วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 10:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สัตว์ ที่จิตเจือแล้วด้วยอวิชชา สัตว์รับอารมณ์ ประกอบกรรม สัตว์นั้นแล่นขึ้นสู่ทางเดินแห่งกรรม
ความเป็นสัตว์นั้น จะตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปและนามนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่แห่งใดเลย

วิญญาณ จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป เพราะจิตอันเจือด้วยอวิชชา แล่นขึ้นสู่วิถี จึงรู้จึงเห็นขันธ์ 5 ต่างๆนาๆ ไปตามกรรม ความประกอบด้วยอำนาจแห่งอาสวะอนุัสัยอันเป็นพื้นจิตนั้น

วิญญาณ จึงเป็นเบื้องต้น มีนามรูปเป็นเบื้องปลาย
กองทุกข์ทั้งมวลจึงเกิดขึ้น

ถ้าวิญญาณอันเจือด้วยอวิชชาดับ นามรูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลจึงอุบัติขึ้น

ใครเข้าใจความเห็นนี้ยกมือขึ้น :b9: บอกเจ้าของความเห็นครับว่า..
มันคนละเรื่องแล้วครับ เห็นพูดดับโน้นดับนี้
ในวงปฏิจจสมุบาทอยู่ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตา และในวงปฏิจจสมุบาท
เป็นเหตุปัจจัยต่อกัน จะดับตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ถ้าจะดับมันต้องดับทั้งวงปฏิจจสมุบาท

เรามีรูปนามก็เห็นอยู่ทนโท่ คนเราก็มั่วไปได้เรื่อยๆ เหมือนต่อจิกซอร์
ต่อไม่ลงก็ใช้กรรไกรตัตมันทิ้งเฉยเลย

จะบอกให้ครับจะได้เลยฟุ้งซ่านกันซะที
วงปฏิจจสมุบาท พระพุทธองค์บอกไว้เพื่อให้รู้ กระบวนการที่ทำให้เกิดวัฏสงสาร
เมื่อเรามีเหตุที่ต้องทำให้เกิดมาชาติหนึ่ง มีรูปมีนามแล้วมันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิจจ์ขึ้น

ที่พูดว่าดับโน้นดับนี้มันผิดมันมั่ว มันไม่ใช่ไปดับสิ่งที่ว่านั้น
ที่พระพุทธองค์ให้ดับมันเป็น กิเลสสังโยชน์


และการจะดับกิเลสสังโยชน์ได้นั้นก็ต้อง เริ่มที่รูปนามในวงปฏิจจฯหรือเรียกว่าขันธ์ห้า
ในกระบวนการขันธ์ การปฏิบัติให้เกิดวิชชาเขาปฏิบัติที่รูปนามหรือ
ที่เรียกว่ากายใจนี่แหล่ะครับ ที่บอกว่าอวิชาคือความไม่รู้ แล้วอะไรล่ะที่ไม่รู้
มันก็รูปนามกายใจเรานี่แหล่ะ มันต้องทำให้รูปนามรู้อวิชาหรือรู้อริยสัจจ์สี่เสียก่อน

ดังนั้นสิ่งแรกที่จะต้องดับก็คือ สักกายะทิฐิสังโยชน์
อันที่จะต้องเริ่มที่รูปนาม ไม่ใช่ไปดับอะไรต่อมิอะไรตามที่หลายท่านว่ามาครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 16:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


อาจจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า

ถ้าความพอใจ-ไม่พอใจในเวทนานั้น ๆ ดับไป
การแสวงหาผัสสะใดเพื่อให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น หรือไม่ให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น
ก็ไม่มี
แต่ผัสสะนั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
และเวทนานั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
แต่ไม่ได้เกิดด้วยตัณหาราคะ
แต่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัย ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป

:b12: :b8:

หลวงปู่ดุลย์....ท่านว่า

จิตส่งออก...เป็นสมุทัย

ผลของจิตส่งออก..เป็นทุกข์

จิตเห็นจิต...เป็นมรรค

ผลของจิตเห็นจิต...เป็นนิโรธ


กำลังคิดว่า..นี้มันปฏิจจสมุปบาทโดยนัยของอริยะสัจ 4 นี้นา :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
สัตว์ ที่จิตเจือแล้วด้วยอวิชชา สัตว์รับอารมณ์ ประกอบกรรม สัตว์นั้นแล่นขึ้นสู่ทางเดินแห่งกรรม
ความเป็นสัตว์นั้น จะตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปและนามนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่แห่งใดเลย

วิญญาณ จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป เพราะจิตอันเจือด้วยอวิชชา แล่นขึ้นสู่วิถี จึงรู้จึงเห็นขันธ์ 5 ต่างๆนาๆ ไปตามกรรม ความประกอบด้วยอำนาจแห่งอาสวะอนุัสัยอันเป็นพื้นจิตนั้น

วิญญาณ จึงเป็นเบื้องต้น มีนามรูปเป็นเบื้องปลาย
กองทุกข์ทั้งมวลจึงเกิดขึ้น

ถ้าวิญญาณอันเจือด้วยอวิชชาดับ นามรูปอันเป็นที่รักที่น่าปราถนาน่าพอใจจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลจึงอุบัติขึ้น

ใครเข้าใจความเห็นนี้ยกมือขึ้น :b9: บอกเจ้าของความเห็นครับว่า..
มันคนละเรื่องแล้วครับ เห็นพูดดับโน้นดับนี้
ในวงปฏิจจสมุบาทอยู่ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตา และในวงปฏิจจสมุบาท
เป็นเหตุปัจจัยต่อกัน จะดับตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ถ้าจะดับมันต้องดับทั้งวงปฏิจจสมุบาท

เรามีรูปนามก็เห็นอยู่ทนโท่ คนเราก็มั่วไปได้เรื่อยๆ เหมือนต่อจิกซอร์
ต่อไม่ลงก็ใช้กรรไกรตัตมันทิ้งเฉยเลย

จะบอกให้ครับจะได้เลยฟุ้งซ่านกันซะที
วงปฏิจจสมุบาท พระพุทธองค์บอกไว้เพื่อให้รู้ กระบวนการที่ทำให้เกิดวัฏสงสาร
เมื่อเรามีเหตุที่ต้องทำให้เกิดมาชาติหนึ่ง มีรูปมีนามแล้วมันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิจจ์ขึ้น

ที่พูดว่าดับโน้นดับนี้มันผิดมันมั่ว มันไม่ใช่ไปดับสิ่งที่ว่านั้น
ที่พระพุทธองค์ให้ดับมันเป็น กิเลสสังโยชน์


และการจะดับกิเลสสังโยชน์ได้นั้นก็ต้อง เริ่มที่รูปนามในวงปฏิจจฯหรือเรียกว่าขันธ์ห้า
ในกระบวนการขันธ์ การปฏิบัติให้เกิดวิชชาเขาปฏิบัติที่รูปนามหรือ
ที่เรียกว่ากายใจนี่แหล่ะครับ ที่บอกว่าอวิชาคือความไม่รู้ แล้วอะไรล่ะที่ไม่รู้
มันก็รูปนามกายใจเรานี่แหล่ะ มันต้องทำให้รูปนามรู้อวิชาหรือรู้อริยสัจจ์สี่เสียก่อน

ดังนั้นสิ่งแรกที่จะต้องดับก็คือ สักกายะทิฐิสังโยชน์
อันที่จะต้องเริ่มที่รูปนาม ไม่ใช่ไปดับอะไรต่อมิอะไรตามที่หลายท่านว่ามาครับ
:b13:

จะดับได้ยังงัยละท่านพี่โฮ เห็นสาวสวยๆล่อตาล่อใจแต่งตัวเซกซี่ ผัสสะกระทบลูกตาปุ๊บ สมองมันกะแล่นปี๊ด หันควับไปเลย :b22: ชะอ้าว..หลงใหลไปกับรูปลักษณ์อีกแล้ว ท่องไว้เจ้าค่ะ สาวคนนั้นมะใช่ของกูสาวคนนี้ก็มะใช่ของกู ไม่มีใครเป็นของกูเลย (เด่วอีกหน่อยก็แก่ หนังเหี่ยว นานยม) ว่าแต่ท่านพี่โฮ อินทรีย์แกร่งกล้าพอรึยังเจ้าค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


อาจจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า

ถ้าความพอใจ-ไม่พอใจในเวทนานั้น ๆ ดับไป
การแสวงหาผัสสะใดเพื่อให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น หรือไม่ให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น
ก็ไม่มี
แต่ผัสสะนั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
และเวทนานั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
แต่ไม่ได้เกิดด้วยตัณหาราคะ
แต่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัย ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป

:b12: :b8:


ผัสสะ ดับหมด โลก ก็ดับ แต่ผัสสะที่มีวิชชา(วิชชาผัสสะ) (รู้ตามความจริงทั้งแง่โลกุตรธรรมและโลกียธรรม) จะสามารถตัดวงจรสมุปบาทได้ และยัง สามารถทำ ธรรม=หน้าที่ ในโลกียธรรมได้อย่าง สมบุรณ์
เพราะเริ่มต้นด้วย ผัสสะ+อวิชชา =อวิชชาผัสสะ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกข์ เมื่อสายไหลแล้วก็ต้อง ดับเมื่อสติมาแล้วนำธรรม ต่างๆมาตัด (ซึ่งมักจะมาไม่ทัน) ก็เกิดทุกข์ จึงใช้จิต ไปรู้ทุกข์ และจิตจะเห็นจิต ที่กระโดดไปที่ หูตาจมูกลิ้นกาย แล้ว ไปจิต ไปคิด เกิด กระบวนการ ขันธ์5 จนเกิด ตัณหา แล้วเอาไป อุปทาน จน...........
วงรอบของการเกิดขันธ์5 (คำว่าเกิดในภาษาธรรม หมายถึง การทำหน้าที่ จะไม่เรียกว่าเกิด หากเพียงแค่ มีอยู่แต่ไม่ทำหน้าที่) จะอยู่ในสายของ ปฏิจจสมุปบาท
ปัจจยาการแม่เพียงอาการเดียวก็ยังตรัส เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (อิทิปปัจจยตา)
แม้แสดงเพียงผัสสะให้เกิดเวทนาก็ยังเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

น่าจะใช่มั้ยหว่า
สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 00:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:

น่าจะใช่มั้ยหว่า
สาธุ :b8: :b8: :b8:


:b10:

อิอิ ช่างหันมาถามคนปิดตาตีหม้อได้

:b32: :b32:

อิอิ เอกอนไม่รู้
เอกอนปิดตาตีหม้ออยู่

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


อาจจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า

ถ้าความพอใจ-ไม่พอใจในเวทนานั้น ๆ ดับไป
การแสวงหาผัสสะใดเพื่อให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น หรือไม่ให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น
ก็ไม่มี
แต่ผัสสะนั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
และเวทนานั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
แต่ไม่ได้เกิดด้วยตัณหาราคะ
แต่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัย ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป

:b12: :b8:

เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา...จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า...ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน
ซึ่งหมายความว่า รูปนั้นอารมณ์นั้นไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์แห่งกิเลสกามแล้ว
ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
ไม่ใช่เพราะเวทนา ดับก่อนแต่ประการใด
ในขณะจิตที่เกิดก่อนนั้น เวทนาดับ ตัณหาดับ ตัณหาดับ อุปาทานดับ
ในขณะจิตที่ตามมาภายหลัง ความดับแห่งผัสสะ จึงไม่ใช่เกิดเพราะความดับแห่งเวทนาของจิตที่เกิดก่อนแต่ประการใด แต่ดับเพราะความรู้ที่เกิดแล้ว ญาณ อันเป็นวิบากให้ผล
ดังนั้น ในขณะที่จิตที่ตามมาภายหลังจึงประกอบด้วยญาณ อันเป็นเหตุให้ผัสสะนั้นดับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ความหมายของคำว่ารู้ ไม่ได้หมายถึง การบังคับไม่ให้มันเกิด
ที่ว่ารู้ ก็คือรู้ ขบวนการขันธ์ห้า รู้อายตนะสิบสอง
สรุปก็คือ รู้ผลที่เกิดและรู้เหตุที่ทำให้เกิด
เมื่อมีเหตุแล้วเราไม่สามารถบังคับไม่ให้เกิดผลย่อมเป็นไปไม่ได้
เมื่อเกิดผัสสะขึ้น กระบวนการขันธ์ย่อมเกิดขึ้นและมาจบที่สังขารขันธ์
อาจจะจบที่จิตสังขาร วจีสังขารหรือกายสังขารแล้วแต่บุคคล

โฮฮับ จะอ่านทั้งทีก็ควรจะอ่านให้ละเอียดละออ
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัย แก่สังขาร...

สัตว์(ผู้ข้องในภพ 3) คือจิตที่เจือไปด้วยอวิชชา สัตว์นี้เมื่อประสพกับอารมณ์ ย่อมหน่วงรั้งเอาอารมณ์นั้นมาปรุงแต่งประกอบกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง...
นี่เป็นห่วงแรก มีต้นคืออวิชชา มีปลายคือสังขาร กองทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดขึ้น
เมื่ออวิชชาดับ สังขารจึงดับ
คือเมื่อรู้ เมื่อสัตว์นั้น ได้แล้วซึ่งวิชชา เป็นผู้รู้ผู้เห็น คือวิมุติญาณทัสสนะ ย่อมไม่หน่วงเอาอารมณ์นั้นมาปรุงแต่งประกอบกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ


มีแต่ผู้รู้ผู้เห็น ผู้บรรลุอรหัตผลแล้ว จึงดับอวิชชาได้
ผู้ทรงอรหัตผล ย่อมไม่หน่วงอารมณ์นั้นไว้ในจิตปรุงแต่งประกอบกรรม จิตของท่านหลุดพ้นแล้ว อวิชชาดับแล้ว ทุกขณะจิตที่ท่านดำเนินไปในขณะที่ยังมีวิบากแห่งขันธ์เหลืออยู่ ท่านอยู่ด้วยวิชชา วิมุตติ การกระทำของท่านเป็นกิริยา ไม่ถูกต้องแล้วด้วยอวิชชาแต่ประการใด
ดังนั้น อรหันตบุคคลทรงจิตอยู่ในอรหัตผล ย่อมดับอวิชชาทุกขณะจิต เป็นผู้รู้ผู้เห็น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 03:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
การจะเข้าใจปฏิจจสมุบาทได้ จะต้องมีความเข้าใจถึงกระบวนการขันธ์ห้าเสียก่อน
เพราะการจะแทงตลอดปฏิจจสมุบาทได้ มันต้องอาศัยกระบวนการขันธ์ห้า
เฉกเช่นการจะรู้อริยสัจจ์สี่ต้องรู้ที่รูปนามหรือที่กายใจ

การศึกษาปฏิจสมุปบาท
เมื่อพิจารณาดูหลักคำสอน จะเห็นเรื่อง ผัสสะ อายตนะ เป็นหลักในการทำความเข้าใจ
เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและอธิบายเพื่อทำความเข้าใจได้ง่าย
บ่อยครั้งมากที่การแสดงธรรมจะเริ่มจากเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไล่เรียงไปสู่เรื่องที่ละเอียดขึ้นๆ
เช่น
การแสดงธรรมไล่เรียงจาก ชรามรณะ ฯลฯ มีชาติเป็นปัจจัย แสดงไล่ไปสู่ สังขาร มีอวิชชาเป็นปัจจัย
ส่วนเรื่องขันธ์5 ไม่ทรงแสดงไว้ในปฏิจสมุปบาท ด้วยเหตุว่าพระองค์แสดงถึงกองทุกข์ทั้งมวลเกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งขันธ์5 ไม่ใช่กองทุกข์ แต่ปัญจุปาทานขันธ์จึงเป็นกองทุกข์ การแสดงปฏิจสมุปบาท จึงแสดงอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา อุปาทาน ภพ ชาติ และกองทุกข์ ซึ่งเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ก็จะเข้าใจขันธ์ 5 ไปด้วย เพราะต้องทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน
การเรียนรู้ ธรรม จึงควรจะเป็นผู้ฉลาดใน ปฏิจสมุปบาท อายตนะ ธาตุ ในฐานะและอฐานะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 04:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจสมุปบาท มีการอธิบายเป็น สองลักษณะ
คือปฏิจสมุปบาท ที่อธิบาย สมุทยวาร คือเหตุปัจจัย ที่เป็นข้างเกิด
และ ปฏิจสมุปบาท ที่อธิบาย นิโรธวาร คือ ความดับเหตุปัจจัย เป็นข้างดับ

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ตัดวงจรปฏิจสมุปบาท
เพราะปฏิจสมุปบาทเป็น ธรรมที่เป็นไปโดยเหตุปัจจัย

ไม่มีพระสุตรไหน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตัดวงจรปฏิจสมุปบาท
มีแต่คนชั้นหลัง พูดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ ทั้งนั้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ จะอ่านทั้งทีก็ควรจะอ่านให้ละเอียดละออ
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัย แก่สังขาร...

อ่านละเอียดแล้ว มันผิดหลักปฏิจจ์ฯและอิทัปปัจยตา การอธิบายความของคุณ
มันผิดหลักมันเหมือนการติดเอาเอง หยิบโน้นนิดนี่หน่อยมาผสมกัน และที่ไม่น่าเชื่อถือ
ก็คือพยายามจะทำให้ พระอรหันต์เป็นผู้วิเศษ แท้จริงแล้วท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา
เพียงแต่คุณสมบัติท่านมีมากกว่าเราในเรื่อง ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

แค่คุณบอกว่าดับอวิชา ก็เข้าใจได้เลยว่า คนพูดคือคนที่อ่านเรื่องปฏิจจ์
แล้วเอามาพูดโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในความหมายของอวิชาเป็นอย่างไร
ผู้พูดก็ยังไม่รู้

ปฏิจจสมุบาทและอิทัปปัจจยตา เป็นกฎแห่งธรรมชาติ
เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่เราสามารถเฝ้ามองมันเฉยๆ
โดยไม่ให้เราคล้อยตามมัน ความหมายก็คืออย่าไปยึดมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้น
เช่นนั้น เขียน:
สัตว์(ผู้ข้องในภพ 3) คือจิตที่เจือไปด้วยอวิชชา สัตว์นี้เมื่อประสพกับอารมณ์ ย่อมหน่วงรั้งเอาอารมณ์นั้นมาปรุงแต่งประกอบกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง...
นี่เป็นห่วงแรก มีต้นคืออวิชชา มีปลายคือสังขาร กองทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดขึ้น
เมื่ออวิชชาดับ สังขารจึงดับ

อะไรของคุณครับ ต้นอวิชา ปลายคือสังขาร ลองมองดูตัวเองก่อนครับ"คุณเช่นนั้น"
ที่คุณกำลังพูดจ่อยๆอยู่นี่ มันเกิดจากอะไรถ้าไม่ใช่รูปนาม อยู่กับปัจจุบันหน่อยครับ
ขณะนี้เราอยู่กับรูปนามแล้ว มันเลยสิ่งที่คุณว่ามาแล้ว ผมว่าอย่าไงก็รอให้มันมรณะซะก่อนไม่ดีหรือ
อย่าใจร้อนครับ :b32:

อีกอย่างครับ ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าอวิชาให้ดีก่อนครับ
ไม่ใช่ว่าไม่มีอวิชาแล้วอะไรๆจะดับ วงปฏิจจ์เมื่อมีวิชชาแล้ว จะดับต้องดับทั้งวง
นั้นก็คือต้นคือรูปนาม ปลายคือมรณะ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
[มีแต่ผู้รู้ผู้เห็น ผู้บรรลุอรหัตผลแล้ว จึงดับอวิชชาได้
ผู้ทรงอรหัตผล ย่อมไม่หน่วงอารมณ์นั้นไว้ในจิตปรุงแต่งประกอบกรรม จิตของท่านหลุดพ้นแล้ว อวิชชาดับแล้ว ทุกขณะจิตที่ท่านดำเนินไปในขณะที่ยังมีวิบากแห่งขันธ์เหลืออยู่ ท่านอยู่ด้วยวิชชา วิมุตติ การกระทำของท่านเป็นกิริยา ไม่ถูกต้องแล้วด้วยอวิชชาแต่ประการใด
ดังนั้น อรหันตบุคคลทรงจิตอยู่ในอรหัตผล ย่อมดับอวิชชาทุกขณะจิต เป็นผู้รู้ผู้เห็น

โบราณครับ พูดธรรมแบบนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องหรอกครับ ผมว่าตัวผู้พูดก็ไม่เข้าใจ
ในสิ่งที่พูดด้วย

พระอรหันต์ท่านไปดับอวิชาอะไรตรงไหนครับ การปฏิบัติของพระอรหันต์ได้มาจาก
ขั้นตอนของรูปนาม วิชชามันเกิดที่รูปนาม มันไม่ได้เกิดที่ อวิชา

สิ่งที่พระอรหันต์ดับได้ก็คือสังโยชน์สิบ สังโยชน์สิบเป็นเหตุปัจจัย
แห่งความยึดมั่นถือมั่นของวงปฏิจจ์ทั้งวง


ฉะนั้นบอกกล่าวไว้เลยครับ เราอย่ามาดูที่วงปฏิจจ์ เพราะวงปฏิจจ์ไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ
การปฏิบัติมันอยู่ที่กระบวนการขันธ์ห้า ขั้นแรกคือ รู้อริยสสัจจ์สี่
ขั้นตอนต่อมาก็คือปฏิบัติให้ได้มรรคแปด เมื่อได้ก็จะรู้อวิชาอีกสี่ตัวที่เหลือ นั้นก็คือ รู้อดีต
รู้อนาคต รู้อดีตและอนาคต ที่สำคัญที่สุดจะรู้ปฏิจจสมุบาทครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
จะดับได้ยังงัยละท่านพี่โฮ เห็นสาวสวยๆล่อตาล่อใจแต่งตัวเซกซี่ ผัสสะกระทบลูกตาปุ๊บ สมองมันกะแล่นปี๊ด หันควับไปเลย :b22: ชะอ้าว..หลงใหลไปกับรูปลักษณ์อีกแล้ว ท่องไว้เจ้าค่ะ สาวคนนั้นมะใช่ของกูสาวคนนี้ก็มะใช่ของกู ไม่มีใครเป็นของกูเลย (เด่วอีกหน่อยก็แก่ หนังเหี่ยว นานยม) ว่าแต่ท่านพี่โฮ อินทรีย์แกร่งกล้าพอรึยังเจ้าค่ะ :b32:

ก็พี่โฮรู้ไง ว่าผัสสะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่โฮเลยต้องด่ายัยเสมียน
ว่าอย่าแต่งตัวโป้ เห็นแล้วต้องมายุบหนอพองหนอ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
จะดับได้ยังงัยละท่านพี่โฮ เห็นสาวสวยๆล่อตาล่อใจแต่งตัวเซกซี่ ผัสสะกระทบลูกตาปุ๊บ สมองมันกะแล่นปี๊ด หันควับไปเลย :b22: ชะอ้าว..หลงใหลไปกับรูปลักษณ์อีกแล้ว ท่องไว้เจ้าค่ะ สาวคนนั้นมะใช่ของกูสาวคนนี้ก็มะใช่ของกู ไม่มีใครเป็นของกูเลย (เด่วอีกหน่อยก็แก่ หนังเหี่ยว นานยม) ว่าแต่ท่านพี่โฮ อินทรีย์แกร่งกล้าพอรึยังเจ้าค่ะ :b32:

ก็พี่โฮรู้ไง ว่าผัสสะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่โฮเลยต้องด่ายัยเสมียน
ว่าอย่าแต่งตัวโป้ เห็นแล้วต้องมายุบหนอพองหนอ :b32:



ผมก็ว่า ถูกต้อง นา ครับ ผัสสะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบ100% แต่เช่น เรา สามารถ หลีกหลบไม่ให้เกิด หรือ หากเกิดแล้ว ก็ให้ สักว่า เสีย หาก สักว่า ไม่ได้ ก็นำธรรมมา พิจารณาให้คลายลง

ใช่มั้ยครับ
:b1: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การจะเข้าใจปฏิจจสมุบาทได้ จะต้องมีความเข้าใจถึงกระบวนการขันธ์ห้าเสียก่อน
เพราะการจะแทงตลอดปฏิจจสมุบาทได้ มันต้องอาศัยกระบวนการขันธ์ห้า
เฉกเช่นการจะรู้อริยสัจจ์สี่ต้องรู้ที่รูปนามหรือที่กายใจ

การศึกษาปฏิจสมุปบาท
เมื่อพิจารณาดูหลักคำสอน จะเห็นเรื่อง ผัสสะ อายตนะ เป็นหลักในการทำความเข้าใจ
เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและอธิบายเพื่อทำความเข้าใจได้ง่าย
บ่อยครั้งมากที่การแสดงธรรมจะเริ่มจากเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไล่เรียงไปสู่เรื่องที่ละเอียดขึ้นๆ
เช่น
การแสดงธรรมไล่เรียงจาก ชรามรณะ ฯลฯ มีชาติเป็นปัจจัย แสดงไล่ไปสู่ สังขาร มีอวิชชาเป็นปัจจัย
ส่วนเรื่องขันธ์5 ไม่ทรงแสดงไว้ในปฏิจสมุปบาท ด้วยเหตุว่าพระองค์แสดงถึงกองทุกข์ทั้งมวลเกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งขันธ์5 ไม่ใช่กองทุกข์ แต่ปัญจุปาทานขันธ์จึงเป็นกองทุกข์ การแสดงปฏิจสมุปบาท จึงแสดงอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา อุปาทาน ภพ ชาติ และกองทุกข์ ซึ่งเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ก็จะเข้าใจขันธ์ 5 ไปด้วย เพราะต้องทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน
การเรียนรู้ ธรรม จึงควรจะเป็นผู้ฉลาดใน ปฏิจสมุปบาท อายตนะ ธาตุ ในฐานะและอฐานะ



นี้ก็ทางเดียวกันทั้ง 2 ท่านนะ ผมว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยอธิบายผัสสะชัดๆหน่อยขอรับ หมายถึงอะไรขั้นตอนไหนจึงเรียกว่าผัสสะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร