วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 01:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 52, 53, 54, 55, 56, 57, 58 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.. (แต่) ตามธรรมดาคนเรามักตัด "ความเป็นจริง" ออกเป็นชิ้นๆ และแยกออกเป็นส่วนๆโดยไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะมองเห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัย เกี่ยวพันซึ่งกันและกันของสรรพปรากฏการณ์ .. การยึดติดในการมองตัวตนอย่างผิดๆ ก็คือการมีความเชื่อว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้นั้น ดำรงอยู่โดยตัวของมันเองอย่างจีรังยั่งยืน

เมื่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเห็นแจ้งในความเป็นจริงของขันธ์ทั้ง ๕ ซึ่งทำให้เกิดสภาวะว่างจากตัวตนนั้น ท่านก็ได้ปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์ ความเจ็บปวด ความลังเลสงสัย และความโกรธทั้งปวง

เธอ ครู และผู้ปฏิบัติงานทุกคนก็เช่นเดียวกัน .. หากเรามีความเพียร ดำรงสติพิจารณาธรรมชาติแห่งความเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันของขันธ์ ๕ อย่างแน่วแน่ เราก็สามารถปลดปล่อยตนเองออกจากความทุกข์ความขลาดกลัวทั้งหลายทั้งปวงได้นั่นเอง

การฝึกสติจะต้องกำจัดสิ่งกีดขวางทั้งมวล เพื่อชีวิตของเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจักรวาล .. มีปรากฏการณ์มากมายดำรงอยู่ในชีวิตของเรา และตัวเราเองก็อยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆ .. เราคือชีวิต และชีวิตนั้นปราศจากขอบเขต .. หากชีวิตของเราปราศจากขอบเขต ชันธ์ทั้ง ๕ ที่ประชุมกันขึ้นเป็นตัวเราก็ไม่มีขอบเขตเช่นกัน

(ถึงตรงนี้) สามัญลักษณะของจักรวาลอันประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความสำเร็จและความล้มเหลวของชีวิต ก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายเราได้อีกต่อไป เมื่อเธอเห็นแจ้งและแทงลึกเข้าไปในความเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันของความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะไม่มีอะไรมาเบียดเบียนเธอได้อีกต่อไป .. เธอได้รับการปลดปล่อยแล้ว ..

(เมื่อไม่มีตัวเรา .. แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ทุกข์ - วิสุทธิปาละ)


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงตอนนี้ เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และเพิ่มความเข้าใจในข้อธรรมอันละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับ "การไม่มีเรา" ให้มากขึ้น :b46: :b39: :b46:

วิสุทธิปาละขอแทรกข้อเขียนของหลวงปู่พุทธทาสเรื่อง "ใครทุกข์ ? ใครสุข?" มาให้ได้ศึกษากันต่อเนื่องไปด้วยทีเดียวเลยนะครับ :b1: :b46: :b39:


-------- :b46: :b39: :b46: -------- :b46: :b39: :b46: -------- :b46: :b39: :b46: -------- :b46: :b39: :b46: -------- :b46: :b39: :b46: --------

พระพุทธองค์ตรัสว่า

"เมื่อกล่าวสรุปให้สั้นที่สุดแล้ว เบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์."
(สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่า
ถ้าขันธ์เป็นทุกข์ ก็ช่างมันเป็นไร เราอย่าทุกข์ก็แล้วกัน มิใช่หรือ?

บาลีแห่งอื่นก็มีอีกว่า

"ตัวทุกข์นั้นมีอยู่แท้ แต่บุคคลผู้เป็นทุกข์หามีไม่"
(ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต การโก น, กิริยา วิชฺชติ)
นี่ก็เช่นเดียวกันอีก แสดงว่าตัวตนของเราไม่มี. ทุกข์อยู่ที่รูปและนาม.
นี้ก็ก่อให้เกิดคำถามว่า เราจะพยายามทำที่สุดทุกข์ไปทำไม
เมื่อเราผู้เป็นเจ้าทุกข์ก็ไม่มีเสียแล้ว,
พยายามให้ใคร. ใครจะเป็นผู้รับสุข ทำบุญกุศลเพื่ออะไรกัน?

เพื่อขบปัญหานี้ให้แตกหัก โดยตนเองทุกๆ คน (เพราะธรรมะเป็นของเฉพาะตน).
ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดสั้นๆ แต่กว้างขวางออกไป
แด่ท่านทั้งหลายสำหรับจะได้นำไปคิดไปตรอง
จนแจ่มแจ้งในใจด้วยปัญญาของตนเองแล้ว
และบำบัดความหนักใจ หม่นหมองใจ อันเกิดแต่ความสงสัย
และลังเลในการประพฤติธรรมของตน ให้เบาบางไปได้บ้าง ดังต่อไปนี้ :-


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ร่างกายและจิตใจสองอย่างนี้ รวมกันเข้าเรียกว่า นามรูป,
หรือเรียกว่า เบญจขันธ์ เมื่อแยกให้เป็น ๕ ส่วน.

ในร่างกายและจิตใจนี้ ถ้ายังมีอุปาทาน กล่าวคือ
ความยึดถือว่า "ของฉัน" ว่า "ฉัน" อยู่เพียงใดแล้ว ความทุกข์นานัปการ
ตั้งต้นแต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนถึงความหม่นหมองร้ายแรงอย่างอื่น เช่น
อยากแล้วไม่ได้สมอยาก เป็นต้น ก็ยังมีอยู่ และออกฤทธิ์แผดเผาทรมานร่างกาย
และจิตใจอันนั้นเอง.

แต่เมื่อใดอุปาทานอันนี้หมดไปจากจิต ผู้นั้นไม่มีความสำคัญตนหรือรู้สึกตนว่า
"ฉันมี", "นี่เป็นของฉัน" เป็นต้นแล้ว ทุกข์ทั้งมวลดังกล่าวก็ตกไปจากจิต
อย่างไม่มีเหลือ เพราะเราอาจที่จะไม่รับเอาว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นของเรา
และสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มันว่าเป็นของเราได้จริงๆ.

แต่พึงทราบว่า เมื่ออวิชชา (ความโง่หลง) ยังมีอยู่ในสันดานเพียงใดแล้ว
ความสำคัญว่าเรา หรือของเรา มันก็สิงอยู่ในสันดานเรา โดยเราไม่ต้องรู้สึก
เพราะฉะนั้น เราจึงรับเอาความทุกข์ทั้งมวลเข้ามาเป็นของเรา โดยเราไม่รู้สึกตัว;
จึงกล่าวได้ว่า ตัวตนของเรา มีอยู่ในขณะที่เรายังมีอวิชชาหรืออุปาทาน เพราะ
สิ่งที่เป็นตัวตน (ตามที่เรารู้สึกและยึดถือไว้ในสันดานนั้น) เป็นสิ่งที่ถูกสร้าง
ให้เกิดขึ้นโดยอวิชชานั่นเอง. ตัวตนไม่มีในเมื่อหมดอวิชชา.

เมื่อใดหมดอวิชชา หรือความโง่หลง เมื่อนั้น "ตัวตน" ก็ทำลายไปตาม;
ความรู้สึกว่า "เรา" ก็ไม่มีในสันดานเรา;
ไม่มีใครเป็นผู้ทำ หรือรับผลของอะไร จึงไม่มีทุกข์,
ความจริงนั้นมีแต่นามรูปซึ่งเกิดขึ้น, แปรปรวน, ดับไปตามธรรมดาของมัน
เรียกว่า มันเป็นทุกข์.


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่ออวิชชาในสันดานเรา (หรือในนามรูปนั้นเอง) ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า
"นามรูปคือตัวเรา" แล้ว "เรา" ก็เกิดขึ้นสำหรับเป็นทุกข์,
หรือรับทุกข์ทั้งมวลของนามรูปอันเป็นอยู่ตามธรรมชาตินั้น.

เห็นได้ว่า "เราที่แท้จริง" นั้นไม่มี มีแต่เราที่สร้างขึ้นโดยอวิชชา.
ท่านจึงกล่าวว่า ความทุกข์นั้นมีจริง แต่ผู้ทุกข์หามีไม่,
หรือเบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์.

ที่เรารู้สึกว่า มีผู้ทุกข์ และได้แก่ตัวเรานี่เองนั้น เป็นเพราะความโง่ของเรา
สร้างตัวเราขึ้นมาด้วยความโง่นั้นเอง, ตัวเราจึงมีอยู่ได้แต่ในที่ๆ ความโง่มีอยู่.
ยอดปรัชญาของพุทธศาสนา จึงได้แสดงถึงความจริงในเรื่องนี้
ด้วยการคิดให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งประจักษ์ชัดว่า "ตัวเราไม่มี" จริงๆ.

อาจมีผู้ถามว่า ก็เมื่อความจริงนั้น ตัวเราไม่มีแล้ว
เราจะขวนขวายประพฤติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ทำไมเล่า?

นี่ก็ตอบได้ด้วยคำที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกนั่นเอง, คือว่าในขณะนี้
เราหาอาจมีความรู้ได้ไม่ว่า "ตัวเราไม่มี". เรายังโง่เหมือนคนบ้าที่ยังไม่หายบ้า
ก็ไม่รู้สึกเลยว่าตนบ้า.

เหตุนี้เอง "ตัวเรา" ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความโง่ นั่นแหละมันมีอยู่,
มันเป็นเจ้าทุกข์, และเป็นตัวที่เราเข้ายึดเอามาเป็นตัวเรา หรือของเราไว้โดยไม่รู้สึก.
เราจึงต้องทำตามคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อหายโง่ หายยึดถือ
หมดทุกข์ แล้วเราก็จะรู้ได้เองทีเดียวว่า อ้อ! ตัวเรานั้น ที่แท้ไม่มีจริงๆ!!
นามรูปมันพยายามดิ้นรนเพื่อตัวมันเองตลอดเวลา
มันสร้าง "เรา" ขึ้นใส่ตัวมันเองด้วยความโง่ของมัน;
เราที่มันสร้างขึ้น ก็คือเราที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหล่ะ !


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความทุกข์ ความสุขมีจริง. แต่ตัวผู้ทุกข์ หรือผู้สุขที่เป็น "เราจริงๆ" หามีไม่,
มีแต่ "เรา" ที่สร้างขึ้นจากความไม่รู้ โดยความไม่รู้.
ดับเราเสียได้ ก็พ้นทุกข์และสุข, สภาพเช่นนี้เรียกว่า นิพพาน.

ที่กล่าวว่า พระนิพพานเป็นยอดสุขนั้น ไม่ถึงเข้าใจว่า เป็นสุขทำนองที่เราเข้าใจกัน,
ต้องเป็นสุขเกิดจากการที่ "เรา" ดับไป และการที่พ้นจากสุขและทุกข์ ชนิดที่เรา
เคยรู้จักมันดีมาแต่ก่อน. แต่พระนิพพานจะมีรสชาติเป็นอย่างไรนั้น ท่านจะทราบ
ได้เองเมื่อท่านลุถึง. มันอยู่นอกวิสัยที่จะบอกกันเข้าใจ ดังท่านเรียกกันว่าเป็น
ปัจจัตตัง หรือสันทิฏฐิโก.

ในพระนิพพาน ไม่มีผู้รู้, ไม่มีผู้เสวยรสชาติแห่งความสุข; เพราะอยู่เลยนั้น
หรือนอกนั้นออกไป; ถ้ายังมีผู้รู้ หรือผู้เสวย ยังยินดีในรสนั้นอยู่ นั่นยังหาใช่
พระนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์จริงๆ ไม่ แม้จะเป็นความสุขอย่างมากและน่า
ปรารถนาเพียงไรก็ตาม มันเป็นเพียง "ประตูของพระนิพพาน" เท่านั้น.
แต่เมื่อเราถึงสถานะนั่นแล้ว เราก็แน่แท้ต่อพระนิพพานอยู่เอง.

เมื่อนามรูปยังมีอยู่ และทำหน้าที่เสวยรสเยือกเย็นอันหลั่งไหลออกมาจากการ
ลุถึงพระนิพพานได้ ในเมื่อมันไม่เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งอุปาทาน หรืออวิชชาอีกต่อไป.
เราเรียกกันว่า นั่นเป็นภาวะแห่งนิพพาน.

เมื่อรูปนามนั้น ดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลืออยู่อีก นั่นก็คือ ปรินิพพาน

ดังนี้ ท่านตัดสินเอาตามความพอใจของท่านเองเถิดว่า

ใครเล่าเป็นผู้ทุกข์? ใครเล่าเป็นผู้สุข?

แต่พึงรู้ตัวได้ว่า ตัวเราที่กำลังจับกระดาษแผ่นนี้อ่านอยู่นั้น

ก็ยังเป็นตัวเราของอวิชชาอยู่ !

๑ สิงห์ ๗๙
พุทธทาสภิกขุ


http://www.buddhadasa.com/shortbook/whosuffer.html


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาต่อกันที่ธรรมะบรรยายของหลวงปู่นัท ฮันห์ ที่พูดถึงการฝึกสติ และมุมมองต่อการนำพุทธศาสนามาเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมกันนะครับ :b1: :b46: :b39:

ซึ่งตรงนี้ เป็นแนวทางที่ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นการทำพุทธศาสนาให้มีชีวิต (engaged buddhism) เพื่อที่จะรับใช้สังคม และสร้างศานติสุขให้เกิดขึ้นในโลก :b8: :b46: :b39:

------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------

ความเห็นอันถูกต้อง (Right View) ความคิดอันถูกต้อง (Right Thinking)

เธอจะมีความสุขไม่ได้ถ้าเธอไม่มีความรักและความเข้าใจในตัวของเธอเอง ความรักและความเข้าใจนั้นเป็นสองสิ่งที่ควรจะปฏิบัติและบ่มเพาะขึ้นมา

ความเห็นที่ถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ : Right View) คือความเห็นที่ประกอบด้วยความคิดอันไร้ซึ่งการแบ่งแยก

ความเห็นที่ถูกต้องหมายความว่า เราเห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเราไม่ได้แยกออกมาย่างโดดเดี่ยว เป็นเอกเทศ

นี่คือคำสอนเรื่องอนัตตา

เมื่อเรามองกลับมาที่ตัวเรา เราจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่แยกออกมาโดดเดี่ยว เธอมาจากคุณพ่อ-คุณแม่ของเธอ คุณพ่อปรากฏอย่างเต็มเปี่ยมในตัวของเธอ ในเซลล์ของเธอ เธอคือความสืบเนื่องของคุณพ่อคุณแม่เธอ

เหมือนสายฝนคือผู้สืบทอดของก้อนเมฆ สายฝนไม่ใช่ตัวตนที่แยกขาดจากก้อนเมฆ เมื่อเธอมองสายฝนอย่างลึกซึ้ง เธอจะเห็นก้อนเมฆในสายฝน เมื่อเธอดื่มชาอย่างเต็มเปี่ยมด้วยสติ เธอจะเห็นก้อนเมฆในน้ำชา หากไม่มีก้อนเมฆย่อมไม่มีสายฝน และเมื่อไม่มีสายฝน น้ำชานี้ก็คงไม่มีอยู่

เมื่อเรามองแผ่นกระดาษ เราจะเห็นว่ากระดาษนี้มีด้านซ้ายและด้านขวา แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะแยกด้านซ้ายของกระดาษออกมาจากด้านขวา หรือ แยกกระดาษด้านขวาออกจากด้านซ้าย เพราะกระดาษนี้เป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน

นี่คือคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน (inter-being) เธอจะรู้ว่าอยู่ตามลำพังไม่ได้ เธอต้องพึ่งพิงเชื่อมโยงกับผู้อื่นเสมอ

เช่นเดียวกัน หากเธอเป็นฝ่ายซ้าย เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะอธิษฐานขอให้ไม่มีฝ่ายขวา เพราะถ้าหากไม่มีฝ่ายขวา ฝ่ายซ้ายแบบเธอก็ไม่มีด้วยเช่นกัน

นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสิ่งนี้เพราะสิ่งนั้นดำรงอยู่ (This is because That is)

ที่มีฝ่ายซ้ายอยู่ตรงนั้น ก็เพราะมีฝ่ายขวาอยู่ตรงนี้


โพสต์ เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติภาวนาคือการมองอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงกัน

เธอก็อยู่ในตัวฉัน ฉันก็อยู่ในตัวเธอ

ความสุขของเขาก็คือความสุขของฉัน

ความทุกข์ของเขาก็คือความทุกข์ของฉันด้วย

ความสุขและความทุกข์ไม่ใช่เรื่องปัจเจกบุคคล

ถ้าเรามองเห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งนี้ เราต้องหยุดการกระทำที่จะก่อทุกข์ต่อกันและกัน นี่คือปัญญารู้แจ้งที่จะถอดถอนการแบ่งแยก ความโกรธ เกลียด เราจะเข้ามาหากันและรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อเธอมองอย่างลึกซึ้งเธอจะเห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ การเป็นดั่งกันและกัน ถ้าไม่มีโคลนตมย่อมไม่มีดอกบัว ถ้าไม่มีความทุกข์ ความสุขก็ไม่มี เหล่านี้คือสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยกัน ดั่งกันและกัน

เมื่อเธอมีปัญญารู้แจ้งของการเป็นดั่งกันและกัน เธอจะมีความเห็นที่ถูกต้อง (Right View) เธอจะหยุดความคิดเพื่อทำลายล้าง เข่นฆ่า ทำร้าย อีกต่อไป

เราได้เรียนรู้ว่า หากชาวปาเลสไตน์ไม่รู้สึกปลอดภัย ชาวยิวก็ไม่มีทางจะปลอดภัย ความปลอดภัยของฝ่ายหนึ่งเชื่อมโยงกับความปลอดภัยของอีกฝ่าย ดังนั้นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามทุกข์น้อยลงก็เป็นการทำให้ฝ่ายของเราทุกข์น้อยลงด้วย ความปลอดภัย ความปรองดอง สันติสุข สิ่งเหล่านี้ก็เป็นดั่งนี้เช่นกัน

(สิ่งเหล่านี้ (สัมมาทิฏฐิ : Right View) ทำให้เกิดความรัก ความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจต่อกัน กับเพื่อนมนุษย์ กับสัตตานัง และกับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง - วิสุทธิปาละ)


โพสต์ เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และความเห็นอันถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ : Right View) ก็จะนำมาซึ่งความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ : right thinking) แก่เธอ

เมื่อคิดในวิถีของความถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ : right thinking) เธอจะก้าวออกมาจากอาณาจักรของความกลัวและความแบ่งแยก การคิดอันถูกต้องจะเยียวยาตัวเธอ และเยียวยาโลก

แต่ในชีวิตประจำวันของเรามักไม่ใช่การคิดอันถูกต้องเพราะมันเต็มไปด้วยการแบ่งแยก ทุกวันนี้เราบริโภคความคิด แต่เราไม่ได้สร้างกระบวนการคิดที่ถูกต้อง

เราผลิตความคิดเรื่องการแบ่งแยกมากมาย (hate speech) สร้างการคิดผิด (wrong thinking) มากมาย

และเราก็บริโภคความคิดเช่นนั้น ซึ่งไม่ได้ก่อผลดีอะไรเลย

การตามลมหายใจ การเดินในวิถีแห่งสติ ก็เพื่อจะหยุดความคิดของเราเสีย ให้เราอยู่กับปัจจุบัน ให้เราเบิกบานกับสิ่งที่ปรากฏเป็นจริงตรงหน้า จะเยียวยาตัวเรา หล่อเลี้ยงตัวเรา

เวลาที่เรามีสติ มีความสงบสุข เราจะได้รับปัญญารู้แจ้ง

เราจะช่วยประเทศชาติเราได้อย่างไร ก็ช่วยโดยการฝึกสติ สมาธิและปัญญารู้แจ้งนี้ เพื่อช่วยให้ประเทศชาติออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก

ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ปัญญารู้แจ้งนั้นจะบอกเธอ และเธอสามารถนำปัญญารู้แจ้งนี้กลับไปให้สาธารณชนรับทราบ

ดังนั้น การจะช่วยประเทศชาติได้ก็มาจากการฝึกสติ สมาธิ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้ง ถ้าเธอชัดเจนกับปัญญารู้แจ้ง เธอจะเข้าใจอุเบกขาอย่างลึกซึ้ง

.. นั่นคือ การไม่แบ่งแยก ..


โพสต์ เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพุทธศาสนาเราเรียนรู้ว่าความสุขนั้นสร้างขึ้นด้วยองค์ประกอบที่ไม่ใช่ความสุข

เหมือนกับดอกไม้นี้ เมื่อเรามองไปยังดอกไม้เราจะพบว่าดอกไม้ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ไม่ใช่ดอกไม้

เมื่อมองดูดอกไม้เธอจะเห็นก้อนเมฆ เธอไม่ต้องเป็นกวีก็มองเห็นก้อนเมฆในดอกไม้ได้ พวกเรารู้ดีว่าถ้าไม่มีก้อนเมฆก็ไม่มีสายฝน เมื่อไม่มีสายฝนดอกไม้ก็ไม่อาจเติบโต

ก้อนเมฆเป็นองค์ประกอบที่ไม่ใช่ดอกไม้ ถ้าเราแยกก้อนเมฆออกจากดอกไม้ ดอกไม้ก็ไม่อาจจะอยู่ตรงนั้น

นอกจากนี้เธอยังเห็นแสงตะวันในดอกไม้ ถ้าไม่มีแสงตะวันก็ไม่มีดอกไม้ แสงตะวันก็เป็นองค์ประกอบที่ไม่ใช่ดอกไม้ แต่ช่วยให้เกิดดอกไม้ เมื่อเราสืบเนื่องการมองเช่นนี้ เราจะเห็นองค์ประกอบมากมายที่ไม่ใช่ดอกไม้

หากเรามองดอกบัว เราจะเห็นโคลนตมในดอกบัว เธอไม่อาจปลูกดอกบัวลงบนหินอ่อน เธอต้องปลูกดอกบัวในโคลนตม เมื่อมองดอกบัวเราเห็นโคลนตม โคลนตมคือองค์ประกอบที่ไม่ใช่ดอกบัว แต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งที่จะสร้างดอกบัวขึ้นมา

ความสุขก็เหมือนดอกบัว หากไม่มีองค์ประกอบที่เป็นความทุกข์ เธอก็ไม่อาจสร้างความสุขขึ้นมา

ความทุกข์เป็นองค์ประกอบของความสุข เหมือนกับโคลนตมที่ช่วยให้ดอกบัวได้เบ่งบานขึ้นมา นี่คือเหตุผลว่า เมื่อเราเรียนรู้ความทุกข์อย่างดีพอ เธอจะสามารถสร้างความสุขขึ้นมา ใช้โคลนตมนั้นปลูกดอกบัวขึ้นมา

นี่คือคำสอนที่ลึกซึ้งมากที่สุดของพระพุทธองค์ เพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนั้น เพราะมีโคลนตมเช่นนั้น ดอกบัวจึงสามารถเบ่งบานได้เช่นนี้ ..


http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=245
http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=252
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=45583
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=45472


------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------ :b46: :b39: :b46: ------

แล้วมาต่อที่หลืออีกนิดหน่อยในคราวหน้าครับ :b1: :b46: :b39:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การคลายออกของความคิดนึก และอารมณ์(กระบวนการย้อนกลับ)

กระบวนการสร้างทุกข์ เมื่ออายตนะภายนอกกระทบ อายตนะภายใน(1อัตตา) จิตได้สร้างเงื่อนไข(2แรง) ต่อการรับผัสสะนั้น เกิดเป็นความชอบ ไม่ชอบ(3อารมณ์) และปฏิกิริยาตอบสนอง(3สารอินทรีย์เคมี)เป็น
(4 ความนึกคิด)เชื่อมต่อเป็น(4เรื่องราว)

!-------หยาบ-----------!----------ปานกลาง---------- ! ---ละเอียด----! -----ละเอียดมาก----!

!--4ความนึกคิดเรื่องราว-!--3อารมณ์,3สารอินทรีย์เคมี---!-----2แรง-----!-------1อัตตา-------!


โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้ในลมหายใจเข้าออกทั้งที่จมูกหรือที่ท้องนั้น บ้างใช้คำภาวนา และไม่ใช้ มีหลักว่าผู้มีอุปนิสัยจดจ่อ ตั้งใจมาก การมีคำภาวนาจะทำให้ต้องคำนึงถึงทั้งคำภาวนาและลมหายใจทำให้อึดอัด จึงไม่ควรมีคำภาวนา ส่วนท่านที่สมาธิน้อยฟุ้งซ่าน จึงควรมีคำภาวนากำกับ


โพสต์ เมื่อ: 14 มี.ค. 2014, 22:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การคลายออกของความนึกคิด ความฟุ้งซ่าน(ทางใจ) และความร้อนความเจ็บปวดอึดอัด(ทางกาย) เป็นการคลายของนิวรณ์ หรือผลของกิเลสอย่างหยาบ การคลายออกนั้นจะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับความเป็นกลางของจิต คือการไม่สร้างเงื่อนไข หากการรู้เป็นลักษณะของใส่ใจ ตั้งใจหรือการติดตามลมหายใจที่จมูก ท้องอย่างต่อเนื่อง ก็ถือเป็นการสร้างเงื่อนไขเช่นเดียวกัน หากมีอุปนิสัยเช่นนี้ต้องปล่อยรู้บ้าง เพื่อให้มีช่องว่างในการคลายออกของธาตุหนัก(นิวรณ์)หากไม่เปิดช่องบ้างจะทำให้อึดอัดมากแต่สำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไปจิตจะมีการเคลื่อนไปโดยธรรมชาติ ก็เพียงแต่ตามรู้สภาวธรรมไปต่อเมื่อสภาวะของนิวรณ์ เป็นของร้อนเสียดแทง ณ พื้นผิวจิตคลายออกไปมากพอแล้ว (การคลายของโทสะและโลภะ) กายและจิตจะเริ่มเย็นลง หากสติ สัมปชัญญะอ่อน ก็จะเผลอเบลอและหลับ(การคลายของโมหะ) ในที่สุด


โพสต์ เมื่อ: 15 มี.ค. 2014, 13:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การคลายออกของนิวรณ์ ซึ่งเป็นผลกิเลสอย่างหยาบจะเป็นเหตุให้กิเลสระดับปานกลางพร้อมจะคลายตัวออกมา ระดับนี้ส่วนของอารมณ์(นาม)แม้จะไม่รุนแรง แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าขณะอารมณ์ปรากฏและดับไป ในส่วนของกายจะมีคลื่นความชา ร้อน คลายออกตามแขน ขา สู่ปลายมือปลายเท้า ให้ผู้ปฏิบัติตามรู้อาการที่เกิดขึ้น สิ่งนี้คือการคลายออกของสารอินทรีย์เคมี(รูป) ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเพราะสิ่งนี้มี (กิเลสสร้างอารมณ์) สิ่งนี้(สารอินทรีย์เคมี)จึงมี เพราะดับซึ่งกิเลสสร้างอารมณ์ สารอินทรีย์เคมีจึงคลายตัวดับตามไป


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2014, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
การคลายออกของนิวรณ์ ซึ่งเป็นผลกิเลสอย่างหยาบจะเป็นเหตุให้กิเลสระดับปานกลางพร้อมจะคลายตัวออกมา ระดับนี้ส่วนของอารมณ์(นาม)แม้จะไม่รุนแรง แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าขณะอารมณ์ปรากฏและดับไป ในส่วนของกายจะมีคลื่นความชา ร้อน คลายออกตามแขน ขา สู่ปลายมือปลายเท้า ให้ผู้ปฏิบัติตามรู้อาการที่เกิดขึ้น สิ่งนี้คือการคลายออกของสารอินทรีย์เคมี(รูป) ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเพราะสิ่งนี้มี (กิเลสสร้างอารมณ์) สิ่งนี้(สารอินทรีย์เคมี)จึงมี เพราะดับซึ่งกิเลสสร้างอารมณ์ สารอินทรีย์เคมีจึงคลายตัวดับตามไป




มันละเอียดมากจริงๆ เมื่อรู้ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องสนใจผลของมัน พอกลับมาทบทวนผลต่อหนึ่งเดือน หรือ สามเดือน เจ็ดเดือน ความวุ่นวายภายนอก ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาจจะมีเข้ามาบ้างแต่ มันตัดออกไปจากจิตใจอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมให้จิตขุ่นมัวได้เลย ต่อไปก็ตามรู้ตามดูอย่างที่เขาเป็นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ใช่หรือไม่ Suttiyan


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 52, 53, 54, 55, 56, 57, 58 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron