อนันต์ –ไม่มีที่สุด

หลายศัพท์เป็นคำพูดที่คุ้นหูคุ้นปากของคนเฉพาะยุคสมัยและถิ่นฐานหรือชุมชนนั้นๆ เกี่ยวด้วยสิ่งที่เขานิยม
หรือลัทธิศาสนาที่เขาเชื่อถือ ซึ่งเมื่อกล่าวขึ้นมาชนพวกนั้น ย่อมซาบซึ้งเป็นอย่างดี
บางทีพระพุทธเจ้า ทรงนำเอาคำนั้นๆมาใช้เรียก นิพพาน เพียงเพื่อเป็นสื่อเชื่อมโยงความคิดกับคน
เหล่านั้น แล้วจึงนำเอาความหมายใหม่ ตามแนวพุทธธรรมใส่เข้าไปแทน คำเช่นนี้คนที่นอกยุค
สมัยนอกถิ่นฐานชุมชนนั้น ย่อมไม่อาจซึมทราบในความหมายเดิมได้โดยสมบูรณ์ คำแปล ตามรูปศัพท์
อย่างที่ให้ไว้ข้างบนนั้น คงจะช่วยความเข้าใจได้เพียงเล็กน้อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 พ.ย. 2008, 16:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2008, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

พุทธพจน์ที่บรรยายภาวะของนิพพานโดยตรงต่อไป ล้วนแต่ชวนให้คนอ่านตีความได้หลากหลาย ทั้งศัพท์บาลี และภาษาที่ท่านแปลมาแล้ว สังเกตคำว่า อายตนะ ข้อ 1 กับ วิญญาณ ข้อ 5-6 ว่าหมายถึงอะไร



ข้อความแบบบรรยายภาวะโดยตรง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่ง จะยกมาประกอบการพิจารณาดังนี้


1. เรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพานแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย ได้ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“มีอยู่นะภิกษุทั้งหลาย อายตนะที่ไม่มีปฐวี ไม่มีอาโป ไม่มีเตโช ไม่มีวาโย ไม่มีอากาสานัญจายตนะ
ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีปรโลก
ไม่มีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทั้งสองอย่าง เราไม่กล่าวอายตนะนั้นว่าเป็น การมา การไป การหยุดอยู่
การจุติ การอุบัติ อายตนะนั้น ไม่มีที่ตั้งอาศัย (แต่ก็) ไม่เป็นไป ทั้งไม่ต้องมีเครื่องยึดหน่วง นั้นแหละ
คือ จุดจบของทุกข์”

2. อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพานแก่ภิกษุ ทั้งหลาย และได้ทรงเปล่งพระอุทานเป็นคาถาว่า

“ธรรมดาว่า อนตะ*เป็นของเห็นได้ยาก สัจจะมิใช่สิ่งที่เห็นได้ง่ายเลย ชำแรกตัณหาได้แล้ว เมื่อยู่เห็นอยู่
(ซึ่งสัจจะ) ย่อมไม่มีอะไร ค้างใจเลย (ไม่มีอะไรที่จะติดใจกังวล)”

* (ภาวะที่ไม่โน้มไปหาภพ คือ ไม่มีตัณหา ได้แก่ นิพพาน)


3. อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลายเช่นเดียวกัน และได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า


“มีอยู่นะ ภิกษุทั้งหลาย ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกสร้าง ไม่ถูกปรุงแต่ง หากว่า ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกสร้าง ไม่ถูกปรุงแต่ง จักมีได้แล้วไซร้ การรอดพ้นจากภาวะเกิดแล้ว เป็นแล้ว ถูกสร้าง ถูกปรุงแต่ง ก็จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้ได้เลย แต่เพราะเหตุที่มีไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกสร้าง ไม่ถูกปรุงแต่ง ฉะนั้น การรอดพ้นภาวะเกิดแล้ว เป็นแล้ว ถูกสร้าง ถูกปรุงแต่ง จึงปรากฏได้”


4.อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพานแก่ภิกษุทั้งหลาย เช่นเดียวกัน และได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“ยังอิงอยู่ จึงมีการสั่นไหว ไม่อิงแล้ว ก็ไม่มีการสั่นไหว เมื่อการสั่นไหวไม่มี ก็นิ่งสนิท เมื่อนิ่งสนิท ก็ไม่มีการโอนเอน เมื่อไม่มีการโอนเอน ก็ไม่มีการมา การไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการ จุติและอุบัติ เมื่อไม่มีการจุติ และอุบัติ ก็ไม่มีที่ภพนี้ ก็ไม่มีที่ภพโน้น ไม่มีในระหว่างภพทั้งสอง นั้นแหละคือจุดจบของทุกข์”

(จากที่มาแห่งเดียวกัน ขุ.อุ. 25/158-161/206-208)


5. อีกเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแก้ไขความเห็นของพระพรหม(โบราณเรียกว่า ทรมานพระพรหม) ตามความย่อว่า คราวหนึ่ง พระพรหมนามว่า พกะ เกิดมีความเห็นอันชั่วร้ายขึ้นว่า “พรหมสถานะนี้เที่ยง ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป สมบูรณ์ในตัว ไม่มีทางล่วงลับไปเลย พรหมสถานะนี้แหละ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ และที่รอดพ้นเหนือขึ้นไปนอกจากพรหมสถานะนี้ หามีไม่”
พระพุทธเจ้า ทราบความคิดของพรหมนั้น จึงเสด็จไปตรัสบอกแก่ พระพรหมว่า
“พระพรหมตกอยู่ในอวิชชาเสียแล้ว พระพรหมตกอยู่ในอวิชชาเสียแล้ว จึงกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงเลยว่าเที่ยง กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนเลยว่ายั่งยืน กล่าวสิ่งที่ไม่คงอยู่ตลอดไปว่าคงอยู่ตลอดไป ฯลฯ และที่รอดพ้นอื่นที่เหนือกว่ามีอยู่ ก็กลับกล่าวว่า ไม่มีที่รอดพ้นอื่นที่เหนือกว่า”

ครั้งนั้น มารได้เข้างำพรหมบริวารตนหนึ่งกล่าวกะพระพุทธเจ้าว่า
“นี่แน่ะภิกษุ นี่แน่ะภิกษุ ท่านอย่าก้าวร้าวพระพรหมนี้ ท่านอย่าก้าวร้าวพระพรหมนี้ เพราะว่า ท่านพระพรหมนี้แหละคือ ท้าวมหาพรหม องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่มีใครฝ่าฝืนได้ เป็นผู้มองเห็นหมดสิ้น ยังสรรพสัตว์ให้อยู่ในอำนาจ เป็นอิศวร เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้บันดาล เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้จัดสรรโลก เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นพระบิดาของเหล่าสัตว์ทั้งที่เกิดแล้ว และที่จะเกิดต่อไป ฯลฯ”

พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามมารเสีย มีความตอนท้ายว่า
“พระพรหมและบริษัทบริวารของพระพรหมทั้งหมดอยู่ในกำมือของท่าน อยู่ในอำนาจของท่าน ฯลฯ แต่เราหาได้อยู่ในกำมือของท่าน หาได้อยู่ในอำนาจของท่านไม่”

เมื่อพระพรหมกล่าวยืนยันว่า “ข้าพเจ้ากล่าวสิ่งที่เที่ยงแท้ทีเดียวว่าเที่ยง กล่าวสิ่งที่ยั่งยืนแท้
ดีเดียวว่ายั่งยืน กล่าวสิ่งที่คงอยู่ตลอดไปแท้ทีเดียวว่า เป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป ฯลฯ”
พระพุทธเจ้า จึงตรัสบอกให้พระพรหมทราบว่า พระพรหมยังไม่รู้ ยังมองไม่เห็นอะไรๆ ที่เหนือกว่าพรหมนั้นอีกหลายอย่าง แต่พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นรวมทั้ง :-
วิญญาณ มองด้วยตาไม่เห็น เป็นอนันต์ สว่างแจ้งทั่วทั้งหมด ซึ่งภาวะปฐวีแห่งปฐวีเกาะกุมไม่ได้ ภาวะอาโปแห่งอาโป...ภาวะเตโชแห่งเตโช... ภาวะวาโยแห่งวาโยเกาะกุมไม่ได้
ภาวะสัตว์แห่งสัตว์ทั้งหลาย... ภาวะเทพแห่งเทพทั้งหลาย... ภาวะประชาบดีแห่งประชาบดีทั้งหลาย...ภาวะพรหมแห่งพรหมทั้งหลาย... ภาวะอาภัสสระแห่งอาภัสสรพรหมทั้งหลาย...ภาวะสุภกิณหะแห่ง
สุภกิณหพรหมทั้งหลาย.... ภาวะเวหัปผละแห่งเวหัปผลพรหมทั้งหลายเกาะกุมไม่ได้ ภาวะพระผู้เป็นเจ้าแห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเกาะกุมไม่ได้ สรรพภาวะแห่งสรรพสิ่งเกาะกุมไม่ได้”

ครั้นพระพุทธเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระพรหมจึงกล่าวว่า “เอาละทีนี้ เราจะหายตัวไปจากท่านละ”
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระพรหมก็หายไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์จะทรงหาย
ตัวบ้าง แล้วหายพระองค์ไป ตรัสให้พรหมและบริษัทบริวารได้ยินแต่พระสุรเสียงว่า “เรา เห็นภัย
ในภพ และมองเห็นภพของประดาผู้แสวงหาวิภพ เราจึงไม่พร่ำถึงภพไรๆ และไม่ยึดติดนันทิ ”
(ม.มู. 12/552-554/590-596)


6. อีกเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวไปทุกหนแห่งจนถึงพรหมโลกเพื่อหาผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับที่ธาตุ 4 ดับหมดไม่มีเหลือ ไม่ได้คำตอบ ในที่สุดต้องกลับมาทูลถามพระพุทธเจ้า


ความย่อว่า ภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า “ที่ไหนหนอ มหาภูต 4 เหล่านี้ กล่าวคือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมดับไปไม่เหลือเลย ?”

เธอจึงเข้าสมาธิแล้วไปหาหมู่เทพยดา เริ่มแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นต้นไป ถามปัญหาข้อนั้น เทวดาต่างก็ไม่รู้ และขอให้เธอไปถามเทพชั้นสูงต่อกันขึ้นไปตามลำดับ จนถึงพรหมโลก พรหมทั้งหลายบอกเธอว่า พวกพรหมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่มีท้าวมหาพรหม องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งคงจะทราบ

พระภิกษุนั้นจึงถามว่า เวลานี้ท้าวมหาพรหมนั้นอยู่ที่ไหนเล่า พรหมทั้งหลายก็ตอบว่า พวกพรหมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า มหาพรหมอยู่ที่ไหน หรือทิศทางใด แต่จะมีนิมิตให้เห็น เกิดมีแสงสว่าง ปรากฏโอภาสขึ้น พระพรหมจักสำแดงพระองค์เอง การเกิดมีแสงสว่าง และปรากฏโอภาสนั้นแหละเป็นบุพนิมิต
ของการที่พระพรหมจะสำแดงพระองค์ และต่อมามหาพรหมก็ได้สำแดงพระองค์ แก่ภิกษุนั้น

ครั้นแล้ว ภิกษุนั้น จึงเข้าไปถามปัญหานั้นกะมหาพรหม มหาพรหมแทนที่จะตอบคำถาม กลับตรัสว่า “เราคือพระพรหม ท้าวมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ได้ ผู้มองเห็นหมดสิ้น ยังสรรพสัตว์ให้อยู่ในอำนาจ เป็นอิศวร เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้บันดาล เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้จัดสรรโลก เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นพระบิดาของเหล่าสัตว์ทั้งที่เกิดแล้ว และที่จะเกิดต่อไป”

พระภิกษุนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้า มิได้ถามท่านว่าท่านเป็นพระพรหม ท้าวมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ แต่
ถามท่านว่า มหาภูต 4 ดับไม่เหลือ ณ ที่ไหน “
พระพรหมก็ตรัสอย่างเดิมอีกว่า พระองค์เป็นมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ พระภิกษุนั้น ก็ถามอีกถึงครั้ง
ที่ 3 พระพรหมจึงจับแขนภิกษุนั้นพาหลบออกไปข้างนอก แล้วบอกเธอว่า “นี่แน่ะท่านภิกษุ พวกพรหมเทพ
เหล่านี้ ย่อมรู้จักข้าพเจ้าว่า อะไรๆ ที่พระพรหมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่แจ้งประจักษ์ ย่อมไม่มี
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ตอบปัญหาต่อหน้าพวกพรหมเทพเหล่านั้น นี่แน่ะภิกษุ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ
เหมือนกันว่า มหาภูต 4 ดับไม่เหลือ ณ ที่ไหน เพราะฉะนั้น จึงเป็นการทำผิดพลาดของท่านเอง ที่ละ
พระผู้มีพระภาคมาเที่ยวแสวงหาคำตอบปัญหานี้ในภายนอก นิมนต์ท่านกลับไปเถิด จงเข้าไปทูลถาม
ปัญหานี้กะพระผู้มีพระภาค และพึงถือตามที่พระองค์ตรัสบอกให้”

ในที่สุด ภิกษุนั้นจึงทูลถามปัญหานั้นกะพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสตอบว่า “ไม่ควรถามว่า มหาภูต 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมดับไม่เหลือ ณ ที่ไหน?”
แต่ควรถามว่า “ อาโป ปฐวี เตโช และวาโย ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ณ ที่ไหน ยาว สั้น เล็ก ใหญ่ งาม ไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ณ ที่ไหน นามและรูป ย่อมดับหมดไม่เหลือ ณ ที่ไหน ?”

และมีคำตอบว่า ดังนี้

วิญญาณ (ภาวะที่พึงรู้ได้)มองด้วยตาไม่เห็น เป็นอนันต์ เข้าถึงได้ทุกด้านที่นี้ อาโป
ปฐวี เตโช และวาโย ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ที่นี้ ยาว สั้น ละเอียด หยาบ งาม ไม่งาม ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ที่
นี้ นามและรูปดับไปหมดไม่เหลือ เพราะ วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ที่นี้”
(ที.สี. 9/343-350/277-283)


ในที่นี้ นอกเหนือจากข้อความที่บรรยายภาวะนิพพานแล้ว ได้นำเอาเรื่องราวที่เป็นเหตุการณ์แวดล้อมมาเล่าไว้ย่อๆด้วย เพราะเรื่องแวดล้อมอาจเป็นเครื่องประกอบการพิจารณาที่จะช่วยทำความเข้าใจได้ด้วย อย่างน้อยก็จะเห็นได้ว่า ข้อความเหล่านี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแก่พระภิกษุซึ่งเป็นผู้มีพื้นความรู้ทางธรรม
อยู่แล้ว หรือตรัสกับพระพรหมที่เป็นเจ้าทิฏฐิ เจ้าทฤษฎี

ผู้ศึกษาบางท่านอาจตีความต่อไปอีกว่า สองเรื่องท้ายเป็นการแสดงคำสอนทางพุทธศาสนาพร้อมไปกับ
กำราบความเชื่อถือในศาสนาพราหมณ์ โดยวิธีบุคลาธิษฐาน
ความละเอียดจะไม่วิจารณ์ในที่
นี้ แต่พึงทราบว่าข้อความบรรยายภาวะของนิพพานเหล่านี้ ได้ทำให้เกิดการตีความไปต่างๆ และมีการถก
เถียงหาเหตุผลมาแสดงแยกความเห็นกันไป ที่เป็นเช่นนี้ เพราะตีความและคิดเหตุผลวาดภาพกันไปใน
สิ่งที่นึกไม่เห็น แต่ต้องปฏิบัติให้รู้เอง ดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วประการหนึ่ง

และอีกอย่างหนึ่ง คือ การแปลความหมาย คำบาลีบางคำ เป็นเหตุให้ตีความหมายแตกต่างกันไปคนละทาง เช่น คำว่า อายตนะ ในเรื่องที่ที่ 1 บางท่านถือตามคำแปลที่ว่า “แดน” แล้วตีความหมายเป็นถิ่นฐานหรือสถานที่
บางท่านว่า หมายถึงมิติอีกอย่างหนึ่ง

คำว่า วิญญาณ คำแรกในเรื่องที่ 5 และ 6 บางท่านถือตามความหมายอย่างเดียวกับในคำว่า
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นต้น ก็ตีความว่า นิพพาน เป็นวิญญาณอย่างหนึ่ง แล้วแปลว่า
นิพพานเป็นวิญญาณที่เห็นด้วยตาไม่ได้ ฯลฯ

แต่ในอรรถกถา- (ที.อ.1/448, ม.อ.2/556) ท่านอธิบายว่า วิญญาณในที่นี้ ใช้เป็นคำเรียก นิพพาน แปลว่า ภาวะที่พึงรู้ได้ จะเห็นได้ว่าในเรื่องที่ 6 มีคำว่า วิญญาณ 2 ครั้ง วิญญาณ คำแรกหมายถึง นิพพาน โดยมีคำแปลต่างออกไปอย่างหนึ่ง และ วิญญาณ คำหลัง ในข้อความว่า วิญญาณดับ หมายถึง วิญญาณ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปอย่างที่อธิบายในปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2008, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ในเรื่อง นิพพานนี้ ไม่ควรตัดสินหรือลงข้อสรุปง่ายๆ เพียงเพราะได้พบถ้อยคำ หรือความหมาย
บางอย่างที่ตรงเข้ากับนิพพานชนิดที่ตนอยากให้เป็น หรือภาพนิพพานที่ตนคิดวาดเอาไว้ล่วงหน้า
เพราะจะทำให้ เกิดความยึดถือปักใจเหนียวแน่น ในสิ่งที่ยังไม่รู้เห็นประจักษ์เอง และอาจหลงแล่นผิด
ไปไกล
ทางที่ดีควรหันมาเน้นการปฏิบัติและคุณประโยชน์ที่พึงถือเอาได้จากการปฏิบัติ อันตนจะลงมือทำได้
จริงและเห็นผลประจักษ์เป็นคู่สมกันกับการปฏิบัติตลอดเวลาที่ก้าวหน้าทุกขั้นตอนไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2008, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า อายตนะ ข้อ 1 หมายถึงนิพพาน หรือใช้แทนนิพพานศัพท์
คำว่า วิญญาณ ในที่นี้ แปลว่าภาวะที่พึงรู้ หมายถึง นิพพาน
อนิทัสสนะ- มองด้วยตาไม่เห็น
สัพพโตปภะ- สว่างแจ้งทั่วทั้งหมด , หรือเข้าถึงทุกด้าน คือเข้าถึงด้วยกรรมฐานทุกอย่าง
นันทิ-ภวตัณหา
ไม่เกิด –อชาตะ
ไม่เป็น –อภูตะ
ไม่ถูกสร้าง –อกตะ
ไม่ถูกปรุงแต่ง-อสังขตะ

(จากหนังสือพุทธธรรมหน้า 229)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2008, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ กรัชกาย ครับ
ขอเชิญคุณหาอัตตาของคุณให้เจอนะครับ มันซ่อนอยู่ในขันธ์ 5 ที่เป้นอนัตตาเท่านั้นเอง
อัตตตัวนี้แม้แต่พระยายมราช หรือ พกาพรหม ก็ยังหาไม่เจอนะครับ ผมถอดรหัสลับ "อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงให้แล้วนะครับ
ในปารมิตาหฤทัยสูตร พระโพธิสัตว์อวโอกิเตศวรตอบพระสารีบุตรว่า “ ธรรมกายก็คือปรัชญา ปารมิตา ซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง

ธรรมกาย=อายตนนิพพาน=อัตตา=ธรรม=พุทธะ=อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ=อสังขตธาตุ
ศาสนาอื่นเขาเรียกว่า "พระเจ้า"
สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ 23 พ.ย. 2008, 15:50



คำว่า “พกาพรหม” ที่คุณพลศักดิ์กล่าวถึง ก็คือพรหมที่ชื่อ “พกะ” ตามเรื่องเล่า ข้อ 5 ดังกล่าว
“อายตนนิพพาน” ที่คุณพลศักดิ์กล่าวถึงบ่อยๆ ก็คือคำว่า “อายตนะ” ข้อที่ 1 อายตนะในที่นี้
ท่านใช้เรียก “นิพพาน” แต่คุณพลศักดิ์เรียกว่า อายตนนิพพาน หากผู้เข้าใจก็ไม่สับสน
แต่ที่สำคัญท่านเข้าใจศัพท์ อายตนะ พลาดว่าเป็น แดน หรือเป็นสถานที่ใดที่หนึ่ง จึงเข้าใจไปว่า
อายตนนิพพาน ตั้งสถิตอยู่ในที่อันไกลโพ้น

สรุปๆ ก็คือคุณพลศักดิ์อ่านหนังสือวนไปวนมาอยู่แถวๆนี้ (อีกส่วนหนึ่งท่านอ่านมหายานและลัทธิศาสนาอื่นอีก จึงดูปนๆกัน หากไม่แยกแยะให้ดี) แต่เข้าใจศัพท์บาลีและสารธรรมคลาดไป

ข้อวิจารณ์นี้ ผิดถูกอย่างไรถูกอัธยาศัยหรือไม่ เทียบเคียงกับที่กรัชกายนำจากหนังสือพุทธธรรม พร้อมหลักฐานในคัมภีร์ดังกล่าว เลือกๆถือเอาตามจริตเถิด :b1:

ผู้สนใจบทความที่ท่านพลศักดิ์นำมาโพลต์ซึ่งไม่คุ้นหูคุ้นตา ศึกษาต่อลิงค์นี้ได้อีกครับ :b42: :b41:

viewtopic.php?f=1&t=19132&st=0&sk=t&sd=a&start=30

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร