วันเวลาปัจจุบัน 12 มิ.ย. 2025, 04:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
พูดแบบนี้ขาดสมาธิแยกแยะธรรม เข้าใจธรรมผิดแต่ต้น การหยิบธรรมตัวอื่นมาพูดมันก็เลย
ส่งผลให้ผิดไปหมด

ดูก็รู้แล้วว่า....คุณเกาคงจะเข้าใจว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึงการตายของพระอรหันต์ :b32:

ตลกอีกแล้วครับ! แบบนี้รู้เลยครับว่า ไม่รู้จักสอุปาทิเสสคืออะไร
อนุปาทิเสสคืออะไร :b32:




พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
นิพพานธาตุ ภาวะแห่งนิพพาน;
นิพพาน หรือ นิพพานธาตุ ๒ คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ




ตลกเข้าไปอีก

รูปภาพ

ขำหนักเข้าไปกว่านั้น

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


จะขำกว่านี้มั้ย พระไตรปิฏกมีเป็นกุรุฏ


ขำดีครับ อ้างหลวงพ่อปยุตอ้างพจนานุกรม สงสัยคงนึกว่า กำลังทำข้อสอบอยู่หรือครับ
คุณเกาเป็นเณรอยู่วัดไหนครับ :b9:


และก็อีก ตลกซ้ำซาก ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่า ในพระสูตรกล่าวว่า.....
เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดันแปลไปได้ไงว่า อนุปาทิเสสนพพานธาตุเป็นปรินิพพาน

ไม่ได้ใช้หัวคิดแยกแยะบัญญัติเลย ก็เห็นอยู่มีพุทธพจน์อยู่สองคำ
๑.ปรินิพพาน หมายถึง อรหันต์ที่ตายแล้ว

๒. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึงสภาวะนิพพานของอรหันต์อย่างหนึ่ง

เอาสมาธิฟังให้ดีน่ะคุณเกาฯ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คือการ ละสังขาร(ตาย) ด้วยวิธีของอนุปาทิเสสนพพานธาตุ
พูดให้เข้าใจก็คือ การเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์(ฌาน๙)
เรียกว่าท่านตายในนิโรธสมาบัติครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
walaiporn เขียน:


ลูบๆคลำๆ ต่อไปนะ

เผื่อจะช่วยให้ หายคัน(วิจิกิจฉา)ได้บ้าง



ก็จิ้นต่อไปครับ
จะได้เข้าใจไปเองว่าวิจิกิจฉาหมดแล้ว
Quote Tipitaka:
http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd18.htm

๑๐. ผัสสมูลกสูตร
ว่าด้วยเวทนามีผัสสะเป็นมูล

[๒๕๘] “ภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ ประการนี้เกิดจากผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล
มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย
เวทนา ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา
๓. อทุกขมสุขเวทนา
เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา สุขเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะ
อันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นนั่นแลดับ สุขเวทนาที่เกิดเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่
ตั้งแห่งสุขเวทนาที่เสวยอยู่อันเกิดจากผัสสะนั้นก็ดับคือสงบไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๘ หน้า :๒๘๒ }


ก็ในเมื่อขณะมีชีวิตพระอรหันต์ยังเสวยเวทนาอยู่แล้วผัสสะจะหมดดับสิ้นเชิงไปได้อย่างไร
Quote Tipitaka:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=5572&Z=5634
สัลลัตถสูตร
[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวยสุขเวทนา
บ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง [i] อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อม
เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขเวทนา
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ ย่อมถึงความ
งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและเวทนาทางใจ ฯ
.....

[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวก ผู้ได้สดับ อันทุกขเวทนาถูก
ต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
งมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ฯ[/i]


การสนทนาธรรมก็ควรถกด้วยเหตุด้วยผล

เวลาถูกคนแย้งด้วยเหตุผล อ้างที่มาได้
ก็ควรแสดงว่าเห็นต่างอย่างไร เพราะเหตุใด
แสดงที่มาว่าที่ฉันแย้งนะเพราะแบบนี้ โดยไม่จิ้นเอา

ถ้าตอบไม่ได้ ก็ลองพิจารณาดูว่าที่เขายกมานั้นสมเหตุผลหรือไม่
ถ้าเอาแต่ประชดประชันเหมือนสาวๆวัยรุ่น
ปฏิบัติธรรมที่บ้านไม่ดีกว่ารึ


คุณเกาครับ คุณนี่มันมั่วไปน้ำขุ่นๆน่ะครับ ไอ้คำว่าจิ้นของคุณนี้
ใช้ได้ทุกสถานะการณ์เลยครับ เวลาผมอธิบายธรรมให้ฟังบอกว่า..จิ้น
พอคุณมาเจอความเห็นของคุณวลัยพร ดันบอกว่าจิ้นอีกแน่ะ

คุณนี่มันไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลย วิธีทีคุณวลัยพรแกทำ มันเป็นวิธีที่ถูกต้อง
เขาเรียกว่า.....อ้างปริยัติ
การอ้างปริยัติมันต้องอ้างแบบนี้ ต้องอ้างถึงเหตุที่มาของบัญญัติที่เป็นปัญหา
ที่พระสูตรมันเยอะก็เพราะเหตุปัจจัยมันเยอะ......นี้แหล่ะเรียกว่า รู้ปริยัติเพื่อปฏิบัติ


ไอ้วิธีของคุณเขาไม่เรียกปริยัติ เขาเรียกการเรียนภาษา
แนะนำถ้าจะคุญภาษาต้องคุยกับคุณกรัชกาย
ขานั้นชอบลอกตำราเรียนของหลวงพ่อปยุตมาโพสประจำ
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
govit2552 เขียน:
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

??????????????????????????????????????????????????????????????????

จากที่ได้ศึกษา อภิธรรมพื้นฐาน

จิตพระอรหันต์ ไม่มีเหล่า กุศลจิต และ เหล่า อกุศลจิต

การกระทำกรรม มีได้ เพราะกุศลจิต และ อกุศลจิต

ในเมื่อ จิตพระอรหันต์ ไม่เป็นกุศล อกุศล การกระทำทุกประการของพระอรหันต์จึงไม่จัดเป็นกรรม

ไม่มีกรรม ก็ไม่มี วิบาก ที่จะส่งผลย้อมกลับมาตอบสนอง ในอนาคต อีกต่อไป

เป็นผู้อยู่โดย ไม่กระทำกรรม อีกต่อไป

แต่การดำเนินชีวิต การทำนั่นทำนี่ ของพระอรหันต์ เป็นไปด้วย กิริยาจิต ............ เป็นแค่กิริยา

เมื่อได้สอบถาม ผู้รู้ทางอภิธรรม ก็ได้คำตอบว่า พระอรหันต์มีเจตนาเจตสิก มีผัสสะเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง เช่นกัน

เจตนาเจตสิก และผัสสะเจตสิก ที่เกิดพร้อมวิบากจิต และกิริยาจิต ........... ของพระอรหันต์

ตราบเท่าที่ ท่านยังคงมีจิต มีวิญญาณ มิอาจปราศจาก เจตสิก 7 ดวงได้เลย


////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
พอจะสรุปได้ว่า
กรรม คือการกระทำที่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต
กิริยา คือการกระทำที่ไม่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต



ตามนั้นครับ


มั่วทั้งคู่ คุณโกวิทแกก็หลงเหมือนคุณนั้นแหล่ะ ที่ว่าหลงก็คือ

เอาพระอภิมัตถสังคหะมาพูด โดยไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าอ่าน
ไม่รู้ว่าว่าท่านอนุรุทธาจารย์ ท่านให้ความหมายของ...จิต เจตสิก รูป
มันเป็นเรื่องของปุถุชน ส่วนพระอรหันต์ท่านกล่าวไว้ใน...นิพพาน
ถ้าสังเกตุใหดี ในพระอภิธรรมมัตถฯ จะมีปรมัตถธรรมอยู่สี่สภาวะ
นั้นคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

ท่านอนุรุทฯ ท่านให้จิตเป็นวิญญาน(ปุถุชน)

แต่จิตของพระอรหันต์ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญานและสังขารทั้งหลาย
ดังนั้นจิตของพระอรหันต์ จึงเป็นแต่นิพพานเป็นกิริยาจิตอย่างเดียว
ไม่มีเจตสิกและรูป
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อย่าดำน้ำซิครับ ปริยัติมันต้องทำให้เกิดผล ไม่ใช่การเอาบัญญติมาอ้างทั้งดุ้นแบบนี้
เป็นอย่างนี้เขาเรียกธรรมะมักง่าย...ท่องจำข้างหน้าแต่ลืมข้างหลัง
สงสัยคงไม่รู้ล่ะมั้งว่า....เวทนาที่เป็นสังขารกับเวทนาทางกายมันไม่เหมือนกัน

ในพระสูตรก็บอกอยู่ทนโท่ว่ามันไม่เหมือนกัน เวทนาทางกายมันเป็นเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย
........มันไม่ใช่เวทนาที่เป็นสังขาร หรือเป็นเวทนาขันธ์


ท่านบอกว่าไม่มีเวทนาทางใจแล้ว เหลือแต่เวทนาทางกาย.....
ถามหน่อยซิ ไอ้เวทนามันเป็นตัวเดียวกันหรือ
อย่างนี้เขาเรียก นกแก้วนกขุนทอง.....รู้ๆอยู่เวทนาทางใจมันเป็น...สังขตธรรม
เวทนาทางกายของพระอรหันต์ เป็นอสังขตธรรม(จิตพระอรหันต์เป็นนิพพาน)

ผมถามคุณจริงๆ คุณอ่านพระสูตรถึงแม้จะยังไม่มีปัญญา แต่ก็ควรเอาสมองคิด
เพื่อหาเหตุผลไปด้วย ไม่ใช่มานั้งท่องคำศัพท์
ร่างกายคนเราถ้าเกิดเจ็บป่วยหรือโดนกระทบ คนหนึ่งไม่เกิดความทุกข์ทางใจ
แต่อีกคนเกิดความทุกข์ทางใจ.....ไอ้เวทนาตัวนั้นมันเหมือนกันหรือ

จะบอกให้น่ะว่า.....จิตกับสมองมันไม่เหมือนกัน
ถ้ายังแยกแยะไม่ออก ก็ยังคงท่องจำคำศัพท์ต่อไป :b32:


อย่าดำน้ำสิครับ
ไม่ว่าเวทนาทางใจหรือเวทนาทางกาย ก็เป็นเวทนาขันธ์ทั้งนั้นครับ
ไม่มีเวทนาอื่นในพุทธศาสนานอกจากเวทนาขันธ์ครับ

อ้างคำพูด:
ยังรั้นอีกน่ะครับ พระสูตรก่อนหน้า ก็บอกอยู่ทนโท่ว่า
...เวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ มันเป็นคนล่ะตัวกัน

ไม่ได้แยกแยะธรรมเล้ย :b32:



ครับ เวทนาทางใจกับเวทนาทางกายเป็นคนละตัวกัน
ใครบอกว่าเป็นตัวเดียวกัน
แต่ไม่ว่าเวทนาทางใจหรือเวทนาทางกาย ก็เป็นเวทนาขันธ์ทั้งนั้นครับ
ไม่มีเวทนาอื่นในพุทธศาสนานอกจากเวทนาขันธ์ครับ

อ้างคำพูด:
ขำดีครับ อ้างหลวงพ่อปยุตอ้างพจนานุกรม สงสัยคงนึกว่า กำลังทำข้อสอบอยู่หรือครับ
คุณเกาเป็นเณรอยู่วัดไหนครับ :b9:


และก็อีก ตลกซ้ำซาก ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่า ในพระสูตรกล่าวว่า.....
เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดันแปลไปได้ไงว่า อนุปาทิเสสนพพานธาตุเป็นปรินิพพาน

ไม่ได้ใช้หัวคิดแยกแยะบัญญัติเลย ก็เห็นอยู่มีพุทธพจน์อยู่สองคำ
๑.ปรินิพพาน หมายถึง อรหันต์ที่ตายแล้ว

๒. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึงสภาวะนิพพานของอรหันต์อย่างหนึ่ง

เอาสมาธิฟังให้ดีน่ะคุณเกาฯ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คือการ ละสังขาร(ตาย) ด้วยวิธีของอนุปาทิเสสนพพานธาตุ
พูดให้เข้าใจก็คือ การเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์(ฌาน๙)
เรียกว่าท่านตายในนิโรธสมาบัติครับ



เหมือนเดิมแบบที่เคยถาม เอามาจากไหนครับ
อย่าจิ้นครับ
พระองค์ได้เข้าและออกจากนิโรธสมาบัติก่อนหน้านั้นครับ
พระพุทธเจ้าปรินิพพานตอนออกจากฌาน4 ครับ

อ้างคำพูด:
[๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌาน
แล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก
ตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจาย-
*ตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก
วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตน-
*สมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตน-
*สมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค
เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระ
ภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญ-
*จายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออก
จากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน
แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก
ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระ
ผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ
(แห่งการพิจารณา
องค์จตุตถฌานนั้น) ฯ





อ้างคำพูด:
มั่วทั้งคู่ คุณโกวิทแกก็หลงเหมือนคุณนั้นแหล่ะ ที่ว่าหลงก็คือ

เอาพระอภิมัตถสังคหะมาพูด โดยไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าอ่าน
ไม่รู้ว่าว่าท่านอนุรุทธาจารย์ ท่านให้ความหมายของ...จิต เจตสิก รูป
มันเป็นเรื่องของปุถุชน ส่วนพระอรหันต์ท่านกล่าวไว้ใน...นิพพาน
ถ้าสังเกตุใหดี ในพระอภิธรรมมัตถฯ จะมีปรมัตถธรรมอยู่สี่สภาวะ
นั้นคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

ท่านอนุรุทฯ ท่านให้จิตเป็นวิญญาน(ปุถุชน)

แต่จิตของพระอรหันต์ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญานและสังขารทั้งหลาย
ดังนั้นจิตของพระอรหันต์ จึงเป็นแต่นิพพานเป็นกิริยาจิตอย่างเดียว
ไม่มีเจตสิกและรูป :b32:



เหมือนเดิมครับ
อย่าจิ้น

ที่มาอยู่ไหนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
อย่าดำน้ำซิครับ ปริยัติมันต้องทำให้เกิดผล ไม่ใช่การเอาบัญญติมาอ้างทั้งดุ้นแบบนี้
เป็นอย่างนี้เขาเรียกธรรมะมักง่าย...ท่องจำข้างหน้าแต่ลืมข้างหลัง
สงสัยคงไม่รู้ล่ะมั้งว่า....เวทนาที่เป็นสังขารกับเวทนาทางกายมันไม่เหมือนกัน

ในพระสูตรก็บอกอยู่ทนโท่ว่ามันไม่เหมือนกัน เวทนาทางกายมันเป็นเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย
........มันไม่ใช่เวทนาที่เป็นสังขาร หรือเป็นเวทนาขันธ์


ท่านบอกว่าไม่มีเวทนาทางใจแล้ว เหลือแต่เวทนาทางกาย.....
ถามหน่อยซิ ไอ้เวทนามันเป็นตัวเดียวกันหรือ
อย่างนี้เขาเรียก นกแก้วนกขุนทอง.....รู้ๆอยู่เวทนาทางใจมันเป็น...สังขตธรรม
เวทนาทางกายของพระอรหันต์ เป็นอสังขตธรรม(จิตพระอรหันต์เป็นนิพพาน)

ผมถามคุณจริงๆ คุณอ่านพระสูตรถึงแม้จะยังไม่มีปัญญา แต่ก็ควรเอาสมองคิด
เพื่อหาเหตุผลไปด้วย ไม่ใช่มานั้งท่องคำศัพท์
ร่างกายคนเราถ้าเกิดเจ็บป่วยหรือโดนกระทบ คนหนึ่งไม่เกิดความทุกข์ทางใจ
แต่อีกคนเกิดความทุกข์ทางใจ.....ไอ้เวทนาตัวนั้นมันเหมือนกันหรือ

จะบอกให้น่ะว่า.....จิตกับสมองมันไม่เหมือนกัน
ถ้ายังแยกแยะไม่ออก ก็ยังคงท่องจำคำศัพท์ต่อไป :b32:


อย่าดำน้ำสิครับ
ไม่ว่าเวทนาทางใจหรือเวทนาทางกาย ก็เป็นเวทนาขันธ์ทั้งนั้นครับ
ไม่มีเวทนาอื่นในพุทธศาสนานอกจากเวทนาขันธ์ครับ

ที่มาอยู่ไหนครับ


ที่บอกว่าเวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ เป็นเวทนาขันธ์
นี่มันเป็นเรื่องของ.....อวิชา ท่านให้รู้เพื่อละ
แต่คุณเล่นยึดจนติดเป็นตังเม แนะนำให้เลิกถือพุทธเปลี่ยนศาสนาเถอะครับ
อยู่ไปปัญญามันไม่ก้าวหน้า อะไรย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอวิชา

แล้วที่แก้เกี้ยวถามที่มาน่ะ อยากรู้ครับว่าอ่านพระสูตร
ที่คุณวลัยพรแกเอามาโพสหรือเปล่า ไอ้ที่คุณไปมั่วกล่าวหาเขาว่า..จิ้นน่ะ

นั้นแหล่ะที่มาของขันธ์ห้า ท่านให้รู้และดับมันเสีย
เมื่อเหตุดับผลมันก็ไม่เกิด

และที่บอกว่าเวทนายังอยู่ นั้นเป็นเพราะยังไม่มีปัญญารู้ เลยตะบี้ตะบันเถียง
แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ความหมายของพุทธพจน์ที่ว่าด้วยหลักของอิทัปปัจยตา
ขาดความเข้าใจในเรื่อง....สมุทยวาร-นิโรธวาร


ปฏิจจสมุปบาทเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุดับปฏิจจสมุปบาทก็ดับ
พระอรหันต์ดับอวิชาได้แล้ว วงปฏิจจ์ก็ขาดสูญ เหลือไว้แต่เพียงร่างกายของพระอรหันต์
ที่เป็นอสังขตธรรมรอวันละสังขาร

คุณเกาฯถ้าจะถามหาที่่มา ก็ไปเปิดพระไตรปิฎกดูเอง เรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดปฏิจจฯ
และความดับของปฏิจจ์ฯ ไปหาเองสมองจะได้พัฒนา ไม่ใช่มาย้ำคิดย้ำทำอยู่แค่คำศัพท์
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
ยังรั้นอีกน่ะครับ พระสูตรก่อนหน้า ก็บอกอยู่ทนโท่ว่า
...เวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ มันเป็นคนล่ะตัวกัน
ไม่ได้แยกแยะธรรมเล้ย :b32:


ครับ เวทนาทางใจกับเวทนาทางกายเป็นคนละตัวกัน
ใครบอกว่าเป็นตัวเดียวกัน
แต่ไม่ว่าเวทนาทางใจหรือเวทนาทางกาย ก็เป็นเวทนาขันธ์ทั้งนั้นครับ
ไม่มีเวทนาอื่นในพุทธศาสนานอกจากเวทนาขันธ์ครับ


แบบนี้แสดงว่า ไม่ได้อ่านพระสูตรที่คุณวลัยพรเอามาโพส
หรืออ่านแต่ไม่รู้เรื่อง......วันหลังก็เลิกแก้เกี้ยวว่า เอามาจากไหนเถอะมันอายเขา :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:

อ้างคำพูด:
ขำดีครับ อ้างหลวงพ่อปยุตอ้างพจนานุกรม สงสัยคงนึกว่า กำลังทำข้อสอบอยู่หรือครับ
คุณเกาเป็นเณรอยู่วัดไหนครับ :b9:

และก็อีก ตลกซ้ำซาก ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่า ในพระสูตรกล่าวว่า.....
เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดันแปลไปได้ไงว่า อนุปาทิเสสนพพานธาตุเป็นปรินิพพาน

ไม่ได้ใช้หัวคิดแยกแยะบัญญัติเลย ก็เห็นอยู่มีพุทธพจน์อยู่สองคำ
๑.ปรินิพพาน หมายถึง อรหันต์ที่ตายแล้ว

๒. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึงสภาวะนิพพานของอรหันต์อย่างหนึ่ง

เอาสมาธิฟังให้ดีน่ะคุณเกาฯ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คือการ ละสังขาร(ตาย) ด้วยวิธีของอนุปาทิเสสนพพานธาตุ
พูดให้เข้าใจก็คือ การเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์(ฌาน๙)
เรียกว่าท่านตายในนิโรธสมาบัติครับ



เหมือนเดิมแบบที่เคยถาม เอามาจากไหนครับ
อย่าจิ้นครับ
พระองค์ได้เข้าและออกจากนิโรธสมาบัติก่อนหน้านั้นครับ
พระพุทธเจ้าปรินิพพานตอนออกจากฌาน4 ครับ

อ้างคำพูด:
[๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌาน
แล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก
ตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจาย-
*ตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก
วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตน-
*สมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตน-
*สมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค
เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระ
ภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญ-
*จายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออก
จากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน
แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก
ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระ
ผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ
(แห่งการพิจารณา
องค์จตุตถฌานนั้น) ฯ


เริ่มหลงแล้วใช่เปล่า ประเด็นมันอยู่ที่คุณบอกว่า .......
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุหมายถึงพระอรหันที่ตายแล้ว และเอาพระสูตรมาอ้าง
แต่ในพระสูตรกล่าวว่า...."เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

ปัญหามันอยู่ที่ ปรินิพพานคืออะไร .....อนุปาทิเสสนิพพานธาตุคืออะไร
มันไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์ทรงละสังขารในฌานที่เท่าไร

แล้วไอ้เรื่องฌานมันเป็นการทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เห็นแปลกที่ท่านจะ
เข้าออกฌาน สรุปก็คือแถให้มันออกนอกประเด็น
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:


อ้างคำพูด:
มั่วทั้งคู่ คุณโกวิทแกก็หลงเหมือนคุณนั้นแหล่ะ ที่ว่าหลงก็คือ

เอาพระอภิมัตถสังคหะมาพูด โดยไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าอ่าน
ไม่รู้ว่าว่าท่านอนุรุทธาจารย์ ท่านให้ความหมายของ...จิต เจตสิก รูป
มันเป็นเรื่องของปุถุชน ส่วนพระอรหันต์ท่านกล่าวไว้ใน...นิพพาน
ถ้าสังเกตุใหดี ในพระอภิธรรมมัตถฯ จะมีปรมัตถธรรมอยู่สี่สภาวะ
นั้นคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

ท่านอนุรุทฯ ท่านให้จิตเป็นวิญญาน(ปุถุชน)

แต่จิตของพระอรหันต์ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญานและสังขารทั้งหลาย
ดังนั้นจิตของพระอรหันต์ จึงเป็นแต่นิพพานเป็นกิริยาจิตอย่างเดียว
ไม่มีเจตสิกและรูป :b32:



เหมือนเดิมครับ
อย่าจิ้น

ที่มาอยู่ไหนครับ


เคยเอาลิ้งค์เว็บพระอภิธรรมมัตถสังคหะมาให้ ไม่ได้เขาไปอ่านหรอกหรือ
อย่างคุณน่ะมันต้องเริ่ม ตั้งแต่ปริจเฉทที่๑ จะได้รู้ว่า เอาพระธรรมของท่านมามั่วแต่เริ่ม
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


ไอ้วิธีของคุณเขาไม่เรียกปริยัติ เขาเรียกการเรียนภาษา
แนะนำถ้าจะคุญภาษาต้องคุยกับคุณกรัชกาย
ขานั้นชอบลอกตำราเรียนของหลวงพ่อปยุตมาโพสประจำ


ชาวพุทธยังต้องทำความเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาอีกมาก เบื้องต้นเลยก็ความหมาย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ


ความจริงควรพูดว่า ขานั้นนำมาจากหนังสือพุทธธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เมื่อเป็นดังว่านั้น คห.นี้ ขานั้น จะนำบางช่วงของ "คำนำ - สิ่งที่ควรเข้าใจก่อน" หน้า 8 มาให้ดูหน่อยหนึ่งว่า เนื้อหาหนังสือนั้นท่านนำจากไหน ท่านคิดเองเออเองมั้ย อย่างไร หรือท่านฟังมาจากอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้มาเขียน หรือว่าฟังชาวบ้านร้านตลาดเล่าๆกันมา มาเขียนมาบอก หรือนำมาจากพระไตรปิฎก - อรรถกถา สังเกตดูด้วย :b1:


อ้างคำพูด:
เมื่อสิ้นยุคขององค์พระศาสดาแล้ว เวลาล่วงไป และคำสอนแผ่ไปในถิ่นต่างๆ ความเข้าใจในพุทธธรรมก็แปรไปจากเดิม และ แตกต่างกันไปได้หลายอย่าง เพราะผู้ถ่ายทอด สืบต่อ มีพื้นความรู้ การศึกษา อบรม สติปัญญาแตกต่างกัน ตีความหมายพุทธธรรมแผกกันไปบ้าง นำเอาความรู้ ความเชื่อถือเดิมจากลัทธิ ศาสนาอื่น เข้ามาผสมแทรกแซงบ้าง อิทธิพลศาสนา และวัฒนธรรม ในท้องถิ่นเข้าผสมผสานบ้าง คำสอนบางแง่เด่นขึ้น บางแง่เลือนลง เพราะการย้ำ และ เลี่ยงความสนใจ ตามความโน้มเอียง และความถนัดของผู้รักษาคำสอนบ้าง ทำให้เกิดความแตกแยก ออกเป็นนิกายต่างๆ เช่น ที่แยกเป็นมหายาน กับเถรวาท ตลอดจนนิกายย่อยๆ ในสองนิกายใหญ่นั้น


สำหรับเถรวาทนั้น แม้จะได้ชื่อว่า เป็นนิกาย ที่รักษาแบบแผนและคำสอน ดั้งเดิมไว้ได้แม่นยำ ก็มิใช่จะพ้นไปจากความแปรเปลี่ยนได้โดยสิ้น เชิง คำสอนบางส่วน แม้ที่อยู่ในคัมภีร์เอง ก็ยังเป็นปัญหาที่คนรุ่น ปัจจุบัน ต้องนำมาถกเถียง คิดค้นหาหลักฐาน ยืนยัน หรือปฏิเสธความเป็นของแท้แต่ดั้งเดิม ยิ่งความรู้ความเข้าใจ ที่ประชาชน เชื่อถือ และปฏิบัติอยู่ด้วยแล้ว ความคลาดเคลื่อนก็ยิ่งมีได้มาก และชัดเจนยิ่งขึ้น บางกรณีกับเสมือนเป็นของตรงข้าม กับคำสอนเดิม หรือ เกือบจะกลายไปเป็นลัทธิอื่น ที่คำสอนเดิมคัดค้านแล้วก็มี


ยกตัวอย่างในประเทศไทยนี้ เมื่อพูดถึงคำว่า “กรรม” ความเข้าใจของคนทั่วไป ก็จะเพ่งไปยังกาละส่วนอดีต เจาะจงเอาการกระทำในชาติที่ล่วงแล้ว หรือชาติก่อนๆ บ้าง เพ่งไปยังปรากฏการณ์ส่วนผล คือนึกถึงผลที่ปรากฏในปัจจุบันของการ กระทำในอดีตบ้าง เพ่งไปยังแง่ที่เสียหาย เลวร้าย คือ การกระทำชั่วฝ่ายเดียวบ้าง เพ่งไปยังอำนาจแสดงผลร้ายของการกระทำความชั่ว ในชาติก่อนบ้าง และโดยมาก เป็นความเข้าใจตามแง่ต่างๆ เหล่านี้ รวมๆ กันไปทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาตัดสิน ตามหลักกรรมที่แท้จริงในพุทธธรรม แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า เป็นความเข้าใจที่ห่างไกล จากความหมายที่แท้ จริง เป็นอันมาก

แม้ข้อธรรมอื่นๆ ตลอดจนคำบัญญัติทางธรรมแต่ละคำๆเช่น อารมณ์ วิญญาณ บารมี สันโดษ อุเบกขา อธิษฐาน บริกรรม ภาวนา สมถะ สมาธิ วิปัสสนา กาม โลกีย์ โลกุตระ บุญ อิจฉา ฯลฯ ก็ล้วนมีความหมายพิเศษ ในความเข้าใจของประชาชน ซึ่งผิดแปลกไปจากความหมายดั้งเดิมในพุทธธรรม โดยตัวความหมายเองบ้าง โดย ขอบเขตความหมายบ้าง มากน้อยต่างกันไปในแต่ละคำนั้นๆ ในการศึกษาพุทธธรรม จำเป็นต้องแยกความหมาย ในความเข้าใจของประชาชน ส่วนที่คลาดเคลื่อนนี้ออกไปต่างหาก จึงจะสามารถเข้าใจความหมาย ที่แท้จริงได้


ในการแสดงพุทธธรรมนี้ ผู้แสดงถือว่าได้พยายามที่จะแสดงตัวพุทธธรรมแท้อย่างที่องค์พระบรมศาสดาทรงสอน และทรงมุ่งหมาย ในกรณีนี้ ได้ตัดความหมายที่ประชาชนเข้าใจออกโดยสิ้นเชิง ไม่นำมาพิจารณาเลย เพราะถือว่าเป็นเรื่องข้างปลาย ไม่จำเป็นต่อการเข้าใจตัวพุทธธรรมที่แท้แต่ประการใด



แหล่งสำคัญอันเป็นที่มาของเนื้อหา และความหมายของพุทธธรรมที่จะแสดงต่อไปนี้ ได้แก่ คัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งในที่นี้ ถ้าไม่มีกรณีเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ จะหมายถึงพระไตรปิฎกบาลีอย่างเดียว เพราะเป็นคัมภีร์ย่อมรับกันทั่วไปแล้วว่า เป็นแหล่งรวบรวมรักษาพุทธธรรม ที่แม่นยำและสมบูรณ์ที่สุด แม้กระนั้น ก็ได้เลือกสรรเอาเฉพาะส่วนที่เห็นว่าเป็นหลักการตั้งเดิม เป็นความหมายแท้จริงมาแสดง โดยยึดเอาหลักความกลมกลืนสอดคล้องกันในหน่วยรวมเป็นหลัก และเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น จึงได้นำพุทธจริยา และพุทธกิจ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาประกอบการพิจารณาตัดสินแนวทางและขอบเขตของพุทธธรรมด้วย


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 ม.ค. 2014, 08:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=112

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อุปมาด้วยกงรถ

“ พระนาคเสนจึงขีดเป็นกงรถลงที่พื้นดินแล้วถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ที่สุดแห่งกงรถนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสรตรัสไว้ว่า “ กงจักรเหล่านี้ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ” ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดพราะอาศัย จักขุ กับ รูป เมื่อสิ่งทั้ง ๓ นั้นรวมกันก็เป็น ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา”
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด กรรม

จักขุ ก็เกิดจาก กรรม อีก ที่สุดแห่งการสืบต่ออันนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเสียงกับหู จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ มโนกับธรรมะ เมื่อสิ่งทั้ง ๓ รวมกันเข้าก็เป็น ผัสสะ แล้วทำให้เกิด เวทนา ตัณหา อุปทาน กรรม แล้ว โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เกิดจากกรรมนั้นอีก ที่สุดแห่งการสืบต่อนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เจ้าเป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”


ลองเทียบดู กับพุทธวจนะ ดู ไม่ขัดกัน

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:


ไอ้วิธีของคุณเขาไม่เรียกปริยัติ เขาเรียกการเรียนภาษา
แนะนำถ้าจะคุญภาษาต้องคุยกับคุณกรัชกาย
ขานั้นชอบลอกตำราเรียนของหลวงพ่อปยุตมาโพสประจำ


ชาวพุทธยังต้องทำความเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาอีกมาก เบื้องต้นเลยก็ความหมาย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ


ความจริงควรพูดว่า ขานั้นนำมาจากหนังสือพุทธธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เมื่อเป็นดังว่านั้น คห.นี้ ขานั้น จะนำบางช่วงของ "คำนำ - สิ่งที่ควรเข้าใจก่อน" หน้า 8 มาให้ดูหน่อยหนึ่งว่า เนื้อหาหนังสือนั้นท่านนำจากไหน ท่านคิดเองเออเองมั้ย อย่างไร หรือท่านฟังมาจากอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้มาเขียน หรือว่าฟังชาวบ้านร้านตลาดเล่าๆกันมา มาเขียนมาบอก หรือนำมาจากพระไตรปิฎก - อรรถกถา สังเกตดูด้วย :b1:


อ้างคำพูด:
เมื่อสิ้นยุคขององค์พระศาสดาแล้ว เวลาล่วงไป และคำสอนแผ่ไปในถิ่นต่างๆ ความเข้าใจในพุทธธรรมก็แปรไปจากเดิม และ แตกต่างกันไปได้หลายอย่าง เพราะผู้ถ่ายทอด สืบต่อ มีพื้นความรู้ การศึกษา อบรม สติปัญญาแตกต่างกัน ตีความหมายพุทธธรรมแผกกันไปบ้าง นำเอาความรู้ ความเชื่อถือเดิมจากลัทธิ ศาสนาอื่น เข้ามาผสมแทรกแซงบ้าง อิทธิพลศาสนา และวัฒนธรรม ในท้องถิ่นเข้าผสมผสานบ้าง คำสอนบางแง่เด่นขึ้น บางแง่เลือนลง เพราะการย้ำ และ เลี่ยงความสนใจ ตามความโน้มเอียง และความถนัดของผู้รักษาคำสอนบ้าง ทำให้เกิดความแตกแยก ออกเป็นนิกายต่างๆ เช่น ที่แยกเป็นมหายาน กับเถรวาท ตลอดจนนิกายย่อยๆ ในสองนิกายใหญ่นั้น


สำหรับเถรวาทนั้น แม้จะได้ชื่อว่า เป็นนิกาย ที่รักษาแบบแผนและคำสอน ดั้งเดิมไว้ได้แม่นยำ ก็มิใช่จะพ้นไปจากความแปรเปลี่ยนได้โดยสิ้น เชิง คำสอนบางส่วน แม้ที่อยู่ในคัมภีร์เอง ก็ยังเป็นปัญหาที่คนรุ่น ปัจจุบัน ต้องนำมาถกเถียง คิดค้นหาหลักฐาน ยืนยัน หรือปฏิเสธความเป็นของแท้แต่ดั้งเดิม ยิ่งความรู้ความเข้าใจ ที่ประชาชน เชื่อถือ และปฏิบัติอยู่ด้วยแล้ว ความคลาดเคลื่อนก็ยิ่งมีได้มาก และชัดเจนยิ่งขึ้น บางกรณีกับเสมือนเป็นของตรงข้าม กับคำสอนเดิม หรือ เกือบจะกลายไปเป็นลัทธิอื่น ที่คำสอนเดิมคัดค้านแล้วก็มี


ยกตัวอย่างในประเทศไทยนี้ เมื่อพูดถึงคำว่า “กรรม” ความเข้าใจของคนทั่วไป ก็จะเพ่งไปยังกาละส่วนอดีต เจาะจงเอาการกระทำในชาติที่ล่วงแล้ว หรือชาติก่อนๆ บ้าง เพ่งไปยังปรากฏการณ์ส่วนผล คือนึกถึงผลที่ปรากฏในปัจจุบันของการ กระทำในอดีตบ้าง เพ่งไปยังแง่ที่เสียหาย เลวร้าย คือ การกระทำชั่วฝ่ายเดียวบ้าง เพ่งไปยังอำนาจแสดงผลร้ายของการกระทำความชั่ว ในชาติก่อนบ้าง และโดยมาก เป็นความเข้าใจตามแง่ต่างๆ เหล่านี้ รวมๆ กันไปทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาตัดสิน ตามหลักกรรมที่แท้จริงในพุทธธรรม แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า เป็นความเข้าใจที่ห่างไกล จากความหมายที่แท้ จริง เป็นอันมาก

แม้ข้อธรรมอื่นๆ ตลอดจนคำบัญญัติทางธรรมแต่ละคำๆเช่น อารมณ์ วิญญาณ บารมี สันโดษ อุเบกขา อธิษฐาน บริกรรม ภาวนา สมถะ สมาธิ วิปัสสนา กาม โลกีย์ โลกุตระ บุญ อิจฉา ฯลฯ ก็ล้วนมีความหมายพิเศษ ในความเข้าใจของประชาชน ซึ่งผิดแปลกไปจากความหมายดั้งเดิมในพุทธธรรม โดยตัวความหมายเองบ้าง โดย ขอบเขตความหมายบ้าง มากน้อยต่างกันไปในแต่ละคำนั้นๆ ในการศึกษาพุทธธรรม จำเป็นต้องแยกความหมาย ในความเข้าใจของประชาชน ส่วนที่คลาดเคลื่อนนี้ออกไปต่างหาก จึงจะสามารถเข้าใจความหมาย ที่แท้จริงได้


ในการแสดงพุทธธรรมนี้ ผู้แสดงถือว่าได้พยายามที่จะแสดงตัวพุทธธรรมแท้อย่างที่องค์พระบรมศาสดาทรงสอน และทรงมุ่งหมาย ในกรณีนี้ ได้ตัดความหมายที่ประชาชนเข้าใจออกโดยสิ้นเชิง ไม่นำมาพิจารณาเลย เพราะถือว่าเป็นเรื่องข้างปลาย ไม่จำเป็นต่อการเข้าใจตัวพุทธธรรมที่แท้แต่ประการใด



แหล่งสำคัญอันเป็นที่มาของเนื้อหา และความหมายของพุทธธรรมที่จะแสดงต่อไปนี้ ได้แก่ คัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งในที่นี้ ถ้าไม่มีกรณีเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ จะหมายถึงพระไตรปิฎกบาลีอย่างเดียว เพราะเป็นคัมภีร์ย่อมรับกันทั่วไปแล้วว่า เป็นแหล่งรวบรวมรักษาพุทธธรรม ที่แม่นยำและสมบูรณ์ที่สุด แม้กระนั้น ก็ได้เลือกสรรเอาเฉพาะส่วนที่เห็นว่าเป็นหลักการตั้งเดิม เป็นความหมายแท้จริงมาแสดง โดยยึดเอาหลักความกลมกลืนสอดคล้องกันในหน่วยรวมเป็นหลัก และเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น จึงได้นำพุทธจริยา และพุทธกิจ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาประกอบการพิจารณาตัดสินแนวทางและขอบเขตของพุทธธรรมด้วย





"กรรม" ตามความหมายพระพุทธศาสนา กับ ความหมาย "กรรม" ตามความเชื่อของคนทั่วไป ต่างกัน

พอดีไปเห็นชาวบ้านพูดถึง "กรรม" จึงนำมาให้ดูเป็นตัวอย่าง


อ้างคำพูด:
เมื่อไม่กี่วันมานี้ หนูตั้งจะใจจะร่วมตั้งโรงทานแจกน้ำค่ะ โดยร่วมกับคนอื่นๆ ที่รู้จัก เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในวันที่ต้องไปแจกน้ำที่โรงทาน หนูเกิดติดธุระ พาสัตว์ไปหาหมอที่คลินิค เลยบอกพี่ว่า ถ้าเสร็จแล้วมีเวลาอาจจะตามไป ยังไม่มั่นใจ ฝากเงินร่วมทำบุญก่อนละกันนะ ปรากฏว่าในตอนหลังจากพาสัตว์กลับมาก็ไม่ได้ไปค่ะ เพราะต้องไปทำธุระเป็นเพื่อนแม่ต่อ หาซื้อของไหว้คุณตาที่เสียไปแล้ว พอพี่กลับมาหนูก็ร่วมอนูโมทนาด้วยที่เขาได้ไปแจกน้ำ

พี่เขาก็บ่นว่าเนี่ย ทำไมไม่ไป น่าเสียดายมาก บ่นมาสองวัน จนวันนี้ก็ยังมาบ่น แถมพูดว่า เพื่อนพี่เขาบอกว่า หนูเป็นพวกมีกรรม กรรมบัง เวลาจะทำบุญ คนจะดึงมาอยู่ในสายบุญ ก็ไม่ยอมมา คือรู้สึกไม่ดีกับคำพูดพี่มากๆเลยค่ะ คือหนูก็ร่วมทำบุญ และตั้งใจอยู่แรกแล้วว่าจะทำ การที่ฝากเงินไปแล้วตัวเองไม่ได้ไปร่วมแจกน้ำด้วยนี่ คือหนูจะไม่ได้รับบุญอย่างนั้นหรือไงคะ ไม่เห็นต้องว่ากันแบบนี้ให้เสียความรู้สึกเลย ตอนนี้ก็จิตตกมากๆ จากคำที่เขาตีตราว่าหนูเป็นพวกมีกรรมมาบัง เลยสงสัย ว่าหนูทำผิดขนาดต้องบ่น ต้องตีตราหนูแบบนี้เลยหรอคะ



.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


จุดหักเห อยู่ที่ตัณหา

Quote Tipitaka:
[๑๖๗] เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่ง
ธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลืออุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
.......................................................ฯลฯ....................................................
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

เพราะอาศัยหูและเสียง ......................................................................................
......................................................ฯลฯ .....................................................

เพราะอาศัยใจและธรรมจึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
.....................................................ฯลฯ.................................................
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=16&A=1985&w=%BB%D1%A8%A8%D1%C2

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 10:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่บอกว่าเวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ เป็นเวทนาขันธ์
นี่มันเป็นเรื่องของ.....อวิชา ท่านให้รู้เพื่อละ
แต่คุณเล่นยึดจนติดเป็นตังเม แนะนำให้เลิกถือพุทธเปลี่ยนศาสนาเถอะครับ
อยู่ไปปัญญามันไม่ก้าวหน้า อะไรย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอวิชา

แล้วที่แก้เกี้ยวถามที่มาน่ะ อยากรู้ครับว่าอ่านพระสูตร
ที่คุณวลัยพรแกเอามาโพสหรือเปล่า ไอ้ที่คุณไปมั่วกล่าวหาเขาว่า..จิ้นน่ะ

นั้นแหล่ะที่มาของขันธ์ห้า ท่านให้รู้และดับมันเสีย
เมื่อเหตุดับผลมันก็ไม่เกิด

และที่บอกว่าเวทนายังอยู่ นั้นเป็นเพราะยังไม่มีปัญญารู้ เลยตะบี้ตะบันเถียง
แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ความหมายของพุทธพจน์ที่ว่าด้วยหลักของอิทัปปัจยตา
ขาดความเข้าใจในเรื่อง....สมุทยวาร-นิโรธวาร

ปฏิจจสมุปบาทเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุดับปฏิจจสมุปบาทก็ดับ
พระอรหันต์ดับอวิชาได้แล้ว วงปฏิจจ์ก็ขาดสูญ เหลือไว้แต่เพียงร่างกายของพระอรหันต์
ที่เป็นอสังขตธรรมรอวันละสังขาร

คุณเกาฯถ้าจะถามหาที่่มา ก็ไปเปิดพระไตรปิฎกดูเอง เรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดปฏิจจฯ
และความดับของปฏิจจ์ฯ ไปหาเองสมองจะได้พัฒนา ไม่ใช่มาย้ำคิดย้ำทำอยู่แค่คำศัพท์ :b32:


ร่างกายพระอรหันต์เป็นอสังขตธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
อ้างคำพูด:
เริ่มหลงแล้วใช่เปล่า ประเด็นมันอยู่ที่คุณบอกว่า .......
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุหมายถึงพระอรหันที่ตายแล้ว และเอาพระสูตรมาอ้าง
แต่ในพระสูตรกล่าวว่า...."เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

ปัญหามันอยู่ที่ ปรินิพพานคืออะไร .....อนุปาทิเสสนิพพานธาตุคืออะไร
มันไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์ทรงละสังขารในฌานที่เท่าไร

แล้วไอ้เรื่องฌานมันเป็นการทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เห็นแปลกที่ท่านจะ
เข้าออกฌาน สรุปก็คือแถให้มันออกนอกประเด็น :b32:


ครับ ยืนยันเหมือนเดิม
นิพพานของพระอรหันต์ที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
หรือจะบอกอีกนัยว่าเป็นนิพพานของพระอรหันต์ที่ตายแล้วก็ได้ครับ

ที่ยกเรื่องพระพุทธเจ้าละสังขารตอนฌานไหน
เพราะมีพวกจิ้นเอาว่าอนุปาทิเสสนิพพานคือการละสังขารด้วยนิโรธสมาบัติของพระอรหันต์น่ะครับ
อ้างคำพูด:
เอาสมาธิฟังให้ดีน่ะคุณเกาฯ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คือการ ละสังขาร(ตาย) ด้วยวิธีของอนุปาทิเสสนพพานธาตุ
พูดให้เข้าใจก็คือ การเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์(ฌาน๙)
เรียกว่าท่านตายในนิโรธสมาบัติครับ




อ้างคำพูด:
ท่านอนุรุทฯ ท่านให้จิตเป็นวิญญาน(ปุถุชน)

แต่จิตของพระอรหันต์ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญานและสังขารทั้งหลาย
ดังนั้นจิตของพระอรหันต์ จึงเป็นแต่นิพพานเป็นกิริยาจิตอย่างเดียว
ไม่มีเจตสิกและรูป :b32:



เหมือนเดิมครับ
อย่าจิ้น

ที่มาอยู่ไหนครับ


เคยเอาลิ้งค์เว็บพระอภิธรรมมัตถสังคหะมาให้ ไม่ได้เขาไปอ่านหรอกหรือ
อย่างคุณน่ะมันต้องเริ่ม ตั้งแต่ปริจเฉทที่๑ จะได้รู้ว่า เอาพระธรรมของท่านมามั่วแต่เริ่ม :b13:


ผมอ่านทั้งอภิธัม และ อภิธัมมัตถสังคหะครับ
แต่ไม่เคยเห็นตรงไหนบอกว่าจิตพระอรหันต์เป็นนิพพานครับ
ถึงได้ถามว่าเอามาจากไหนครับ


คุณนี่มันจิ้นเอาทุกเรื่อง ทุกเม็ด แย้งตะพึดแต่หาที่มาไม่ได้ซํกกะเรื่อง
สุดยอดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
ที่บอกว่าเวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ เป็นเวทนาขันธ์
นี่มันเป็นเรื่องของ.....อวิชา ท่านให้รู้เพื่อละ
แต่คุณเล่นยึดจนติดเป็นตังเม แนะนำให้เลิกถือพุทธเปลี่ยนศาสนาเถอะครับ
อยู่ไปปัญญามันไม่ก้าวหน้า อะไรย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอวิชา

แล้วที่แก้เกี้ยวถามที่มาน่ะ อยากรู้ครับว่าอ่านพระสูตร
ที่คุณวลัยพรแกเอามาโพสหรือเปล่า ไอ้ที่คุณไปมั่วกล่าวหาเขาว่า..จิ้นน่ะ

นั้นแหล่ะที่มาของขันธ์ห้า ท่านให้รู้และดับมันเสีย
เมื่อเหตุดับผลมันก็ไม่เกิด

และที่บอกว่าเวทนายังอยู่ นั้นเป็นเพราะยังไม่มีปัญญารู้ เลยตะบี้ตะบันเถียง
แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ความหมายของพุทธพจน์ที่ว่าด้วยหลักของอิทัปปัจยตา
ขาดความเข้าใจในเรื่อง....สมุทยวาร-นิโรธวาร

ปฏิจจสมุปบาทเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุดับปฏิจจสมุปบาทก็ดับ
พระอรหันต์ดับอวิชาได้แล้ว วงปฏิจจ์ก็ขาดสูญ เหลือไว้แต่เพียงร่างกายของพระอรหันต์
ที่เป็นอสังขตธรรมรอวันละสังขาร

คุณเกาฯถ้าจะถามหาที่่มา ก็ไปเปิดพระไตรปิฎกดูเอง เรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดปฏิจจฯ
และความดับของปฏิจจ์ฯ ไปหาเองสมองจะได้พัฒนา ไม่ใช่มาย้ำคิดย้ำทำอยู่แค่คำศัพท์ :b32:


ร่างกายพระอรหันต์เป็นอสังขตธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ


คุณวลัยพรเอาปริยัติมาให้อ่าน ดันว่าเขาจิ้น สงสัยไม่รู้จักสติปัฏฐานสี่แหง่ๆ
ที่ถามว่าร่างกายเป็นอสังขตธรรมตั้งแต่เมื่อไร......กลับไปอ่านหน้า๑และ๒ใหม่
ถ้าอ่านไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตัวเองก็แล้วกัน


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
เริ่มหลงแล้วใช่เปล่า ประเด็นมันอยู่ที่คุณบอกว่า .......
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุหมายถึงพระอรหันที่ตายแล้ว และเอาพระสูตรมาอ้าง
แต่ในพระสูตรกล่าวว่า...."เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

ปัญหามันอยู่ที่ ปรินิพพานคืออะไร .....อนุปาทิเสสนิพพานธาตุคืออะไร
มันไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์ทรงละสังขารในฌานที่เท่าไร

แล้วไอ้เรื่องฌานมันเป็นการทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เห็นแปลกที่ท่านจะ
เข้าออกฌาน สรุปก็คือแถให้มันออกนอกประเด็น :b32:


ครับ ยืนยันเหมือนเดิม
นิพพานของพระอรหันต์ที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
หรือจะบอกอีกนัยว่าเป็นนิพพานของพระอรหันต์ที่ตายแล้วก็ได้ครับ

ที่ยกเรื่องพระพุทธเจ้าละสังขารตอนฌานไหน
เพราะมีพวกจิ้นเอาว่าอนุปาทิเสสนิพพานคือการละสังขารด้วยนิโรธสมาบัติของพระอรหันต์น่ะครับ


คุณจะยื่นยันอะไรมันไม่เป็นปัญหา มันเป็นเรื่องปกติ
แต่เรื่องที่ผิดปกติก็คือ....คำนี้ " เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทาเสสนิพพานธาตุ"
ดันแปลไปได้ว่า อนุปาทาเสสนิพพานธาตุคือพระอรหันต์ที่ตายแล้ว แล้วปรินพพานล่ะ
ก็แปลว่าพระอรหันต์ที่ตายแล้วเหมือนกัน.....แบบนี้พระอรหันต์ตายกี่ครั้ง :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร