วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 22:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 94 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2019, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

หมายเหตุ

๑. คำที่ควรเข้าใจคือ “ปปัญจะ” หมายถึง อาการที่คลอเคลียพัวพันอยู่กับอารมณ์นั้น และคิดปรุงแต่งไปต่างๆด้วยแรงตัณหา มานะ และทิฏฐิผลักดัน หรือเพื่อสนองตัณหา มานะ และทิฏฐิ คือปรุงแต่งในแง่ที่จะเป็นของฉัน ให้ตัวฉันเป็นนั่นเป็นนี่ หรือเป็นไปตามความเห็นของฉัน ออกรูปออกร่างต่างๆ มากมายพิสดาร จึงทำให้เกิดปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ คือสัญญาทั้งหลายที่เนื่องด้วยปปัญจะนั่นเอง

๒. จะเห็นว่ามีสัญญา ๒ ตอน สัญญาตอนแรก คือ สัญญาขั้นต้น ที่กำหนดหมายอารมณ์ซึ่งปรากฏตามปกติธรรมดาของมัน
สัญญาตอนหลัง เรียกว่า ปปัญจสัญญา เป็นสัญญาเนื่องจากสังขารที่ปรุงแต่งภาพอารมณ์ให้ออกรูปร่างแง่มุมต่างๆ มากมายพิสดาร ดังกล่าวแล้ว

๓. จะเห็นว่า กระบวนธรรมทั้งหมดนั้นแยกได้เป็น ๒ ตอน

ก. ตอนแรก ตั้งแต่อายตนะภายในถึงเวทนา เป็นกระบวนการรับรู้บริสุทธิ์ พึงสังเกตว่า ช่วงตอนนี้กระบวนธรรมเป็นกระแสบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มีแต่องค์ธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (พึงอ่านความที่ยกมาอ้างข้างบน) ยังไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เกี่ยวข้อง

ข. ตอนปลาย ตัดตอนแต่เวทนาไปแล้ว เป็นกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือ กระบวนการสังสารวัฏ มารับช่วงไป; ความจริงตั้งแต่เวทนานี้ไปเป็นทางแยก อาจต่อด้วยกระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์ก็ได้

แต่ในที่นี้มุ่งแสดงแต่แบบสังสารวัฏก่อน ข้อพึงสังเกตในตอนนี้ก็คือ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของช่วงหลังนี้ จะไม่มีเพียงองค์ธรรมต่างๆ ที่เป็นเหตุปัจจัยแก่กันตามธรรมชาติเท่านั้น แต่จะเกิดมีสัตว์บุคคลขึ้นมา กลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสพเสวย กับ สิ่งที่ถูกเสพเสวย ผู้คิด และสิ่งที่ถูกคิด เป็นต้น

๔.กระบวนธรรมเสพเสวยโลกในช่วงปลาย ที่แสดงข้างบนนี้ เป็นเพียงวิธีแสดงแบบหนึ่งเท่านั้น เลือกเอามาเพราะเห็นว่าสั้น และเข้ากับเรื่องที่กำลังอธิบาย คือ ขันธ์ และอายตนะได้ดี อาจแสดงแบบอื่นอีกก็ได้ เช่นที่แสดงอย่างพิสดาร ในหลักปฏิจจสมุปบาทแบบทั่วไป ซึ่งเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏโดยสมบูรณ์

๕. ว่าตามหลักอย่างเคร่งครัด วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา ในกระบวนธรรมนี้ เป็นสหชาตธรรม ท่านถือว่า เกิดร่วมกัน พึงเข้าใจว่า ที่เขียนแสดงลำดับไว้อย่างนี้ มุ่งเพื่อศึกษาได้ง่าย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกต ช่วงต่อจากเวทนา เป็นทางแยก เสมือนทางสองแพร่ง

เนื่องด้วยกระบวนธรรมนี้ แยกได้เป็น ๒ ช่วงตอน และช่วงตอนหลังอาจแยกไปเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ หรือแบบวิวัฏฏ์ก็ได้

ดังนั้น เพื่อมองเห็นภาพได้กว้างขวางขึ้น อาจเขียนแสดงได้ ดังนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - กระบวนธรรมแบบสังสารวัฏฏ์

อายตนะ+อารมณ์+วิญญาณ=ผัสสะ=>เวทนา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - กระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์


รูปภาพ

จะไปทางไหนแยกซ้ายแยกขวา :b1: (สมมติแยกซ้ายไปสังสารวัฏฏ์ แยกขวาไปวิวัฏฏ์) สำหรับปุถุชนคนสามัญแล้วก็วนๆอยู่ทางสังสารวัฏ น้อยนักที่จะไปทางวิวัฏฏ์ เมื่อประสบกับเวทนาแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเรื่องอายตนะนี้ มีข้อควรรู้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไป ดังนี้

- อายตนะภายใน หรือ ทวาร ๖ นั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อินทรีย์ ๖”

คำว่า อินทรีย์ แปลว่า ภาวะที่เป็นใหญ่ หมายถึง สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ เป็นเจ้าหน้าที่ หรือ เป็นเจ้าการในเรื่องนั้นๆ เช่น

ตาเป็นเจ้าการในการรับรู้รูป (รูปารมณ์)

หูเป็นเจ้าการในการรับรู้เสียง (สัททารมณ์) เป็นต้น

อินทรีย์ ๖ คือ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ และ มนินทรีย์

คำว่า อินทรีย์ นิยมใช้กับอายตนะ ในขณะทำหน้าที่ของมัน ในชีวิตจริง และเกี่ยวกับจริยธรรม เช่น การสำรวมจักขุนทรีย์ เป็นต้น
ส่วนอายตนะ นิยมใช้ในเวลาพูดถึงตัวสภาวะที่ อยู่ในกระบวนธรรม เช่นว่า อาศัยจักขุ อาศัยรูป เกิดจักขุวิญญาณ เป็นต้น และเมื่อพูดถึงสภาวลักษณะ เช่นว่า จักขุไม่เที่ยง เป็นต้น

อีกคำหนึ่ง ที่ใช้พูดกันบ่อยในเวลากล่าวถึงสภาวะในกระบวนธรรม คือคำว่า “ผัสสายตนะ” แปลว่า ที่เกิด หรือ บ่อเกิดแห่งผัสสะ คือ ที่มาของการรับรู้นั่นเอง

- อายตนะภายนอก หรือ อารมณ์ ก็มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก คือ “โคจร(ที่เที่ยว, ที่หากิน) และ “วิสัย(สิ่งผูกพัน, แดนดำเนิน)

และชื่อที่ควรกำหนดเป็นพิเศษ ใช้เฉพาะ กับ อารมณ์ ๕ อย่างแรก ซึ่งมีอิทธิพลมากในกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือแบบสังสารวัฏ คือคำว่า “กามคุณ(ส่วนที่น่าใคร่น่าปรารถนา, ส่วนที่ดี หรือ ส่วนอร่อยของกาม) กามคุณ ๕ หมายถึง
รูป (รูปะ)
เสียง (สัททะ)
กลิ่น (คันธะ)
รส (รสะ) และ
โผฏฐัพพะ (สิ่งต้องกาย) เฉพาะที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเท่านั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สังเกต ช่วงต่อจากเวทนา เป็นทางแยก เสมือนทางสองแพร่ง

เนื่องด้วยกระบวนธรรมนี้ แยกได้เป็น ๒ ช่วงตอน และช่วงตอนหลังอาจแยกไปเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ หรือแบบวิวัฏฏ์ก็ได้

ดังนั้น เพื่อมองเห็นภาพได้กว้างขวางขึ้น อาจเขียนแสดงได้ ดังนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - กระบวนธรรมแบบสังสารวัฏฏ์

อายตนะ+อารมณ์+วิญญาณ=ผัสสะ=>เวทนา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - กระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์


รูปภาพ

จะไปทางไหนแยกซ้ายแยกขวา :b1: (สมมติแยกซ้ายไปสังสารวัฏฏ์ แยกขวาไปวิวัฏฏ์) สำหรับปุถุชนคนสามัญแล้วก็วนๆอยู่ทางสังสารวัฏ น้อยนักที่จะไปทางวิวัฏฏ์ เมื่อประสบกับเวทนาแล้ว



ความหมายของศัพท์ที่พูดถึง


วิวัฏฏ์, วิวัฏฏะ ปราศจากวัฏฏะ, ภาวะพ้นวัฏฏะ ได้แก่ นิพพาน

วัฏฏะ การวนเวียน, การเวียนเกิดเวียนตาย, การเวียนว่ายตายเกิด, ความเวียนเกิด หรือวนเวียน ด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก เช่น กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกิดอีก แล้วทำกรรม แล้วเสวยผลกรรม หมุนเวียนต่อไป ดูไตรวัฏฏ์


สังสารวัฏ วังวนแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย, การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกหรือในภพต่าง, โดยใจความ ก็ได้แก่ "สังสาระ" นั่นเอง สังสารวัฏฏ์ หรือ สงสารวัฏ ก็เขียน ดู สังสาระ ไตรวัฏฏ์ ปฏิจจสมุปบาท

สังสาระ, สงสาร การเที่ยวเร่ร่อนไปในภพ คือ ภาวะแห่งชีวิต ที่ถูกพัดพาให้ประสบสุขทุกข์ ขึ้นลง เป็นไปต่างๆตามกระแสแห่ง อวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน, การว่ายวนอยู่ในกระแสแห่ง กิเลส กรรม และวิบาก, การเวียนว่ายตามเกิดอยู่ในโลกหรือในภพต่างๆ, ว่า โดยสภาวะ ก็คือ ความสืบทอดต่อเนื่องไปแห่งขันธ์ทั้งหลายนั่นเอง นิยมพูดว่า สังสารวัฏ ดู ปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 94 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร