วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 11:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 08:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


"FANTASIA"

:b1: น่าเสียดายจริงๆ
ขนาดเห็นความคิดออกมาแล้วน้องเอกอนกลับไม่เอาความเข้าใจมาทำลาย
พยายามคิดปรุงแต่งต่อไปน้องก็ตกลงในหลุมพรางของอวิชชาเสียแล้วละค่ะ

เพราะว่าความคิดนั่นเองเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท เกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย
หากรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของอวิชชาแล้วไม่ว่าความคิดอะไรออกมาก็จะต้องทำลายทันที

เมื่อไม่รู้เท่าทันสังขารจิตและเป้าหมายที่จะไปก็ยังไม่แน่วแน่จึงถูกหลอกให้หลงเอาได้ง่ายๆ นะคะ
การที่ความเข้าใจยังไม่กระจ่างแจ้งก็เป็นเพราะว่ามันติดอยู่ที่ความคิดนั่นเองค่ะ ^^


:b8: :b8: :b8: :b8:

กราบขอบพระคุณพี่แฟนต้าอีกรอบค่ะ

ต่อนี้ไปเอกอนจะทำความรู้ตัวให้มากกว่านี้ค่ะ
เห็นปุ๊บจะรีบนำความเข้าใจจากคำแนะนำพี่แฟนต้าเข้ามาย้ำเตือนนี้....ทำลายทันทีค่ะ

:b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
คุณจางบาง ก็ดูดีแล้ว ว่าที่ตรัสจากพระโอษฐ์หนะ มีอยู่เต็มในพระไตรปิฏกเลยนะ
แต่ที่อธิบาย แตกต่างไปจากนี้ ก็มีแต่ที่แต่งขึ้นมาภายหลังของอรรถกถาเอง

คุณ แฟนตาเซีย จะเชื่อที่มาจาก พระโอษฐ์ หรือที่มาจาก อรรถกถาหละคะ

สำหรับการตีความ แล้วไม่สามารถลงกันได้ตามต้นแบบที่มาจากพระโอษฐ์ ก็เพราะความรู้
ของเรายังไม่ถึงก็ได้นี่คะ เพราะจางบางเจอคนที่เขาอธิบายได้อย่างหมดคำโต้แย้งก็มีคะ

และคุณจางบางเองก็ ขอไม่อธิบายหรอกนะคะ เพราะกลัวจะโดนรุมฉีกเป็นชิ้นๆ
ขอเก็บไว้ในใจเงียบๆดีกว่า

:b55: :b55: :b55:


โถ......คุณจางบางฯ ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะเพราะสิ่งที่จะโดนรุมฉีกเป็นชิ้นๆ ได้นั้นก็มีแต่อัตตาของคุณเท่านั้นเอง

ในเมื่อคุณจางบางฯ ยังไม่อาจเก็บ คห.นี้ไว้ในใจเงียบๆ ได้
ดิฉันก็ขอถือโอกาสนี้แสดง คห.ตอบคงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ

ดิฉันเชื่อที่มาจากพระโอษฐ์ของแท้เท่านั้นค่ะ
ส่วนที่ถูกยัดใส้เข้าไปนั้นดิฉันพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้เป็นไปตามปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์

ถึงแม้หนังสือเล่มนั้นจะตั้งชื่อว่าปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์แต่กลับมีการสอดใส้ คห.ของผู้แต่งแทรกเข้าไปด้วย
ดังนั้นดิฉันจึงให้คุณลองกลับไปพิจารณาดูให้ดีว่าส่วนไหนเป็นปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ของแท้
และส่วนไหนเป็นสิ่งที่ผู้แต่งหนังสือเล่มนั้นพยายามยัดใส้เข้าไป

แต่เห็นได้ชัดว่าคุณจางบางฯ หาไม่เจอหรือไม่สามารถจะแยกแยะออกได้
ดังนั้นดิฉันจึงยกมาให้ดูกันตรงนี้เลยดีกว่านะคะ

และนี้คือส่วนหนึ่งที่ถูกสอดใส่เข้าไปในปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์

กายสังขาร คือ ลมหายใจ
วจีสังขาร คือ วิตก วิจารณ์
จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนาเจตนา ผัสสะมนสิการ


อย่างที่ดิฉันกล่าวไว้ใน คห.ก่อนหน้านี้ว่า.......
หากตีความว่ากายสังขารคือลมหายใจแล้ว
ลองกลับไปไล่วงจรปฏิจสมุปบาทดูใหม่ว่าก่อนหน้านั้นมีร่างกายเกิดขึ้นแล้วหรือยังนะคะ
ก็จะทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการตีความเช่นนั้นไม่เป็นไปตามหลักของปฏิจสมุปบาทค่ะ

:b1: การที่ผู้แต่งหนังสือตีความออกมาเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านยังมีความสับสนอยู่ระหว่างคำว่า กายสังขารในปฏิจสมุปบาท และ กายสังขารที่ใช้กล่าวถึงนิมิตในการทำสมาธิ เป็นการนำคำที่ใช้ในเรื่องหนึ่งมาใช้กับอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ การตีความเช่นนี้จึงไม่อาจลงกันได้กับปฏิจสมุปบาทที่มาจากพระไตรปิฏกของแท้ซึ่งยังไม่ได้แต่งเติม ด้วยความรู้ของผู้ตีความนั้นยังไม่ถึงอย่างที่คุณจางบางฯ กล่าวไว้นั่นแหละนะคะ ทำให้ผู้ศึกษาที่เชื่อถือในครูบาอาจารย์ท่านนั้นคล้อยตามไปด้วย เพราะว่าความรู้ของเขาก็ยังไม่ถึงเหมือนกันนั่นเองค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กระผมว่า...จะเชื่อจากไหนก็ถูกหมด...หากทำให้เราลด ละ เลิก กิเลสราคะตัณหาอุปาทาน..ได้

หากเชื่อแล้ว..ก็ยังลดไม่ได้

ยังจะสำคัญว่า..ความเชื่อนั้นถูกอยู่อีกหรือ


สำหรับคนที่มีปัญญามากพอสามารถเลือกเฟ้นธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิเองได้ก็ไม่ผิดค่ะ
แต่สำหรับคนที่ยังมืดบอดหากเขาไม่ยอมละวางมานะทิฏฐิลงก็คงต้องวนเวียนอยู่แต่กับความเชื่อที่ผิดๆ ของตนต่อไป
แม้จะมีผู้มาชี้ทางสว่างให้เขาก็จะสำคัญว่าความเชื่อที่ผิดๆ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่นั่นเอง
เพราะมานะทิฏิขอเขายังมีมากเสียจนปิดบังปัญญาสัมมาทิฏฐิหมดสิ้นค่ะ :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
FANTASIA เขียน:
eragon_joe เขียน:
หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ

พี่แฟนต้าจ๋า .... อันนี้บังเอิญจริง ๆ
เอกอนเพิ่งเห็นความคิดอันนี้เข้ามาในหัวเมื่อตอนแปรงฟันตอนเช้า อิอิ
ปรากฎแง่นี้ขึ้นมา แต่ก็คิดต่อไม่ออกค่ะ ว่าทำไมถึงไม่ใช่ทั้ง รูป และ นาม คะ

จริง ๆ ตอนเช้าเอกอน ตรึก ๆ อยู่ว่า สังขารในปฏิจ... ตรงนั้น
ไม่น่าจะใช่รูป หง่ะ
แต่ ถ้าไม่ใช่รูป มันก็น่าจะต้องเป็น นาม แต่...ก็ หงึ :b10: :b10:
ยังคลุมเคลือค่ะ
ซึ่งพี่มากล่าวว่า ไม่ใช่ทั้งรูป และ นาม หง่ะ


:b1: น่าเสียดายจริงๆ
ขนาดเห็นความคิดออกมาแล้วน้องเอกอนกลับไม่เอาความเข้าใจมาทำลาย
พยายามคิดปรุงแต่งต่อไปน้องก็ตกลงในหลุมพรางของอวิชชาเสียแล้วละค่ะ

เพราะว่าความคิดนั่นเองเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท เกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย
หากรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของอวิชชาแล้วไม่ว่าความคิดอะไรออกมาก็จะต้องทำลายทันที

เมื่อไม่รู้เท่าทันสังขารจิตและเป้าหมายที่จะไปก็ยังไม่แน่วแน่จึงถูกหลอกให้หลงเอาได้ง่ายๆ นะคะ
การที่ความเข้าใจยังไม่กระจ่างแจ้งก็เป็นเพราะว่ามันติดอยู่ที่ความคิดนั่นเองค่ะ ^^


smiley smiley smiley

ขอบคุณค่ะ การแสดงความเห็นของพี่แฟนต้า
ทำให้เอกอนเห็นแง่มุมที่เคยมองเห็นไม่ถนัด

และคำเตือนสติของพี่ เอกอนกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
:b8: :b8: :b8:
เอกอนจะพยายามระลึกและนำคำแนะนำของพี่ไปทำค่ะ
แต่กระทู้นี้ ขอเอกอนไหลอีกนิดส์ นะคะ เพราะเมื่อเช้าเอกอนตรึกถึงสิ่งนั้นจริง ๆ
เพราะเอกอนเห็นว่า/เข้าใจว่า มันไม่ใช่รูป
แต่การเป็นนาม หรือไม่ใช่นามนั้น ยังเป็นสิ่งที่เหมือนกับว่ามันก่ำ ๆ กึ่ง ๆ อยู่
จนตะกี้ ได้หยิบ ๖. ปัจจยาการวิภังค์ สุตตันตภาชนีย์
และอ่านต่อไปยังวิภังค์บทต่อไป ก็เจอวิภังค์บทนี้ค่ะ

เหตุจตุกกะ
[อวิชชามูลกนัย]
[๒๗๘] สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
วิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามมีวิญญาณเป็นเหตุ
เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
อายตนะที่ ๖ มีนามเป็นเหตุ เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย
ผัสสะมีอายตนะที่ ๖ เป็นเหตุ เกิดเพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย
เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ เกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ เกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ เกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้


ส่วนที่พี่กล่าวว่า
"หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนาม"

ซึ่งในกรณี
เหตุจตุกกะ
[อวิชชามูลกนัย]
[๒๗๘] สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ.......
นี้

กล่าวถึง "นาม" เมื่อมีวิญญาณมีสังขารเป็นปัจจัยแล้ว

:b8: :b8: :b8:

และ สำหรับพระอรหันต์ ท่านไม่มีอวิชาแล้ว..... ดังนั้น :b8: :b8:

กราบขอบพระคุณพี่แฟนต้าอีกครั้ง
สำหรับการสละเวลามาแสดงความคิดเห็นที่กระทู้นี้ค่ะ


:b8: :b8: :b8:


:b8: อนุโมทนาค่ะ อย่าให้เสียเวลาในการปฏิบัติไปมากกว่านี้เลย เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: เท่าที่คุณอธิบาย "สังขาร" มานั้นยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเลยค่ะ
เอาสังขารขันธ์และสังขารในปฏิจสมุปบาทมาบนเปกันจนตนก็ยังสับสนอยู่เนืองๆ

หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ
หากจะอธิบายในแง่ของขันธ์ ๕ การที่คนทั่วไปเข้าใจว่าสังขารเป็นร่างกายนั่นก็ถูกต้องของเขาแล้วละค่ะ

สงสัยคุณจะอ่านในวงปฏิจสมุบาท พอเห็นมีรูปและนามเกิดอยู่ด้วย เลยมาโต้ว่า
สังขารไม่ใช่รูปและนาม อ่านธรรมอย่าอ่านแบบนี้ครับ ขณะที่อ่านต้องทำความเข้าใจ
พิจารณาในรายละเอียดด้วยซิครับ ทุกอย่างในธรรมชาติมันมีแค่รูปกับนามครับ

รูปกับนามในวงปฏิจสมุบาท คุณเข้าใจว่าอะไรหรือครับ
รูปกับนามมันก็คือกาย ที่มีดวงจิตที่ยึดมั่นถือมั่นมาอาศัย ด้วยเหตุปัจจัยก่อนครับ


สังขารขันธ์กับสังขารในวงปฏิจสมุบาท มันก็เหมือนกันเป็นสภาวะเดียวกัน
ที่คุณเห็นว่า มันต่างกันก็เพราะ มันอยู่ในสถานะที่ต่างกัน บ้างครั้งมันเป็น
เหตุให้เกิดผล บางครั้งมันเป็นผลที่เกิดจากเหตุครับ

สังขารขันธ์ เป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียก สภาวะการปรุงแต่งเป็นมวลรวมใหญ่
สังขารในปฏิจสมุบาท เป็นการอธิบายเหตุปัจจัยและผลที่เกิดตามมาของสังขารขันธ์
ยกตัวอย่างครับ มีคนอยู่คนหนึ่งโฮฮับ โฮฮับไปแต่งงานมีครอบครัวมีลูก
ใครก็ต้องเรียกผมว่า คุณพ่อโฮฮับ คุณว่าโฮฮับกับคุณพ่อโฮฮับ มันต่างกันมั้ยครับ
มันเป็นคนละคนกันหรือเปล่าครับ


:b1: สวัสดีค่ะ

คุณโฮฮับอย่าเพิ่งด่วนตัดสินดิฉันด้วยอคติเช่นนั้นเลยนะคะ

นามรูปในวงจรปฏิจสมุปบาทหากจะแยกเป็นขันธ์ ๕ ก็ได้ค่ะ
แต่จะกล่าวว่าสังขารขันธ์กับสังขารในปฏิจสมุปบาทเป็นสภาวะเดียวกันนั้นยังไม่ค่อยตรงนัก

ดังตัวอย่างที่คุณยกมาเปรียบเทียบนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสภาวะของโฮฮับทั้งสองมีความแตกต่างกัน
จากโฮฮับเปลี่ยนสภาวะเป็นคุณพ่อโฮฮับ คนที่มองได้เพียงผิวเผินก็จะเห็นว่ายังเป็นโฮฮับคนเดิม
แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งได้ก็จะสามารถเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนไปได้อย่างชัดเจนทีเดียวค่ะ

ฉะนั้นความเข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่มีความรู้มากเช่นคุณโฮฮับ
หากคุณมีความเข้าใจในปรมัตถ์ก็จะสามารถใช้ความรู้ในบัญญัติได้ถูกต้องตรงทางกว่านี้ค่ะ

เพราะการอาศัยความรู้เพียงอย่างเดียวมาอธิบายข้อธรรมโดยปราศจากความเข้าใจนั้น
นอกจากจะเป็นโทษต่อตนเองแน่ๆ แล้วยังอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทางตามไปด้วย

ส่วนเรื่องรูปกับนามคือกายกับจิตนั้นดิฉันได้แสดง คห.ไว้ชัดเจนแล้วนะคะ
อยู่ในคำตอบที่ดิฉันได้ให้ไว้กับคุณจางบางฯ ก่อนหน้านี้ คุณโฮฮับสามารถเลื่อนกลับไปดูได้ค่ะ

มันจะไปแตกต่างกันตรงไหนครับ มันก็โฮฮับคนเดิม เพียงแต่จากคนๆเดียวต้องมาทำหน้า
เป็นพ่อหรือเป็นปู่

วงปฏิจสมุบาทมันเป็นวงกลมหมุนเวียน ในวงนี้ที่เราต้องพิจารณามันมีสองที่คือ
ในส่วนของสังขารกับในส่วนของรูปนาม ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะเริ่มจากจุดไหน
ของวงกลม ระหว่างสังขารกับรูปนาม

ถ้าเริ่มจากรูปนาม รูปนามก็เป็นโฮฮับถ้าเริ่มจากสังขาร สังขารก็เป็นโฮฮับ
สมมุติว่าเราเริ่มจาก รูปนามเป็นโฮฮับ รูปก็คือร่างกายของโฮ นามก็เป็นในส่วนจิต
ในส่วนจิตหรือนามนี้จะมี สังขารขันธ์ประกอบอยู่ด้วย โดยมวลของจิตปุถุชนจะมีสิ่งที่เรียกว่า
ความยึดมั่นถือมั่นคอบควบคุมอยู่
เมื่อวงปฏิจฯหมุนต่อไปจนไปถึงมรณะ รูปนามต้องแยกจากกัน รูปหรือร่างกายก็จะกลายเป็น
ธาตุสี่ตามธรรมชาติ ส่วนนามหรือจิตก็จะเหลือไว้ในส่วนที่เป็นสังขารขันธ์
สังขารขันธ์ของปุถุชนมันประกอบด้วยอวิชา มันก็คือสังขารตัวถัดจากอวิชาในวงปฏิจฯนั้นแหล่ะ

หรือถ้าจะเอาสังขารในวงปฏิจฯเป็นโฮฮับก็เป็นลักษณะเดียวกัน เพราะมันเป็นวัฏจักรแห่งจิต
หมุนเวียนซ้ำซากเป็นวงกลมของบุคคลคนหนึ่งครับ

ในวงปฏิจสมุบาททั้งวงนั้น อันที่จริงมันก็คือความยึดมั่นถือมั่นครับ
หรือในวงทั้งวงก็คือโฮฮับ หรือโฮฮับก็คืออวิชาที่เดินรอบวงจนกลับมาจุดเดิม


:b1: กรณีนี้แตกต่างกันตรงสภาวะของคนมองค่ะ

คนที่มีสภาวะธรรมสูงกว่าย่อมมองคนที่มีสภาวะธรรมในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าออกว่าเป็นเช่นไร
ส่วนคนที่มีสภาวะธรรมต่ำกว่าย่อมจะไม่สามารถล่วงรู้สภาวะของคนที่มีสภาวะธรรมสูงกว่าได้
และบางคนก็ไม่รู้แม้กระทั่งสภาวะของตนเองว่าตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

วงจรปฏิจสมุปบาทเริ่มจากอวิชชาการพิจารณาก็ต้องเริ่มจากจุดนั้นไล่ไปจนตลอดสายค่ะ
การมาเริ่มพิจารณาจากจุดใดจุดหนึ่งหลังจากนั้นเป็นสังขารจิตที่ออกมาจากอวิชชาของคุณเอง
เพราะไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลของมัน ทำให้คุณยังหลงลูบคลำสังขารจิตนั้นต่อไปเรื่อยๆ
โดยหลงคิดไปว่าเป็นการนำวิชชามาพิจารณาธรรม
ทั้งที่ความจริงแล้วถูกอวิชชาครอบงำอยู่จนโงหัวไม่ขึ้น

ผู้ปฏิบัติมักจะติดอยู่ตรงนี้กันมากเพราะไม่รู้จักสังขารจิต
เมื่อไม่รู้จักจึงหลงตามมันไปได้ง่ายๆ แค่มันเอาความเข้าใจมาล่อก็หลงตามไปเสียแล้วละค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b16: ดิฉันขอใช้คำพูดของคุณย้อนกลับไปนะคะว่า......ก่อนพูดพิจารณาทุกรายละเอียดให้ดีก่อน

ข้อนั้นดิฉันพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้มากมายเช่นเดียวกับคุณนะคะ
ปัจจุบันยังมีผู้ที่เข้าใจว่าสังขารคือร่างกายอยู่ไม่น้อยและหากเขาจะพูดว่าสังขารไม่เที่ยงก็ไม่ผิดอะไร
เพราะสภาวะของร่างกายนั้นมันไม่เที่ยงจริงๆ ขอให้ยอมรับความจริงข้อด้วยค่ะ

ถ้าคุณเข้าใจในปริยัติผิด มันก็จะทำให้ขั้นตอนในการปฏิบัติมันเกิดการสับสนครับ
ที่สำคัญพระพทธองค์ท่านทรงเน้นสอนเรื่องจิตนะครับ
สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดมันเป็นจิตนะครับ มันไม่ใช่ร่างกาย
ร่างกายที่คงสภาพเป็นรูปได้ก็ชาติเดียว ถ้าเป็นชาติภพใหม่มันก็เป็นร่างกายอันใหม่

นี่ขนาดพระธรรมสู้อุตสาห์แยกไว้เป็นสัดส่วนแล้วน่ะว่ารูป ว่านาม
ยังมาผสมปนเปกันอีก


อีกอย่างครับถ้าไม่สามารถอธิบายหาข้อมูลมาอธิบายให้คนอื่นฟังได้
ก็ไม่ควรโมเมเฉไฉไปว่า ไม่ผิด มันจะเกิดผลเสียกับผู้ไม่รู้นะครับ


:b1: จริงๆ แล้วความเข้าใจในปริยัติแทบไม่มีความหมายเลยสำหรับการปฏิบัติเพื่อสลัดทิ้งตัวตนค่ะ

เพราะความเข้าใจเช่นนั้นเป็นเพียงสังขารจิตซึ่งมีอวิชชาเป็นปัจจัยอยู่นั่นเองซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องสลัดทิ้งเช่นกัน

ส่วนความเข้าใจในการปฏิบัติสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้มีเป้าหมายแน่วแน่คือความหลุดพ้น
ไม่ต้องเข้าใจปริยัตล้ำลึกมากมายเพียงแค่รู้ว่าร่างกายกับจิตเป็นของไม่เที่ยง
เป็นเครื่องพันธนาการให้ผูกพันพัวพันอยู่ในสังสารทุกข์
หากรู้ซึ้งถึงใจจริงๆ ความรู้แค่นี้ก็เพียงพอที่จะปฏิบัติต่อไปได้แล้ว

ดิฉันได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าหากมีปัญญาเสียหน่อยแค่เห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ก็จะสามารถนำมาพิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของไตรลักษณ์ได้ค่ะ

:b1: สำหรับเรื่องของจิตนั้นถ้าแค่ร่างกายเป็นของไม่เที่ยงอย่างไรก็ยังเข้าใจไม่ได้
ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นไตรลักษณ์ของจิตทั้งที่ต้องประสบอยู่ตลอดเวลา
แม้ลูกของอวิชชาจะมาปรากฎอยู่ต่อหน้าก็ยังหลงไปว่าเป็นความเข้าใจในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ส่วน คห.เกี่ยวกับสังขารจิตของคุณนั้นยังสับสนอยู่มาก
ความยึดมั่นที่อธิบายมานั้นไม่ใช่สังขารจิตอย่างที่คุณเข้าใจแต่เป็นอุปาทานค่ะ
แสดงว่าสติของคุณเห็นได้แค่อุปาทาน ยังไม่รวดเร็วพอที่จะเห็นสังขารจิตที่เกิดดับก่อนหน้านั้นเลยละค่ะ
หากจะเน้นเรื่องสภาวะธรรมผู้อธิบายก็ควรจะมีความเข้าใจในสมมุติบัญญัติให้ถูกต้องตรงทางเสียก่อนนะคะ
ไม่ใช่เอาบัญญัติเรื่องหนึ่งมาอธิบายปนเปกันกับบัญญัติอีกเรื่องหนึ่งอยู่เช่นนี้
ส่อให้เห็นสภาวะของผู้อธิบายว่ามีความเข้าใจในธรรมน้อยนิดเพียงใด

การศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจแล้ว เราต้องยึดเอาประเด็นหัวข้อธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
ไม่ใช่ไปยึดเอาคำแปลต่างๆในตำราบางเล่ม
คนที่เข้าใจแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาจะสนใจแต่หัวข้อพระธรรม
ส่วนคำแปลไม่ได้อยู่ในสายตาหรอกครับ

จะอธิบายในประเด็นนี้ให้ฟังครับ ในวงปฏิจสมุบาททั้งวง
มันอยู่ภายใต้การบังคับของ "ความยึดมั่นถือมั่น"

และไอ้อุปทานที่คุณบอกว่าเป็น ความยึดมั่นถือมั่น แท้แล้วไม่ใช่ครับ
เพียงแต่ว่า มันถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่นต่างหากครับ

จริงๆแล้วอุปาทานที่คุณว่ามันเป็น "ความหลงหรือโมหะครับ"


:b1: คุณเข้าใจผิดแล้ว............อวิชชาไม่ใช่ความยึดมั่นถือมันนะคะ
แต่................อวิชชาคือความหลงค่ะ ^^

ในวงจรปฏิจสมุปบาทตลอดทั้งสายอยู่ภายใต้การบงการของความหลง
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการปรุงแต่ง
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการรับรู้
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีกายกับจิต
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงอวัยวะรับความรู้สึก
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการกระทบ
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีความรู้สึก
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีความอยาก
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีความยึดมั่นถือมั่น
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการเกิด
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการดำรงอยู่
เพราะมีความหลงเป็นรากเหง้าจึงมีการเสื่อมสลายดับไป

อวิชชาคือความหลงไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่น อย่างที่คุณถูกสังขารจิตหลอกให้เชื่ออยู่นะคะ
ความหลงนั่นเองเป็นรากเหง้าแห่งวงจรปฏิจสมุปบาทและเป็นปัจจัยในปฏิจสมุปบาทตลอดสาย

:b1: สรุปว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้นก็คืออุปาทานซึ่งมีรากเหง้ามาจากความหลงนั่นเองนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วอย่าไปเอ่ยถึงน้องฮานะเขาบ่อย
หรือเข้าข้างจนออกหน้าออกตาแบบนี้
ทำอย่างนี้ชาวบ้านเขาจะว่า คุณเป็นอวตาลหรือนอมินีน้องฮานะเขามานะครับ

:b1: ขอบคุณค่ะ
สำหรับดิฉันไม่สำคัญหรอกค่ะว่าใครจะว่าอย่างไร
แต่ก่อนที่คุณจะมาบอกดิฉันว่าอย่าไปเอ่ยถึงน้องฮานะเขาบ่อยนั้น
คุณควรห้ามใจตนเองให้ได้เสียก่อนดีกว่านะคะ
“ห้ามตนเองยังทำไม่ได้ แต่จะไปห้ามคนอื่น “

คำพูดนี้ดิฉันจำมาจากที่คุณกล่าวกับคุณกามโภคีค่ะ
เพราะฉะนั้นการจะแนะนำใครก็ควรแนะนำในสิ่งที่ตนเองทำได้แล้วดีกว่านะคะ
tongue

ตลกดีครับ เห็นชี้หน้าประนามผมว่า มองอะไรแค่มุมเดียว
พอผมอธิบายให้ฟังว่าผมไม่ได้มองอะไรมุมเดียว ก็มากระแนะกระแหน่อีกว่า
เอาเรื่องหนึ่งมาผสมปนเปกัน มิหน่ำยังกล่าวในทำนองว่าผมไม่เข้าใจธรรม

อพุโถ่! เรื่องมันทำไมหมุนกลับตาลปัตรแบบนี้ครับ

คุณแฟนตาเซียครับ ก่อนจะย้อนชาวบ้านด้วยวาจาที่เสียดสีแบบนี้
ผมว่าคุณควรไปดูเหตุที่มาก่อนนะครับว่าอะไรเป็นอะไร

ในกระทู้ที่คุณไปเอามาอ้าง กลับไปดูให้ดีซิครับว่าผมเป็นคนเริ่มที่จะกล่าวชื่อ
คุณหรือลูกศิษย์คุณหรือครับ ความเห็นของผมกล่าวโดยรวมๆไม่เฉพาะเจาะจงใคร
ทั้งๆที่หัวขอกระทู้ได้กล่าวชื่อนั้นไว้ เนื้อหาที่คุณผมมุ่งตรงไปที่ แอดมินกับจขกทที่
เป็นปัญหานะครับ
ส่วนชื่อแม่นางฮานะ แม่ยอดขมองอิ่มของผมกับคุณกามฯนั้น
เป็นคุณกามฯแกไปเอามาอ้างกับผมเองครับ จนคุณเข้าไปแซวคุณกามแกว่ายังไม่ลืม
แม่น้องนางฮานะ ที่ผมอ้างชื่อน้องเขาก็อ้างไปด้วยเหตุปัจจัยครับ จริงๆแล้วไม่อยากเอ่ย
เพราะเอ่ยที่ไรหัวหมุนติ้วทุกที

อยู่กับพุทโธนะข่ะ กิเลสหนานะข่ะ มิจฉาทิฐินะข่ะ ยังฮาได้อีกข่ะ
พุทโธคือตัวรู้ ตัวรู้คือพุทโธนะข่ะ ยังฮาได้อีกข่ะ
:b23:


:b32: ดิฉันก็ว่าตลกดีค่ะ

ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างน้องฮานะ เพิ่งจะปฏิบัติธรรมมาได้แค่สองปี
สามารถกระชากอัตตาทำให้คุณโฮฮับหัวหมุนติ้วๆ อยู่ได้จนบัดนี้
ขนาดน้องเค้าถูกแบนไปแล้วคุณก็ยังฝังใจ
เพียงแค่ได้เห็นชื่อฮานะก็หวั่นไหวจนทนอยู่ไม่ได้แล้วนะคะ

:b4: มาหัวเราะเยาะกิเลสกันดีกว่า อย่าปล่อยให้มันสนตะพายจูงจมูกอยู่เลยค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
นอกจากพระอรหันต์แล้วทุกคนก็จะต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารอยู่ตลอดเวลา
และจะเห็นไตรลักษณ์ได้เมื่อเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของจิตสังขารนั่นเอง

ผมบอกแล้วว่าค่อยคิดก่อนแล้วจึงแสดงความเห็น แบบนี้มันรีบเสียจนมั่วไปหมดแล้วครับ
ดูแล้วพูดก็ตามสคริปแถมผิดหลักการของธรรมอีก
มันใช่หรือครับที่ว่านอกจากพระอรหันต์แล้ว ทุกคนต้องประสบ
กับความไม่เที่ยงของจิตสังขาร พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ
มันมีแต่พระอรหันต์หรือพระอริยะเท่านั้นครับ ที่ประสบความไม่เที่ยง
ของจิตสังขาร ปุถุชนไม่ได้ประสบครับ มันจึงเกิดการปรุงแต่งไปมากมาย


ก็การปรุงแต่งของจิตปุถุชนอย่างที่คุณว่ามันเกิดการปรุงแต่งไปมากมายนั่นแหละ
เป็นจิตสังขารที่ปุถุชนต้องประสบอยู่ตลอดเวลา แต่พระอรหันต์หามีไม่

ข้อนี้ควรพิจารณาให้ดีนะคะ จิตสังขาร แปลตรงตัวก็คือการปรุงแต่งแห่งจิต นั่นเอง
ผู้ที่ยังต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารนั้นมีทั้งปุถุชนและอริยบุคคลระดับอนาคามีลงมา
ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นเพราะท่านดับอวิชชาหมดสิ้นแล้ว จิตสังขารจึงหมดเชื้อแห่งการเกิดขึ้นแล้ว

แต่ในผู้ที่ยังต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารอยู่นั้น
ต่างก็สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งจิตสังขารได้มากน้อยตามกำลังสติปัญญา
ส่วนผู้ที่มืดบอดจนมองไม่เห็นเลยนั้นก็มีอยู่แถวๆ นี้เองแหละนะคะ

การที่คุณมองไม่เห็นจิตสังขารจึงไม่เห็นความไม่เที่ยงของมันเลยเข้าใจผิดไปไกลว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นให้คุณประสบ
ในเมื่อคุณยังตาบอดอยู่เช่นนี้ต่อให้อนิจจังทุกขังอนัตตาเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าคุณก็มองไม่เห็นค่ะ
และหากยังดื้อรั้นดันทุรังยืนยันในความเข้าใจผิดๆ เช่นนั้นต่อไป
การปฏิบัติของคุณก็จะก้าวหน้าไปในทางแห่งมิจฉาทิฏฐิอย่างถลำลึกไปเรื่อยๆ นะคะ
กว่าจะกลับตัวกลับใจมาดำเนินในอริยมรรคมีองค์แปดได้ก็จะเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดายมากๆ เลย

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


สงสัยไม่เข้าใจเรื่องสัมมาทิฐิเรื่องปัญญา ปัญญามันเกิดจากการได้เห็นสภาวะ
ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของอารมณ์ หรือกล่าวอีกนัยว่า เห็นความไม่เที่ยงของ
จิตสังขาร สิ่งที่ว่านี้จะเกิดเป็นปัญญาของอริยะ

การเห็นจิตสังขารไม่เที่ยง คือการเห็นไตรลักษณ์ที่เป็นอนิจจัง
การเห็นในลักษณะนี้คือเห็นเหตุปัจจัยและดับตามกฎ
การดับของจิตสังขารแบบดับเหตุ จะต้องอาศัยวิชชามาดับ
ในปุถุชนยังขาดวิชชา ยังไม่ดับเหตุมันก็ยังเป็นเชื้อตามหลักของอิทัปปัจยตา

ก็ตามที่คุณบอกมองอะไรมองหลายๆมุมซิครับ


:b1: ขอประทานโทษนะคะดิฉันไม่เคยบอกให้ใครมองอะไรหลายๆ มุมเลยค่ะ
ไม่ทราบว่าคุณโฮฮับไปเอามาจากไหนหรือว่าถูกสังขารจิตคิดปรุงแต่งมันหลอกให้เชื่ออีกแล้ว

ถ้าคุณยังมีความลังเลสงสัยอยู่ก็อย่ามาสอนดิฉันให้เสียเวลาของคุณเลยค่ะ
เอาเวลาเหล่านี้ไปปฏิบัติเพื่อให้เห็นสังขารจิตคิดสงสัยที่เกิดขึ้นมาแล้วดีกว่า
พอมันดับไปจะได้รู้ถึงใจจริงๆ เสียทีว่าสังขารจิตไม่เที่ยงยังไงนะคะ

ปล.ในเมื่อคุณบอกว่า "ปุถุชนยังขาดวิชชา ยังไม่ดับเหตุมันก็ยังเป็นเชื้อตามหลักของอิทัปปัจยตา"
เพราะฉะนั้นปุถุชนเช่นคุณโฮฮับก็ไม่ควรด่วนสรุปว่ากฎไตรลักษณ์ยังไม่เกิดนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ขันธ์5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สังขารธรรม คือ ขันธ์5
ขันธ์5 คือ สังขารธรรม
สังขารธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป
สังขารธรรม คือ จิต(หมายถึงวิญญาณทั้งหมด) เจตสิก(คือเวทนา สัญญา สังขาร) รูป(ก็คือ รูป)

สังขารธรรม บางครั้ง กว่าสั้นๆ ว่า สังขาร...............ทำให้ไปสับสน กับสังขารขันธ์ ที่อยู่ในสังขารธรรมอีกที

การพูดว่า สังขาร บางครั้งจึงหมายถึง สังขารธรรม
บางครั้ง หมายถึง สังขารขันธ์

ส่วน สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท .......................................นั่น ก็ต้องว่ากันไป


ส่วนคำว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

ลงได้ว่า

สังขารขันธ์ ไม่เที่ยง ก็ได้
สังขารธรรม ไม่เที่ยง ก็ได้

แต่ความหมาย คงหมายถึง สังขารธรรม มากกว่า..................ไม่เที่ยง

พูดอีก นัย หนึ่ง ก็คือ ขันธ์5 ไม่เที่ยง


:b1: อนุโมทนาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b8: :b8: :b8:

ขอกราบบูชาคุณพระพุทธองค์
พระองค์สอนธรรมอันลึกซึ้ง และเข้าใจตามได้ยากจริง ๆ


ขอกราบขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้เข้ามาร่วมเสวนาธรรมในกระทู้นี้
ซึ่งเป็นการช่วยต่อเติมแง่มุมในการพิจารณาธรรม....


:b8: :b8: :b8:


:b8: อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 16:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
"FANTASIA"

:b1: น่าเสียดายจริงๆ
ขนาดเห็นความคิดออกมาแล้วน้องเอกอนกลับไม่เอาความเข้าใจมาทำลาย
พยายามคิดปรุงแต่งต่อไปน้องก็ตกลงในหลุมพรางของอวิชชาเสียแล้วละค่ะ

เพราะว่าความคิดนั่นเองเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท เกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย
หากรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของอวิชชาแล้วไม่ว่าความคิดอะไรออกมาก็จะต้องทำลายทันที

เมื่อไม่รู้เท่าทันสังขารจิตและเป้าหมายที่จะไปก็ยังไม่แน่วแน่จึงถูกหลอกให้หลงเอาได้ง่ายๆ นะคะ
การที่ความเข้าใจยังไม่กระจ่างแจ้งก็เป็นเพราะว่ามันติดอยู่ที่ความคิดนั่นเองค่ะ ^^


:b8: :b8: :b8: :b8:

กราบขอบพระคุณพี่แฟนต้าอีกรอบค่ะ

ต่อนี้ไปเอกอนจะทำความรู้ตัวให้มากกว่านี้ค่ะ
เห็นปุ๊บจะรีบนำความเข้าใจจากคำแนะนำพี่แฟนต้าเข้ามาย้ำเตือนนี้....ทำลายทันทีค่ะ

:b8: :b8: :b8: :b8:


:b8: อนุโมทนาค่ะ

ในเมื่อคุณเจ้าของกระทู้หมดคำถามแล้วดิฉันก็ขอจบการแสดงธรรมแต่เพียงเท่านี้

เจริญพร.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา ไม่ใช่ความหลงนะคะ คุณแฟนตาเซีย

แต่หมายถึง การยังไม่มีวิชชา เรื่องอริยสัจจ์ครบสมบูรณ์

และเพราะยังไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงเรียกว่า ยังไม่มีวิชชา หรือมีอวิชชานั่นแหละ


เพราะยังไม่มีวิชชา จึง มีความหลง หรือเห็นผิด เรียกโมหะ

เพราะยังไม่มีวิชชา จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ

ความหลงคือโมหะ เกิดจากอวิชชา

ความหลงไม่ใช่อวิชชานะคะ

และคุณจางบาง ไม่ได้ถือเอาคำอธิบายมาจากครูท่านใดเลยคะ คุณจางบาง
ก็เอามาจากบาลีที่ตรัสจากพระโอษฐ์นั่นแหละคะ

กายสังขาร ถ้าไม่ใช่ลมหายใจแล้วมันคืออะไรหละคะ
วจีสังขาร ถ้าไม่ใช่วิตกวิจารณ์ แล้วมันจะคืออะไร
จิตตสังขาร ถ้าไม่ใช่สัญญา เวทนา เจตนาผัสสะมนสิการแล้วมันจะคืออะไรกันได้อีก

:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 23:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
อวิชชา ไม่ใช่ความหลงนะคะ คุณแฟนตาเซีย

แต่หมายถึง การยังไม่มีวิชชา เรื่องอริยสัจจ์ครบสมบูรณ์

และเพราะยังไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงเรียกว่า ยังไม่มีวิชชา หรือมีอวิชชานั่นแหละ


เพราะยังไม่มีวิชชา จึง มีความหลง หรือเห็นผิด เรียกโมหะ

เพราะยังไม่มีวิชชา จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ

ความหลงคือโมหะ เกิดจากอวิชชา

ความหลงไม่ใช่อวิชชานะคะ

และคุณจางบาง ไม่ได้ถือเอาคำอธิบายมาจากครูท่านใดเลยคะ คุณจางบาง
ก็เอามาจากบาลีที่ตรัสจากพระโอษฐ์นั่นแหละคะ

กายสังขาร ถ้าไม่ใช่ลมหายใจแล้วมันคืออะไรหละคะ
วจีสังขาร ถ้าไม่ใช่วิตกวิจารณ์ แล้วมันจะคืออะไร
จิตตสังขาร ถ้าไม่ใช่สัญญา เวทนา เจตนาผัสสะมนสิการแล้วมันจะคืออะไรกันได้อีก

:b53: :b53: :b53:


:b1: ด้วยความยินดีค่ะ ถ้าเก็บ คห.เอาไว้ในใจไม่ได้ก็แสดงออกมาเถอะค่ะ
คุณจางบางฯ ไม่ต้องกลัวว่าอัตตามันจะโดนฉีกเป็นชิ้นๆ หรอกนะคะ ^^

ดิฉันขอยกปฏิจสมุปบาทจากพระไตปิฏกมาให้ดูค่ะ

ปฏิจจสมุปบาท จากพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎก เล่ม ๔
มหาวรรค ภาค ๑

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาขันธกะ
โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่
ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข
ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็น
อนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
(การเกิดขึ้นของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
(การดับไปแห่งทุกข์)
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่าดังนี้:
พุทธอุทานคาถาที่ ๑
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะมารู้ธรรม พร้อมทั้งเหตุ
[๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท
เป็นอนุโลมและปฏิโลมตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่าดังนี้:
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท
เป็นอนุโลมและปฏิโลมตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
(ข้อความเหมือนดังเดิม)
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
(ข้อความเหมือนดังเดิม)
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่าดังนี้:
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น
ย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัย ทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น.

จบ. โพธิกถา

มหาหัตถิปโทปมสูตรที่ ๘
(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒)
..............อนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพจน์นี้ไว้ว่า
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้.
ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด อุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม แล.
ความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความชื่นชอบ ในอุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้อันใด อันนี้ชื่อว่าทุกขสมุทัย.
การกำจัดความกำหนัด ด้วยสามารถความพอใจ
การละความกำหนัด ด้วยสามารถความพอใจ ใน
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันใด อันนั้นชื่อว่าทุกขนิโรธแล.
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้แล
คำสอนของพระผู้มีพระภาค เป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว.
ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น
ชื่นชมยินดีภาษิต ของท่านพระสารีบุตรแล้วแล.

จบ. มหาหัตถิปโทปมสูตรที่ ๘

:b1: ทีนี้ที่คุณจางบางบอกว่า : คุณจางบาง ไม่ได้ถือเอาคำอธิบายมาจากครูท่านใดเลยคะ คุณจางบาง ก็เอามาจากบาลีที่ตรัสจากพระโอษฐ์นั่นแหละคะ

ดิฉันขอให้คุณจางบางฯ กรุณายกบาลีที่คุณบอกว่าตรัสจากพระโอษฐ์มาให้ดูหน่อยเถอะนะคะ
ส่วนไหนในพระไตรปิฏกที่กล่าวถึงปฏิจสมุปบาทและแสดงรายละเอียดว่า........

กายสังขาร คือ ลมหายใจ
วจีสังขาร คือ วิตก วิจารณ์
จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนาเจตนา ผัสสะมนสิการ

อนุโมทนาค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: กรณีที่คุณจางบางคิดว่า อวิชชา ไม่ใช่ความหลง
แต่หมายถึง การยังไม่มีวิชชา เรื่องอริยสัจจ์ครบสมบูรณ์

ดิฉันขอชี้แนะดังนี้ค่ะ

การจะรู้ได้ว่าอวิชชาคือความหลงนั้นแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องมีธรรมฐิติญาณอันเป็นญาณรู้ชัดรู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจสมุปบาทเกิดขึ้นเสียก่อน

ส่วนคำว่า "อวิชชา" ที่กล่าวถึงในความหมายว่าไม่มีวิชาหรือความไม่รู้นั้นท่านใช้กับเรื่องอริยสัจจ์ไม่ได้หมายถึงอวิชชาในปฏิจสมุปบาทนะคะ

คุณจางบางฯ คงต้องพิจารณาให้ดีในข้อนี้ว่าพระพุทธองค์เริ่มเห็นอริยสัจจ์ตั้งแต่พระราหุลเกิดจึงทรงตัดสินพระทัยออกผนวชเพื่อค้นหาวิชชาความรู้มาดับทุกข์ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระองค์ก็เรียกความไม่รู้ในอริยสัจจ์ว่าอวิชชา

จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เพิ่งได้ธรรมฐิติญาณในวันนั้นเอง เพราะได้รู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจสมุปบาทว่าแท้จริงแล้วอวิชชาก็คือความหลงนั่นเอง

ดิฉันขอยกข้อความในพระไตรปิฏกที่กล่าวถึงธรรมฐิติญาณมาให้ดูดังนี้นะคะ ^^

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
.............

[๙๗] ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้น
เพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี
อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้น
เพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดขึ้นเพราะ
ปัจจัย วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปเกิดขึ้นเพราะปัจจัย นามรูปเป็นปัจจัย
สฬายตนะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย สฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย
ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเกิดขึ้นเพราะปัจจัย เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาเกิดขึ้น
เพราะปัจจัย ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานเกิดขึ้นเพราะปัจจัย อุปาทานเป็นปัจจัย
ภพเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ภพเป็นปัจจัย ชาติเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ชาติเป็นปัจจัย
ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย
ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติ
เป็นปัจจัย ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้น
เพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
[๙๘] ในกรรมภพก่อน ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็น
สังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อน เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาท (ภาวะที่ผ่องใสใจ) เป็น
อายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนาในอุปปัตติภพนี้
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในปุเรภพ
ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา
ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี) เพราะอายตนะทั้งหลาย
ในภพนี้สุดรอบ ธรรม ๕ ประการในกรรมภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิ
ในอนาคต ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาทเป็น
อายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม ๕ ประ-
*การในอุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้ พระ-
*โยคาวจร ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท
มีสังเขป ๔ กาล ๓ ปฏิสนธิ ๓ เหล่านี้ โดยอาการ ๒๐ ด้วยประการดังนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๑๑๓๐ - ๑๒๑๘. หน้าที่ ๔๖ - ๕๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 130&Z=1218

:b1: สรุปว่าอวิชชาในปฏิจสมุปบาทคือความหลงดังนี้ค่ะ

เพระฉะนั้นหากคุณจะยึดพระไตรปิฏกก็ควรจะศึกษาให้ถ้วนถี่เสียก่อนดีกว่าค่ะ
ไม่ใช่ไปหยิบยกมาแค่เพียงพระสูตรเดียวหรือสองพระสูตรแล้วมาเหมารวมว่าความหมายในพระสูตรนั้นๆ เป็นความหมายที่ถูกต้องสำหรับอีกพระสูตรหนึ่งเช่นนี้นะคะ

อนุโมทนาค่ะ ^^


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร