วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2011, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หรืออาจจะไม่ต้องกำหนดจิต แต่จิตเสื่อมจากฌาน ๔ ออกมาเอง ก็ให้กำหนดรู้ในตัวรู้ เพื่อให้ยกจิตกลับขึ้นสู่ฌาน ๔ อีกครั้ง โดยสังเกตเปรียบเทียบตามด้วยว่า จิตที่ประกอบด้วยการปรุงแต่ง มีสภาวะต่างจากจิตที่ไม่ปรุงแต่งอย่างไร :b47: :b51: :b53:

ก็จะรู้เห็นถึงพฤติของจิตในส่วนละเอียด คือการปรุงแต่งในฌาน (อเนญชาภิสังขาร) หรือเห็นอริยสัจจ์ (หรือปฏิจจสมุปบาท) นั่นเอง (อริยสัจจบรรพ ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) :b46: :b46: :b41:

นั่นคือ เห็นถึง สมุทัย (จิตที่ส่งออกนอกไปฟุ้งปรุงแต่งในกรณีหลุดจากฌาน หรือจิตที่ถูกปรุงแต่งฉาบเชื่อมด้วยปีติสุขในฌานขั้นต่ำกว่า) --> ไปสู่การเกิดขึ้นแห่ง ทุกข์ (คือการเกิดขึ้นแห่งภพและชาติ หรือปฏิจจสมุปบาทสายเกิดตั้งแต่สังขาร วิญญาณ ... จนถึงภพ ชาติ ... ทุกข์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า จิตที่ฉาบด้วยการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นปีติ สุข นั้นมีความคับข้องอึดอัดเป็นทุกข์อยู่แล้วในตัว เมื่อเทียบกับไม่ปรุงแต่ง) หรือเห็นปฏิจจสมุปบาทสายเกิดตลอดสาย ส่วนหนึ่ง :b45: :b44: :b39:

และเห็นถึง มรรค (คือการใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ กลับมาให้รู้อยู่กับตัวรู้ในฌาน ๔ หรือจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง) --> ไปสู่การเกิดขึ้นแห่งนิโรธ (คือการดับแล้วซึ่งเหตุ คือสังขารที่ปรุงแต่งไป ทำให้วิญญาณ นามรูป ... ภพ ชาติ ... ทุกข์ ดับ หรือว่าอย่างเคร่งครัดคือ ไม่เกิดขึ้นเพราะหมดเหตุ จิตปราศจากความอึดอัดคับข้อง เป็นสงบอิสระเบิกบาน) คือเห็นถึงปฏิจจสมุปบาทสายดับตลอดสาย อีกส่วนหนึ่ง :b44: :b44: :b39:

ซึ่งตรงนี้ จะต้องใช้ความละเอียดปราณีตมากจริงๆของตัวรู้ (คือจิตที่อยู่กับรู้ หรือใจ ในความหมายขององค์หลวงปู่เทสก์) ในการเข้าไปสังเกตเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นจิตที่ไหวด้วยการบีบคั้นปรุงแต่ง (ทุกขัง - ทุกขสัจจ์) :b48: :b42: :b41:

โดยการที่จะให้เห็นสภาวะ ปีติ หรือสุข (ซึ่งเป็นสภาวะที่ละเอียดปราณีตในฌาน) เป็นทุกขัง คือการบีบคั้น หรือทุกขสัจจ์ คือการเกิดขึ้นแห่งภพชาติ เป็นความอึดอัดได้นั้น :b51: :b51: :b51:

จะต้องมีสภาวะที่ละเอียด ปราณีตยิ่งกว่า เข้ามาเปรียบเทียบ จึงจะเห็นสภาวะเช่นนั้นเป็นการบีบคั้นไปได้ (คือตัวทุกขัง หรือในบางทีพระพุทธองค์และพระสารีบุตรท่านใช้คำว่า อาพาธ เมื่อมีสัญญาของฌานขั้นต่ำกว่าฟุ้งเข้ามาในฌานขั้นสูงกว่า) :b1: :b38: :b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2011, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายขึ้นคือ ถ้าเราให้สภาวะโกรธ (โทสะ) :b33: เป็นสีดำมืดสนิท สภาวะอยาก (โลภะ) :b22: ก็คือสีดำธรรมดา ส่วนสภาวะเคลิบเคลิ้ม เผลอๆเหม่อๆ หลง ไร้สติ (โมหะ) :b23: ก็คือสีเทา :b46: :b46: :b46:

ซึ่งจะเริ่มสังเกตสภาวะเคลิ้ม – เหม่อ – เผลอ - หลงได้ยากขึ้นว่าจิตมืดมัว ยังมีสีดำเจือปนอยู่ ถ้าไม่มีสภาวะที่ดำกว่า คือโทสะ – โลภะ หรือสภาวะที่ขาวกว่า คือมีสติตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เข้ามาเปรียบเทียบ :b1: :b51: :b46:

ส่วนปีติหรือสุขซึ่งเป็นสภาวะจิตที่ละเอียดขึ้นนั้น อาจจะเปรียบได้กับสีขาว :b18: :b18: :b18:

ซึ่งถ้าไม่มีสิ่งที่ขาวกว่าแบบขาวสว่างจริงๆมาวางเทียบให้เห็นข้างๆ ก็จะไม่สามารถบอกได้เลยว่า สีขาวของปีติหรือสุขในองค์ฌานนั้น ยังหม่นและมีสีดำเจือปนอยู่เล็กน้อย :b1: :b46: :b46:

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการเปรียบเทียบความปราณีตของจิตในฌาน ๔ กับอรูปฌานขั้นที่สูงขึ้นซึ่งมีความละเอียดปราณีตกว่า โดยผู้ที่จะสังเกตเห็นถึงความหม่นของเอกัคคตาจิตในฌาน ๔ เทียบกับความขาวที่มากขึ้นไปอีกของจิตในระดับอรูปฌานจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิและปัญญาละเอียดมากระดับพระสารีบุตร หรือพระพุทธองค์ตามที่เคยโพสไว้ก่อนหน้านะครับ :b39: :b39: :b39:

ซึ่งการเปรียบเทียบความขาวของจิตในฌาน ๒ หรือ ๓ กับความขาวกว่าของจิตในฌาน ๔ นี้ (คือการพิจารณาสุขโสมนัสเวทนา หรือเจตสิกอื่นๆที่ละเอียดในองค์ฌาน ให้เป็นความบีบคั้น คือทุกขัง หรือความดับไป คืออนิจจัง จนจิตรวมเห็นอนัตตาในไตรลักษณ์) ก็คือการปฏิบัติในแนวสุขาปฏิปทา ซึ่งปรากฏตามที่พระอานนท์กล่าวในช่วงต้นของปฏิปทาวรรคตามที่เคยโพสไว้ก่อนหน้า และเป็นปฏิปทาขององค์พระสารีบุตรตามข้อความที่ปรากฏในวรรคเดียวกัน :b46: :b45: :b51:

นั่นคือ การฏิบัติที่เอาสิ่งที่เรียกว่าปีติสุขโสมนัสที่เกิดขึ้นในจิตอยู่เป็นประจำ มาพิจารณาลงในไตรลักษณ์ :b19: :b4: ซึ่งตรงกันข้ามกับทุกขาปฏิปทา ซึ่งเอาสิ่งที่เรียกว่าทุกข์โทมนัสที่เกิดขึ้นในจิตอยู่เป็นประจำ มาพิจารณาลงในไตรลักษณ์ :b31: :b5:

ดังนั้น การปฏิบัติแบบสุขาปฏิปทาจึงเป็นวิธีปฏิบัติที่สะดวกสบายกว่า แต่ต้องใช้สติ สมาธิ และปัญญามากในการสังเกตพิจารณาในสิ่งที่ละเอียดลงในไตรลักษณ์ได้นะครับ :b1: :b44: :b44:

ดึกแล้ว ไว้มาต่อคราวหน้าครับ :b1: :b46: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกลับมาเพิ่มเติมในส่วนของการใช้ฌาน ๔ เป็นบาทฐานเพื่อน้อมจิตไปในอาสาวักขยญาณสักเล็กน้อยครับ :b1: :b51: :b51: :b51:

หลังจากที่จิตพิจารณาอนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะในฌาน ๔ ถึงจุดที่เห็นการดับในกิเลสตัวต้นราก คือความยึดอยากในกายใจ (อุปาทานขันธ์, อวิชชา) แล้ว จิตที่ตั้งมั่นเด่นดวงอยู่จะรวมพึบลงแล้วกระจายแผ่ออกไม่มีประมาณ คือเป็นสภาวะของจิตที่สลัดคืนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม คือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง :b41: :b46: :b39:

ซึ่งจิตจะเห็นสภาวะของอนัตตา หรือ สุญญตา อย่างแจ่มแจ้ง คือ ความว่างเปล่าปราศจากสัตว์ บุคคล เป็นเพียงธรรมหรือกระบวนธรรมล้วนๆที่ไม่มีตัวตน บุคคล เราเขา อยู่ภายในจิต

นั่นคือ จะเกิดความโล่ง โปร่ง เบา เบิกบาน เป็นอิสระ :b41: :b41: :b41:

และเห็นแจ้งอย่างซาบซึ้งถึงใจในพระธรรมบทที่เป็นคำกล่าวของวชิราภิกษุณีกับมาร ที่เหล่านักปฏิบัติรู้จักกันดีคือ :b42: :b39: :b39:

ดูกรมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ฯ
ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ ฯ
เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด ฯ
เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น ฯ


ทุกฺขเมว หิ สมฺโภติ - ความจริงทุกข์เท่านั้นเองเกิดขึ้น
ทุกฺขํ ติฏฺฐติ เวติ จ - ทุกข์นั่นเองย่อมตั้งอยู่และเสื่อมไป
นาญฺญตฺร ทุกฺขา สมฺโภติ - นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด
นาญฺญตฺร ทุกฺขา นิรุชฺฌติ - นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ

(วชิราสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)

ซึ่ง ทุกฺขํ นี้ในความหมายหนึ่งได้แก่ ทุกขสัจจ์ คืออุปาทานขันธ์ ๕ อันได้แก่ ความยึดติดถือมั่นในกายใจว่าเป็นตน เป็นของตน นี่คือตน นั่นเองเท่านั้นที่ "เกิด" และทำให้สิ่งต่างๆปรากฏ วิจิตรพิสดารด้วยการปรุงแต่ง

และเมื่อสิ่งนี้ (อุปาทานขันธ์) "ดับ" ก็จะทำให้กิเลสดับลงไปด้วยในจิต จนไม่รู้สึกถึงความเป็นแม้กระทั่งตัวตนของจิต

จะเห็นจิตเป็นเพียง “ธาตุรู้” อย่างหนึ่ง คือเป็น “ธรรมธาตุ” เพราะสลัดคืนจิตเป็นส่วนเดียวกับธรรม คือธรรมชาติเสียแล้ว :b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และสิ่งที่จะตามมาคือความสุขอิสระเบิกบานอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งจะทำให้เกิดความซาบซึ้งถึงจิตถึงใจกับพุทธธรรมอีกบทหนึ่งที่ทุกท่านรู้จักกันดี ก็คือ :b45: :b45: :b45:

อนิจฺจา วต สงฺขารา – สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ......
อุปฺปาทวยธมฺมิโน – มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา .......
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ – บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ......
เตสํ วูปสโม สุโข – การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง ฯ

(มหาสุทัสสนชาดก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ว่าด้วยสังขาร)

ซึ่งสังขารในบทนี้ได้แก่ สังขตธรรม คือธรรมที่ยังเนื่องด้วยการปรุงแต่ง คือ จิต - เจตสิก – รูป และการเข้าไประงับสังขารการปรุงแต่งเหล่านั้นเสียได้ คือพระนิพพาน ที่เป็นสุขอย่างยิ่ง :b41: :b41: :b41:

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างยังทำงานอยู่ต่อเนื่องตามกระบวนธรรมของเหตุและปัจจัยนะครับ ไม่ใช่ทิ้งขว้างไม่ทำอะไรเลย ซึ่งในระดับพระอรหันต์ที่ยังดำรงค์ธาตุขันธ์อยู่ จะเป็นการกระทำที่ตัว “เหตุและปัจจัย” ด้วยกิริยาจิต เพื่อให้บรรลุ “ผล” ในกรอบของจริยะ - ธรรม หรืออริยะ - ธรรม คือความถูกต้องดีงาม โดยที่ไม่ได้ทำเพื่อสนองขันธ์ ๕ ของตัวเองอีกแล้ว :b39: :b39: :b39:

และเมื่อจิตออกมาทำงานเป็นกิริยาจิตจบแล้วก็กลับเข้าไปรู้อยู่กับตัวรู้หรือตัวว่างเป็นวิหารธรรม อยู่กับความว่าง (จากตัวตน) อย่างอิสระเบิกบานของท่านต่อไป :b8: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติของการให้จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งด้วยการนั่งสมาธิไปแล้ว คราวนี้ ลองมาดูการปฏิบัติและอานิสงค์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันกันดูบ้าง ซึ่งวิสุทธิปาละเห็นว่า มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย :b51: :b51: :b51:

จากการศึกษาทางวิทยาการในโลกสมัยใหม่ที่พบว่า จิตและสมองนั้นทำงานด้วยระบบ Neural Network ที่ถ้าต้องการฝึก ก็สามารถ “ฝึกได้” ด้วยการกระทำที่ซ้ำๆกันจนคุ้นชิน และเกิดความเป็นอัตโนมัติ (นิสัย – วาสนา - อนุสัย) ขึ้นมา :b4: :b46: :b46:

ถ้าเป็นทางกาย เช่นคนที่เคยฝึกว่ายน้ำเรื่อยๆจนว่ายน้ำเป็น เมื่อตกน้ำก็สามารถว่ายน้ำได้โดยอัตโนมัติ (แต่การฝึกให้เกิดความชำนาญทางกายนี้ ไม่สามารถติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้) :b5: :b46: :b46:

หรือทางจิต เช่นคนที่อยู่กับสภาพสงบเย็นบ่อยๆจนคุ้นชิน เช่น เข้าวัดทำบุญบ่อย เมื่อเจอสภาพที่ไม่พอใจ ก็จะใจเย็น ไม่โกรธง่าย (ซึ่งการฝึกให้เกิดความชำนาญทางจิตนี้ สามารถเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้) :b4: :b36: :b41:

เช่นกันครับ การฝึกเข้าฌาน ๔ หรือการฝึกให้รู้อยู่กับตัวรู้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะในสมาธิหรือในการใช้ชีวิตประจำวันจนคุ้นชินแล้วนั้น สติตัวรู้ หรือจิตผู้รู้จะตามออกมาทำหน้าที่คุ้มครองจิตทั้งในชีวิตประจำวัน และในขณะหลับฝันได้เองโดยอัตโนมัติ :b1: :b46: :b46:

โดยเริ่มแรก จิตผู้รู้จะเป็นได้แค่ผู้ “ตามรู้” กายและใจ โดยเฉพาะกิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นจะ “ถูกรู้” หลังจากที่เกิดขึ้นและปรุงแต่งจนเลยเถิดเกิดทุกข์แล้ว :b33: :b5: :b2:

ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นกิเลสตัวโมหะ (หลง) เป็นตัวต้นรากผุดนำขึ้นมาก่อนทุกครั้ง คืออาการขาด “สัมมาสติและโลกุตรสัมมาทิฏฐิ” (ได้แก่การขาดวิชชา คือมีอวิชชาหรือโมหะยืนพื้นอยู่) “หลง (โมหะ)” ออกไปปรุงแต่งในเรื่องยินดีอยาก (อภิชฌา, โลภะ = กามตัณหา + ภวตัณหา) หรือยินร้ายไม่อยาก (โทมนัสสัง, วิภวตัณหา ที่ทำให้เกิด โทสะ) เมื่อเกิดผัสสะเวทนาขึ้น :b38: :b37: :b39:

กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ (ปฏิจจสมุปบาท) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในแวบเดียวจนจบสาย ซึ่งถ้าจิตไม่ได้ฝึกมาให้ไวและละเอียดพอ จะไม่สามารถสังเกตเห็นและคิดใคร่ครวญแยกแยะกระบวนการได้ว่า :b45: :b45: :b45:

การขาดโลกุตรสัมมาทิฏฐิ หรืออวิชชาที่มีอยู่ (ความไม่รู้ธรรมชาติตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นโมหะที่ผุดมาเป็นตัวแรก คือความ “หลง” ไปปรุงแต่งเจตนา เนื่องมาจากความไม่รู้) ทำให้เกิดสังขาร (ได้แก่ เจตนาเจตสิก) ในการไปรับรู้ผัสสะ (วิญญาณ + นามรูป + สฬายตนะ ซึ่งอาศัยเกิดขึ้นพร้อมกันและมีผลคือผัสสะ การรับรู้การกระทบ) ซึ่งก่อให้เกิดเวทนา :b51: :b51: :b51:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 15 มิ.ย. 2014, 00:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว
อีกนิดหนึ่งก็จบกิจพรหมจรรย์

:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งในขั้นหลังจากเวทนา จะเห็นตัวโมหะโผล่ขึ้นมาทำงานอีกรอบก่อนจะเกิดตัณหา ได้แก่ การ “หลง” ไปปรุงแต่งเนื่องมาจากการขาด “สัมมาสติ” ซึ่งเป็นไปได้ ๓ ทางคือ

๑) “หลงขาดสติไปปรุงแต่งความเคลิบเคลิ้มเผลอเหม่อ ซึ่งเป็นกิเลสตัวโมหะล้วนๆเมื่อเกิดไม่สุขไม่ทุกข์จากผัสสะ (อุเบกขาเวทนา) = โมหะ --> โมหะ :b46: :b46: :b46:

๒) หรือ “หลงขาดสติไปปรุงแต่งยินดีชอบใจ (อภิชฌา, โลภะ = กามตัณหา + ภวตัณหา) และยึดอยาก (อุปาทาน) เมื่อเกิดสุขโสมนัสจากผัสสะ (กิเลสตัวโลภะที่มีรากมาจากโมหะ คือการไม่รู้ธรรมชาติตามความเป็นจริงจึงเกิดการ “หลง” ไปปรุงแต่งแล้วอยาก “ดึง” เข้ามาหาตัว = โมหะ --> โลภะ) :b51: :b51: :b51:

๓) หรือ “หลงขาดสติไปปรุงแต่งยินร้าย (โทมนัสสัง, วิภวตัณหา ที่ทำให้เกิด โทสะ) และไม่ยึดไม่อยาก (อุปาทาน คือการยึดอยากในทางปฏิเสธ) เมื่อเกิดทุกข์โทมนัสจากผัสสะ (กิเลสตัวโทสะที่มีรากมาจากโมหะ คือการไม่รู้ธรรมชาติตามความเป็นจริงจึงเกิดการ “หลง” ไปปรุงแต่งแล้วอยาก “ผลักออก” จากตัว = โมหะ --> โทสะ) :b53: :b53: :b53:

จนนำไปสู่การเกิดขึ้นแห่งภพ และทุกขสัจจ์ ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ โศกเศร้า คร่ำครวญ คับแค้นใจ และทุกข์ ซึ่งหมักหมมในขันธสันดานต่อเป็นอาสวะ ซึ่งเป็นเชื้อให้เกิดอวิชชาหมุนทับถมเป็นวงจรต่อเนื่องเกิดดับไปอีกนับภพนับชาติ (ทั้งการเกิดดับในภพภูมินี้และการเกิดดับข้ามภพภูมิ) :b1: :b44: :b44:

จะเห็นได้ว่า ปฏิจจสมุปบาทในวงของกิเลสวัฏฏ์ตัวต้นราก ๒ ตัวคือ อวิชชาและตัณหานั้น การจะตัดที่ขั้วของตัณหา จะมีสัมมาสติสัมมาสมาธิเป็นองค์ยืนที่ใช้ตัด (โดยมีอีก ๖ องค์ที่เหลือเป็นองค์สนับสนุน) เพราะเมื่อมีสติรู้ จนรู้เท่าทันความอยากแล้ว ความอยากทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้ :b39: :b39: :b39:

แต่สำหรับขั้วของอวิชชานั้น จะต้องใช้สัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตระสัมมาทิฏฐิเท่านั้นที่เป็นองค์นำเข้าไปตัด (โดยมีอีก ๗ องค์ที่เหลือสนับสนุน) ถึงจะตัดจนไม่เหลือเชื้อได้ทีละขั้นของโลกุตรผลนะครับ :b39: :b39: :b39:

โดยในภาคปฏิบัติ เมื่อวงจรเกิดขึ้นแล้วให้ใช้สติสมาธิ (มรรคให้เจริญ) ตามจนรู้ทันในตัวกิเลสและทุกข์ (ทุกข์ให้รู้) โดยไม่วกไปคำนึงถึงเหตุ (สมุทัยให้ละ) จนเห็นกิเลสและทุกข์ดับหรือไม่เกิด (นิโรธให้แจ้ง) ตามมรรคที่ ๒ สมถะมีวิปัสสนานำหน้าขององค์พระอานนท์ที่เคยโพสท์ตัวอย่างไว้ :b1: :b46: :b46:

ก็จะเป็นการตัดขั้ววงจรของทุกข์ที่ตัวตัณหาโดยใช้สัมมาสติสัมมาสมาธิ และเกิดปัญญารู้เท่าทันในสามัญลักษณะ คือโลกุตรสัมมาทิฏฐิ ที่สามารถเข้าไปตัดวงจรได้ถึงรากคือตัวอวิชชาครับ :b8: :b39: :b39:

ดึกแล้ว ขอมาต่อในคราวหน้าครับ :b1: :b46: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 15 มิ.ย. 2014, 00:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันครับ :b1: :b38: :b37: :b39:

จากคราวที่แล้วที่กล่าวถึงการปฏิบัติและอานิสงค์ของการให้จิตเห็นจิตในชีวิตประจำวัน เมื่อเกิดผัสสะเวทนาจนจิตหลงไปปรุงแต่งเกิดกิเลสและทุกข์แล้ว :b46: :b46: :b46:

คราวนี้มาลองดูภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวันขณะที่เกิดความรู้สึกเฉยๆ (อุเบกขาเวทนา) ดูบ้าง :b42: :b44: :b44:

จากที่เคยกล่าวไปแล้วนะครับว่า การปฏิบัติให้รู้อยู่กับตัวรู้นั้น สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ แต่ที่ยกตัวอย่างมาครั้งแรกเพื่อความง่ายคือให้ใช้อิริยาบถนั่ง คือการหลับตานั่งสมาธิเพื่อให้จิตอยู่กับตัวรู้จริงๆคือที่มโนวิญญาณ ไม่ได้ไปอยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย (กายวิญญาณ) หรืออยู่กับวิญญาณอื่นๆ (จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา) :b51: :b51: :b51:

แต่ในการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องเปิดการรับรู้ผ่านทางทวารทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วส่งมาทวารที่ ๖ คือใจนั้น การที่จะให้ตัวรู้มาอยู่ที่มโนวิญญาณอย่างเดียวนั้นคงเป็นไปไม่ได้ :b5: :b46: :b46:

แต่สิ่งที่ฝึกปฏิบัติได้ก็คือ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้นที่ทวารทั้ง ๕ แล้ว ในกรณีที่รู้สึกเฉยๆ (อุเบกขาเวทนา ซึ่งอาจจะประกอบด้วยอกุศลในหมวดโลภะและโมหะ หรือกุศลที่ไม่ประกอบไปด้วยความสุขโสมนัส) ซึ่งในชีวิตประจำวันเราจะเกิดขึ้นมากกว่า และทำให้จิตไม่ฟุ้งปรุงแต่งต่อได้ง่ายกว่าเวทนาทางด้านสุขทุกข์ เช่น ในขณะตื่นนอน ลุกจากเตียง ถูฟันล้างหน้าอาบน้ำ แต่งตัว ทานข้าว เดินหรือนั่งรถไปทำงาน ฟังข่าว คุยกับเพื่อน ทำงาน ฯลฯ :b39: :b39: :b39:

(จากนี้ไปอาจจะยากนิดหน่อยนะครับ แต่ถ้าอ่านเฉพาะคำบรรยายโดยข้ามศัพท์ในทางอภิธรรมไป ก็น่าจะพอเข้าใจได้อยู่ :b46: :b46: :b46:

โดยในทางอภิธรรมที่จะวงเล็บศัพท์ต่อท้ายไว้ให้ คือการเกิดขึ้นของปัญจทวารวิถี ได้แก่ การเกิดวิญญาณขึ้นรับรู้การกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือจิตเปิดทวาร (ปัญจทวาราวัชชนจิต) จำแนกสัญญาณส่งต่อไปที่วิญญาณที่ได้รับการกระทบนั้นๆ (ปัญจวิญญาณจิต) เกิดจิตมารับอารมณ์ต่อจากวิญญาณที่ได้รับการกระทบ (สัมปฏิฉันนจิต) :b48: :b48: :b48:

ส่งสัญญาณต่อไปเพื่อไต่สวนพิจารณาอารมณ์ (สันตีรณจิต)) แล้วส่งมาที่ใจคือมโนวิญญาณ (โวฏทัพพนจิต ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต) เพื่อตัดสินอารมณ์ที่มากระทบนั้นเพื่อเสพต่อในชวนจิตอีก ๗ ขณะ และส่งต่อไปที่ตทาลัมพนจิตอีก ๒ ขณะเพื่อลดการเสพอารมณ์ลงก่อนดับไปเพื่อรับอารมณ์ใหม่) :b38: :b37: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ใช้โอกาสนี้ในการฝึกให้รู้อยู่กับตัวรู้ ซึ่งตัวรู้ในที่นี้คือวิญญาณที่เกิดขึ้นรับผัสสะต่างๆนั่นเอง :b39: :b44: :b46:

เช่น เมื่อลุกจากเตียงนอนเดินไปห้องน้ำ ให้รู้อยู่กับกายที่เคลื่อนไหวแล้วรู้กลับมาที่ใจ ซึ่งเป็นตัวรู้จริงๆ, เมื่อแปรงฟัน ให้รู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของมือหรือสัมผัสในช่องปากแล้วรู้กลับมาที่ใจ, เมื่อฟังวิทยุหรือดูข่าวตอนเช้า ให้รู้อยู่กับเสียงหรือภาพแล้วกลับมารู้ที่ใจ, เมื่อทานอาหาร ให้รู้อยู่กับรสหรือกลิ่นแล้วกลับมารู้ที่ใจ ฯลฯ :b46: :b51: :b51:

นั่นคือ เมื่อเกิดผัสสะใด หลังจากที่รู้ในผัสสะนั้นๆแล้ว (ปัญจทวาราวัชชนจิต - ปัญญจวิญญาณจิต) ให้รู้กลับมาที่ใจ (มโนทวาราวัชชนจิต ที่ทำหน้าที่โวฏทัพพนจิต ถึงชวนจิต – ตทาลัมพนจิต) ที่มีความรู้สึกเฉยๆนั้น (อุเบกขาเวทนา) โดยใช้สติประคองรู้อย่างเดียวโดยไม่คิดปรุงแต่งสำหรับการกระทบนั้นๆต่อ (คือ ไม่ขึ้นมโนทวารวิถีต่อหลังจากปัญจทวารวิถีจบลงแล้ว) ก็จะเป็นการฝึกปฏิบัติด้วยการให้จิตกลับมาสู่ตัวรู้หลังจากเกิดผัสสะเวทนาแล้ว :b38: :b37: :b46:

นั่นคือ สิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่า ให้รู้ซื่อๆ คือรู้ผัสสะเวทนาแล้วจบ ไม่ปรุงแต่ง (ไม่ขึ้นมโนทวารวิถี) ต่อ นั่นเองครับ :b1: :b46: :b46:

ซึ่งในทางอภิธรรม จะสังเกตได้ว่า การรู้ในผัสสะเริ่มจากจิตเปิดทวารทั้ง ๕ ผ่านกายปสาทรูป (ปัญจทวาราวัชชนจิต) จนส่งต่อไปที่ใจคือมโนทวาร (มโนทวาราวัชชนจิต) :b48: :b48: :b48:

ซึ่งจิตทั้งสองดวงเป็นอเหตุกจิต คือ จิตที่ไม่ขึ้นกับเหตุ ๖ (โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ) เป็นกิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามทวารที่ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆที่มากระทบ เป็นสภาวะธรรมชาติของมันเช่นนั้น ฯ :b46: :b45: :b51:

ถึงจุดนี้แล้ว ขอให้กัลยาณมิตรกลับไปทบทวนเรื่อง อเหตุกจิต ๓ ประการขององค์หลวงปู่ดูลย์อีกครั้งตามลิงค์

http://www.fungdham.com/download/book/article/dul/007.pdf

ก็จะสามารถเชื่อมโยงการปฏิบัติให้รู้อยู่กับตัวรู้ หรือจิตเห็นจิตในชีวิตประจำวันได้ชัดเจน และปฏิบัติได้ถูกต้องอย่างเป็นธรรมชาตินะครับ

(ซึ่งในบันทึกของหลวงปู่ได้ลงท้ายไว้ว่า “อเหตุกจิตนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรทําความเขาใจใหได เพราะถาไมเชนนั้นแลว เราจะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเปนอันตรายตอการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไมเขาใจใน อเหตุกจิต ขอ ๑ และ ๒ นี้เอง”)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ซึ่งจะใช้วิธีปฏิบัติเดียวกันนี้สำหรับทั้งสุขโสมนัสและทุกข์โทมนัสเวทนาได้ด้วย แต่สำหรับปุถุชนโดยปกติแล้ว เมื่อเกิดโสมนัสหรือโทมนัสเวทนา จะขาดสติหลงไปปรุงแต่งต่อ จะไม่ค่อยรู้ซื่อๆกัน ก็ให้มีสติเรียนและรู้ทันการปรุงแต่งจนเกิดภพชาติ (ทุกขสัจจ์) นั้นเพื่อการเกิดขึ้นแห่งโลกุตรปัญญาตามที่ได้โพสมาก่อนหน้านะครับ) :b38: :b37: :b39:

นอกเหนือจากการมีสติอยู่กับตัวรู้ในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ถ้าต้องการให้เข้มข้นขึ้น วิสุทธิปาละแนะนำให้เอาการปฏิบัติแบบจิตเห็นจิตเข้ามาใช้ในอิริยาบถอื่นนอกเหนือจากการนั่งสมาธิด้วยก็จะมีอานิสงค์อย่างยิ่ง :b46: :b46: :b46:

คือ ถ้านั่งให้รู้อยู่กับตัวรู้จนชำนาญแล้ว การฝึกด้วยอิริยาบถอื่น เช่น เดินจงกรม, ขยับมือให้จังหวะ, ฯลฯ นี้ จะมีผลให้สติออกมาป้องกันจิตไม่ให้หลงไปปรุงแต่งในชีวิตประจำวันได้เห็นผลกว่าการนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว :b51: :b51: :b51:

เพราะอิริยาบถอื่นนั้น มีการเปิดทวาร/วิญญาณรับรู้มากกว่า และมีความใกล้เคียงกับวิถีชีวิตประจำวันมากกว่า :b53: :b46: :b51:

เช่น การฝึกรู้อยู่กับตัวรู้ในการเดินจงกรม ซึ่งต้องมีการรับรู้ทางตา (จักขุวิญญาณ) และทางกาย (กายวิญญาณ) อยู่ตลอดการเดินจงกรมนั้น ก็ให้ปฏิบัติด้วยวิธีเดียวกัน คือให้รู้การเห็นหรือการเคลื่อนไหว แล้วกลับมารู้ที่ใจสลับกันไป :b46: :b46: :b46:

จนการเดินเป็นอัตโนมัติแล้วโดยเฉพาะจังหวะเข้าทางตรง ให้ประคองการรู้ให้อยู่ที่ใจอย่างเดียว (คือ ตาเปิดก็จริงแต่ไม่รู้ที่ตา ให้มาดักรู้ที่ใจ (มโนทวาราวัชชนจิต ถึง ตทาลัมพนจิต), ขาเดินก็จริงแต่ไม่รู้ที่กายที่เคลื่อนไหว ให้มาดักรู้ที่ใจ, มีเสียงมากระทบก็จริงแต่ไม่รู้ที่หู ให้มาดักรู้ที่ใจ ฯลฯ) :b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และในขณะที่ประคองรู้ให้อยู่ที่ใจอย่างเดียวนั้น ถ้าใจหนีไปคิด (ขึ้นมโนทวารวิถี) ก้ให้รู้ว่าหลงไปคิดแล้วกลับมารู้ที่ใจใหม่ :b45: :b51: :b51:

ก็จะทำให้รู้ถึงพฤติของจิตได้เช่นกัน :b1: :b42: :b44:

ประคองอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตัวสติที่เกิดขึ้นจะมีกำลังมากกว่าตัวสติที่เกิดจากการนั่งสมาธิอย่างเดียว เพราะเป็นการฝึกสติให้อยู่กับตัวรู้ในสภาวะที่มีสิ่งมากระทบรบกวนสติมากกว่า :b46: :b46:

ซึ่งการหลับตานั่งสมาธิให้รู้อยู่กับตัวรู้นั้น เปรียบเหมือนกับการหัดขับรถในชนบทบนถนนทางตรงที่มีรถน้อย :b49: :b49: :b50:

ส่วนการเดินจงกรมหรือในการใช้ชีวิตประจำวัน เปรียบเหมือนกับการหัดขับรถในเมืองที่มีตรอกซอกซอยและจราจรคับคั่ง สิงที่เข้ามากระทบเพื่อเบี่ยงเบนความจดจ่อของสติมีมากกว่า :b39: :b39: :b39:

แต่การฝึก ถ้ายังหัดขับบนถนนโล่งๆไม่ชำนาญแล้วเข้าเมืองเลย อาจจะยาก เกิดความก้าวหน้าน้อย และท้อใจได้ง่ายๆ :b48: :b48: :b48:

ดังนั้น การฝึกควรเริ่มจากที่ๆมีรถน้อย เส้นทางตรงๆ คือหลับตานั่งสมาธิให้รู้อยู่กับตัวรู้ :b51: :b51: :b51:

หัดขับถอยหน้าถอยหลังให้ชำนาญก่อนแล้วค่อยออกมาขับบนถนนจริงที่เริ่มมีรถเยอะขึ้น คือการเดินจงกรมให้รู้อยู่กับตัวรู้ จนสามารถขับรถในเมืองที่มีการกระทบเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที คือการรู้อยู่กับตัวรู้ในชีวิตประจำวันได้อย่างชำนาญนะครับ :b1: :b39: :b39:

แถมเทคนิคส่วนตัวให้อีกนิดหน่อยครับ คือการฝึกเดินจงกรม ถ้าสามารถหาทางเดินที่ยาว หรือวนเป็นวงรอบเพื่อให้ฝึกเดินอย่างมีสติได้นานๆโดยไม่ต้องหยุดกลับตัว :b49: :b50: :b50:

เช่น การเดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะด้วยความเร็วตามปกติ แต่อย่างมีสติประคองรู้อยู่ที่ใจ จะยิ่งมีผลให้สติออกมาคุ้มครองจิตในชีวิตประจำวันได้ชัดเจนขึ้นนะครับ คือเมื่อมีผัสสะเวทนาเกิดขึ้น จะมีสติรู้ทันในพฤติของจิตได้ไว ปัญญาก็จะเกิดมากขึ้น ทุกข์ก็จะเกิดน้อยลงตามกันไปครับ :b1: :b46: :b46:

ต่อคราวหน้าครับ :b39: :b39: :b39:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b39: :b39:

:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาครับ

:b17: :b4: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณกับคำอนุโมทนาของคุณ narapan ด้วยครับ :b8: :b46: :b46:

ขอเพิ่มเติมรายละเอียดในการปฏิบัติให้รู้อยู่กับตัวรู้ในชีวิตประจำวันที่มีการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย (ปสาทรูปทั้ง ๕) แล้วส่งสัญญาณการรับรู้ผัสสะต่อไปที่ใจ คือมโนทวาร (ปัญจทวารวิถี) ในกรณีของการดูหนังฟังเพลง ซึ่งเป็นการฝึกให้รู้ในพฤติของจิตที่ “หลง” ไปปรุงไปแต่งได้อีกทางหนึ่งนะครับ :b1: :b38: :b37:

การทดลองฝึกสติให้รู้อยู่กับตัวรู้เมื่อดูหนังฟังเพลงนั้น เปรียบเสมือนกับการสร้างบทเรียนให้จิตได้เรียนรู้ถึงพฤติของจิตเองที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นถี่ๆ เป็นระยะเวลานานๆ เช่นเมื่อจะฟังเพลงที่ชอบมากๆ ให้ตั้งสติก่อนสตาร์ทแล้วทดลองฟังด้วยวิธีใหม่ คือฟังโดยไม่ส่งจิตออกนอกให้ไหลไปตามคำร้องและทำนองเพลง ประมาณว่า เอาละน๊ะ จะฟังเพลงโปรดโดยไม่ให้จิตไหลไปกับเพลงละน๊ะ :b4: :b46: :b46:

ทำความรู้สึกตัวเฉพาะเสียงที่มากระทบประสาทหูแล้วมาดักรู้ที่ใจ คือได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินโดยยังมีความรู้ในเนื้อร้องทำนอง แต่ควบคุมไม่ให้ใจไหลใจร้องไปตามเนื้อร้องทำนองเพลงที่ชอบนั้น เหมือนกับการผูกเรือไว้กลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและไม่ปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแส :b51: :b51: :b51:

แต่ถ้าใจเผลอไหลไปร้องตามเพลงให้กลับมารู้ลงที่ใจใหม่ เมื่อตั้งมั่นดีแล้วสักพักลองค่อยๆปล่อยใจให้ไหล เหมือนกับการค่อยๆผ่อนเชือกเรือ แล้วลองดึงเชือกไม่ให้ใจไหลใหม่ :b45: :b46: :b51:

จะเห็นเลยนะครับว่า ใจจะเริ่มไหลวึบ ไหลวึบ คือ ไหลไปกับเพลงแล้วหยุดรู้ตัว ไหลแล้วหยุดรู้ตัว เหมือนกับการผ่อนเชือกเรือแล้วดึงตึงสลับกันไป :b1: :b51: :b51:

ลองๆเล่นๆอย่างนี้ไปซักพักนะครับจนเพลงจบ จะเห็นเลยครับที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า จิตไหลออกนอกนั้นน่ะ เป็นอย่างไร อ้าว ! เผลอไปแพล็บเดียวจิตไหลไปร้องเพลงที่พึงจบไปได้เองเฉยเลยทั้งๆที่เพลงก็ไม่ได้เปิด :b5: :b46: :b46:

ตรงนี้ตามรู้ตามดูให้ทันนะครับ แล้วจิตจะแสดงอาการของอนัตตาออกมาให้เห็นคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของเรา ควบคุมไม่ได้ตลอดเวลา เผลอปั๊บร้องเพลงเองเลย :b13: :b46: :b41:

ซึ่งการฝึกกับเพลงนั้นจะลองฝึกกับการดูหนังที่ชอบก็ได้นะครับ โดยเฉพาะหนังที่มีเพลงประกอบที่เพราะ ทำให้เราอินไปกับบทได้มาก :b50: :b49: :b48:

จะเห็นว่าจิตของเราจะไปอินอยู่ในหนังในเพลงได้อย่างชัดเจน แค้นไปกับนางเอกที่ถูกทำร้ายจิตใจ หรือเสียวสยองตกใจไปกับผีที่โผล่พรวดพราดออกมา ฯลฯ รู้สึกตัวทีก็กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พอเผลอก็กลับกระโจนไหลไปอยู่ในหนังในเพลงอีก :b1: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ในการฝึกสติอย่างจริงจังแล้ว วิธีฝึกแบบนี้เอาไว้ลองเล่นๆนะครับ เพราะการดูหนังฟังเพลงเป็นการกระตุ้นกิเลสให้เกิดขึ้น เป็นการเอากิเลสมาใส่ตัว :b1: :b46: :b46:

แล้วจะรู้ได้เองอย่างซาบซึ่งถึงใจในโทษของการดูหนังฟังเพลงเลยว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงทรงได้ห้ามไว้เป็นศีลเบื้องต้นหนึ่งในแปดข้อสำหรับผู้ที่ต้องการชำระกายใจให้บริสุทธิ์ และเป็นศีลขั้นต่ำสำหรับอนาคามีบุคคลที่ไม่มีความอยากที่จะดูหนังฟังเพลงเองโดยธรรมชาติ เพราะเห็นโทษของการดูหนังฟังเพลงแล้วว่าจะทำให้จิตแกว่งไหวขาดสติออกจากตัวรู้ไปนึกคิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านได้ง่าย :b1: :b46: :b46:

ทางที่ดีเอาไว้ลองฝึกเมื่อหนีเพลงไม่ออกเช่น เพื่อนข้างบ้านเปิดวิทยุแล้วมีเพลงที่ชอบลอยตามลมมาให้ได้ยิน หรือเดินตามห้างแล้วมีเสียงเพลงลอยมาเข้าหูโดยไม่ได้ตั้งใจนะครับ :b1: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากครั้งที่แล้วที่กล่าวถึงการปฏิบัติให้รู้อยู่กับตัวรู้ในชีวิตประจำวันที่มีการกระทบทางปสาทรูปทั้ง ๕ แล้วส่งสัญญาณการรับรู้ผัสสะต่อไปที่ใจ คือมโนทวาร (ปัญจทวารวิถี) ไปแล้วนั้น :b1: :b51: :b51:

คราวนี้ ลองมาดูการปฏิบัติให้รู้อยู่กับตัวรู้ในชีวิตประจำวันเมื่อเกิดกระบวนการ “ตริ ตรึก นึก คิด” หรือ “เคลิ้ม เผลอ เหม่อ ลอย” (มโนทวารวิถี โดยคำว่า “คิด” ในที่นี้ หมายรวมถึงการ “คิด” เพื่อสั่งการกระทำต่อทางกายและวาจาด้วย) :b46: :b46: :b45:

ทั้งการคิดที่ไม่ประกอบด้วยโมหะ คือ มี “สติ” ตั้งใจ และ “รู้ตัว” ว่ากำลังคิด + “รู้เรื่อง” ที่คิด (หรือสั่งการการทำต่อ) :b1: :b51: :b51:

หรือการคิด ที่ประกอบไปด้วยโมหะ คือการ “หลง” ไปคิดนู่นคิดนี่ (หรือคิดสั่งการกระทำต่อโดยขาดสติ) หรือ “หลง” ไปเคลิ้ม เผลอ เหม่อ ลอย ไม่คิดไม่สั่งการกระทำอะไรเลยกันบ้าง (โดยจะกล่าวเฉพาะในกามวิถี ไม่รวมวิถีอื่นๆ เช่น อัปปนาวิถี, สมาบัติวิถี, ฯลฯ) :b46: :b46: :b41:

ซึ่งในชีวิตประจำวันถ้าลองสังเกตตัวจิตเองดูให้ดีแล้วนะครับ งานที่จิตทำง่วนอยู่ทั้งวันจะเป็นการสลับกันไปมาระหว่างการรับรู้ผัสสะ (ปัญจทวารวิถี) และการคิดนู่นคิดนี่ในใจ หรือคิดสั่งการกระทำ หรือเหม่อลอยไม่คิดอะไร (มโนทวารวิถี) :b48: :b48: :b47:

โดยกระบวนการของมโนทวารวิถีจะเกิดขึ้นถี่กว่าปัญจทวารวิถีมากมาย เพราะจิตของคนเราจะคิดนู่นคิดนี่ หางานทำด้วยการคิด, นึก, สั่งการ อยู่ตลอดทั้งวัน หรือไม่ก็สลับกับการเคลิ้มเผลอเหม่อลอย ซึ่งก็เป็นมโนทวารวิถีอีกรูปแบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยโมหะมูลจิตกลุ่มลังเลหรือสงสัย (วิจิกิจฉาสัมปยุต) ขาดซึ่งความปักใจในอารมณ์ (อธิโมกข์เจตสิก) ล่องลอยไปวันๆ :b23: :b22: :b30:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร