วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 18:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ที่มาของ อวินิพโภครูป
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD% ... 9%E0%B8%9B

แม้แต่ซากศพ ก็หนี ไม่พ้น อวินิพโภครูป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
govit2552 เขียน:
น้ำฝน เป็นธาตุอะไรครับ ท่านกรัชกาย


ฝน ก็มีธาตุ ๔
บางธาตุปรากฎชัด บางธาตุไม่ปรากฎชัด
ฝน เป็นธาตุดิน ปรากฎชัด เช่น ฝนตกมาโดนตัวเราจะมีความรู้สึกเจ็บ ที่เจ็บเพราะความแข็ง (แข็งและอ่อนเป็นธาตุดิน)
ฝน เป็นธาตุน้ำ ปรากฏชัดได้ทางใจ (ไหล เกาะกุม เอิบอาบ) น้ำไม่สามารถสัมผัสได้ทางกาย
ฝน เป็นธาตุไฟ ปรากฎชัด เช่น ฝนตกมาโดนตัวเราจะมีความรู้สึกเย็น (ร้อนและเย็นเป็นธาตุไฟ)
ฝนเป็นธาตุลม แต่ปรากฎไม่ชัดเจน เช่นว่าฝนตกมาโดนตัวเราพอมีความรู้สึก แต่ว่าไม่เจ็บ พอรู้ว่าตึงๆ (ไหว และเคร่งตึง เป็นธาตุลม)

ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็อ่านผ่านไปก็แล้วกัน

จะอธิบายให้ฟังครับ คำว่าธาตุสี่หรือมหาภูติรูปสี่ มันเป็นบัญญัติจำเพาะที่ใช้กับ.....
รูปปรมัตถ์(กายของบุคคล)

ถ้าจะกล่าวโดยธรรม น้ำหรือน้ำฝนเป็นสมมุติสัจจะ(ธรรมนอกกายใจ)
ส่วนธาตุสี่ในมหาภูติรูปเป็นปรมัตถ์สัจจะ(ธรรมที่เกิดภายในกายใจเรา)

น้ำฝนจะมาเกี่ยวข้องกับกายใจเราได้ก็โดย เป็นสิ่งที่มากระทบเรียกว่า....อายตนะภายนอก

ที่คุณโกวิทเรียกน้ำฝนแท้จริงมันก็คือน้ำ แต่ไม่ใช่ธาตุน้ำในมหาภูติรูป
เราจะรับความรู้สึกจากการกระทบของได้ก็โดย .....ทางกายสัมผัส(โผฏธัพพะ)

เนื่องจากอารมณ์ที่เกิดจากการกระทบของน้ำ มีลักษณะเช่นเดียวกับ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ และธาตุไฟ ในรูปที่ลุงหมานเอามาโพส จึงไม่มีธาตุน้ำเขียนไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ถ้า น้ำฝน มีแค่ 4 ธาตุ แล้วลุงหมาน จะมองเห็น น้ำฝน ได้อย่างไรล่ะครับ ช่วยอธิบายหน่อย

อ้างคำพูด:
น้ำฝน ...................... อย่างน้อย ก็มีส่วนประกอบ 8 รูป ขึ้นไป
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา .................. แต่หนักไปทาง น้ำ

คุณโกวิทเลยเถิดไปใหญ่แล้วครับ รวบรวมสติให้ดีซิครับ
น้ำฝนหรือแม้แต่น้ำ ไม่ใช่รูปธรรม
รูปธรรมหรือปรมัตถ์ธรรม หมายถึง สิ่งที่เกิดในกายใจเรา

และน้ำหรือน้ำฝนไม่สามารถรับรู้ด้วยตา แต่ที่เราเห็นเป็นน้ำฝนก็เพราะ
ความแตกต่างของแสง น้ำ(ทึบแสง)มันมาบังแสงไว้
ถ้าเรามองน้ำ...รูปปารมณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแสงเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ตาเขาเห็นได้แค่สีเท่านั้น


ก็ในน้ำฝน มีวัณณะรูป(สี) ไง ลุงหมาน ถึงได้มองเห็น สี นั้น (ไม่งั้น จะเอาอะไรของน้ำฝนเป็นรูปารมณ์ กระทบทวารตา ล่ะครับ)
ส่วนที่รู้ว่า สีที่เห็นนั้นคือ น้ำฝน เป็นสิ่งที่ใจคิด
ส่วนที่รู้ว่า ในน้ำฝนนั้น ประกอบด้วย อวินิพโพครูปทั้งหลายนั้น ก็เพราะใจคิด เพราะเคยอ่านมา เลยจำเอาไว้ด้วยสัญญา

น้ำฝนไม่มีวัณณะรูป(สี) มีแต่แสงเท่านั้นที่มีความต่างในตัวมันเอง(เจ็ดสี)
น้ำไม่สามารถทำให้เกิดรูปารมณ์ได้ เกิดได้แต่.....โผฏฐัพพารมณ์

น้ำเป็นสมมุติสัจจะ ที่คุณโกวิทบอกว่าสามารถมองเห็นน้ำเป็นรูปร่างได้นั้น
มันเกิดจาก ความคิดจินตนาการให้มันเป็นรูปร่าง เขาเรียกว่า....ธัมมารมณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุป กระทู้ขันธ์5ที่วิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง กลายเป็น น้ำฝนเป็นธาตุอะไรแล้วหรอค่ะ
555 คุนน้องละเบื่อ :b32:
อย่าไปสนใจว่าน้ำฝนมันคือธาตุอะไรเลยค่ะ มันเหมือนพวกไม่มีวิวัฒทนาการ ซะที :b32: น้ำฝนเนียะมันเกิดจากการระเหยของไอน้ำที่ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ รวมกลุ่มเกาะกั้นเป็นก้อนเมฆ แล้วไอเย็นมาเจอกับความร้อนในชั้นบรรยากาศ ทำให้การแข็งตัวของก้อนเมฆระเหยกลายเป็นหยดน้ำ แค่เนียะคิดกันกันถึงไหนต่อไหนหาที่ลงจิตลงใจไม่เจอ :b6:
มันเป็นปรากฏการทางธรรมชาติ และมันก็เป็นอยู่เช่นนั้น และก็เป็นอยู่อย่างนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับขันธ์5ที่วิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ที่มาของ อวินิพโภครูป
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD% ... 9%E0%B8%9B

แม้แต่ซากศพ ก็หนี ไม่พ้น อวินิพโภครูป

มนุษย์หมายถึงคนที่ยังมีชีวิต และคนที่ยังมีชีวิต จะต้องมีกายและใจประกอบกันอยู่
และการประกอบกัน นั้นก็คือการประกอบของรูปธรรมและนามธรรม จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
ซากศพไม่มีนามธรรมแล้ว เราจึงไม่เรียกซากศพว่า....รูปธรรม

มหาภูติรูปสามารถแตกไปเป็นรูป๒๘ได้ ก็เป็นเพราะจิตหรือนามธรรมไปปรุงแต่ง
หรือแม้แต่ธาตุสี่เป็นมหาภูติรูปได้เพราะ มีจิตไปรู้ธาตุสี่นั้น

ดังนั้นธาตุสี่จะต้องมีจิตผู้รู้ถึงจะเป็นมหาภูติรูปสี่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาการร้อนเย็น (เย็นคือร้อนน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าไฟ
อาการแข็งอ่อน (อ่อนคือแข็งน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าดิน
อาการไหวตึง (ตึงคือไหวน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าลม
อาการเอิบอาบเกาะกุม ...... :b10:
สะสารพลัง มีทั้งสี่อย่างอยู่ในตัว

อากาศเคลื่อนไหว ลักษณะมวลอากาศเป็นลักษณะที่อ่อน(แข็งน้อย)ความอ่อนตัวของอากาศไม่เท่ากัน
แต่ล่ะช่วงเวลาที่กระทบกับกายปรับเปลี่ยนไปตามความหนาแน่นของอากาศทำให้สัมผัสถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงแต่ละขณะ
มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอยู่ด้วยร้อนเย็น
มีลักษณะเด่นของการเคลื่อนไหวเป็นหลัก
แล้วอาการน้ำจะเกิดการรู้ได้ยังไง :b10:

:b8: ลุงหมานช่วยอธิบายหน่อย ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาช่วยกันดู "กาย" นี้หน่อย มองเห็นไหม

จะเอามาสั้นๆ เกรงเนื้อหาสาระเสีย จึงนำมาให้ดูทั้งหมด แต่จุดประสงค์ต้องให้ดูตำว่า กาย :b1: จิตใจเอาไว้ก่อนเพราะลึกเกินไป


ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาดูกายตัวนี้หน่อย หมายถึงกายอะไร มองเห็นไหม ช่วยกันดุครับ เราจะไปหาได้ที่ไหน "กาย" หรือร่างกายเนี่ย ดูครับ



“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?”

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ รำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ”

“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ 2 อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง 2 ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ก็ฉันนั้น ....ย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 พ.ค. 2013, 16:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
อาการร้อนเย็น (เย็นคือร้อนน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าไฟ
อาการแข็งอ่อน (อ่อนคือแข็งน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าดิน
อาการไหวตึง (ตึงคือไหวน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าลม
อาการเอิบอาบเกาะกุม ...... :b10:
สะสารพลัง มีทั้งสี่อย่างอยู่ในตัว

อากาศเคลื่อนไหว ลักษณะมวลอากาศเป็นลักษณะที่อ่อน(แข็งน้อย)ความอ่อนตัวของอากาศไม่เท่ากัน
แต่ล่ะช่วงเวลาที่กระทบกับกายปรับเปลี่ยนไปตามความหนาแน่นของอากาศทำให้สัมผัสถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงแต่ละขณะ
มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอยู่ด้วยร้อนเย็น
มีลักษณะเด่นของการเคลื่อนไหวเป็นหลัก
แล้วอาการน้ำจะเกิดการรู้ได้ยังไง :b10:

:b8: ลุงหมานช่วยอธิบายหน่อย ครับ


ลักษณะของน้ำคือ เอิบอาบ .ไหล. เกาะกุม.

เอิบอาบ คือ เช่น ต้นไม้ที่ถูกตัดไว้ดูยังสด ใบยังเขียวอยู่ เพราะเอิบอาบไปด้วยธาตุน้ำ
ถ้าใบแห้งเหี่ยวเพราะขาดการเอิบอาบ เพราะขาดธาตุน้ำ

ไหล อาการที่ไหลของน้ำที่เราเห็นในลำคลองที่ไหลไปได้นั้น
ตรงที่ไหลนั่นแหละคือ น้ำ แต่ตรงที่เราเห็นไม่ใช่น้ำ คือ สี
พูดอีกทีเพื่อให้ถูกต้อง คือ สีไหล (สีรู้ทางตา ไหลรู้ทางใจ) คือ ตาเขาเห็นไหลไม่ได้นั่นเอง

เกาะกุม เช่นว่า ตึก ที่มันไม่พังทะลายลงมา เพราะการเกาะกุมด้วยอำนาจของน้ำ
ถ้าตึกไม่มีการเกาะกุมกันตึกนั้นก็ต้องพังคือไม่มีน้ำไปเกาะกุมนั่นเอง

หรือ กองทราย เมื่อเราเอาน้ำไปเทลาดกองทราย กองทรายก็จะถูกจับเป็นก้อนๆ
เรียกว่าการเกาะกุมของน้ำ แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เป็นการรู้จากใจ
ที่ผ่านทางทวารตา เรื่องธาตุน้ำนี้อธิบายให้เข้าใจได้ยากมากครับเราต้องเข้าใจเรื่องสภาวะของน้ำ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาช่วยกันดู "กาย" นี้หน่อย มองเห็นไหม

จะเอามาสั้นๆ เกรงเนื้อหาสาระเสีย จึงนำมาให้ดูทั้งหมด แต่จุดประสงค์ต้องให้ดูตำว่า กาย :b1: จิตใจเอาไว้ก่อนเพราะลึกเกินไป

ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาดูกายตัวนี้หน่อย หมายถึงกายอะไร มองเห็นไหม ช่วยกันดุครับ เราจะไปหาได้ที่ไหน "กาย" หรือร่างกายเนี่ย ดูครับ


ไม่ลึกเลย ! เพียงแต่ว่าคุณมองมันตื้นๆไปเอง ทางพระอภิธรรมท่านแสดงไว้ดังนี้
คือ คำว่า "กาย" ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เรียกว่ามหาภูตรูป ๔ เป็นพื้นฐานของกาย
และยังมีส่วนย่อยที่อาศัยมหาภูตรูปอีก คือ อุปาทายรูป ๒๔ รูป รวมเป็น รูป ๒๘ ดังที่เอาภาพให้ดูนั่นแหละ แลในรูป ๒๘ รูปนี่แหละเป็นส่วนของกายทั้งหมด ถ้าเราใช้คำว่ากายตัวเดียวก็จะเห็นว่ากายยืนอยู่โทนโท่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราอูตสาห์พิมพ์มาให้ดูทั้งหมด แน่ะ ไปตัดมาพุดตามความเข้าใจของตนเองอีก ลุงหมานเอ้ย :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาช่วยกันดู "กาย" นี้หน่อย มองเห็นไหม

จะเอามาสั้นๆ เกรงเนื้อหาสาระเสีย จึงนำมาให้ดูทั้งหมด แต่จุดประสงค์ต้องให้ดูตำว่า กาย :b1: จิตใจเอาไว้ก่อนเพราะลึกเกินไป


ขอเชิญลุงหมาน ท่านโฮฮับ ท่านโกวิท มาดูกายตัวนี้หน่อย หมายถึงกายอะไร มองเห็นไหม ช่วยกันดุครับ เราจะไปหาได้ที่ไหน "กาย" หรือร่างกายเนี่ย ดูครับ



“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?”

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ รำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ”

“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ 2 อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง 2 ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ก็ฉันนั้น ....ย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ”


แล้วที่ว่า เสวยเวทนาทางกายเนี่ย กายอะไรตามความเข้าใจของลุงหมาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?”

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ รำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ”


“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ 2 อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง 2 ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ก็ฉันนั้น ....ย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ”


เคยปวดตาไหม เคยปวดหูไหม เคยปวดหัวไหม เป็นต้น
ล้วนแล้วเป็นทุกขเวทนาทางกายทั้งสิ้น

เราคุยกันเรื่องธาตุ แต่ไปเอาเรื่องเวทนามาคุยกันมันจะไปกันได้ไหมเอ่ย
อีกคนไปเหนือ อีกคนไปใต้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?”

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ รำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ”


“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ 2 อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง 2 ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ก็ฉันนั้น ....ย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ”


เคยปวดตาไหม เคยปวดหูไหม เคยปวดหัวไหม เป็นต้น
ล้วนแล้วเป็นทุกขเวทนาทางกายทั้งสิ้น

เราคุยกันเรื่องธาตุ แต่ไปเอาเรื่องเวทนามาคุยกันมันจะไปกันได้ไหมเอ่ย
อีกคนไปเหนือ อีกคนไปใต้



ก็ที่ถามกาย แล้วไปตอบธาตุ ที่ถามระบุชื่อด้วยซ้ำ หลักฐานเห็นโด่ๆ แถนะลงหมาน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสติปัฏฐาน มีกาย ตัวหนึ่ง กายานุปัสสนา ตามความเข้าใจของลุงหมาน ลุงว่า กายอะไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร