วันเวลาปัจจุบัน 16 พ.ค. 2025, 05:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบทัศนะของสหายธรรมครับว่าท่านมีทัศนะอย่างไรกับ " ทางสายกลาง "
คนทั่วไปมักกล่าวว่า ทางสายกลาง หมายถึงความพอดี คือไม่มากไป ไม่น้อยไป
ในทางปฏิบัติก็กล่าวกันไว้ว่า ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป

ท่านทั้งหลายคิดว่าทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ มันจะมีความหมายเพียงเท่านี้ หรือแตกต่างจาก
ที่คนส่วนมากเข้าใจหรือไม่

ส่วนตัวกระผมพิจารณาเห็นอีกความหมายนึงครับ นั่นคือ ทางสายกลางระหว่าง กุศล และ อกุศล หรือ ทาง
สายกลางระหว่าง รัก กับ ชัง ซึ่งก็น่าจะเป็นทางลัดตัดตรงและราบเรียบอย่างที่ครูบาอาจารย์หลายๆท่านได้กล่าวไว้

ท่านพิจารณากันอย่างไรบ้างครับ..... :b12: :b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


สวัสดีครับพี่นัฐ....

กระผมเห็นว่าทางสายกลางคือ
:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

มรรคมีองค์แปดเท่านั้น



:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

ทางอื่นนอกจากที่กล่าวนี้หาได้ใช่ทางสายกลางไม่

:b4:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางสายกลางนี่เป็นธรรมะข้อแแรกเลยนะคับ ที่พระพุทธเจ้าตรัสออกมา
เป็นปฐมเทศนา

ธรรมจักรกัปวัตนสูตร - ว่าด้วยส่วนสุด 2 ประการ และทางสายกลาง

ทางสายกลางนี้เป็นอะไรที่มีอยู่ในธรรมะทุกๆข้อเลยของพระพุทธเจ้า
เป้นตัวคุมธรรมอื่นๆ

อย่างพรมวิหาร 4 นี้
ท่านมีข้ออุเบกขาขึ้นมา ให้เอาไว้เบรก 3 ข้อแรก
ไม่งั้นคนก้จะพยามเมตตาอย่างสุดโต่ง กรุณาอย่างสุดโต่ง มุทิตาอย่างสุดโ่ต่ง
สุดโต่งคือไม่ทำอะไรเลย หรือ ทำจนเกินขีด

นอกจากนี้ ในการปฏิบัติธรรมทั้งปวง ล้วนแล้วแต่ต้องมีความพอดีเป็นที่ตั้ง
จึงจะทำธรรมะต่างๆนั้นเจริญงอกงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ช่วยให้กรรมฐานไม่แตกไปเสียก่อนจะถึงฝั่ง

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว
ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?


ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ
คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑
เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑



พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ หน้าที่ 44

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ปฐมเทศนา


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบคุณ natdanai ดังนี้ครับ

ทางสายกลาง หากมุ่งในการปฏิบัติแล้วจะหมายถึง การปฏิบัติที่ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป คือ ไม่สุดโต่งไปทางติดข้องอยู่กับโลกวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว หรือไม่สุดโต่งไปอีกด้านคือไม่ยุ่งเกี่ยวกับวัตถุเลย (หนีโลกไปเลย) แต่เป็นการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับวัตถุได้เท่าที่จำเป็นแก่สถานภาพ แต่ก็ไม่หลงไหลในโลกวัตถุต่างๆ การดำเนินอย่างนี้เรียกว่า "เดินสายกลาง" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ครับ

ผิดถูกอย่างไร พิจารณาดูนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทางสายกลางระหว่าง กุศล และ อกุศล

จะขออธิบายขยายความตรงที่กระผมพิจารณาสักหน่อย เผื่อท่านทั้งหลายจะได้แนะนำกระผมได้ชัดเจนขึ้น

กระผมพิจารณาอยู่ว่าการที่ทำอะไรแล้วเป็น กุศล และ อกุศล นั้นมีเจตนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า เจตนาคือกรรม
อันกรรมนั้นเป็นเหตุแห่งการเกิด ซึ่งจะเกิดภพใด ภูมิใด ล้วนเป็นผลมาจากกรรม

พอพิจารณามาตรงนี้ก็ระลึกถึง " ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด เมื่อสิ้นเหตุเหล่านั้นจึงดับทุกข์ได้ "
ก็ในเมื่อกรรมนั้นเป็นเหตุแห่งการเกิด จะดับทุกข์เกิดก็ต้องดับที่กรรม
แลเจตนาเป็นเหตุของกรรม ดังนี้การดับเจตนาจึงน่าจะเป็นการดับไปของกรรม
การกระทำใดๆที่ไม่มีเจตนาจึงเรียกได้ว่าเป็นเพียง กิริยา (ทำบุญก็ไม่เป็นบุญ ทำบาปก็ไม่เป็นบาป)

สรุปจากการพิจารณาได้ว่า ทางสายกลางสู่ความพ้นทุกข์นั้นจึงเป็นทางสายกลางระหว่าง กุศล(บุญ) และ อกุศล
(บาป) ที่ว่าเป็นทางที่ราบเรียบและตัดตรงนั้นคื่อไม่มีความสุข และความทุกข์ ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ

อุปมาเป็นทางเดิน 3 สาย

สายที่ 1 ด้านซ้าย เป็นเป็นทางเดินที่ต้องเดินขึ้นเขา เมื่อเดินขึ้นไปก็จะเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามมากมาย(กุศล)
แต่เมื่อเดินไปจนถึงยอดเขาแล้ว ก็ต้องเดินลงอยู่ดี แต่ทางเดินสายนี้ก็ยังดีที่เมื่อลงมาถึงตีนเขาแล้วก็ยังเดินต่อ
ให้ถึงที่หมายได้

สายที่ 2 ตรงกลาง เป็นทางเดินในระดับเดียวกันตลอด จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเดินขึ้น เดินลง และไปถึงที่
หมายได้รวดเร็วและไม่เหนื่อย

สายที่ 3 ด้านขวา เป็นทางเดินที่ดิ่งลงไปทางก้นเหว ตลอดทางไม่มีทิวทัศน์ที่สวยงามให้ชม(อกุศล)แถมเดินไป
เรื่อยก็ดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างก็ส่องถึงน้อยลงๆ เมื่อลึกจนแสงส่องไม่ถึง ก็เดินต่อไปไม่ได้เพราะมองไม่เห็น
ทาง สุดท้ายก็ต้องเดินย้อนกลับขึ้นมาที่จุดเริ่มต้น เพื่อเลือกทางเดินใหม่

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2007, 00:08
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางสายกลางถ้าจะกล่าวให้มันสอดคล้องกับยุคสมัย คือ กลียุค ที่มันยากจะเข้าสู่ทางสายกลางเวอร์ชั่นClassic ก็คือทางที่ไม่มักง่ายจนเกินไป แล้วก็ไม่ฝืนจนเกินไป พูดสั้นๆให้คิดยาวๆ

.....................................................
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2008, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทาสงสายกลางคือวินัยการดำเนินชีวิต

มีอยู่แปดประการ คือมรรคที่มีองค์แปดเหมือนท่านฌาณ

มีใครเคยคิดบ้างไหมครับว่า

เราลองปฏิบ้ติตามอริยะมรรคให้ตึงสุด กับหย่อยสุด แต่ให้อยู้ในกรอบของอริยะมรรคไม่ว่าจะเป็นองค์ใด

ผลก็คือ ไม่มีตึง ไม่มีหย่อน

คือไม่ทรมานตนเองแน่นอน

แม้แต่ความเพียรชอบ ความเพียรพยายามคงจะไม่ถึงขั้นทรมานตนเอง

คิดอย่างนี้ถูกไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เรากล่าวกันว่าอริยมรรคมีองค์แปดเป็นทางสายกลาง แล้วเราพิจารณาอริยมรรคกันอย่างไรบ้างครับจึงเรียกว่าเป็นทางสายกลางเอาแบบทีละองค์เลยนะครับ เช่นว่า

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจสี่คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์คือ ความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา
สมุทัยคือ การเข้าไปยึดถือสิ่งที่เป็นทุกข์
นิโรธคือ การอยู่ร่วมกับสิ่งที่เป็นทุกข์โดยไม่ทุกข์
มรรคคือ การไม่ยึดถือสิ่งที่เป็นทุกข์

อะไรประมาณนี้น่ะครับ.....ลองแบ่งปันกันนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนทัศนะกันครับ :b12: :b12: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อะไรประมาณนี้น่ะครับ.....ลองแบ่งปันกันนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนทัศนะกันครับ :b12: :b12: :b8: :b8:


ลองดูนะครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ

ข้อ 1 พี่ณัฐตอบไปแล้วอะครับ (คือเห็นชอบในที่นี้คือเห็นอริยสัจสี่เท่านั้นครับ)
ข้อ 2 ดำริชอบก็ตามมาคือคิดที่จะออกจากทุกข์ตามแนวสัมมาทิฏฐิให้ได้(ข้อ 2 นี้มากำชับข้อ 1 ให้ได้)
ข้อ 3 พูดชอบ คือไม่พูดเดรัจฉานกถา พูดแต่หนทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่เบียดเบียนทางวาจา
ข้อ 4 กระทำชอบ คือกระทำการไม่เบียด ไม่เบียนผู้อื่นทางกาย
ข้อ 5 เพียรชอบ คือเพียรตั้งแต่ข้อ 1- 8 เลยครับ(หรือสัมมปธาน 4)
ข้อ 6 เลี้ยงชีพชอบ ไม่ทำอาชีพต้องห้ามเช่นค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ เป็นต้น
ข้อ 7 สติชอบ มีสติระลึกเสมอว่าเรากำลังกระทำการตั้งแต่ข้อ 1-8 (หรือสติปัฏฐาณ 4)
ข้อ 8 สมาธิชอบ เมื่อมีสติระลึกเสมอ ต่อเนื่องเสมอจนกลายเป็นฌาณ เป็นญาณ

:b35: :b35: :b35: :b35: :b35: ปรบมือเองด้วยครับ :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ข้อ 1 พี่ณัฐตอบไปแล้วอะครับ (คือเห็นชอบในที่นี้คือเห็นอริยสัจสี่เท่านั้นครับ)
ข้อ 2 ดำริชอบก็ตามมาคือคิดที่จะออกจากทุกข์ตามแนวสัมมาทิฏฐิให้ได้(ข้อ 2 นี้มากำชับข้อ 1 ให้ได้)
ข้อ 3 พูดชอบ คือไม่พูดเดรัจฉานกถา พูดแต่หนทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่เบียดเบียนทางวาจา
ข้อ 4 กระทำชอบ คือกระทำการไม่เบียด ไม่เบียนผู้อื่นทางกาย
ข้อ 5 เพียรชอบ คือเพียรตั้งแต่ข้อ 1- 8 เลยครับ(หรือสัมมปธาน 4)
ข้อ 6 เลี้ยงชีพชอบ ไม่ทำอาชีพต้องห้ามเช่นค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ เป็นต้น
ข้อ 7 สติชอบ มีสติระลึกเสมอว่าเรากำลังกระทำการตั้งแต่ข้อ 1-8 (หรือสติปัฏฐาณ 4)
ข้อ 8 สมาธิชอบ เมื่อมีสติระลึกเสมอ ต่อเนื่องเสมอจนกลายเป็นฌาณ เป็นญาณ


แล้วแปดองค์นี้ประกอบกันเป็นทางสายกลางยังไงครับท่านฌาณ กลางระหว่างอะไรครับ :b10: :b10:
ท่านฌาณลองขยายความอธิบายได้ไหมครับ..... :b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
แล้วแปดองค์นี้ประกอบกันเป็นทางสายกลางยังไงครับท่านฌาณ กลางระหว่างอะไรครับ


อ้าวพี่ณัฐ...ก็กลางระหว่างทาง 2 สายไงครับ

คือสมัยพุทธกาลเนี่ยนิยมฝึกตนตามแนว 2 ทางคือสุดโต่งไปทางทุกข์นิยม และ พวกสุขนิยม

ท่านจึงตรัสว่าทางสายมรรค 8 นี้เท่านั้นที่เป็นทางสายกลาง

ปัจจุบันเราเอาคำว่าทางสายกลางไปใช้ในทางโลกเช่น ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่เอียง พอดี

แต่ถ้าพูดทางสายกลางในพระพุทธศาสนาคือต้องกล่าวแค่มรรคมีองค์ 8 เท่านั้นครับ
:b29: :b29:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ฌาณ เขียน:
อ้าวพี่ณัฐ...ก็กลางระหว่างทาง 2 สายไงครับ

คือสมัยพุทธกาลเนี่ยนิยมฝึกตนตามแนว 2 ทางคือสุดโต่งไปทางทุกข์นิยม และ พวกสุขนิยม

ท่านจึงตรัสว่าทางสายมรรค 8 นี้เท่านั้นที่เป็นทางสายกลาง

ปัจจุบันเราเอาคำว่าทางสายกลางไปใช้ในทางโลกเช่น ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่เอียง พอดี

แต่ถ้าพูดทางสายกลางในพระพุทธศาสนาคือต้องกล่าวแค่มรรคมีองค์ 8 เท่านั้นครับ
:b29: :b29:


แล้วท่านฌานคิดว่าว่าคนมนสมัยนั้น
ผู้ที่สุดโต่งทางทุกข์นิยม มีทิฏฐิอย่างไรจึงถือปฏิบัติเช่นนั้น
ผู้ที่สุดโต่งทางสุขนิยม มีทิฏฐิอย่างไรจึงถือปฏิบัติเช่นนั้น

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
แล้วท่านฌานคิดว่าว่าคนมนสมัยนั้น
ผู้ที่สุดโต่งทางทุกข์นิยม มีทิฏฐิอย่างไรจึงถือปฏิบัติเช่นนั้น
ผู้ที่สุดโต่งทางสุขนิยม มีทิฏฐิอย่างไรจึงถือปฏิบัติเช่นนั้น


โอ้ย...เรื่องมันยาวครับพี่...ชาวอินเดียสมัยก่อนพุทธกาลนี่ ศาสนาพราหมณ์เค้ารุ่งเรืองมาก
ความปราถนาจะเข้าสู่ปรมาตรมันรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้านี่มีทิฏฐิความเชื่อมากมาย

โยคะหรือวิธีการทรมานตนให้ถึงที่สุดก็เป็นความเชื่อหนึ่ง การเสพสุขมากๆก็เชื่อแบบหนึ่ง
หรือการตั้งลัทธิ ตั้งตนเป็นศาสดาเกิดขึ้นมากมายด้วยทิฏฐิต่างๆนานา ลองอ่านดูในนี้นะครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7945
:b24: :b24:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาแค่ความเห็นส่วนตัวน่ะครับท่านฌาณ :b6: :b6:

อย่างกระผมคิดว่า.....
พวกทุกข์นิยมคิดว่าการเสวยทุกข์เป็นการแสวงบุญ และการเสพสุขเป็นบาป
ส่วนพวกสุขนิยมนั้นไม่เชื่อในบุญและบาปครับ
:b12: :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร