วันเวลาปัจจุบัน 17 ต.ค. 2025, 01:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ที่อยากไปไหนๆตามที่อยากไปนั้นน่ะไปตามกิเลสพาไป
คนเขาฟังกันทำไมคะฟังเพื่อให้โง่หรือคะประมาทไหมว่ารู้
การฟังทำให้เข้าใจความจริงทั้งถูกและผิดโดยไม่หวังสิ่งใด
นอกจากฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะทุกคนกำลังเห็นผิดจำผิด
คลาดเคลื่อนไปจากสัจจะเพราะนิมิตที่ปรากฏกลายเป็นคนสัตว์วัตถุแล้ว
โดยไม่รู้ว่าเห็นแค่สีก็มีแค่สี1สีอย่างเดียวไม่มีได้ยินได้กลิ่นไม่ร้อนไม่เย็นแค่เห็นแล้วดับทันทีไม่มีเราแล้ว
เมื่อไหร่จะคิดได้ว่าทุกอย่างมันเกิดดับทีละ1ตัวธัมมะสลับกันแต่ดูเดี๋ยวนี้สิคะตัวตนเต็มๆเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง
https://youtu.be/Ucgs0GXEoEY


คุณเหมือนมีหูอย่างเดียว เห็นแต่ฟังสุตะๆๆๆ อย่างเดียว หรือยังไง

ทีนี่เขาตั้งกระทู้ถาม กดดูดิ

https://pantip.com/topic/38001354

น่าเสียดายเวลา 7-8 ปีที่ทุ่มเทฟังคลิป เสียเวลาเปล่า :b32:

Onion
:b13:
ดูตาตัวเองเห็นสิคะตอนนี้มันกลายเป็นคนสัตว์วัตถุแล้ว
แค่จิตเห็นสี1สีดับ3ขณะยังไม่ครบ6ทางเลยกิเลสไหล
ไปตามอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วสะสมอวิชชาแล้ว
แค่เห็นเฉยๆยังไม่ไปไหนยังไม่ทำอะไรเลยเดี๋ยวนี้ที่
กำลังอ่านอยู่นี้น่ะคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับจำผิดไง
คิดจำตัวอักษรแปลความหมายตามที่ตนเห็นผิด
ไม่ได้กำลังมีสติระลึกตามสัทบัญญัติทีละคำ
ตรงตามเสียงที่ไม่มีการกวาดตามองอักษร
หลายๆตัวอักษรตามที่อ่านจำเงาตัวธัมมะ
ตัวธัมมะจริงๆต้องอาศัยฟังเสียงตรงคำ
คิดตามเสียงนั้นเข้าใจตามไม่ใช่คิดเอง
หรือคิดคำยาวๆที่ไม่ตรงสัจจะที่ตนมี
คำที่ตถาคตบัญญัติเป็นทศพลญาณ
เพื่อแยกความต่างของตัวจริงธัมมะ
ละเอียดให้ชัดเจนเพื่อไม่แต่งเพิ่ม
ทุกชาติเข้าใจได้ในภาษาตนที่
ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อเข้าใจ
ตัวจริงของธัมมะแล้วเวลามา
อ่านพระไตรปิฎกจึงคิดถูก
อ่านแค่คิดถูกตามคำได้
แต่ฟังคือปรุงสังขารถูก
ตามคำสอนตรงสัจจะ
ทางรู้มีทางเดียวค่ะ
จิตได้ยินที่ทำให้
จำได้ว่าใครคือ
พระพุทธเจ้า
ทางอื่นไม่มี
ต้องฟังน๊า
:b12:
:b4: :b4:

ไม่ตอบหรอกค่ะคำถามที่ไม่มีเหตุผล
ตำราไม่ตามไปชาติหน้าถ้าคุณไปเกิด
ที่เอธิโอเปียคุณก็อ่านตำราที่มีตอนนี้ไม่ได้
ตอนนี้คุณยังมีตาไม่บอดและหูไม่หนวกยังดู
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาได้เป็นปกติธรรมดาเห็น
คิดให้ตรงตามปกติเช่นที่กายรู้ตรงสัจจะจริงๆคือ
กระทบเย็น-ร้อนหรืออ่อน-แข็งหรือตึง-ไหวมีแค่นั้นค่ะ
คิดตรงสัจจะที่กระทบที่กายตลอดเวลานั้นแหละคือพึ่งคำตถาคตเพื่อคิดถูกตัวตนไงคะทีละคำ
นั่นแค่รู้ธาตุ3ตามที่คุณยังมีลมหายใจครองร่างอยู่ถึงจะคิดตามตรงความจริงที่กระทบนั้นได้
จนกว่าคุณจะจำถูกว่ามีธัมมะแต่ละ1ปรากฏจริงๆไม่มีคนทั้งตัวคริคริคริจำอะไรต้องรู้ตัวค่ะ



อะน่ะ ว่าไม่มีเหตุผล คิกๆๆ แล้วอย่างไหนถึงจะมีเหตุผลล่ะ

ได้ตั้งกระทู้บอกว่า

กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยหมดสงสัยในนามรูป คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูปได้ว่า เพราะอะไรเกิด นามรูปจึงเกิด เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ

ชื่อ "สิ่งที่ทำให้คุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะทุเลาฟุ้งซ่านธัมม์ได้"

viewtopic.php?f=1&t=56409

:b12:
นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw
:b32: :b32:

Kiss
โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

tongue
:b12:
ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง
:b16:
:b32: :b32:

:b32:
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้
:b32: :b32:

:b17:
ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ที่อยากไปไหนๆตามที่อยากไปนั้นน่ะไปตามกิเลสพาไป
คนเขาฟังกันทำไมคะฟังเพื่อให้โง่หรือคะประมาทไหมว่ารู้
การฟังทำให้เข้าใจความจริงทั้งถูกและผิดโดยไม่หวังสิ่งใด
นอกจากฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะทุกคนกำลังเห็นผิดจำผิด
คลาดเคลื่อนไปจากสัจจะเพราะนิมิตที่ปรากฏกลายเป็นคนสัตว์วัตถุแล้ว
โดยไม่รู้ว่าเห็นแค่สีก็มีแค่สี1สีอย่างเดียวไม่มีได้ยินได้กลิ่นไม่ร้อนไม่เย็นแค่เห็นแล้วดับทันทีไม่มีเราแล้ว
เมื่อไหร่จะคิดได้ว่าทุกอย่างมันเกิดดับทีละ1ตัวธัมมะสลับกันแต่ดูเดี๋ยวนี้สิคะตัวตนเต็มๆเมื่อไหร่จะเริ่มฟัง
https://youtu.be/Ucgs0GXEoEY


คุณเหมือนมีหูอย่างเดียว เห็นแต่ฟังสุตะๆๆๆ อย่างเดียว หรือยังไง

ทีนี่เขาตั้งกระทู้ถาม กดดูดิ

https://pantip.com/topic/38001354

น่าเสียดายเวลา 7-8 ปีที่ทุ่มเทฟังคลิป เสียเวลาเปล่า :b32:

Onion
:b13:
ดูตาตัวเองเห็นสิคะตอนนี้มันกลายเป็นคนสัตว์วัตถุแล้ว
แค่จิตเห็นสี1สีดับ3ขณะยังไม่ครบ6ทางเลยกิเลสไหล
ไปตามอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วสะสมอวิชชาแล้ว
แค่เห็นเฉยๆยังไม่ไปไหนยังไม่ทำอะไรเลยเดี๋ยวนี้ที่
กำลังอ่านอยู่นี้น่ะคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับจำผิดไง
คิดจำตัวอักษรแปลความหมายตามที่ตนเห็นผิด
ไม่ได้กำลังมีสติระลึกตามสัทบัญญัติทีละคำ
ตรงตามเสียงที่ไม่มีการกวาดตามองอักษร
หลายๆตัวอักษรตามที่อ่านจำเงาตัวธัมมะ
ตัวธัมมะจริงๆต้องอาศัยฟังเสียงตรงคำ
คิดตามเสียงนั้นเข้าใจตามไม่ใช่คิดเอง
หรือคิดคำยาวๆที่ไม่ตรงสัจจะที่ตนมี
คำที่ตถาคตบัญญัติเป็นทศพลญาณ
เพื่อแยกความต่างของตัวจริงธัมมะ
ละเอียดให้ชัดเจนเพื่อไม่แต่งเพิ่ม
ทุกชาติเข้าใจได้ในภาษาตนที่
ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อเข้าใจ
ตัวจริงของธัมมะแล้วเวลามา
อ่านพระไตรปิฎกจึงคิดถูก
อ่านแค่คิดถูกตามคำได้
แต่ฟังคือปรุงสังขารถูก
ตามคำสอนตรงสัจจะ
ทางรู้มีทางเดียวค่ะ
จิตได้ยินที่ทำให้
จำได้ว่าใครคือ
พระพุทธเจ้า
ทางอื่นไม่มี
ต้องฟังน๊า
:b12:
:b4: :b4:

ไม่ตอบหรอกค่ะคำถามที่ไม่มีเหตุผล
ตำราไม่ตามไปชาติหน้าถ้าคุณไปเกิด
ที่เอธิโอเปียคุณก็อ่านตำราที่มีตอนนี้ไม่ได้
ตอนนี้คุณยังมีตาไม่บอดและหูไม่หนวกยังดู
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาได้เป็นปกติธรรมดาเห็น
คิดให้ตรงตามปกติเช่นที่กายรู้ตรงสัจจะจริงๆคือ
กระทบเย็น-ร้อนหรืออ่อน-แข็งหรือตึง-ไหวมีแค่นั้นค่ะ
คิดตรงสัจจะที่กระทบที่กายตลอดเวลานั้นแหละคือพึ่งคำตถาคตเพื่อคิดถูกตัวตนไงคะทีละคำ
นั่นแค่รู้ธาตุ3ตามที่คุณยังมีลมหายใจครองร่างอยู่ถึงจะคิดตามตรงความจริงที่กระทบนั้นได้
จนกว่าคุณจะจำถูกว่ามีธัมมะแต่ละ1ปรากฏจริงๆไม่มีคนทั้งตัวคริคริคริจำอะไรต้องรู้ตัวค่ะ



อะน่ะ ว่าไม่มีเหตุผล คิกๆๆ แล้วอย่างไหนถึงจะมีเหตุผลล่ะ

ได้ตั้งกระทู้บอกว่า

กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยหมดสงสัยในนามรูป คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูปได้ว่า เพราะอะไรเกิด นามรูปจึงเกิด เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ

ชื่อ "สิ่งที่ทำให้คุณ Rosarin ศิษย์บ้านธัมมะทุเลาฟุ้งซ่านธัมม์ได้"

viewtopic.php?f=1&t=56409

:b12:
นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw
:b32: :b32:

Kiss
โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

tongue
:b12:
ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง
:b16:
:b32: :b32:

:b32:
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้
:b32: :b32:

:b17:
ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ
:b32: :b32:

:b1:
ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


รู้ทีละ 1 อย่าง ช่วยให้ความรู้นี้ที "สติ" ว่า รู้ทีละ 1 อย่าง 1 ขณะ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร

"นิพพาน" ด้วย นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไรขอรับโผม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


รู้ทีละ 1 อย่าง ช่วยให้ความรู้นี้ที "สติ" ว่า รู้ทีละ 1 อย่าง 1 ขณะ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร

"นิพพาน" ด้วย นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไรขอรับโผม

:b32:
อันข้างบนมันเป็นแค่ความคิดคำไงคะความจริงต้องระลึกตอนกำลังฟังไงคะ
ตอนนี้มันเป็นการอ่านไงคะมันไม่ตรงสภาวะแต่ละทางตามเป็นจริงเลย
ความมีความเป็นความเห็นความได้มาความเสียไปเป็นเพียงสมมุติ
แต่ความรู้สึกตัวคือสภาวะเหล่านั้นกำลังเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ
ไม่ใช่คิดเอาแต่เป็นความจริงที่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว
จะเอากลับมาเปลี่ยนใจมันไม่ได้ไงเป็นงั้นแล้ว
รอให้ผลตามกรรมนั้นแล้วไม่รู้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น
คือผลของกรรมคือวิบากในอดีต
มาเกิดให้คิดนึกทำไปตามที่เห็นผิด
:b32:
จะให้ว่าไงแปลว่าทำตามกิเลสตลอดเวลา
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมสติปัญญาคือความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกขั้นการฟังจนรู้ตรงความจริงก่อน
ส่วนการจะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องที่หวังไม่ได้ค่ะคิดหวังอยากถึงเป็นอันว่าถึงไม่ได้ค่ะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้วและไม่ต้องทำสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม
แต่เป็นการตามฟังเพื่อตามรู้สภาพธรรมที่กำลังมีก่อนดับตรงตามเสียงเพื่อเข้าใจความจริงที่กายใจ
ไม่ใช่แสวงหาไปตามสถานที่ต่างๆแต่เป็นการท่องเที่ยวไปในกายตนตามเสียงด้วยการไตร่ตรอง
จนรู้สึกทั่วตัวครบทั้ง6ทางอายตนะด้วยความไม่มีเราแบกร่างกายเดินทางไปไหนฟังแล้วรู้ทันที
ดับความเห็นผิดทันทีตอนที่กำลังฟังนั้นเองพอเริ่มคิดเองก็ทำตามเห็นผิดของตัวเองนั่นแหละ
จะไปรู้ความจริงตอนไหนเพราะกิเลสมีแล้วและเกิดเพิ่มตลอดเวลาที่คิดไม่ตรงตามสัจจะ
พอจะเริ่มคิดออกไหมฟังเพื่อเกิดสัมมาตามได้เพื่อเข้าใจความจริงตามได้จนกว่ารู้ทั่ว
จนไม่มีกิเลสเหลือเลยฟังจนกว่านิพพานถ้าจะคิดพูดทำไปเรื่อยๆก็เกิดสัมมาไม่ได้
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


รู้ทีละ 1 อย่าง ช่วยให้ความรู้นี้ที "สติ" ว่า รู้ทีละ 1 อย่าง 1 ขณะ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร

"นิพพาน" ด้วย นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไรขอรับโผม

:b32:
อันข้างบนมันเป็นแค่ความคิดคำไงคะความจริงต้องระลึกตอนกำลังฟังไงคะ
ตอนนี้มันเป็นการอ่านไงคะมันไม่ตรงสภาวะแต่ละทางตามเป็นจริงเลย
ความมีความเป็นความเห็นความได้มาความเสียไปเป็นเพียงสมมุติ
แต่ความรู้สึกตัวคือสภาวะเหล่านั้นกำลังเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ
ไม่ใช่คิดเอาแต่เป็นความจริงที่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว
จะเอากลับมาเปลี่ยนใจมันไม่ได้ไงเป็นงั้นแล้ว
รอให้ผลตามกรรมนั้นแล้วไม่รู้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น
คือผลของกรรมคือวิบากในอดีต
มาเกิดให้คิดนึกทำไปตามที่เห็นผิด
:b32:
จะให้ว่าไงแปลว่าทำตามกิเลสตลอดเวลา
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมสติปัญญาคือความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกขั้นการฟังจนรู้ตรงความจริงก่อน
ส่วนการจะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องที่หวังไม่ได้ค่ะคิดหวังอยากถึงเป็นอันว่าถึงไม่ได้ค่ะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้วและไม่ต้องทำสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม
แต่เป็นการตามฟังเพื่อตามรู้สภาพธรรมที่กำลังมีก่อนดับตรงตามเสียงเพื่อเข้าใจความจริงที่กายใจ
ไม่ใช่แสวงหาไปตามสถานที่ต่างๆแต่เป็นการท่องเที่ยวไปในกายตนตามเสียงด้วยการไตร่ตรอง
จนรู้สึกทั่วตัวครบทั้ง6ทางอายตนะด้วยความไม่มีเราแบกร่างกายเดินทางไปไหนฟังแล้วรู้ทันที
ดับความเห็นผิดทันทีตอนที่กำลังฟังนั้นเองพอเริ่มคิดเองก็ทำตามเห็นผิดของตัวเองนั่นแหละ
จะไปรู้ความจริงตอนไหนเพราะกิเลสมีแล้วและเกิดเพิ่มตลอดเวลาที่คิดไม่ตรงตามสัจจะ
พอจะเริ่มคิดออกไหมฟังเพื่อเกิดสัมมาตามได้เพื่อเข้าใจความจริงตามได้จนกว่ารู้ทั่ว
จนไม่มีกิเลสเหลือเลยฟังจนกว่านิพพานถ้าจะคิดพูดทำไปเรื่อยๆก็เกิดสัมมาไม่ได้
:b12:
:b4: :b4:


ยกตัวอย่างนะ เรากำลังฟังแม่สุจินพูด สะ - - - ติ ลองถามคนพูดสิ สะ หมายถึงอะไร

คิกๆๆ เลอะเทอะ ไร้สาระ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2018, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


รู้ทีละ 1 อย่าง ช่วยให้ความรู้นี้ที "สติ" ว่า รู้ทีละ 1 อย่าง 1 ขณะ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร

"นิพพาน" ด้วย นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไรขอรับโผม

:b32:
อันข้างบนมันเป็นแค่ความคิดคำไงคะความจริงต้องระลึกตอนกำลังฟังไงคะ
ตอนนี้มันเป็นการอ่านไงคะมันไม่ตรงสภาวะแต่ละทางตามเป็นจริงเลย
ความมีความเป็นความเห็นความได้มาความเสียไปเป็นเพียงสมมุติ
แต่ความรู้สึกตัวคือสภาวะเหล่านั้นกำลังเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ
ไม่ใช่คิดเอาแต่เป็นความจริงที่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว
จะเอากลับมาเปลี่ยนใจมันไม่ได้ไงเป็นงั้นแล้ว
รอให้ผลตามกรรมนั้นแล้วไม่รู้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น
คือผลของกรรมคือวิบากในอดีต
มาเกิดให้คิดนึกทำไปตามที่เห็นผิด
:b32:
จะให้ว่าไงแปลว่าทำตามกิเลสตลอดเวลา
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมสติปัญญาคือความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกขั้นการฟังจนรู้ตรงความจริงก่อน
ส่วนการจะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องที่หวังไม่ได้ค่ะคิดหวังอยากถึงเป็นอันว่าถึงไม่ได้ค่ะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้วและไม่ต้องทำสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม
แต่เป็นการตามฟังเพื่อตามรู้สภาพธรรมที่กำลังมีก่อนดับตรงตามเสียงเพื่อเข้าใจความจริงที่กายใจ
ไม่ใช่แสวงหาไปตามสถานที่ต่างๆแต่เป็นการท่องเที่ยวไปในกายตนตามเสียงด้วยการไตร่ตรอง
จนรู้สึกทั่วตัวครบทั้ง6ทางอายตนะด้วยความไม่มีเราแบกร่างกายเดินทางไปไหนฟังแล้วรู้ทันที
ดับความเห็นผิดทันทีตอนที่กำลังฟังนั้นเองพอเริ่มคิดเองก็ทำตามเห็นผิดของตัวเองนั่นแหละ
จะไปรู้ความจริงตอนไหนเพราะกิเลสมีแล้วและเกิดเพิ่มตลอดเวลาที่คิดไม่ตรงตามสัจจะ
พอจะเริ่มคิดออกไหมฟังเพื่อเกิดสัมมาตามได้เพื่อเข้าใจความจริงตามได้จนกว่ารู้ทั่ว
จนไม่มีกิเลสเหลือเลยฟังจนกว่านิพพานถ้าจะคิดพูดทำไปเรื่อยๆก็เกิดสัมมาไม่ได้
:b12:
:b4: :b4:


ยกตัวอย่างนะ เรากำลังฟังแม่สุจินพูด สะ - - - ติ ลองถามคนพูดสิ สะ หมายถึงอะไร

คิกๆๆ เลอะเทอะ ไร้สาระ :b32:

สติเป็นสภาวะที่กำลังระลึกตรงลักษณะปรมัตถ์สัจจะ
เป็นความจริงที่ตนกำลังมีหรือไม่ค่ะไม่ใช่การคิดคำว่าสติ
อ่านคือคิดจำตัวอักษรตีความเสียงอ่านว่าสะ-ติเลยสติจริงๆไปแล้วค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

นามรูปก็เดี๋ยวนี้มีแล้วไม่ต้องไปทำ :b32:
นามคือจิตเห็น(คนตายไม่มีจิตทั้ง6ทาง)
รูปคือสี
อ่ะนะดูตาตัวเองสิมีจิตแล้วก็มีเห็นมีแค่สีไหมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละจำผิด
เป็นจิตคิดนึกเห็นคนสัตว์วัตถุทันทีนี่แหละเรียกว่ามีมิจฉาทิฎฐิ
ไม่เข้าใจตอนมีสิ่งที่ตนกำลังมีก็คิดแต่จะไปทำจริงไหมคะ
https://m.youtube.com/watch?v=WloApoX-VDw


โลภะคือโลภมากแค่ปรุงรสอาหารก็คือโลภค่ะติดข้องทุกอย่างแต่บวชสละ
ชาวบ้านทำมาหาเงินมาใช้คือมีโลภะติดข้องต้องการเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นค่ะ
แต่สมณะคือบรรพชิตที่บวชตามธรรมวินัยไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูใครค่ะชีวิตมีอยู่ได้
แค่ปัจจัย4พอยังอัตภาพเลี้ยงชีพและวัดไม่ใช้ไฟฟ้าได้ก็มีเทียนไม้ขีดที่ชาวบ้านบริจาค
บิณฑบาตด้วยปลีแข้งมีเพียงบาตร1ใบฉันแค่อิ่มเก็บไว้ฉันได้ไม่เกินเที่ยงปรุงอาหารเองไม่ได้
ชงกาแฟฉันเองยังไม่ได้เลยเกลือก็เก็บไม่ได้แล้วชวนคนไปนอนวัดมากๆหวังอยากได้อะไรคนรับใช้หรือ

ตรวจทานความเข้าใจจากการฟังคลิปแล้วนะคะ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจสงฆ์คืออะไรเพราะอริยสงฆ์คือ
คฤหัสถ์และพระสงฆ์ทุกคนที่บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปค่ะ
สมมุติสงฆ์ไม่ใช่สังฆะรัตนะต้องทำตามสิกขาบทได้ต้องจริงใจ
คำว่าสงฆ์เป็นภาษาบาลีแปลว่าหมู่คณะเกิน1ขึ้นไปมด1ฝูงก็คือสงฆ์
เพราะฉะนั้นสิกขาบททุกข้อถ้าไม่ใช่อริยบุคคลย่อมคิดเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
อนาคตคำสอนอันตรธานแน่นอนเพราะมีพระไตรปิฎกคือตำราแต่ไม่เข้าใจความจริง

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้
แก้กิเลสที่กายใจตนเองดูที่ตนเองค่ะ
และศีลตามคำสอนคือเจตสิกค่ะ
เกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะ
ถ้าบวชแล้วมีโทษอาบัติ
แม้เพียงสิกขาบทเล็กๆ
ขณะที่ยังไม่ปลงอาบัติ
ทุศีลทุกครั้งที่กะพริบตา
แสดงว่าทุศีลตลอดเวลาที่ยังไม่ปลงอาบัติ
การไม่ปลงอาบัติแต่นุ่งห่มจีวรคือทำนิสัยคฤหัสถ์แล้วค่ะหลอกตาชาวบ้านไงคะ
ต้องปลงอาบัติจึงพ้นโทษอบายภูมิและคำสอนเพื่อทำตามไม่ใช่แก้คำสอนต้องแก้ที่ตนเองลาสิกขาได้


ขอย้ำนะคะบรรพชิตนั้นต้องรู้จักอัธยาศัยตนเองเป็นอย่างดีว่าทำตามสิกขาบทได้หรือไม่
ส่วนภิกษุณีที่หมดไปไม่ใช่เพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ค่ะแต่หาอุปัชฌาย์ไม่ได้ทั้ง2ฝ่าย
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่าบวชภิกษุณีต้องมีสงฆ์ทั้งชายและหญิงเข้าใจให้ถูกนะคะ
ภิกษุหัวหน้าบริษัทที่ไม่ใช่อริยบุคคลเป็นสมมุติสงฆ์ต้องทำตามสิกขาบทได้อริยทรัพย์ไม่ใช่เงิน
แต่เป็นปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ที่ตนมีจึงมีหิริโอตัปปะถ้าเป็นอริยบุคคลย่อมบวชโดยไม่รับเงินจริงๆ
และอริยบุคคลที่ไม่บวชเพราะเข้าใจคำสอนและรู้อัธยาศัยตนเองว่ายังต้องเลี้ยงดูลูกหลานพนักงานที่ร้าน
เห็นครั้งพุทธกาลไหมคะทุกคนที่เข้าใจคำสอนเขายังต้องใช้เงินก็ไม่บวชไงคะเช่นท่านวิสาขาท่านอนาถฯ
และถ้าบรรพชิตเข้าใจคำสอนจริงต้องบอกเหตุผลชาวบ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าถวายเงินไม่ได้มีแต่แจกซองอิอิ


ที่สำคัญนะคะทำเป็นอุปนิสัยโดยไม่ปลงอาบัติเป็นครุกรรมให้ผลตกนรกทันที
บวชมีกิจ2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระศึกษาผิดวิธีก็ใช้เงินค่ะ
กิจสังคมสงเคราะห์เป็นหน้าที่ของเพศคฤหัสถ์เท่านั้น
พระภิกษุที่ห่วงกิจสังคมสงเคราะห์ทำไม่ได้
เพราะเป็นการทำอวดเพื่อได้ลาภเพิ่ม
คริคริคริหวังลาภสักการะโลภมาก
มีเกินอัฏฐบริขารคือมีเกินคำสอน
คือโลกวัชชะติดข้องคือโลภเกินฐานะบรรพชิต
โลภ=ราคะ=โลภะ=อยากได้เพิ่ม+โมหะไม่รู้ความจริง
บวชคือสละแล้วแต่กลับมารับตายแล้วตกนรกแน่นอนแล้ว



เขาถามว่าไปไหนมา

:b32:
กายก็เป็นไปตามธาตุขันธ์อายตนะตามปกติเป็นปกติตามภพภูมิที่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่ไปไหน
แต่จิตใจนี้สิไปตลอดหายไปเลยเอากลับมาแก้ไม่ได้เลยถ้าไม่ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสออกทีละน้อย
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเห็นหรือว่าจิตหายไปเลย กลับมาแก้ไขไม่ได้ :b32:

:b1:
ก็กำลังเห็นแจ้งนี่ตาไม่บอด
ถ้าเห็นไม่หมดไปก็ไม่มีเสียง
คุณเห็นอย่างเดียวไหมล่ะคะ
ถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่ร้อนไม่เย็น
ไม่ใช่คนตายมีความรู้สึกก็ดู
ให้จิตรู้ถูกทีละ1อย่างแล้วก็
จะรู้ว่าแค่กะพริบตามีกี่ขณะ
:b32: :b32:


รู้ทีละ 1 อย่าง ช่วยให้ความรู้นี้ที "สติ" ว่า รู้ทีละ 1 อย่าง 1 ขณะ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร

"นิพพาน" ด้วย นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไรขอรับโผม

:b32:
อันข้างบนมันเป็นแค่ความคิดคำไงคะความจริงต้องระลึกตอนกำลังฟังไงคะ
ตอนนี้มันเป็นการอ่านไงคะมันไม่ตรงสภาวะแต่ละทางตามเป็นจริงเลย
ความมีความเป็นความเห็นความได้มาความเสียไปเป็นเพียงสมมุติ
แต่ความรู้สึกตัวคือสภาวะเหล่านั้นกำลังเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ
ไม่ใช่คิดเอาแต่เป็นความจริงที่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว
จะเอากลับมาเปลี่ยนใจมันไม่ได้ไงเป็นงั้นแล้ว
รอให้ผลตามกรรมนั้นแล้วไม่รู้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น
คือผลของกรรมคือวิบากในอดีต
มาเกิดให้คิดนึกทำไปตามที่เห็นผิด
:b32:
จะให้ว่าไงแปลว่าทำตามกิเลสตลอดเวลา
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมสติปัญญาคือความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกขั้นการฟังจนรู้ตรงความจริงก่อน
ส่วนการจะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องที่หวังไม่ได้ค่ะคิดหวังอยากถึงเป็นอันว่าถึงไม่ได้ค่ะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีแล้วและไม่ต้องทำสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม
แต่เป็นการตามฟังเพื่อตามรู้สภาพธรรมที่กำลังมีก่อนดับตรงตามเสียงเพื่อเข้าใจความจริงที่กายใจ
ไม่ใช่แสวงหาไปตามสถานที่ต่างๆแต่เป็นการท่องเที่ยวไปในกายตนตามเสียงด้วยการไตร่ตรอง
จนรู้สึกทั่วตัวครบทั้ง6ทางอายตนะด้วยความไม่มีเราแบกร่างกายเดินทางไปไหนฟังแล้วรู้ทันที
ดับความเห็นผิดทันทีตอนที่กำลังฟังนั้นเองพอเริ่มคิดเองก็ทำตามเห็นผิดของตัวเองนั่นแหละ
จะไปรู้ความจริงตอนไหนเพราะกิเลสมีแล้วและเกิดเพิ่มตลอดเวลาที่คิดไม่ตรงตามสัจจะ
พอจะเริ่มคิดออกไหมฟังเพื่อเกิดสัมมาตามได้เพื่อเข้าใจความจริงตามได้จนกว่ารู้ทั่ว
จนไม่มีกิเลสเหลือเลยฟังจนกว่านิพพานถ้าจะคิดพูดทำไปเรื่อยๆก็เกิดสัมมาไม่ได้
:b12:
:b4: :b4:


ยกตัวอย่างนะ เรากำลังฟังแม่สุจินพูด สะ - - - ติ ลองถามคนพูดสิ สะ หมายถึงอะไร

คิกๆๆ เลอะเทอะ ไร้สาระ :b32:

สติเป็นสภาวะที่กำลังระลึกตรงลักษณะปรมัตถ์สัจจะ
เป็นความจริงที่ตนกำลังมีหรือไม่ค่ะไม่ใช่การคิดคำว่าสติ
อ่านคือคิดจำตัวอักษรตีความเสียงอ่านว่าสะ-ติเลยสติจริงๆไปแล้วค่ะ
:b32: :b32:



สติเขาต้องฝึก อิอิ ไม่ใช่ไปนั่งแยกฟังทีละตัวๆ อย่างว่า สะ ตัวหนึ่ง ติ ตัวหนึ่ง โอ้ย ไร้สาระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีก

จาก 1000 ทิพ เขาถาม-ตอบกันเห็นภาพเลย

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรม ตามแนวของ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างไรครับ

ฟังดูเป็นวิชาการ ที่ต้องพิจารณาตามอย่างละเอียด

แต่ส่วนตัวรู้สึกแห้งแล้ง ขาดความสดชื่นและอิ่มเอม แม้สิ่งที่อาจารย์สุจินต์สอน จะเป็นข้อเท็จจริงหลายๆอย่างที่ชาวพุทธควรรู้ ควรตระหนัก

อีกด้านหนึ่ง จากที่ฟังๆ มา เข้าใจว่า แนวของ อาจารย์สุจินต์ ไม่มีกรรมฐาน เหมือนแนวทางอื่นๆ เช่นวัดป่า ที่เน้น กรรมฐานมากๆ

https://pantip.com/topic/38001354



คคห.ที่ 1 บอกว่า

อ้างคำพูด:
บอกเลยว่ามโนอย่างแท้จริง
เพราะมโนไปอนาคตธรรม
ยกตัวอย่างเช่น
ให้รู้ว่าตนไม่ใช่คน สัตว์ สิ่งของ
สิ่งนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ให้ตนไปรู้รสนิพพาน
ตนไม่ได้พระอริยะจะไปรู้รสนิพพานไม่ได้
เป็นโสดาบันจึงจะรู้รสนิพพาน
เขาสอนเหมือนตนเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว
คนที่ฟังก็มโนตาม แต่ปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมโนไป
ใครมีกามราคะมากก็มโนไปอีกทาง
ใครมีโทสะมากก็มโนไปอีกทาง
ใครที่โลภมากก็มโนไปอีกทาง
ใครโมหะมากก็มโนไปอีกทาง
การปฏิบัติสมาธิพร้อมเจริญสติปัฏฐาน เป็นการแก้ไขการมโน แก้การฟุ้งซ่าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร