วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 20:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 23:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่มี....

ใจสบายดี.....

เอ๊ะ....มีสบายดี..ด้วย...จะว่าไม่มีก็คงไม่ได้แล้วซะละมั้ง... :b12:

ตอนสมาทานพระกรรมฐาน...

มีบท...ขอมอบกายถวายชีวิต...รับใช้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

หากพูดได้ด้วยความสัจจริง...ไม่ใช่เพียงแค่ท่องตามบท..นะ

มันจะซึ่งมาก...

หากจะต้องตาย...เพื่อรักษาธรรมของพระองค์...ทำได้จริงมั้ย?

หากทำได้...เรื่องแค่นี้มันขี้ประติว
...



คือ ท่าน อโศกะ กับท่าน กบ หรือผม อาจตีความ คำ ครูบาร์อาจารย์ ไปคนละแนวก็ได้ มิใช่ผิดถูกหรอกครับ
เช่นหลวงพ่อเทียน ท่านก็ให้รู้เฉยๆ ทำปฏิบัติจนมันกลายเป็น นิสัย เกิดขึ้น อัตโนมัติ ไม่แปล สิ่งที่เห็น มันก็ลด อนุสัย ได้ ครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 00:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หากจะต้องตาย...เพื่อรักษาธรรมของพระองค์...ทำได้จริงมั้ย?...


อันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอโสกะ....ไม่ได้ว่าคุณอโสกะผิดถูก....แต่เป็นคำถามที่กระผมถามตัวเอง...เมื่อสมาทานพระกรรมฐาน...

อ้างคำพูด:
หากทำได้...เรื่องแค่นี้มันขี้ประติว...


ใครจะเห็นเราเป็นอย่างไร...มันขี้ปะติ๋ว... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 01:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมถึงขี้ปะติ๋ว.....

ก็มันไม่เป็นสาระ....

ทำไมมันถึงไร้สาระ....

ก็มันไม่มีอะไร...เที่ยงก็ไม่เที่ยง...ทนอยู่ไม่ได้...แล้วก็สลายไปในที่สุด....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 05:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
คุณฝึกจิตประมวลและสรุปความรู้เรื่อง "อนัตตา"มานำเสนอไว้ดีมากแล้วครับ
แต่ !.....ความรู้และเรื่องที่สรุปไว้ทั้งหมด หรือหลักทฤษฎีอันวิจิตรพิสดารทั้งหลายนั้น นั่นแหละคือสิ่งที่บัง"อนัตตา"ไว้ครับ
เปลื้องความเห็นความรู้ทั้งหมดลงกองไว้หน้าเบาะนั่งภาวนาแล้วนั่งลงสงบกายใจหลับตา ทีเหลือหลังจากนั้นให้ธรรมชาติในกายในใจเขาทำงานกันไปตามระบบทางธรรมชาติของเขา จนกว่ากระบวนการปรับสมดุลย์ของกาย ใจ หรือกายแลจิตเขาจะจบกระบวนการ เมื่อกาายและจิตปรับสมดุลย์ของตนเองได้สมดุลย์ดีแล้ว ปกติ ศีล ว่าง อนัตตา นิพพาน เขาก็อยู่ต่อถัดๆกันไปจากนั้นเองครับ

:b8:
:b12: :b12: :b12:


ของคนอื่นละ....ผิดหมด

แต่ของตนเกาะซะแน่น...ไม่ใช่บังแล้วละ...มันครอบซะมิดละไม่ว่า :b13:

ตกลง...เรามีอะไรให้ชำระมั้ย(ปกติ ศีล)...ไม่มีเราแล้วจะไปชำระอะไร.(วาง อนัตตา).. :b32:

นิพพาน...ก็ว่าง ๆ นั้นงั้ย... rolleyes

งั้นรึ..อโสกะ

:b12:
คิดเอา ก็ดูเหมือนมันง่ายๆอย่างที่คุณกบว่า "ไม่มีเราแล้วจะไปชำระอะไร.(วาง อนัตตา).. :b32:

นิพพาน...ก็ว่าง ๆ นั้นงั้ย.."งั้นรึ..อโสกะ?
Onion_L
แต่ปฏิบัติจริง จนเห็นถึงอนัตตา แล้ว ว่าง....ดับ.....เย็น.....หยุด นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดและอย่างที่พูดถ้าง่าย คงมีคนบรรลุธรรมตามคุณกบกันไปหมดทั้งลานแล้วครับ
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 06:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไมถึงขี้ปะติ๋ว.....

ก็มันไม่เป็นสาระ....

ทำไมมันถึงไร้สาระ....

ก็มันไม่มีอะไร...เที่ยงก็ไม่เที่ยง...ทนอยู่ไม่ได้...แล้วก็สลายไปในที่สุด....

:b12: :b12: :b12: :b12:
พูดเอา คิดเอา นี่ ดูมันช่างง่ายเสียจริงๆนะครับ คุณกบ "ก็มันไม่มีอะไร...เที่ยงก็ไม่เที่ยง...ทนอยู่ไม่ได้...แล้วก็สลายไปในที่สุด...."
ขอให้บรรลุมรรค 1...2...3....4 พ้นอุทธัจจะนิวรณ์อันครอบงำใจได้โดยเร็วนะครับ จะได้อยู่อย่างสุขสงบจริงๆเสียที่

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 10:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นั้นเป็นเหตุ..เป็นผล...ที่ตน...เตือนตน..

ผมชอบเตือนตนเองแบบ..ดัง..ดัง..

เนยยะ..ก็เป็นอย่างนี้แหละ....นิ่งรู้แล้วหลงทุกที...ไม่เหมือนคนหัวไวทั้งหลาย..

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:

ผมเจอวิธีของท่านแล้ว ขอนำมานำเสนอที่นี้หน่อยนะครับ จากท่าน อโศกะ ครับ
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที

วิธีภาวนา อนัตตา มี 4 ขั้นตอน

1.บริกรรม อนัตตา ถี่ๆ ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นชำระนิวรณ์ 5 )

2. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที (ขั้นฝึกสติให้ทันปัจจุบันอารมณ์)

3.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้น พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)

4. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส (เจริญวิปัสสนาภาวนาโดยสมบูรณ์)

เมื่อใจยอมรับอนัตตาจนถึงที่อันสมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ จักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลด้วยตัวของเขาเองโดยอัตโนมัติ

แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้่าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน


อืมๆๆๆนี้นะหรือ กลเม็ดการเข้าถึง อนัตตาของท่าน อิอิ สุดยอด

ขอถามท่านอโศกะ ผู้รู้ หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็นเช่นไรครับ
สรุปแล้ว เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ
เริ่ม งง เองแล้ว พอก่อนดีกว่า :b10:

จะได้เอาข้อมุลท่าน มา วิปัสสนึก หน่อย ครับ
อย่าบอกนะว่า ทำๆไปแล้วจะหายสงสัยเอง :b14:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ของพระพุทธเจ้า..ง่าย..ๆ..ตรง..ๆ...งั้ยไม่ทำ..

รองลงมาก็ของพระอรหันตเจ้า...

ของพวกเรา...ก็คิดกันไป.งั้น.ๆ..มรรคผลอะไรก็ยังไม่มี

ดี..ไม่ดี...ก็จะมีหนังสือของตัวเองออกจำหน่าย..

เหมือน...อะไรนะ...นามสกุลเพ่งวรรถณะ..อะไรนั้นเป็นไร....

ก็มาเขียนแนวตัวเองในบอร์ดก่อน..สักพัก..ก็ออกหนังสือ...

คนเขาอยากเป็นอาจารย์คน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2012, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:

ผมเจอวิธีของท่านแล้ว ขอนำมานำเสนอที่นี้หน่อยนะครับ จากท่าน อโศกะ ครับ
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที

วิธีภาวนา อนัตตา มี 4 ขั้นตอน

1.บริกรรม อนัตตา ถี่ๆ ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นชำระนิวรณ์ 5 )

2. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที (ขั้นฝึกสติให้ทันปัจจุบันอารมณ์)

3.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้น พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)

4. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส (เจริญวิปัสสนาภาวนาโดยสมบูรณ์)

เมื่อใจยอมรับอนัตตาจนถึงที่อันสมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ จักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลด้วยตัวของเขาเองโดยอัตโนมัติ

แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้่าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน


อืมๆๆๆนี้นะหรือ กลเม็ดการเข้าถึง อนัตตาของท่าน อิอิ สุดยอด

ขอถามท่านอโศกะ ผู้รู้ หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็นเช่นไรครับ
สรุปแล้ว เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ
เริ่ม งง เองแล้ว พอก่อนดีกว่า :b10:

จะได้เอาข้อมุลท่าน มา วิปัสสนึก หน่อย ครับ
อย่าบอกนะว่า ทำๆไปแล้วจะหายสงสัยเอง :b14:

:b8:

:b27:
เก่งจัง คุณฝึกจิต ที่ไปค้นเอาวิธีการในอดีต ตอนแนะนำผู้ใหม่ มาโพสต์ให้ดูกันอีกที
:b27:
แต่ตอนนี้มีเวอร์ชั่นใหม่ที่ง่ายกว่าเก่าอีกนะครับ ลองติดตามสังเกตดูให้ดี
:b11:
"อนัตตา เป็นกุญแจหรือสะพานที่จะเปิดประตู หรือทอดข้ามร่องน้ำแห่งโอฆะทั้ง 4 เข้าสู่ นิพพาน
หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็น
"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b8:
"เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
:b12: :b12: :b12:
คำถามและข้อสงสัยนี้ หมดไปเลย........ครับ
:b8: :b27:
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเขาจะผุดรู้และเข้าใจอย่างซาบซึ้งขึ้นมาเองจนปีติในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าท่วมล้นในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงความซาบซึ้งนี้ได้อีกแล้ว
:b27:
ส่วนไอ้ที่ว่าวิปัสสนึกนั้น มันมากลายเป็น วิมังสาธิบดี .....มาเป็น ธัมมวิจัยสัมโพชงค์.....มาเป็นสังกัปปะ
เพื่อจะเดินทางต่อไปละสังโยชน์ที่เหลือครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2012, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:

ผมเจอวิธีของท่านแล้ว ขอนำมานำเสนอที่นี้หน่อยนะครับ จากท่าน อโศกะ ครับ
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที

วิธีภาวนา อนัตตา มี 4 ขั้นตอน

1.บริกรรม อนัตตา ถี่ๆ ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นชำระนิวรณ์ 5 )

2. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที (ขั้นฝึกสติให้ทันปัจจุบันอารมณ์)

3.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้น พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)

4. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส (เจริญวิปัสสนาภาวนาโดยสมบูรณ์)

เมื่อใจยอมรับอนัตตาจนถึงที่อันสมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ จักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลด้วยตัวของเขาเองโดยอัตโนมัติ

แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้่าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน


อืมๆๆๆนี้นะหรือ กลเม็ดการเข้าถึง อนัตตาของท่าน อิอิ สุดยอด

ขอถามท่านอโศกะ ผู้รู้ หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็นเช่นไรครับ
สรุปแล้ว เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ
เริ่ม งง เองแล้ว พอก่อนดีกว่า :b10:

จะได้เอาข้อมุลท่าน มา วิปัสสนึก หน่อย ครับ
อย่าบอกนะว่า ทำๆไปแล้วจะหายสงสัยเอง :b14:

:b8:

:b27:
เก่งจัง คุณฝึกจิต ที่ไปค้นเอาวิธีการในอดีต ตอนแนะนำผู้ใหม่ มาโพสต์ให้ดูกันอีกที
:b27:
แต่ตอนนี้มีเวอร์ชั่นใหม่ที่ง่ายกว่าเก่าอีกนะครับ ลองติดตามสังเกตดูให้ดี
:b11:
"อนัตตา เป็นกุญแจหรือสะพานที่จะเปิดประตู หรือทอดข้ามร่องน้ำแห่งโอฆะทั้ง 4 เข้าสู่ นิพพาน
หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็น
"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b8:
"เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
:b12: :b12: :b12:
คำถามและข้อสงสัยนี้ หมดไปเลย........ครับ
:b8: :b27:
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเขาจะผุดรู้และเข้าใจอย่างซาบซึ้งขึ้นมาเองจนปีติในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าท่วมล้นในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงความซาบซึ้งนี้ได้อีกแล้ว
:b27:
:b8:

"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....
ที่แดงๆใหญ่ๆ นั้น ช่วย วิสัจฉนา ให้ยิ่งๆขึ้นหน่อยครับ มันอย่างไรแน่

ส่วนที่ท่านว่า หมดข้อสงสัย แต่ผมยังงง อยู่เลย ท่าน ช่วยตอบ ตรงที่ผมถามดีกว่าครับ สรุปให้ผมเลย ไม่อยากตีความ :b12:
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:

ผมเจอวิธีของท่านแล้ว ขอนำมานำเสนอที่นี้หน่อยนะครับ จากท่าน อโศกะ ครับ
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที

วิธีภาวนา อนัตตา มี 4 ขั้นตอน

1.บริกรรม อนัตตา ถี่ๆ ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นชำระนิวรณ์ 5 )

2. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที (ขั้นฝึกสติให้ทันปัจจุบันอารมณ์)

3.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้น พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)

4. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส (เจริญวิปัสสนาภาวนาโดยสมบูรณ์)

เมื่อใจยอมรับอนัตตาจนถึงที่อันสมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ จักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลด้วยตัวของเขาเองโดยอัตโนมัติ

แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้่าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน


อืมๆๆๆนี้นะหรือ กลเม็ดการเข้าถึง อนัตตาของท่าน อิอิ สุดยอด

ขอถามท่านอโศกะ ผู้รู้ หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็นเช่นไรครับ
สรุปแล้ว เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ
เริ่ม งง เองแล้ว พอก่อนดีกว่า :b10:

จะได้เอาข้อมุลท่าน มา วิปัสสนึก หน่อย ครับ
อย่าบอกนะว่า ทำๆไปแล้วจะหายสงสัยเอง :b14:

:b8:

:b27:
เก่งจัง คุณฝึกจิต ที่ไปค้นเอาวิธีการในอดีต ตอนแนะนำผู้ใหม่ มาโพสต์ให้ดูกันอีกที
:b27:
แต่ตอนนี้มีเวอร์ชั่นใหม่ที่ง่ายกว่าเก่าอีกนะครับ ลองติดตามสังเกตดูให้ดี
:b11:
"อนัตตา เป็นกุญแจหรือสะพานที่จะเปิดประตู หรือทอดข้ามร่องน้ำแห่งโอฆะทั้ง 4 เข้าสู่ นิพพาน
หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็น
"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b8:
"เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
:b12: :b12: :b12:
คำถามและข้อสงสัยนี้ หมดไปเลย........ครับ
:b8: :b27:
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเขาจะผุดรู้และเข้าใจอย่างซาบซึ้งขึ้นมาเองจนปีติในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าท่วมล้นในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงความซาบซึ้งนี้ได้อีกแล้ว
:b27:
:b8:

"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....
ที่แดงๆใหญ่ๆ นั้น ช่วย วิสัจฉนา ให้ยิ่งๆขึ้นหน่อยครับ มันอย่างไรแน่

ส่วนที่ท่านว่า หมดข้อสงสัย แต่ผมยังงง อยู่เลย ท่าน ช่วยตอบ ตรงที่ผมถามดีกว่าครับ สรุปให้ผมเลย ไม่อยากตีความ :b12:
ขอบคุณครับ

:b12:
ก็คุณฝึกจิตคัดลอกมาไม่ครบถ้วนกระบวนความนี่ครับ คำตอบเขาอยู่ถัดไปอีกพยางค์เดียวเอง
:b38:
[b]ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......[/b]มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b12:
หรือจะตอบแบบนี้ว่า

กลวง.......ก็คือกลวงจากความเป็นกูเป็นเรา

โล่ง ......ก็คือโล่งปราศจากความเป็นกูเป็นเรา

ว่างเปล่า .....ก็คือ ว่างเปล่าปราศจากความเป็นกูเป็นเรา

เป็นสูญ (สุญญะ)....ก็คือ สุญญะ อัตตา...สุญญตา ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราอีกต่อไป (แต่ความยึดผิดเป็นงานที่ยังทำไม่เสร็จต้องทำต่อไปอีก)

:b48: :b48: :b48: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
:b12:
onion
การทักท้วงคุณฝึกจิตตามข้อความที่กล่าว ถือเป็นการสะกิดสะเกา ให้เข้าทาง มิได้เอาผิดเอาถูกเอาใช่ไม่ใช่อะไรหรือบอกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า อย่างที่คุณกบ วิตกไปหรอกนะครับ อย่ากังวล หรือฟุ้งซ่านไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย
:b16:
กระบวนการที่จะให้เกิด รู้และเข้าถึงอนัตตานั้นมีอยู่ถ้าศึกษาดูกระทู้ที่asokaแสดงก็คงจะพอมองออกหรือค้นเจอนะครับ
:b4: :b4: :b4:

ผมเจอวิธีของท่านแล้ว ขอนำมานำเสนอที่นี้หน่อยนะครับ จากท่าน อโศกะ ครับ
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที

วิธีภาวนา อนัตตา มี 4 ขั้นตอน

1.บริกรรม อนัตตา ถี่ๆ ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นชำระนิวรณ์ 5 )

2. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที (ขั้นฝึกสติให้ทันปัจจุบันอารมณ์)

3.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้น พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)

4. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส (เจริญวิปัสสนาภาวนาโดยสมบูรณ์)

เมื่อใจยอมรับอนัตตาจนถึงที่อันสมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ จักเกิดขึ้นตามมาเป็นผลด้วยตัวของเขาเองโดยอัตโนมัติ

แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้่าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน


อืมๆๆๆนี้นะหรือ กลเม็ดการเข้าถึง อนัตตาของท่าน อิอิ สุดยอด

ขอถามท่านอโศกะ ผู้รู้ หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็นเช่นไรครับ
สรุปแล้ว เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ
เริ่ม งง เองแล้ว พอก่อนดีกว่า :b10:

จะได้เอาข้อมุลท่าน มา วิปัสสนึก หน่อย ครับ
อย่าบอกนะว่า ทำๆไปแล้วจะหายสงสัยเอง :b14:

:b8:

:b27:
เก่งจัง คุณฝึกจิต ที่ไปค้นเอาวิธีการในอดีต ตอนแนะนำผู้ใหม่ มาโพสต์ให้ดูกันอีกที
:b27:
แต่ตอนนี้มีเวอร์ชั่นใหม่ที่ง่ายกว่าเก่าอีกนะครับ ลองติดตามสังเกตดูให้ดี
:b11:
"อนัตตา เป็นกุญแจหรือสะพานที่จะเปิดประตู หรือทอดข้ามร่องน้ำแห่งโอฆะทั้ง 4 เข้าสู่ นิพพาน
หลังเข้าถึงอนัตตา ปฏิกิริยา หรือ การกระทำของ ผู้เข้าถึง มันเป็น
"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b8:
"เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
:b12: :b12: :b12:
คำถามและข้อสงสัยนี้ หมดไปเลย........ครับ
:b8: :b27:
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเขาจะผุดรู้และเข้าใจอย่างซาบซึ้งขึ้นมาเองจนปีติในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าท่วมล้นในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงความซาบซึ้งนี้ได้อีกแล้ว
:b27:
:b8:

"กลวง.....โล่ง......ว่างเปล่าเป็นสูญ.....
ที่แดงๆใหญ่ๆ นั้น ช่วย วิสัจฉนา ให้ยิ่งๆขึ้นหน่อยครับ มันอย่างไรแน่

ส่วนที่ท่านว่า หมดข้อสงสัย แต่ผมยังงง อยู่เลย ท่าน ช่วยตอบ ตรงที่ผมถามดีกว่าครับ สรุปให้ผมเลย ไม่อยากตีความ :b12:
ขอบคุณครับ

:b12:
ก็คุณฝึกจิตคัดลอกมาไม่ครบถ้วนกระบวนความนี่ครับ คำตอบเขาอยู่ถัดไปอีกพยางค์เดียวเอง
:b38:
[b]ปราศจากผู้รับรู้และผู้กระทำ.......[/b]มีแต่เหตุปัจจัยกระทบกันอยู่กราวๆอยู่ภายนอก.......วิบากเก่า กระทุ้งให้เกิด กรรมใหม่ หมุนวนกันไปเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ที่ลานยังไม่หักสะบั้น มอเตอร์ที่ขับเข็มและลูกตุ้มยังไม่พัง แบตเตอรี่ที่ขับมอเตอร์ยังไม่หมดไฟ
เมื่อปัจจเวกแล้วก็ยังรู้ได้ว่ามีงานที่ยังต้องทำต่อไปจนกว่าจะหมดกิจ"

:b12:
หรือจะตอบแบบนี้ว่า

กลวง.......ก็คือกลวงจากความเป็นกูเป็นเรา

โล่ง ......ก็คือโล่งปราศจากความเป็นกูเป็นเรา

ว่างเปล่า .....ก็คือ ว่างเปล่าปราศจากความเป็นกูเป็นเรา

เป็นสูญ (สุญญะ)....ก็คือ สุญญะ อัตตา...สุญญตา ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราอีกต่อไป (แต่ความยึดผิดเป็นงานที่ยังทำไม่เสร็จต้องทำต่อไปอีก)

:b48: :b48: :b48: :b53:

"เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
ขอตอบแบบตัวต่อตัวกับคำถาม ได้มั้ยท่าน โปรดกระผมด้วยครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: ขอเป็นผู้ชมด้วยคน

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาแค่...เห็นจริงว่าร่างกายไม่ใช่เรา...ไม่เป็นสิ่งที่น่ายินดีรักใคร่...เป็นแต่สิ่งสกปรกโสโครก...

เห็นจนใจไม่เอา....เห็นจนน้ำหูน้ำตาไหล....ในความโง่งม...น่าสงสารยิ่งนัก

ไม่เอาอีกแล้ว...การเกิด....

ขอตามพระพุทธเจ้าไปอย่างเดียวเท่านั้น...

ถามว่า....คุณเคยรู้สึกอะไรคล้าย ๆ อย่างนี้แล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่รู้สึก.....กรุณาอย่ากล่าวว่า...ฉันเห็นไตรลักษณ์...
มันน่า....อาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 05:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอาแค่...เห็นจริงว่าร่างกายไม่ใช่เรา...ไม่เป็นสิ่งที่น่ายินดีรักใคร่...เป็นแต่สิ่งสกปรกโสโครก...

เห็นจนใจไม่เอา....เห็นจนน้ำหูน้ำตาไหล....ในความโง่งม...น่าสงสารยิ่งนัก

ไม่เอาอีกแล้ว...การเกิด....

ขอตามพระพุทธเจ้าไปอย่างเดียวเท่านั้น...

ถามว่า....คุณเคยรู้สึกอะไรคล้าย ๆ อย่างนี้แล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่รู้สึก.....กรุณาอย่ากล่าวว่า...ฉันเห็นไตรลักษณ์...
มันน่า....อาย...


:b8: :b8: :b8:

เป็นแรงพลักดัน เกิดความเพียร ได้ดีนัก
ดูง่ายๆ ให้คนที่ปกติ นอนตืนสาย 7-8 โมงเช้า มาตืน ตี่4-ตี5 มาปฏิบัติธรรม คนที่กินอะไรตามใจปาก ก็กินตามสมควร สร้างสัจจะทางใจกับตนเอง คนที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของศิล 5 มาพยายาม รักษาศิล 5

เริ่มๆ เอาแค่นี้ก่อน ให้ได้นะ ผมว่า
เอ๋!!!! แล้วเรามี s006 มั้ยละหว่านี้ ลืมดูตนเอง ซะแย้ว 555


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร