วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 14:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 286 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2015, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นคำถาม..ที่อโสกะไม่กล้าตอบ

กบนอกกะลา เขียน:

อโสกะว่าโสดาบันยังคิดแค้นจองเวร..ปองร้าย..มุ่งร้ายหมายล้างผลาญ...ใครอยู่อีกมั้ยละ?


ที่จริง...ผมรู้สึกตั้งแต่ต้นแล้วว่า..นิวรณ์ข้อที่ 2 น่าจะเรียกว่าปฏิฆะ..นะ...ใครหาคำบาลีต้นมาได้..ก็คงจะดี

และก็อ่านที่อโสกะยกมาทั้งหมดนั้นแหละ...และก็เห็นด้วย..ว่านิวรณ์ข้อที่2 คือโทสะทั้งหมด...

แต่ถ้ายังใช้คำว่า..พยาบาท..อยู่....กระผมก็จะเถียงอโสกะอยู่เหมือนเดิมว่า..โสดาบันมียินร้ายอยู่..มีโกรธอยู่...แต่ไม่มีพยาบาท..คิดปองร้าย..ทำลายล้างผลาญใคร ๆ ทั้งนั้น..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 04 ต.ค. 2015, 21:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2015, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นคำถาม..ที่อโสกะไม่กล้าตอบ

กบนอกกะลา เขียน:

อโสกะว่าโสดาบันยังคิดแค้นจองเวร..ปองร้าย..มุ่งร้ายหมายล้างผลาญ...ใครอยู่อีกมั้ยละ?

:b11:
ไม่ใช่ไม่กล้าตอบมีแต่สงสา่รที่กบเข้าใจพยาบาทนิวรณ์ผิดไปแม้สมเด็จพระสัฆราชมาบอกก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความเห็น
:b28:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2015, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ไม่ตอบ..ก็เพราะความจริงมันฟ้อง

มันฟ้องอยู่แล้วว่าโสดาบันไม่มีพยาบาท.ใคร

ต้นเรื่อง...คือ..อโสกะว่า...ยินร้าย...คือพยาบาท

ผมเถียงว่า..ไม่ใช่..มันคนละตัว...คนละความรุนแรง

และบทความของสมเด็จฯที่อโสกะยกมา..ก็ยืนยันชัดเจนแล้วว่า...มันมียินร้าย..มันมีโกรธ..มีโทสะ..มีพยาบาท...แต่ในนิวรณ์ข้อ 2 ว่าด้วยพยาบาท..นั้นหมายรวมทั้งยินร้าย...โกรธ..โทสะ..และพยาบาท

องค์สมเด็จฯ..ว่า..นิวรณ์ข้อ 2 หมายรวม โทสะทั้งหมด..ไม่ได้หมายความว่า..ยินร้าย..= พยาบาท

อ่านเข้าใจมั้ยครับท่าน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 06:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ที่ไม่ตอบ..ก็เพราะความจริงมันฟ้อง

มันฟ้องอยู่แล้วว่าโสดาบันไม่มีพยาบาท.ใคร

ต้นเรื่อง...คือ..อโสกะว่า...ยินร้าย...คือพยาบาท

ผมเถียงว่า..ไม่ใช่..มันคนละตัว...คนละความรุนแรง

และบทความของสมเด็จฯที่อโสกะยกมา..ก็ยืนยันชัดเจนแล้วว่า...มันมียินร้าย..มันมีโกรธ..มีโทสะ..มีพยาบาท...แต่ในนิวรณ์ข้อ 2 ว่าด้วยพยาบาท..นั้นหมายรวมทั้งยินร้าย...โกรธ..โทสะ..และพยาบาท

องค์สมเด็จฯ..ว่า..นิวรณ์ข้อ 2 หมายรวม โทสะทั้งหมด..ไม่ได้หมายความว่า..ยินร้าย..= พยาบาท

อ่านเข้าใจมั้ยครับท่าน..



:b13: :b13: :b13:
เฉโกเพื่อให้ความเห็นของตนถูกต้องอีกแล้ว กบ

1.ยินร้ายขัดใจ ไม่พอใจก็ใช่พยาบาท. ผูกโกรธ อาฆาตแค้นมันก็ใช่พยาบาทนิวรณ์
แต่กบพยายามจะทำให้พยาบาทนิวรณ์มันเป็นอาฆาตแค้นซึ่งรุนแรงที่สุดอย่างเดียว มันจึงเป็นความเข้าใจผิดของกบเอง

ง่ายๆ กบลองบอกซิว่า ถ้ากบหรือใครก็ตามนั่งภาวนาไปนานๆเป็นครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่ก้น กบหรือใครคนนั้นจะเกิดความรู้สึกยินร้ายไม่พอใจกับความเจ็บปวดนั้น

ความยินร้ายไม่พอใจอันนั้นเป็นนิวรณ์ชนิดใดในนิวรณ์ธรรมทั้ง 5

2.ถามว่า ที่กบไปเข้าใจเอาเองว่าพระโสดาบันไม่มีพยาบาทแล้ว หมายถึงพยาบาทนิวรณ์ใช่ไหม? กบเอาเหตุผลและหลักฐานมาจากไหน

ข้อนี้อโศกะได้บอกแล้วว่า นิวรณ์ธรรมทั้ง 5. พระอนาคามีถึงจะตัดขาดได้เกือบหมด คงค้างอุทธัจจะนิวรณ์อยู่นิดเดียว เป็นหลักฐานสะท้อนกลับมาให้เห็นว่าพระโสดาบันและพระสกิทาคามีบุคคลยังมีพยาบาทนิวรณ์เหลืออยู่แต่ความเข้มข้นเหลือน้อยลงมาตามลำดับชั้น

แล้วกบคิดเอาเองหรือเปล่าว่าพระโสดาบันไม่มีความยินร้ายไม่พอใจอันเป็นพยาบาทนิวรณ์ ถ้าเป็นอย่างนั้นพระโสดาบันก็ไม่จำเป็นต้องเจริญสติปัฏฐาน 4. ต่อไปแล้วเพื่อให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะยินร้าย ยินดีเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเจริญสติปัฏฐาน 4

s004
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 07:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นคำถาม..ที่อโสกะไม่กล้าตอบ

ที่จริง...ผมรู้สึกตั้งแต่ต้นแล้วว่า..นิวรณ์ข้อที่ 2 น่าจะเรียกว่าปฏิฆะ..นะ...ใครหาคำบาลีต้นมาได้..ก็คงจะดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 07:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

แล้วกบคิดเอาเองหรือเปล่าว่าพระโสดาบันไม่มีความยินร้ายไม่พอใจอันเป็นพยาบาทนิวรณ์ ถ้าเป็นอย่างนั้นพระโสดาบันก็ไม่จำเป็นต้องเจริญสติปัฏฐาน 4. ต่อไปแล้วเพื่อให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะยินร้าย ยินดีเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเจริญสติปัฏฐาน 4

s004
:b7:


ผมไม่เคยพูดสักครั้งเดียวว่า..โสดาบันไม่มีความยินร้าย...นะ

แต่ที่เถียงอโสกะ..เพราะอโสกะว่า...สักกายทิฏฐิกูผู้พี่..ส่วนมานะทิฏฐิคือความเห็นผิด..กูผู้น้อง..ที่สามารถพัฒนาความยินร้ายไปเป็นพยาบาทได้..
แล้วก็บอกว่า..โสดาบันตัดกูผู้พี่ได้..เหลือกูผู้น้อง

asoka เขียน:
:
ส่วนความยึดผิดคือความยึดถือในกายและความยึดถือในจิต หรือมานะทิฏฐินั้นเปรียบเหมือนกูตัวน้องซึ่งมีนิสัยละเอียดอ่อนลึกซึ้งฉลาดเฉลียวมันจะใช้ทั้งอารมณ์และเหตุผลแต่เหตุผลนั้นเป็นเหตุผลเข้าข้างกูหรือเพื่อกูมิใช่เหตุผลตามธรรม จึงเมื่อกระทบสัมผัสกับทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาอารมณ์ที่น่าชอบใจไม่ชอบใจอย่างไรก็ตามมันจะเกิดเป็นความขุ่นมัวขึ้นมาในจิตก่อนแล้วจึงค่อยๆขยายตัวลุกไหม้ใหญ่ขึ้นมาเป็นไฟโกรธในภายหลังพร้อมทั้งจะตามมาด้วยความผูกโกรธ ความเคียดแค้นฝังลึกที่เรียกว่า "พยาบาท"

กูตัวพี่นี้ฆ่าครั้งเดียวด้วยโสดาปัตติมรรคก็ตายขาด


นี้..ผมเถียงจุดนี้...เพราะอโสกะพูดเพลินไป

กบนอกกะลา เขียน:
ถ้าอโสกะว่า..ตัวกูผู้น้อง...ทำให้พยาบาทได้...ก็เท่ากับ..อโสกะว่า..โสดาบันมีความพยาบาทได้..นะคับ..

จึงไม่เห็นด้วย....


ต่อโสกะก็ยังพยายาม...นำเสนอว่า..ยินร้าย = พยาบาท อยู่นั้นแหละ...
ซึ่งผมก็คัดค้านตลอด..

asoka เขียน:

กบอย่ามีภาพลบกับคำว่า "พยาบาท" มากเกินไปสิ บาลีที่ว่าพยาบาทนี้มันก็แค่ความยินร้ายไม่พอใจในสัมผัสของทวารทั้ง6 เท่านั้นเอง มันจะเข้มข้นรุนแรงหรือไม่รุนแรงย่อมขึ้นอยู่กับดีกรีของอัตตาและมานะทิฏฐิที่อยู่ในตัวของคนแต่ละคน[/size]

กบไปได้จากตำราที่ไหนมาว่าพระโสดาบันไม่มีความยินร้ายหรือพยาบาทงัดมาแสดงหน่อยนะครับ


แล้วอโสกะก็ไปยกคำสมเด็จฯ มา...มาสนับสนุนความคิดนี้..แต่เพราะอโสกะอ่านไม่ดี..มีใจเอนเอียง...จึงไม่เห็นว่า..องค์สมเด็จฯท่านอธิบายใว้ชัดเจน...ว่า..ยินร้าย..โกรธ..พยาบาท...เป็นคนละตัวกัน..แต่นิวรณ์ข้อพยาบาทนั้นหมายรวมทั้ง 3 อันเป็นพวกเดียวกันคือ..โทสะ

นิวรณ์ทั้ง 5 มีตั้งแต่ปุถุชน..ยันโสดาบัน..นั้นแหละ
แต่โสดาบันไม่มีพยาบาท...นิวรณ์ข้อ 2 ของโสดาบัน...เบา ๆ แค่ปฏิฆะ...หงุดหงิ่ดหงุ่นหง้านรำคราญใจ....ไม่ถึงกับพยาบาทแน่นอนครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
คำว่าพยาบาทนั้นในที่นี้มีความหมายถึง ทั้ง ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ความขัดใจ โกธะ ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้ายใจ และพยาบาท คือความปองร้าย ความมุ่งร้ายหมายล้างผลาญ คือหมายรวมถึงกิเลสกองโทสะทั้งหมด
cool
เราพูดกันเรื่องพยาบาทนิวรณ์ เมื่อพูดว่า พยาบาทย่อมหมายถึงพยาบาทนิวรณ์ แต่จะพยาบาทแรงมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับการอธิบายประกอบ

พระโสดาบันและพระสกิทาคามีบุคคล ยังมีพยาบาทนิวรณ์อยู่ ชัวร์ๆนะกบ

เอาแค่นี้คงพอเข้าใจละมั้ง
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อีกคนก็อริยะจิบเหล้า...

อีกคนอริยะอะไรดีหน่อ...ดูเข้าขากันดี...

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์..ซะละม้างนี้???


asoka เขียน:

:b12:
คุ้ยอดีตมาย้ำคิดย้ำทำซ้ำเติมกันอยู่นั่นแหละ ไม่นึกเบื่อหน่ายกันบ้างเชียวหรือ. ไม่มีปัญญาจะหาเรื่องและแง่มุมแปลกใหม่มาแขวะกันเล่น ให้เป็นธรรมทัศนะได้มากกว่านี้อีกแล้วเหรอครับ กบกับคุณศิริพงษ์ หรือจะทดสอบขันติตบะกัน ดูว่าใครจะแสดงปฏิฆะและโทสะออกมาในคำพูดมากกว่ากันอันจะได้ไปเข้าล็อคตามกระทู้นี้ที่ว่า

"ปฏิฆะโทสะหรือความโกรธเป็นเครื่องมือช่วยชี้วัดระดับความก้าวหน้าของผู้ปฏิบัติธรรม"

:b13:


จุดแรก...อโสกะ..ว่าด้วยเรื่องโทสะ..ปฏิฆะ...โกรธ...เป็นเครื่องตรวจวัด..

แล้วก็มาที่..กูผู้พี่..สักกายทิฏฐิ..และ..มานะทิฏฐิ..กูผู้น้อง...ผู้ที่ทำให้..ความยินร้ายกลายเป็นพยาบาทได้...

แล้วก็ว่าโสดาบันตัดกู้ผู้พี่ได้...เหลือแต่กูผู้น้อง...

ผมก็เถียงว่า..ถ้าอย่างนั้นโสดาบันก็มีพยาบาทได้ซิ..

แล้วอโสกะ...ก็เอานิวรณ์ 5 มาปน...ด้วยความพยายามเชื่อมโยง...พยาบาทในนิวรณ์ข้อ2...

ที่ต้องไล่เรียงมานี้....อโสกะเห็นจุดต้นเรื่องมั้ยคับ..

ต้นเรื่องไม่ได้อยู่ที่นิวรณ์เลย...แต่อโสกะต้องการลากมาเกี่ยว..เพราะคำว่าพยาบาทคำเดียวเท่านั้น...

กลับไปดูต้นเรื่องซิคับ....มันอยู้ที่ตัวกูผู้น้องของอโสกะ...แท้ๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2015, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นีวรณโคจฉกะ




[๗๕๐] พยาปาทนิวรณ์ เป็นไฉน?

อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้กระทำความเสื่อมเสียแก่เรา

อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้กำลังทำความเสียแก่เรา

อาฆาตย่อมเกิดได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่เรา

อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้ทำความเสื่อมเสีย ฯลฯ

กำลังทำความเสื่อมเสีย ฯลฯ

จักทำความเสื่อมเสียแก่คนที่รักที่ชอบพอของเรา

อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่าผู้นี้ได้ทำความเจริญ ฯลฯ

กำลังทำความเจริญ ฯลฯ

จักทำความเจริญแก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเรา

หรืออาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ในฐานะอันใช่เหตุ จิตอาฆาต

ความขัดเคือง ความกระทบกระทั่ง ความแค้น ความเคือง ความขุ่นเคือง

ความพลุ่งพล่าน โทสะ ความประทุษร้าย

ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความขุ่นจิต ธรรมชาติที่ประทุษร้ายใจ

โกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ
มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด

การคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย

ความคิดประทุษร้าย

การคิดปองร้าย

กิริยาที่คิดปองร้าย

ความคิดปองร้าย

ความโกรธ ความแค้น ความดุร้าย ความปากร้าย
ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต นี้เรียกว่า พยาปาทนิวรณ์.








อัฏฐกวัคคิกะ
กามสุตตนิทเทสที่ ๑
ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง





ว่าด้วยการเว้นขาดกามด้วยเหตุ ๒ ประการ

[๑๒] คำว่า ผู้ใด ย่อมเว้นขาดกามทั้งหลาย

มีความว่า คำว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ผู้ประกอบอย่างใด ผู้ชนิดอย่างใด ผู้มีประการอย่างใด
ผู้ถึงฐานะใด ผู้ประกอบด้วยธรรมใด เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร์
เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา หรือเป็นมนุษย์.


กาม ในคำว่า ย่อมเว้นขาดกามทั้งหลาย ได้แก่ กาม ๒ อย่าง
โดยหัวข้อ คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑

วัตถุกามเป็นไฉน?
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่ชอบใจ ฯลฯ
กามเหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯลฯ
กามเหล่านี้ เรียกว่า กิเลสกาม.


คำว่า ย่อมเว้นขาดกาม
คือ ย่อมเว้นขาดกาม โดยเหตุ ๒ ประการ คือ
โดยการข่มไว้อย่าง ๑
โดยการตัดขาดอย่าง ๑.



ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้อย่างไร?
บุคคลผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยโครงกระดูก
เพราะอรรถว่าเป็นของมีความยินดีน้อย ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลายเปรียบด้วยชิ้นเนื้อ
เพราะอรรถว่าเป็นของสาธารณ์แก่ชนหมู่มาก ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยคบเพลิง
เพราะอรรถว่าเป็นของตามเผา ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง
เพราะอรรถว่าเป็นของให้เร่าร้อนมาก ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้


ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยความฝัน
เพราะอรรถว่าเป็นของปรากฏชั่วเวลาน้อย ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลายเปรียบด้วยของขอยืม
เพราะอรรถว่า เป็นของเป็นไปชั่วกาลที่กำหนด ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้


ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยต้นไม้มีผลดก
เพราะอรรถว่าเป็นของให้กิ่งหักและให้ต้นล้ม ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยดาบและมีด
เพราะอรรถว่าเป็นของฟัน ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกหลาว
เพราะอรรถว่าเป็นของทิ่มแทง ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่ากามทั้งหลายเปรียบด้วยหัวงู
เพราะอรรถว่าเป็นของน่าสะพึงกลัว ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

ผู้เห็นอยู่ว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยกองไฟ
เพราะอรรถว่าเป็นดังไฟกองใหญ่ให้เร่าร้อน ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

แม้ผู้เจริญพุทธานุสสติ ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

แม้ผู้เจริญธัมมานุสสติ ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้

แม้ผู้เจริญสังฆานุสสติ ... แม้ผู้เจริญสีลานุสสติ ...

แม้ผู้เจริญจาคานุสสติ ... แม้ผู้เจริญเทวตานุสสติ ... แม้ผู้เจริญอานาปานัสสติ ...

แม้ผู้เจริญมรณานุสสติ ... แม้ผู้เจริญกายคตาสติ ... แม้ผู้เจริญอุปสมานุสสติ ...

แม้ผู้เจริญปฐมฌาน ... แม้ผู้เจริญทุติยฌาน ... แม้ผู้เจริญตติยฌาน ... แม้ผู้เจริญจตุตถฌาน ...

แม้ผู้เจริญอากาสานัญจายตนสมาบัติ ... แม้ผู้เจริญวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ...

แม้ผู้เจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ ... แม้ผู้เจริญเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้.

ย่อมเว้นขาดกามโดยการข่มไว้อย่างนี้.





ย่อมเว้นขาดกามโดยการตัดขาดอย่างไร?


แม้บุคคลผู้เจริญโสดาปัตติมรรค ย่อมเว้นขาดกามอันให้ไปสู่อบายโดยการตัดขาด

แม้บุคคลผู้เจริญสกทาคามิมรรค ย่อมเว้นขาดกามส่วนหยาบโดยการตัดขาด

แม้บุคคลผู้เจริญอนาคามิมรรค ย่อมเว้นขาดกามอันเป็นส่วนละเอียดโดยการตัดขาด

แม้บุคคลผู้เจริญอรหัตมรรค ย่อมเว้นขาดกามโดยอาการทั้งปวง
โดยประการทั้งปวงหมดสิ้น มิได้มีส่วนเหลือ โดยการตัดขาด.


ย่อมเว้นขาดกามโดยการตัดขาดอย่างนี้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดย่อม เว้นขาดกามทั้งหลาย.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 06:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
onion
อนุโมทนาสาธุกับคุณวลัยพรที่คัดเฟ้นข้อธรรมอันเหมาะสมกับข้อถกเถียงในกระทู้มาแสดง
:b27:

ได้ความรู้ แง่คิด ธรรมทัศนะในเรื่องของ พยาบาทหรือพยาบาทนิวรณ์กันพอสมควรแล้ว คงเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์เรื่องนี้นะครับ

ส่วนกบจะเอาชนะให้จงได้

เอ้า.....ยกให้กบชนะนะรอบนี้

เจริญๆ
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 06:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนละกระทู้แล้วลุง....นี้มันกระทู้เครื่องมือตรวจวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
ตัวเองแท้ ๆ บอกว่า..โกรธ..พยาบาท...มาเป็นเครื่องมือวัด..กู้ผู้น้อง...กูผู้พี่อะไรของอโสกะ..นี้แหละ :b32: :b32:

นี้ไม่ใช่กระทู้..นิวรณ์นะขอรับ...นั้นอีกกระทู้นึ่ง
grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
onion


โสกะนี่ นับวัน ... (ตีความเอาเองนะ)

คำสอนพระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ชัดเจน สมถะ-วิปัสสนา

โสกะก็พยายามสร้างความหมายขึ้นใหม่
ลอกตามที่บอกต่อๆกันมา


ควรศึกษาพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้บ้างนะ
จะได้ไม่สร้างเหตุแห่งวิวาทะ ให้มีเกิดขึ้นใหม่เนืองๆ

วลัยพรน่ะ เหมือนสุนัข
เห็นขี้ ก็รู้ว่าขี้ ก็ยังอดไม่ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะ-วิปัสสนา



ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา
[๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี
ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วย
มรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะ
เป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม
เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุ
นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น
เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อม
ละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้
สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อ
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัย
ย่อมสิ้นไป ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์
อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมด หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรค
หนึ่ง ฯ
[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น โดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้
สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญ
วิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ





ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้

ย่อมเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น

เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่
มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อรรถกถาจารย์
[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมาธิ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก

ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

………………………………

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ



http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... 9&bookZ=33





นี่เป็นสภาพธรรม ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ของสิ่งที่เรียกว่า สมถะ-วิปัสสนา ตามพระธรรมคำสอน

น้อยคนนัก ที่จะสนใจพระธรรมคำสอน ที่ยังมีร่องรอยปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก

สิ่งที่เรียกว่า สมถะ-วิปัสสนา ที่เป็นสภาพธรรมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
มีปรากฏให้เห็นอยู่ แต่โดยส่วนมาก ไปสนใจคำเรียก “วิปัสสนา” ที่นำมาใช้กันในปัจจุบัน

เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของแต่ละคน

หากตั้งใจทำความเพียร และพยายามลดละการสร้างเหตุ ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นปัจจัย

เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม จะมีเหตุให้รู้ สภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของคำเรียกนั้นๆ
แม้ผู้นั้น จะไม่รู้หนังสือ ก็ตาม

เมื่อไม่หยุด จึงไม่รู้
ด้วยอำนาจตัณหา ความทะยานอยาก บดบังสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

ผัสสะเกิด การคิดพิจรณาสิ่งที่ปรากฏ จะคิดพิจรณายังไงก็ได้
แต่การคิดพิจรณานั้นๆ น้อมลงสู่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา
นี่จึงจะเป็น สภาพธรรมของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า วิปัสสนา

ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ขณะจิตเป็นสมาธิ และไม่เป็นสมาธิ
ขณะทำความเพียร และในการดำเนินชีวิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
onion









โสกะนี่ นับวัน ... (ตีความเอาเองนะ)

คำสอนพระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ชัดเจน สมถะ-วิปัสสนา

โสกะก็พยายามสร้างความหมายขึ้นใหม่
ลอกตามที่บอกต่อๆกันมา


ควรศึกษาพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้บ้างนะ
จะได้ไม่สร้างเหตุแห่งวิวาทะ ให้มีเกิดขึ้นใหม่เนืองๆ


วลัยพรน่ะ เหมือนสุนัข
เห็นขี้ ก็รู้ว่าขี้ ก็ยังอดไม่ได้
จะต้องอดทำไม สุนัขก็กินขี้ได้เป็นปรกติ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 21:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
onion









โสกะนี่ นับวัน ... (ตีความเอาเองนะ)

คำสอนพระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ชัดเจน สมถะ-วิปัสสนา

โสกะก็พยายามสร้างความหมายขึ้นใหม่
ลอกตามที่บอกต่อๆกันมา


ควรศึกษาพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้บ้างนะ
จะได้ไม่สร้างเหตุแห่งวิวาทะ ให้มีเกิดขึ้นใหม่เนืองๆ


วลัยพรน่ะ เหมือนสุนัข
เห็นขี้ ก็รู้ว่าขี้ ก็ยังอดไม่ได้

:b4: :b12:
วลัยพรไม่ค่อยได้เจริญสมถะและวิปัสสนาจริงๆ จึงไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่อโศกะบอกกล่าวได้
:b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 286 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร