คุณแวะมาครับ


ขอประทานนะครับ บางครั้ง ถ้าเรื่องไร้สาระ ผมขออนุญาตไม่ตอบโต้นะครับ

ถ้าเว็บมาสเตอร์เขาไม่ลงเรื่องไหนของผม ก็ไม่เป็นไรครับ ผมหยุดปรุงแต่งคำพูดและการกระทำต่างๆของทีมงานเว็บมาสเตอร์ในเว็บศาสนาต่างๆแล้วครับ เพราะผมรู้อยู่แล้วว่า มารครองโลกนี้อยู่ มารเขาเลือกสิงใจทีมงานเว็บมาสเตอร์ในเว็บต่างๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนเข้าถึงธรรม

ผมเกิดมาเพื่อชนกับมารครับ ไม่ใช่หนีมาร เว็บศาสนามีเยอะ ที่นี่ลงไม่ได้ ก็ไปลงเว็บอื่น ไม่เห็น
เป็นไรเลย

1. ผมรู้นิสัยคุณขันธ์ดี ถ้าผมไม่แซวคุณ ไม่หยามคุณ คุณอาจจะไม่ปรากฏตัว

2. ผมก็ต้องทำมาหากินนะครับ งานของผมตอนกลางวัน คือ เสนอกระทู้ และตอบกระทู้ศาสนา ตอนกลางคืน แผ่เมตตาให้เหล่าวิญญาณในอบายภูมิ พระพุทธเจ้าเป็นนายจ้างผม จ่ายเงินเดือนให้ผม
ผมเลยต้องนั่งพิมพ์อยู่นี่ยังไงครับ

Oh man, don't get me wrong!
อย่าเข้าใจผิดคิดว่า แวะมากำลังไล่คุณค่ะ เพียงแต่แวะมาพิจารณาจากสมองน้อยๆของแวะมาเองว่า
คุณควรจะพักผ่อนบ้าง อย่าหมกหมุ่นกับสิ่งที่คุณเห็นมากไปนัก นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้วซื้อตั๋วเครื่องบินมาคุยกับแวะมาที่นี่ก็ได้ มาดูคนอีกศาสนา อีกวัฒนธรรมนึง เราจะได้เห็นโลกกว้างมากขึ้น แวะมาอยู่ต่างประเทศบางครั้งก็เหงา ว่างๆไม่มีอะไรทำก็เอาชื่อจริง นามสกุลจริงใส่ในgoogle แล้วก็นั่งอยู่หน้าLaptopมากเกินไปจนบอกกับตัวเองว่า...นี่ตูบ้าขนาดsearchตัวเองหรือนี่
...ว่าแต่ว่า คุณอยู่ได้ยังไงถ้าไม่ได้ทำงานประจำ กำลังกินบุญเก่าอยู่หรือค่ะ

ประเด็นชักร้อนแล้วนะครับ

คูณอวบอั๋นอย่าคิดมาก
เราเป็นนักปฏิบัติ ไม่ได้มีเจตนาต้องทำร้ายกันรุนแรง
ถ้าคิดว่าเราเป็นสหายธรรมะ คนที่รู้จักละตัวตนได้บ้างแล้ว ต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น

ขอขอบคุณ คุณพลศักดิ์ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนแล้ว

แต่คนที่รอคอยยังไม่มาตอบคำถามที่ขอคำแนะนำไว้

ส่งการบ้านคุณกรัชกาย

เรียนคุณ กรัชกาย
กระผมไปหาความรู้มาจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี มาแล้วขอรับ
โยนิโสมนสิการ (อ่านว่า โยนิโส-มะนะสิกาน)ประกอบด้วย 2 คำ คือ

โยนิโส มาจากคำว่า โยนิ ซึ่งแปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง
มนสิการ หมายถึง การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา[1]
ดังนั้น โยนิโสมนสิการ จึงหมายถึง "การทำไว้ในใจโดยแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย" นั่นคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้านจนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสำหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าว (ปรโตโฆสะ) อีกชั้นหนึ่ง เป็นบ่อเกิดแห่งสัมมาทิฐิ ทำให้มีเหตุผล ไม่งมงาย [2]ซึ่งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาและฎีกาได้แสดงไวพจน์แจกแจงความหมายเป็นแง่ต่างๆ คือ

อุบายมนสิการ เป็นการคิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือ การคิดอย่างมีวิธีหรือถูกวิธี ซึ่งหมายถึง การเข้าถึงความจริง สอดคล้องกับแนวสัจจะ ซึ่งทำให้รู้สภาวลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย
ปถมนสิการ เป็นการคิดถูกทาง ต่อเนื่องเป็นลำดับ หมายถึง ความคิดที่เป็นระเบียบตามหลักเหตุผล ไม่ยุ่งเหยิงสับสน จิตไม่แว๊บติดพันในเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวกลับเตลิดไปคิดอีกเรื่องหนึ่ง จิตยุ่งเหยิงนี้กระโดดไปมา ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่รวมทั้งความสามารถในการชักความนึกคิดไปสู้แนวทางที่ถูกต้อง
การณมนสิการการคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุ ให้เข้าใจถึงต้นเค้า หรือแหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องตามลำดับ
อุปปาทกมนสิการ การคิดการพิจารณาให้เกิดกุศลธรรม เช่น การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เป็นต้น
ไขความทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเพียงการแสดงลักษณะด้านต่างๆ ของความคิดแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งการเกิดในแต่ละครั้ง อาจมีลักษณะครบทั้ง 4 ข้อ หรือเกิดครบทั้งหมด หรือเขียนลักษณะทั้ง 4 ข้อนี้สั้นๆ ได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล[3]

กระผมจะสรุปตามความคิดขอผมหละนะขอรับ :b19:

๑. โยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ตามสภาวะ

ก็จากข้อความข้างต้น คือ เราก็กำหนดรู้ว่าเหตุนั้นๆเกิดจากอะไร ทำไมถึงเกิด มีสาเหตุจากอะไร โดยใช้ความคิดและสติอย่างมีเหตุผล

๒. โยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม หรือ เพื่อบรรเทาตัณหา

แต่พอเราจะสรุปและนำไปใช้นี้สิครับ เรามักจะสรุปผิด เพราะเราจะมีเหตุผลของเรา และเราก็มักจะมีอคิติที่ว่าความคิดเราน่าจะถูกต้อง ก็เพราะเราคิดหาคำตอบตามแนวที่พระพุทธองค์มาแล้วอย่างดี หาข้อมูลมาอีกเพียบ วิเคราะห์มาอย่างดี ทดลองแล้วได้ผล แต่ในความจริงมันอาจจะผิดไปเลยก็ได้
เห็นได้บ่อยๆในความรู้ทางวิทยาศาสตร์

เช่นเมื่อก่อนเราเชื่อ หนักหนาว่าโลกแบนและเป็นจุดศูนย์กลางของจักวาล
เพราะมีเอกสารอ้างอิงมากมายในสมัยนั้น เราก็คิดแล้วหาเหตุปัจจัยต่างๆ ก็เป็นไปตามนั้น

แต่สรุปสุดท้ายที่คิดมาก็ผิด โลกกลม และไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักวาล

ที่ผมคิดมาผิดหรือเปล่าครับ คุณ กรัชกาย หรือ ผมตีความผิด ก็ไม่รู้

ว่าไป ผมก็ลังเล ผมตอบถูกหรือเปล่าครับ

ขอรับคุณ แวะมา
มาเป็นสหายธรรมกันนะขอรับ

ด้วยความยินดีค่ะ คุณอวบอั๋น เรามาดื่มกาแฟปราวณาตนกันเถอะค่ะ ซวบ....(เสียงซดกาแฟ)
ถ้าคุณกรัชกรายและคุณพลศักดิ์ไม่รังเกียจ แวะมา ก็ขอเป็นสหายธรรมกับท่านด้วย
แล้วแต่จะพิจารณา

สวัสดีครับทุกๆคน
ตกลงนี่คืออะไรอะครับ เป็นความจริงอย่างที่เค้าบอกหรือป่าว

หมดแก้วเลยครับ คุณแวะมา ยาวไปยาวไป อิอิ

คุณพลศักดิ์ตกลงคุณไม่ได้ทำงานอื่นอีกหรอครับ นอกจากที่คุณบอกมาอะ

คุณทศพล
อ้างอิงคำพูด:
(อย่าไปเชื่อคนในเว็บนี้มาก แนะนำกันเก่งจริง แต่ปฏิบัติเป็น 0)
ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะ:

"แวะมาเชื่อในเจตนาของทุกคนที่เว็บนี้ว่า มีใจเผื่อแผ่ธรรมะให้กันและกัน ไม่งั้นเราจะมาเสียเวลานั่งพิมพ์ หรือเข้าเว็บนี้เพื่ออะไร เรามาเพื่อเรียนรู้การ give and take (ทั้งให้และรับ)ทุกคนมีพื้นฐานทางธรรมะ จริต อุปนิสัยแตกกต่างกันไป ความคิดเห็นที่หลากหลายไม่ว่าผู้ที่มีความรู้ทางปริยัติหรือนักปฏิบัติเหมือนดอกไม้ในปากคลองตลอด ที่มีทั้ง กุหลาบ ทานตะวัน และอื่นๆ ให้ผู้ตั้งกระทู้เลือกไปพิจารณาตามจริตตัวเอง จุดมุ่งหมายของธรรมะคือการลดอัตตา และอสาวะในจิตใจเพื่อเข้าสู่วิมุติไม่ใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องรู้จักน้อมรับความคิดเห็น ทั้งคำชม คำตำหนิของผู้อื่น โดยไม่นำมาเป็นอารมณืส่วนตัว เพื่อไปแยกแยะพิจารณาอารมณ์และเหตุผลของผู้พูดอีกที
เคยเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ดูมั่นคง แข็งแรง ลองเทียบกับต้นหญ้าที่ตำต้อย ดูออ่นแอ สิค่ะ เพื่อพายุหนักโหมกระหน่ำ ก็นำพาต้นไม้ใหญ่ล้มไปทั้งรากได้ แต่ดูต้นหญ้าสิ รู้จักลู่ลม ออ่นน้อม จึงอยู่ได้นาน
เราอยู่ในสังคมมนุษย์ก็จงเป็นอย่างต้นหญ้าดีกว่าค่ะ ธรรมะของพระพุทธองค์นี่หละ ที่สอนให้เรามีEQ(ความฉลาดทางอารมณ์) สูง"

แวะมาไม่ติดใจใคร ยินดีเป็นเพื่อนกับทุกคน ผู้มีธรรมะในหัวใจ
ขอตัวไปซดกาแฟต่อ....

คุณ แวะมา ดื่มกาแฟหนักไปหละนะครับ เดี๋ยวตาค้าง นอนไม่หลับปฏิบัตืธรรมไม่ได้ไม่รู้ด้วยนะ

ว่าแต่ผมขอสักแก้วสิครับ ผม กาแฟดำ 3 น้ำตาลหนึ่ง นะครับ ง่วงมาก

ขอบคุณครับ