วันเวลาปัจจุบัน 22 ส.ค. 2025, 06:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไหนล่ะ พุทธดำรัส แสดงให้สาวกเจริญไตรลักษณ์จนเป็นสัมมาทิฏฐิ
และ พุทธดำรัส แสดงว่า สัมมัมปธาน 4 มีสภาวะไตรลักษณ์ หรือสัมมาทิฏฐิเป็นอารมณ์


โฮฮับ ....อย่าแถ ไปนู่นไปนี่.....ยกพุทธพจน์ออกมา

๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


*อ่านแล้วใช้สมองคิดตามไปด้วย ดูที่เนื้อหา
อย่าหาบัญญัติที่ตัวเองเคยอ่านแต่อย่างเดียว
ถ้าจนปัญญาก็ถามกลับมาว่า
ไม่เข้าใจตรงไหนยินดีตอบให้


ยกพระสูตรมาสนับสนุนความเห็นผิดๆ ว่าขอให้ได้เห็นไตรลักษณ์ก่อนจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ
อ่านให้ดี ศึกษาให้ดี ว่าปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ตรงต่อความพ้นทุกข์ คืออะไร

Quote Tipitaka:
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.


เป็นพระธรรมเทศนาที่ตรัสสอนแก่สาวก ประจำๆ
เพื่อให้แทงตลอดสมุทย อริยสัจจ์ได้
Quote Tipitaka:
ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้
เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

ไม่ใช่แทงไตรลัษณ์ เพราะไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรให้แทงตลอด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 13:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd138_resize.jpg
dd138_resize.jpg [ 50.27 KiB | เปิดดู 4634 ครั้ง ]
:b12:
"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

คุณโฮฮับนี่ยึดแน่นจริงๆ เห็นผิด ยึดผิด ตีความพระสูตรมาผิดๆ แล้วมาพยายามชักจูงผู้ไม่รู้ให้เห็นผิดตาม จึงมีวาทะกับเขาไปทั่วทั้งลาน ขนาดท่านเช่นนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ยังเอาแทบไม่อยู่ พระเจ้าพระสงฆ์มาช่วยรักษาลานให้อยู่ในกรอบแห่งธรรมยังรั้งไม่ได้ไปจ้วงจาบท่านอีก"
ถึงเวลาแล้วมั่งปู่ที่จะต้องกลับไปทบทวนพุทธภาษิตดังยกมาข้างต้นเสียใหม่หลายๆรอบนะครับ

:b8:
อริยมรรคมีองค์แปด คือทางดำเนินหรือวิธีปฏิบัติไปให้ถึงความเป็นอริยะ

มิใช่ถึงความเป็นอริยะแล้วจึงค่อยมาเดินบนทางแห่งมรรค 8 ถึงอริยะสัมมาทิฏฐิเต็มมาก่อนโดยไม่อาศัยมรรค 8 นี่เป็นสัทธรรมปฏิรูปจริงๆอันตรายแท้และน่ากลัวมาก

:b27:
ผมสังเกตการณ์มาหลายกระทู้และจนถึงหน้าสุดท้ายของกระทู้นี้จึงขออนุญาตแทรกเข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหนึ่ง เชิญสนทนากับท่่านเช่นนั้นต่อนะครับ
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

คุณโฮฮับนี่ยึดแน่นจริงๆ เห็นผิด ยึดผิด ตีความพระสูตรมาผิดๆ แล้วมาพยายามชักจูงผู้ไม่รู้ให้เห็นผิดตาม จึงมีวาทะกับเขาไปทั่วทั้งลาน ขนาดท่านเช่นนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ยังเอาแทบไม่อยู่ พระเจ้าพระสงฆ์มาช่วยรักษาลานให้อยู่ในกรอบแห่งธรรมยังรั้งไม่ได้ไปจ้วงจาบท่านอีก"
ถึงเวลาแล้วมั่งปู่ที่จะต้องกลับไปทบทวนพุทธภาษิตดังยกมาข้างต้นเสียใหม่หลายๆรอบนะครับ

:b8:
อริยมรรคมีองค์แปด คือทางดำเนินหรือวิธีปฏิบัติไปให้ถึงความเป็นอริยะ

มิใช่ถึงความเป็นอริยะแล้วจึงค่อยมาเดินบนทางแห่งมรรค 8 ถึงอริยะสัมมาทิฏฐิเต็มมาก่อนโดยไม่อาศัยมรรค 8 นี่เป็นสัทธรรมปฏิรูปจริงๆอันตรายแท้และน่ากลัวมาก

:b27:
ผมสังเกตการณ์มาหลายกระทู้และจนถึงหน้าสุดท้ายของกระทู้นี้จึงขออนุญาตแทรกเข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหนึ่ง เชิญสนทนากับท่่านเช่นนั้นต่อนะครับ
onion

แน่ะ!พอได้พวกก็โผล่ศีรษะออกมาเลยน่ะ ปากกล้าขาสั่นจริง :b13:

มาเที่ยวชี้หน้าคนโน้นคนนี้ สัทธรรมปฏิรูปหัดละอายใจบ้างนะ
ตอนแรกก็ว่าผมนั่งเทียนเขียนบ้างล่ะ ว่าสัทธรรมปฏิรูปบ้างล่ะ
แต่พอเราเอาพุทธพจน์มากางให้ดู ดันแถเถือกซะหนังกำพร้าทะลอก
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จะยกพระสูตรมาอธิบายทั้งที ก็ยกผิดๆถูกๆ
พระพุทธองค์แสดง องค์ธรรมทั้ง 8 แห่งอริยมรรค และ..ทำความเข้าใจต่อไปตามพุทธดำรัส
ในข้อนี้ให้ดี
Quote Tipitaka:
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ [u]ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์[/u] ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคฯ

โฮฮับ น้อมนำพระสูตรมาปฏิบัติ มาพิจารณาใคร่ครวญตาม ใส่ใจให้ดี

แล้วยังไงล่ะ ไม่คิดจะอธิบายความเลยหรือ อย่ามั่วนิ่มซิครับมันไม่งาม
บอกมาซิว่าความเห็นผมผิดตรงไหน แล้วความเห็นคุณถูกตรงไหน
หรือแปลได้แต่บัญญัติ อธิบายความไม่เป็น ถ้าอธิบายไม่ได้
ก็กรุณาโพสลิ้งที่มาที่ไปให้ด้วย หัดมีมรรยาทหน่อยนะครับ
เดี๋ยวผมก็ว่า นั่งเทียนจ้อหรอกครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
[
Quote Tipitaka:
[๕๘๘] วิราคะเป็นมรรค วิมุติเป็นผล วิราคะเป็นมรรคอย่างไร ฯ
ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ย่อมคลายจากมิจฉา-
*ทิฐิ จากกิเลสอันเป็นไปตามมิจฉาทิฐินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก
วิราคะ (มรรค) มีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามา
ประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ

วิราคะในคำว่าวิราโค นี้มี ๒ คือ
นิพพานเป็นวิราคะ ๑
ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑
เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ
เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่
ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคอันมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศ
เป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือ
ลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ


หรือโฮฮับ ยังดันทุรังต่อไปอีก

ไม่ดันทุรังหรอกครับ เอาลิ้งมาให้ผมแล้วผมจะอธิบายให้สมาชิกฟังให้เองครับ
เขาให้ร้องเพลง ดันผิวปากเป็นทำนองเพลงอยู่ได้
คุณเช่นนั้น ถามหน่อยครับคุณมีลิ้นหรือเปล่า :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไหนล่ะ พุทธดำรัส แสดงให้สาวกเจริญไตรลักษณ์จนเป็นสัมมาทิฏฐิ
และ พุทธดำรัส แสดงว่า สัมมัมปธาน 4 มีสภาวะไตรลักษณ์ หรือสัมมาทิฏฐิเป็นอารมณ์


โฮฮับ ....อย่าแถ ไปนู่นไปนี่.....ยกพุทธพจน์ออกมา

๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


*อ่านแล้วใช้สมองคิดตามไปด้วย ดูที่เนื้อหา
อย่าหาบัญญัติที่ตัวเองเคยอ่านแต่อย่างเดียว
ถ้าจนปัญญาก็ถามกลับมาว่า
ไม่เข้าใจตรงไหนยินดีตอบให้


ยกพระสูตรมาสนับสนุนความเห็นผิดๆ ว่าขอให้ได้เห็นไตรลักษณ์ก่อนจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ
อ่านให้ดี ศึกษาให้ดี ว่าปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ตรงต่อความพ้นทุกข์ คืออะไร
[quote-tipitaka]

เอ! คุณนี่เริ่มงอแงเป็นเด็กแล้วนะครับ ก็มากล่าวหาผมว่า "นั่งเทียนเขียน"
จะเอาที่มาของพุทธพจน์ ผมก็เอามาให้ดูแล้ว นี่พาลพาโลอีกแล้ว

ผมจะแนะนำอะไรให้เล็กน้อยครับ ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นน่ะ
มันเป็นการพูด การอ่านเอา มันจึงดูสะดวกง่ายดาย อ่านพระสูตรจบบทคุณก็นิพพานได้แล้ว
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ อริยมรรคแต่ละองค์มีธรรมประกอบนะครับ ที่สำคัญ
ต้องปฏิบัติด้วย และผู้ปฏิบัติคือจิตนะครับ ไม่ใช่สมอง อยากหัวร่อให้ฟันร่วง
สัมมาทิฐิพี่เช่นนั้นเล่นคิดเอาหน้าตาเฉย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.


เป็นพระธรรมเทศนาที่ตรัสสอนแก่สาวก ประจำๆ
เพื่อให้แทงตลอดสมุทย อริยสัจจ์ได้

พูดจากำกวม เหมือนเจ้าสำนักเก่าๆที่ชอบเอาบัญญัติมาจ้อ
ให้ลูกศิษย์เคลิบเคลิ้ม

คุณเช่นนั้นครับ ถ้าคุณไม่เป็นอย่างที่ผมพูด
กรุณาอธิบายความหน่อยว่า ประโยคที่คุณกล่าวว่า เอามาแทงสมุทัยอริยสัจจ์ได้
ถามครับแทงอย่างไร
:b13:

เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้
เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

ไม่ใช่แทงไตรลัษณ์ เพราะไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรให้แทงตลอด

แล้วไง ความรู้ของคุณเล่นอ่านเอาหน้าตาเฉยเลยรึ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
จะยกพระสูตรมาอธิบายทั้งที ก็ยกผิดๆถูกๆ
พระพุทธองค์แสดง องค์ธรรมทั้ง 8 แห่งอริยมรรค และ..ทำความเข้าใจต่อไปตามพุทธดำรัส
ในข้อนี้ให้ดี
Quote Tipitaka:
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ [u]ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์[/u] ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคฯ

โฮฮับ น้อมนำพระสูตรมาปฏิบัติ มาพิจารณาใคร่ครวญตาม ใส่ใจให้ดี

แล้วยังไงล่ะ ไม่คิดจะอธิบายความเลยหรือ อย่ามั่วนิ่มซิครับมันไม่งาม
บอกมาซิว่าความเห็นผมผิดตรงไหน แล้วความเห็นคุณถูกตรงไหน
หรือแปลได้แต่บัญญัติ อธิบายความไม่เป็น ถ้าอธิบายไม่ได้
ก็กรุณาโพสลิ้งที่มาที่ไปให้ด้วย หัดมีมรรยาทหน่อยนะครับ
เดี๋ยวผมก็ว่า นั่งเทียนจ้อหรอกครับ
:b13:


ลิงค์เดียวกับที่ โฮฮับ ลิงค์มาล่ะครับ เคยกดไปอ่านลิงค์ที่โพสต์มา แล้วพิจารณาพระสูตรทั้งฉบับหรือเปล่าครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.


เป็นพระธรรมเทศนาที่ตรัสสอนแก่สาวก ประจำๆ
เพื่อให้แทงตลอดสมุทย อริยสัจจ์ได้

พูดจากำกวม เหมือนเจ้าสำนักเก่าๆที่ชอบเอาบัญญัติมาจ้อ
ให้ลูกศิษย์เคลิบเคลิ้ม

คุณเช่นนั้นครับ ถ้าคุณไม่เป็นอย่างที่ผมพูด
กรุณาอธิบายความหน่อยว่า ประโยคที่คุณกล่าวว่า เอามาแทงสมุทัยอริยสัจจ์ได้
ถามครับแทงอย่างไร
:b13:

เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้
เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

ไม่ใช่แทงไตรลัษณ์ เพราะไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรให้แทงตลอด

แล้วไง ความรู้ของคุณเล่นอ่านเอาหน้าตาเฉยเลยรึ :b13:

พุดจาไม่กำกวมหรอกครับ
พระพุทธองค์แสดงธรรมแก่สาวก ทั้งหลาย ให้พิจารณาอย่างนั้น ไม่ใช่พิจารณาไตรลักษณ์แบบลอยๆ เช่นโฮฮับ เขียนเองครับ
อ่านลิงค์ที่แจกไป สองลิงค์แล้วหรือยังครับ
มีตรงไหนที่พระองค์บอกให้ เธอจงพิจารณาไตรลักษณ์ ด้วยอุบายเพียงเท่านี้ หรือเปล่า...

สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน คือความรู้ในไตรลักษณ์ มีแสดงไว้ในพระสูตรไหนบ้างครับ

มั่วก็ยอมรับว่ามั่วนะครับ โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ผมจะแนะนำอะไรให้เล็กน้อยครับ ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นน่ะ
มันเป็นการพูด การอ่านเอา มันจึงดูสะดวกง่ายดาย อ่านพระสูตรจบบทคุณก็นิพพานได้แล้ว
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ อริยมรรคแต่ละองค์มีธรรมประกอบนะครับ ที่สำคัญ
ต้องปฏิบัติด้วย และผู้ปฏิบัติคือจิตนะครับ ไม่ใช่สมอง อยากหัวร่อให้ฟันร่วง
สัมมาทิฐิพี่เช่นนั้นเล่นคิดเอาหน้าตาเฉย


การอ่านพระสูตร การทรงจำพระสูตร เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่การบรรลุสัจจะครับ
เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญาด้วยครับ
เมื่อเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญา จึงเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่สัมมาทิฏฐิด้วยครับ

อริยมรรค แต่ละองค์ธรรม มีองค์ประกอบ มีการปรุงแต่งขึ้นในจิต ค่อยมีค่อยเป็น
แต่ผู้ชี้ทางผู้ให้ความรู้ว่าปรุงแต่งอย่างไรจึงถูกต้อง คือพระศาสดา
และเราผู้เดินตาม ก็มีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จตามนั้น ไม่อาจเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจเช่น
ต้องเห็นไตรลักษณ์จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เพราะ จิตวิมุติหลุดพ้น จากอาสวะ ไม่จำเป็นต้องเห็นไตรลักษณ์ก็ได้ หรือเห็นก็ได้
พระพุทธองค์ จึงเน้น
ว่า
นั่นไม่ใช่เรา
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอรหัตมรรค เพื่อให้สาวกพิจารณาตาม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
[
Quote Tipitaka:
[๕๘๘] วิราคะเป็นมรรค วิมุติเป็นผล วิราคะเป็นมรรคอย่างไร ฯ
ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ย่อมคลายจากมิจฉา-
*ทิฐิ จากกิเลสอันเป็นไปตามมิจฉาทิฐินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก
วิราคะ (มรรค) มีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามา
ประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ

วิราคะในคำว่าวิราโค นี้มี ๒ คือ
นิพพานเป็นวิราคะ ๑
ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑
เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ
เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่
ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคอันมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศ
เป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือ
ลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ


หรือโฮฮับ ยังดันทุรังต่อไปอีก

ไม่ดันทุรังหรอกครับ เอาลิ้งมาให้ผมแล้วผมจะอธิบายให้สมาชิกฟังให้เองครับ
เขาให้ร้องเพลง ดันผิวปากเป็นทำนองเพลงอยู่ได้
คุณเช่นนั้น ถามหน่อยครับคุณมีลิ้นหรือเปล่า :b13:

โฮฮับ ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ว่า นิพพานเป็นอารมณ์ของ โลกกุตรมรรค
จึงยกพระสูตรให้ โฮฮับ มีความฉลาดขึ้น
หากไม่พิจารณาตามบทพระธรรมแล้ว
มาทางไหนก็กลับทางเดิมตามสบายนะครับ
ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว โฮฮับมีปัญญา ก็อธิบายตามพระสูตรนั้นสิครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
พระสูตร กัจจานโคตตสูตร
ว่าด้วย พระมหากัจจานโคตต์ทูลถามสัมมาทิฏฐิ

[๔๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัจจานโคต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ

[๔๓] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือความมี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบาย อุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบาย และอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้น มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แลกัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ

[๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ... ความเกิดขิ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ยกพระสูตรมาให้อ่านเจ้าค่ะ :b8:


อนุโมทนาสาธุ ครับ Nongkong

ทำวิปัสสนาไปตามบทแห่งปฏิจจสมุปบาทเป็นแม่บท สัจจะทั้งหลายจะเผยตัวออกมาให้เข้าใจเองครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 01 เม.ย. 2012, 20:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สุรวุฒิ เขียน:
พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากโดยประการทั้งปวง พรหมจรรย์จะพึงยั่งยืน ดำรงอยู่ได้นาน ... ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย 5 พละ 5 โำำภชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8


คำถาม: เรียนถาม สัมมัปปธาน 4 คืออะไรครับ

คำตอบ:

พระไตรปิฎก เขียน:
[156] ปธาน 4 (ความเพียร - effort; exertion)
1. สังวรปธาน (เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น - the effort to prevent; effort to avoid)
2. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว - the effort to abandon; effort to overcome)
3. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมี - the effort to develop)
4. อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ - the effort to maintain)

ปธาน 4 นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน 4 (ความเพียรชอบ, ความเพียรใหญ่ - right exertions; great or perfect efforts).

องฺ.จตุกฺก. 21/69/96; 14/20; 13/19.

[url]
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=สัมมัปปธาน
[/url]


พระไตรปิฎก เขียน:
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการนี้
๔ ประการเป็นไฉน คือ สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑
อนุรักขนาปธาน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังวรปธานเป็นไฉน ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร
ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้อกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
นี้เรียกว่า สังวรปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปหานธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้
เพื่อละอกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า ปหานปธาน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ภาวนาปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด
พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้กุศลกรรมที่ยังไม่เกิด
ให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ภาวนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุรักขนาปธานเป็น
ไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร
ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อความดำรงอยู่ เพื่อไม่หลงลืม เพื่อความเจริญยิ่งขึ้น
เพื่อความไพบูลย์ เพื่อเพิ่มพูน เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
นี้เรียกว่า อนุรักขนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการ
นี้แล ฯ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้มีความเพียร พึงถึงความสิ้นทุกข์ได้ด้วย
ปธานเหล่าใด ปธาน ๔ ประการเหล่านี้ คือ สังวรปธาน ๑
ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑ อนุรักขนาปธาน ๑ อัน
พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดง
ไว้แล้ว ฯ


พระไตรปิฎก 21/1990-2012 , 85-86
[url]
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... agebreak=0
[/url]

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วยังไงล่ะ ไม่คิดจะอธิบายความเลยหรือ อย่ามั่วนิ่มซิครับมันไม่งาม
บอกมาซิว่าความเห็นผมผิดตรงไหน แล้วความเห็นคุณถูกตรงไหน
หรือแปลได้แต่บัญญัติ อธิบายความไม่เป็น ถ้าอธิบายไม่ได้
ก็กรุณาโพสลิ้งที่มาที่ไปให้ด้วย หัดมีมรรยาทหน่อยนะครับ
เดี๋ยวผมก็ว่า นั่งเทียนจ้อหรอกครับ
:b13:

ลิงค์เดียวกับที่ โฮฮับ ลิงค์มาล่ะครับ เคยกดไปอ่านลิงค์ที่โพสต์มา แล้วพิจารณาพระสูตรทั้งฉบับหรือเปล่าครับ

น้ำขุ่นๆก็ไปนะ ขี้โคลนเต็มตัวหมดแล้ว ถกธรรมกันเขาไม่มีลูกเล่นเล่ห์เหลี่ยมกันหรอกครับ
คุณถามผมว่าพิจารณาพระสูตรทั้งฉบับหรือเปล่า ย้อนถามหน่อย ธรรมบทเดียวคุณเช่นนั้น
เคยพิจารณาบ้างหรือเปล่า

เล่นเปรียบบัญญัติเอา พระสูตรบทไหนมีบัญญัติที่คล้ายกัน
ก็ยกเอามาอ้างใช่ไม่ใช่ก็ไม่รู้ ดูได้จากไม่ยอมอธิบายความ หรือบางครั้งก็แค่แปล
บัญญัติ


ถามหน่อยครับ ความเห็นนี้คุณโยกโย้ผมหรือเปล่าครับ
หรือว่าไม่รู้ความหมายคำที่ผมพูด ไอ้ทีเวลาคุณต้องการอะไร
ก็ใส่ใหญ่จะเอาให้ได้ ไม่มีเวลาให้ผมไปอุจาระปัสสาวะ
แต่เวลาตัวเองโยกโย้ตีรวน แบบนี้อาการมันฟ้องครับ


ให้โอกาสเอาลิ้งมาใหม่ และให้อธิบายความพระสูตรที่คุณไปตัดแปะมา
จากไหนก็ไม่รู้เพราะไม่ยอมใส่ที่มาที่ไป ถ้าทำไม่ได้ก็บอกมาขี้เกียจรอ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร