วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 05:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


paderm
วันที่ 6 ส.ค. 2554 20:16
ความคิดเห็นที่ 1

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป สภาพธรรมนั้นคือ จิต เจตสิก

รูป ครับ จิตเป็สภาพธรรมที่มีจริง เพราะมีจิต เจตสิก รูป จึงมีสมมติบัญญัติ บัญญัติว่าเป็น

สัตว์ บุคคล ครับ ซึ่ง จิตมีจริง แต่จิตไม่ใช่มีอยู่ ตั้งอยู่ตลอดเวลา แต่สภาพธรรมที่เป็น

จิต เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมดับไปเป็นธรรมดาของสภาพธรรมที่

มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ มีการเกิดขึ้นและต้องดับไปด้วยครับ ดังนั้นจิตนั้นไม่ได้ดำรงอยู่ แม้

แต่ตอนนี้ เช่น จิตเห็นเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วขณะและก็จิตเห็นก็ดับไป ไม่ได้ดำรงอยู่ตลอด

เวลา เพราะมีจิตประเภทอื่นเกิด เช่น จิตได้ยินก็เกิดสืบต่อได้ครับ หากจิตเห็นดำรงอยู่

ตลอดเวลา ก็จะไม่มีการได้ยินเลย เพราะเพียงแต่เห็นอย่างเดียวครับ

ดังนั้นจิตจึงมีหลายประเภท ไม่ใช่แค่ตัวจิตลอยๆ จึงเข้าใจว่าจิตดำรงอยู่ตลอดเวลา

ครับ เพราจิตเมื่อเกิดขึ้นและก็ดับไปและจิตดวงอื่นก็เกิดสืบต่อตามประเภทของจิต ตาม

เหตุปัจจัยครับ ดังนั้นคำว่ามีชีวิตอยู่ ก็คือ ขณะที่จิตเกิดขึ้นนั่นเอง เป็นขณะที่มีชีวิตอยู่

และขณะที่ดับไป ก็เป็นการตายชั่วขณะที่จิตดับไป ชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเท่า

นั้นครับ มีชีวิตเพราะมีจิตทีเกิดขึ้นและดับไปครับ แต่จิตไมได้ดำรงอยู่ตลอดเวลาเพราะ

เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปครับ

ส่วนเมื่อมีการอบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้หมดถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว

เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพาน เมื่อหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก ให้มีขันธ์ 5 ให้มีจิต

เจตสิก รูปอีก คือดับกิเลสหมด เมื่อปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก อีกเลย

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน คือ การดับรอบหมดสิ้นของสภาพธรรมทั้งหมด จึง

ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ ทั้งจิตด้วย เจตสิกและรูป ครับ ไม่มีการเกิดอีกเลย

ของสภาพธรรม รวมทั้งจิตด้วยครับ ดังนั้น จิตมีวันดับสูญ คือไม่เกิดอีกได้ เพราะดับเหตุ

ที่ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต นั่นคือ ดับกิเลสหมด เมื่อดับกิเลสหมด พระอรหันต์สิ้นชีวิต ก็

ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูปอีกเลยครับ ส่วนขณะนี้ จิตกำลังเกิดขึ้นและดับสูญ

ด้วย คือดับไป แต่ก็ยังมีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น เพราะยังมีเหตุคือกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ครับ

ดังนั้น เมื่อใช้คำว่า "จิตดับสูญไป" จึงหมายถึง ดับชั่วขณะ และเกิดใหม่อีก ก็คือ

ยังไม่ได้ดับสูญจริงๆ กับ เมื่อจิตดับไปแล้ว คือ จุติจิตของพระอรหันต์ดับไป ก็ไม่มีการ

เกิดขึ้นใหม่ของจิตอีก เป็นการดับสูญของจิตที่แท้จริงครับ

ส่วนสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีการเกิด

ขึ้นของสภาพธรรมใดๆเลย ดังนั้น จิตจึงไม่มีอยู่ในนิพพาน รวมถึงสภาพธรรมอื่นๆด้วยที่

ไม่มีในพระนิพพานครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=18877


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


khampan.a
วันที่ 6 ส.ค. 2554 21:59
ความคิดเห็นที่ 2

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึง

ธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่

นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด รูปธรรม เกิดจากสมุฏฐานต่าง ๆ แล้วดับไป ไม่เที่ยง

ไม่ยั่งยืน นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่

จิต และ เจตสิก [จิตและเจตสิก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดขึ้น

เพราะเหตุปัจจัย มีขณะที่สั้นมาก เพียงแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเท่านั้น เมื่อดับไป

แล้วก็เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อ เป็นไปอย่างนี้ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็น

อย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์] และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน

ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ เท่านั้นที่ประจักษ์

แจ้งพระนิพพานได้

การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่ง ๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของ

แต่ละบุคคลจริง ๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์

แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถ

เป็นพระอริยบุคคล ได้

สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลส

ใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วย

กิเลส) และ รูปเกิดขึ้นเป็นไป ท่านยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์

เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมี

สภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่

มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้น

ทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...
http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=18877


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2011, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้คุณขณะจิต :
อยากสอบถามความเห็นของผู้ปฏิบัติทุกท่านว่าเมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน หวังจะได้รับคำวิสัชชนาอันลึกซึ้งจากทุกท่าน


ผมรู้สึกว่าเป็นกระทู้คำถามที่ดีมีประโยชน์เพราะอาจมีผู้คนสงสัยอยู่มากเหมือนกันหากไม่ได้ศึกษาปฏิบัติพอสมควรในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

ขออนุญาตเสนอความเห็นที่เป็นภาษาไทยง่าย ๆ เผื่อให้ท่านที่เข้ามาดูมาอ่านที่ยังไม่ค่อยสันทัดภาษาพระได้เข้าใจง่ายขึ้นเพื่อปูพื้นไปสู่การศึกษาที่ลึกซึ้งต่อไป ซึ่งความเห็นที่เสนออาจมีข้อที่ยังไม่สมบูรณ์ จึงขอท่านผู้รู้ได้กรุณาช่วยชี้แนะในส่วนที่บกพร่องหากมีด้วยครับ

ตามหลักพระพุทธศาสนา ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรูปก็คือร่างกายอวัยวะต่าง ๆ ที่จับต้องได้ ส่วนเวทนา ก็คือ ความรู้สึก สัญญา ความจำได้ สังขาร ความคิด วิญญาณ ความรับรู้ พูดง่าย ๆ โดยรวมก็คือชีวิตประกอบด้วยส่วนร่างกาย (รูป) และจิตใจ (นาม-ได้แก่ ขันธ์อีก 4 ที่เหลือ)

โดยที่มนุษย์มักมีความยึดติด ภาษาพระเรียกว่ามีอุปทานในขันธ์ 5 ดังกล่าวข้างต้นว่าเป็นของของตน และในความเป็นจริงก็น่าจะใช่ถ้าดูเผิน ๆ เพราะเรามีร่างกายและใจตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา ทำไมไม่ใช่ของเรา เราเป็นเจ้าของ และเราสามารถบังคับบัญชาร่างกายจิตใจของเราได้ไม่ให้ทำนั่นไม่ให้ทำนี่ ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน พักผ่อน นอน กิน เที่ยว พูดคุยสนทนา อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ที่สุดเราเองไม่ใช่หรือเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร!

แต่สัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงพบเห็นนั้นมันสวนทางกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เราเข้าใจกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง สามารถเจาะเข้าไปจนถึงขั้นปรมัตสัจจะ หรือความจริงที่แท้จริง ไม่ได้มองเผิน ๆ อย่างมนุษย์ปุถุชนทั่วไปซึ่งยังมีกิเลสหนาอยู่จะเข้าใจได้ง่าย สัจจะธรรมที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นก็คือหลักของไตรลักษณ์ (ความเป็นสามัญลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย) ได้แก่ 1. สังขาร (สิ่งที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งหลายไม่เที่ยง 2. สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ (ไม่อาจตั้งอยู่หรือทนอยู่อย่างเดิมได้) 3. สังขารและอสังขารธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (มิใช่ตัวตนของ ๆ เราจริง เราไม่สามารถบังคับได้อย่างแท้จริง เช่นไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย รวมทั้งความรู้สึก ความจำ ความคิด มุมมองต่าง ๆ ที่ไม่สามารถมั่นคงถาวรอยู่ตลอดไปได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย)

ที่มนุษย์หลงไปว่าขันธ์ 5 เป็นของของตนเพราะถูกอวิชชา (ความไม่รู้) ตัณหา (ความอยากได้อยากมีอยากเป็น) ทำให้หลงผิด ทำให้คิดว่าเป็นของของตน จึงเกิดอุปทาน (ความยึดติดในความอยากนั้น)

หากได้มีการปฏิบัติภาวนา ถือศีล สมาธิ เจริญทางปัญญา เพื่อให้จิตได้เรียนรู้และเข้าใจไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ก็จะสามารถละกิเลส ตัณหา อุปทานได้ และผู้ปฏิบัติที่มีสติเห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์คงอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตา (มิใช่ตัวตน) ตามหลักไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ จะทำให้กิเลสที่ทำให้ใจหมองนั้น หมดสิ้นไปได้ซึ่งเป็นเหตุให้ นักปฏิบัติเข้าถึงนิพพานได้ต่อไป

สรุปได้ว่า มนุษย์สามารถเห็นและเข้าใจสัจจะธรรมโดยอาศัยหลักไตรลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอนัตตา (มิใช่ตัวตน*) ของสังขารขันธ์ และอสังขารขันธ์ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บรรลุเข้าถึงนิพพาน (ได้แก่สภาวะธรรมที่หมดสิ้นกิเลสในตัวตน) หลุดพ้นจากราคะความโลภ โกรธ หลง ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์อยุ่ในวัฏฏะสงสารตลอดไป
(*หมายเหตุ.- ไม่ได้ใช้คำว่า “ไม่มีตัวตน” เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ที่จะตามไปนิพพาน ตามที่กระทู้ถามถึง แต่ใช้คำว่า “มิใช่ตัวตน” แทน เพราะการตระหนักและเข้าใจถึงสภาวะที่มิใช่ตัวตนของขันธ์ 5 นี้จะทำให้จิตว่างจากกิเลสโดยสิ้นเชิงหรือสามารถบรรลุนิพพานนั่นเอง) :b44: :b42: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2011, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


จะไม่ให้มีตัวตน...
จะไม่ให้มีธาตุธรรม....
จะไม่ให้พระนิพพานมีอะไรเลย.
จะไม่ให้อายตนะนั้นมีอยู่(อายตนะนิพพาน)

เพ้อเจ้อทั้งนั้น!เก่งกว่าพระพุทธเจ้ากันทุกคนเลยเนอะ Onion_L :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 00:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยู่อยากฟังความเห็นหลับอยู่ หง่ะ

ทำไมจึงว่าหลักสูตรวิปัสสนายาก ? ตอบว่า ที่ว่ายากเพราะต้องถึงกายธรรม และอาศัยรู้และญาณทัสสนะของกายธรรมไปรู้เห็น จึงจะเรียนได้ เพราะเป็นเรื่องของใจทั้งนั้น ใจหยาบคือขันธ์ ๕ ใจละเอียดมองเห็นยากแล้ว ได้แก่ใจในรูปแบบของอายตนะ ๑๒ – ธาตุ ๑๘ – อินทรีย์ ๒๒ ซึ่งเป็นใจละเอียด ต้องอาศัยรู้ญาณทัสสนะของกายธรรมช่วย จึงจะรู้เห็นได้
ตัดมาบางส่วนจาก
http://www.kayadham.org/index-346.htm

หลับอยู่เคยสัมผัส การวิปัสสนาโดย กายธรรม หรือยัง
ญาณทัสสนะของกายธรรม :b12: :b12:

อืมม :b6:
.......
ยากนะ เป็นวิชาที่ยากจริง ๆ
.......
ยากอย่างนึกไม่ถึง...ว่า...มันจะเป็นไปได้...
....แต่....ใครจะไปรู้ล่ะ....

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ยาก เพราะคนสอนก็เข้าไม่ถึง แต่เดาๆ เอาจากที่เคยอ่าน คนเรียนก็เลยเรียนมั่ว มั่วตามๆ กันไป

คนเรียนพอเจออะไรแปลกๆ ก็ถาม s006 คนสอนไม่รู้ ก็วางมาดมั่วไป เพราะตั้งตนว่าตัวเองเป็นอาจารย์ wink
เมื่อตัวเองเข้าไม่ถึง สิ่งที่สอนมันก็เลยฟังดูลอยๆ ไม่รู้ว่าสอนอะไรแน่ คนเรียนก็งง ครั้นจะถามจี้ คนสอนก็ใช้ท่าไม้ตาย มันเป็นเรื่องชั้นสูง ถ้าไม่เข้าใจแสดงว่ายังไม่ถึงขั้น Onion_R

สรุป พากันตกอบาย... อาเมน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่นิพพานไม่มีตัวตน ในความหมายของคุณคืออะไร

หากนิพพานหมายถึง ความว่างจากการยึดติดในตัวตน สำคัญผิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา
อาจทำให้คุณเข้าใจในนิพพานได้มากขึ้น

มนุษย์ทุกคนเกิดมามีรูปและนามติดตัวมาพร้อมกับการเกิด
รูป อธิบายให้ง่ายๆอาจหมายถึง รูปร่างหน้าตา ของคุณที่เป็นอยู่
นาม อธิบายให้ง่ายๆอาจหมายถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณที่เป็นอยู่

คุณแน่ใจแล้วหรือ ว่า รูปนามที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้กับตอนเด็กๆนั้นเหมือนกัน
แม้แต่รูปนามที่คุณเป็นอยู่ขณะนี้กับ 5 นาทีที่แล้วก็ย่อมไม่เหมือนกัน

รูปและนามเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย เมื่อหมดเหตุแห่งรูปนามแล้ว รูปและนามที่เป็นอยู่ก็่ย่อมหมดไปเช่นกัน
ยกตัวอย่างให้ง่ายๆ

เพราะคุณเห็นข้อความนี้ในกระทู้ที่คุณเปิดอยู่ คุณจึงอ่านข้อความนีั
หากคุณไม่ได้เปิดกระทู้นี้ หรือ อ่านข้อความนี้จบแล้ว
การอ่านข้อความนี้(รูป)ก็หมดไป ความคิดที่เกิดจากการอ่านข้อความนี้(นาม)ก็หมดไปเช่นกัน
(รูปและนามของคุณวินาทีนี้กับ 5นาทีก่อน ของคุณจึงไม่เหมือนกัน)

หากคุณเข้าใจรูปและนามอย่างถ่องแท้ คุณจะพบว่า ตัวตนและสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณมีเหตุแห่งปัจจัยให้เกิด เมื่อหมดเหตุแล้ว รูปและนามก็จบไปเช่นกัน เป็นเช่นนี้ซ้ำๆบ่อยๆ รอบๆตัวคุณ แล้วมีสิ่งใดที่คุณสมควรยึดถือกันล่ะในเมื่อสุดท้ายทุกๆอย่างก็หมดไปเช่นกัน (=นิพพาน?)

แต่คุณก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า เรามีกรรมเป็นทายาท
การคิด พูด ทำสิ่งใดก็ย่อมก่อให้เราได้รับผลแห่งกรรมทางใจ วาจา กาย เช่นกัน
(เหมือนแรงกิริยา=แรงปฏิกิริยา)
เลือกเอาเองเถิดว่า คุณจะสร้างเหตุแห่งรูปนามแบบใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ ท่านมู แจกใบแดงเชียว

rolleyes rolleyes rolleyes

ที่เอกอนถาม เพราะ เอกอนก็มั่ว ๆ กับการปฏิบัติมามาก
ทั้งวิปัสสนึก วิปัสสนา
และก็เคยเจอ สภาวะบางอย่าง แล้วเกิดความรู้ในสภาวะนั้น
แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

หากผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ แล้วเกิดความรู้สึกถึงการกระทบได้
ในรัศมีที่ไกลออกจากตัวไป หนึ่งกิโลเมตร
แล้วเห็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรากฎเช่นนั้น ในสภาวะเช่นนั้นได้
มันไม่ได้อาศัยร่างกาย แต่มันเป็นสภาวะที่
เหมือน น้ำในบ่อ ที่นิ่ง ไม่ว่าหินจะตกลงไปตรงส่วนใดของผิวน้ำ
จะเกิดคลื่นกระจายออกไป และเมื่อกระทบฝั่งก็จะสะท้อนกลับมา
การเห็นตั้งแต่หินที่ตกลงไป จนกระทั่งลักษณะคลื่นที่กระจายออกไป
และการกระทบฝั่ง และ การสะท้อนกลับ
ด้วยย่อมเห็นการเคลื่อนไปแห่งการปรากฎได้อย่างชัดเจน
มันเป็นเรื่องของ วิญญาณ / อายตนะ

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ธรรมดา และยังมีธรรมดาที่ยิ่งกว่านั้นอีก
สิ่งนั้นเป็นเช่นนั้นของมันเอง
เพียงเมื่อเราเป็นประหนึ่งอากาศธาตุ วิญญาณก็จะละเอียดและแทรกซึม
ส่องแสงสุกสว่างออกไป แสงส่องไปถึงไหน การรู้ก็ไปได้ถึงนั่น
เขาเป็นเช่นนั้น
เพียงแต่ เมื่อเขาถูกบดบัง ความเป็นธรรมดาก็ถูกบดบังไปด้วย

เมื่อจะพูดถึง มันก็เลยกลายเป็น ต้องแปลงความละเอียดให้เป็นหยาบ
เมื่อผู้ปฏิบัติที่ยังติดอยู่กับความหยาบ เขาก็จะเห็นไปอย่างหยาบ
แต่ผู้ปฏิบัติที่มีใจที่ละเอียด เขาก็จะเห็นไปอย่างละเอียด

เอกอนไม่ค่อยเก่ง ไม่ค่อยมีความรู้
เมื่ออ่านไปเจอ ก็อยากรับฟังความเห็นจากผู้ที่มีชั่วโมงการบินที่ชัดเจนช่วย
ทำความกระจ่างในเรื่องนี้
ซึ่งไม่จำเป็นว่า ผู้ที่จะมาให้ความกระจ่างนั้น จะเป็นทางสายธรรมกายหรือไม่
เพราะ ถ้าปรากฎผู้ที่ภูมิธรรมที่แข็งแรงในทางปฏิบัติมาคอยชำระความเข้าใจให้กับนักปฏิบัติ
ซึ่งอย่างน้อย คงจะทำให้นักปฏิบัติธรรมเห็นภาพได้ว่า
เวลาที่ล่วงเลยพุทธกาลมากกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้วนี่
เราสำนึกใน สัจจะธรรม กันอยู่
หรือเรากำลังเมาอยู่กับ สังขารธรรม กันแน่

หรือ ท่านผู้ที่จะมาให้ความสว่างนั้น จะเป็นท่าน มู อิอิ


smiley smiley smiley

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขันธ์5 คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

กิเลสทั้งปวง อยู่ใน สังขารขันธ์
สติ ปัญญา อยู่ใน สังขารขันธ์

ทั้งกิเลส ทั้งสติปัญญา ตกตะกอนนอนก้นอยู่ใน จิต.....เป็นอนุสัย..........เดาเอา

เมื่อไร กิเลสจะฟุ้งออกมา เมื่อไรสติปัญญาจะฟุ้งออกมา ..............แล้วแต่เหตุปัจจัย

ยกตัวอย่างเช่น .......... ปกติเราไม่ได้โกรธเลย ................ราวกับความโกรธไม่มีเลย

แท้จริง โกรธมันมีซ่อนอยู่ตะกอนที่นอนก้นอยู่ในจิต .........เป็นอนุสัย......เดาเอา

ถึงคราวที่มีเหตุปัจจัย โกรธ ก็โผล่ออกมาอาละวาด

หาก สติปัญญา ในสังขารขันธ์
ชำระ กิเลส ในสังขารขันธ์ จนหมดไปไม่เหลืออนุสัยชั่วๆเลย

สังขารขันธ์ ก็บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลส

ส่งผลกระทบต่อ ขันธ์อื่นๆ เช่น รูป เวทนา สัญญา วิญญาณ

การหมดกิเลส คือ การบรรลุพระนิพพาน

มีที่มาที่ไปชัดเจน ................................ปรากฏในพระไตรปิฏก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


จะไม่ให้มีตัวตน...
จะไม่ให้มีธาตุธรรม....
จะไม่ให้พระนิพพานมีอะไรเลย.
จะไม่ให้อายตนะนั้นมีอยู่(อายตนะนิพพาน)

เพ้อเจ้อทั้งนั้น!เก่งกว่าพระพุทธเจ้ากันทุกคนเลยเนอะ
-----------------------------------------------


แล้วท่านหลับอยู่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ เอาแบบไม่เพ้อเจ้อ

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ตอบเอกอน

เรื่องสถาวะ ญาณ (ไม่ใช่ ฌาณ) เรายังให้คำตอบไม่ได้หรอก เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เรายังไม่มีญาณ อย่างเด่นชัด แม้แต่อย่างเดียว

และเรื่องอำนาจญาณ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราคิดว่า วันหนึ่งเราอาจจะอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า ญาณ คืออะไร
นอกจากเรื่องญาณ ก็มีเรื่องกรรม ซึ่งเราพอจะรู้แนวนิดหน่อย ว่ามันเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงของเจตสิก แต่ถ้าจะรู้จนอธิบายได้ มันก็ต้องใช้อำนาจญาณ

แต่ถ้าให้เราเดาเอาตอนนี้ เราทายว่า ในสภาวะที่ทิพยจักษุญาณเกิด และอาจมีส่วนผสมของ อตีตังสญาณ อยู่ด้วย ในตอนนั้นไม่รับรู้ร่างกายใช่ปะ (แต่ไม่ใช่ขาด เป็นภวังค์) ไม่รับรู้คือ ถ้าคิดจะรู้ ก็รู้ได้

บางทีมันอาจเป็นภาวะที่เจตสิกบางตัว พ้นการควบคุมของสังขาร และเข้าสู่สภาวะเดิมคือ อยู่ในโลก 2 มิติ ซึ่งเป็นอกาลิโก (ไม่ขึ้นกับเวลา)
ทีนี้เราทายอีกว่า การรับรู้ภาพนั้น สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปรากฎในลักษณะใด คือถ้าเห็นคน ก็สามารถเลือกที่จะมองทะลุหรือไม่ก็ได้ ใช่ป่ะ

อย่างที่บอก เราเดาเอา เพราะเมื่อเรายังไม่มีญาณ ก็ย่อมไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม ว่าญาณคืออะไร... แต่ถ้าเรื่องสมาธิ เรื่องฌาณ เราก็พอจะตอบได้ s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังติดตามตอนต่อไป... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 23:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b16: :b12: ตอบท่าน มู่ อิอิ

:b3: :b3:

ยังไง ก็ยังไง เถอะ ท่านมู
แบบมั่ว ๆ คาด ๆ เดา ๆ บ้าง
ก็เป็นลีลายุทธที่สร้างความผิดหวังให้กับผู้สนใจติดตามได้อย่างกินใจ อิอิ :b3: :b3:
แบบว่า ขี้ลืมบ้างก็ดี
ดีกว่าต้องพูดในเรื่องที่เราต่างก็ไม่ถนัด
พูดมาก ๆ เดี๋ยวจะจบไม่ลง อิอิ
เพราะ เห็นศัพท์ที่ท่านใช้แล้ว เอกอนก็ เอ๋อออแย๊วววว
อิอิ จริง ๆ
เป็นสิ่งที่ไม่ถนัดมาแต่ไหนแต่ไรเลย จริง ๆ
(นอกจากกรณีบางเวลาที่ผีเข้าเท่านั้นล่ะ
มันก็เกิดอาการหลับหูหลับตาทำไปได้ อิอิ :b9: :b9: )

:b3: :b3: :b3:

ว่าแล้วเรามาลืมเรื่องเก่ากันดีกว่า อิอิ

:b13: :b13: :b13:

เพราะความจริงเราไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่า วันไหนเวลาไหนจะเกิดญาณทัศนะ
แม้แต่ว่ามันจะเกิดกับเราในอีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าก็ตาม เราก็ไม่อาจที่จะรู้
จนกระทั่งมันเกิดแล้วเท่านั้น จึงรู้ ซึ่งอาจจะแค่แว๊บเดียว และมันก็ผ่านไป

ประโยชน์อะไรที่จะคิดยึดไว้เป็นสิ่งประดับ

:b16: :b16: :b16:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


viewtopic.php?t=39366


ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;
ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.


ภิกษุ ทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มี นันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;


ภิกษุ ทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาเวทนา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มี นันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้า
ไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;

ภิกษุ ทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสัญญา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มี
สัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มี นันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้า
ไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;

ภิกษุ ทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสังขาร
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มี
สังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มี นันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้า
ไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.

ภิกษุ ทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป
การจุติ การอุบัติ ความเจริญความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ
โดย เว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นสังขาร”
ดังนี้นั้น, นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.


ภิกษุ ทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ
ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ ภิกษุละได้แล้ว ;

เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี.
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง ;
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง ;
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว ;
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ;

ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้.


Credit http://buddhadham.zzl.org รวมธรรมะแก่นแท้

http://media.watnapahpong.org/video/YXM348NAWG64/สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์-28-พค-2554

:b2: :b2: :b2: :b2:

:b16: :b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว



....
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ

ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ

เป็นสิ่งที่ ภิกษุละได้แล้ว ;

เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี.

วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง ;

เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง ;

เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว ;

เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ;


.....

อิอิ หยิบมาเอง อ่านไปอ่านมาก็เกิดอาการ :b10: ซะเอง

ญาณ ที่จะเห็น สิ่งที่แยกตัวออกจากวิญญาณ
และเห็นว่า วิญญาณที่เห็นนั้น ไม่ใช่เรา อย่างนั้นหรือ


:b14: :b14: :b14:

:b10: :b10: :b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: รสมน และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร