วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
แต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้[/b][/color]





การปฏิบัติ ให้รู้ในตัวให้มากๆ ไม่ใช่ไปคอยสอดส่องว่า คนอื่นเป็นอย่างไร

ทำแบบนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เต็มเปี่ยม

จิตส่งออกนอก เป็นทุกข์ เพราะเหตุนี้
เพราะมีแต่การสร้างเหตุของการเกิดให้เกิดขึ้นใหม่ ให้เกิดขึ้นเนืองๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
หากไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น

ถึงนำรูปมาแนบ แต่อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ถึงเหตุและผล ยังทำไม่ได้

ก็เป็นแค่ การปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

แม้กระทั่ง การเต้นของชีพจร เรียกเอาเท่ การสั่นสะเทือน ไม่ใช่ความวิเศษ หรือ พิเศษอันใดเลย

ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เพราะเห็นแล้วว่า ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร ไม่สามารถนำมาหยุดการสร้างเหตุนอกตัวได้



ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นเพียงแค่ ความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นของความมีชีวิต

จะเป็นแบบหยาบ แบบกลาง แบบละเอียด ยังไงก็ไม่พ้น ความเป็นปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น เท่านั้นเอง




เฉพาะข้อความที่ยกมาท่อนนี้คงพอตอบและคลายข้องใจของคุณวลัยพรได้บ้างนะครับ

คำถามเรื่องชีพจร ที่ไปสรุปเอาเองว่าเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ทั้งๆที่ผมได้เรียนแจ้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนาเท่านั้น หลักปฏิบัติยังคงเป็น มรรค 8 อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 และสัพเพธัมมา อนัตตา

[b]การสัมผัสรู้ ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร ความสั่นสะเทือนในร่างกาย หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณได้ อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องไม่พิเศษนะครับ คุณวลัยพรอาจทำได้ทั้งหมดแต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้[/b ]




อ่านแล้ว :b32:

ก็อ่านทวนสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปอีกครั้ง ยังไม่เห็นว่า ตัวเองข้องใจอะไรตรงไหน


walaiporn เขียน:
หากไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น

ถึงนำรูปมาแนบ แต่อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ถึงเหตุและผล ยังทำไม่ได้

ก็เป็นแค่ การปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่


แม้กระทั่ง การเต้นของชีพจร เรียกเอาเท่ การสั่นสะเทือน ไม่ใช่ความวิเศษ หรือ พิเศษอันใดเลย

ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เพราะเห็นแล้วว่า ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร ไม่สามารถนำมาหยุดการสร้างเหตุนอกตัวได้



ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นเพียงแค่ ความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นของความมีชีวิต

จะเป็นแบบหยาบ แบบกลาง แบบละเอียด ยังไงก็ไม่พ้น ความเป็นปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น เท่านั้นเอง

เหตุของความไม่รู้ชัดในสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีอยู่ จึงทำให้เกิดความยินดี ความพอใจ กับสภาวะที่เกิดขึ้น

สภาวะพวกนี้ ไม่แตกต่างกับสภาวะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และขณะที่ทำความเพียรอยู่ เป็นความปกติ ที่ไม่ปกติ เพราะเกิดจาก อุปทาน

สิ่งสำคัญ ที่ว่ารู้ รู้แบบไหน จึงจะสามารถทำให้หยุดสร้างเหตุนอกตัวได้ นี่ต่างหาก สำคัญมากกว่า สัมผัสได้ชัด ในการเต้นของชีพจร




asoka เขียน:
คำถามเรื่องชีพจร ที่ไปสรุปเอาเองว่าเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ทั้งๆที่ผมได้เรียนแจ้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนาเท่านั้น



เรื่องชีพจร ไม่ใช่เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุน และเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนา แต่อย่างใด

การรู้ชัดหรือ การสัมผัส ในการเต้นของชีพจรไม่แตกต่าง จากการใช้คำบริกรรมอื่นๆ ในการปฏิบัติหรอก

ที่เหมือนกันคือ เป็นวิธีการใช้การรู้ในจังหวะการเต้นของชีพจร แทนการใช้คำบริกรรมภาวนาอื่นๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 27 พ.ย. 2013, 09:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 09:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb.jpg
เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb.jpg [ 82.9 KiB | เปิดดู 3725 ครั้ง ]
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
แต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้[/b][/color]





การปฏิบัติ ให้รู้ในตัวให้มากๆ ไม่ใช่ไปคอยสอดส่องว่า คนอื่นเป็นอย่างไร

ทำแบบนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เต็มเปี่ยม

จิตส่งออกนอก เป็นทุกข์ เพราะเหตุนี้
เพราะมีแต่การสร้างเหตุของการเกิดให้เกิดขึ้นใหม่ ให้เกิดขึ้นเนืองๆ

tongue
กรุณาอย่าเพิ่งด่วนตีความไปเป็นอื่น ผมเรียนให้ลองนำไปทดสอบกับเพื่อนๆข้างเคียงดูไม่ได้ให้ไปเพ่งโทษใคร

และอีกประเด็นหนึ่งคืออย่าใจร้อนด่วนตัดสินว่าข้อความเพียงกลุ่มหนึ่ง ท่อนหนึ่งจะเป็นทั้งหมด โปรดดูให้ทั่ว พิจารณาให้รอบๆและลึกซึ้งก่อนตัดสินใจนะครับ

ลองอ่านกลอนสดบทนี้ดีกว่าเผื่อจะได้รู้จักกันดีมากขึ้นนะครับ

รู้ถูกต้อง เห็นใช่แล้ว พึงลงมือ
อย่ามัวแต่ฝึกปรือ แสวงหา
ธรรมมีอยู่ในกายใจ ทุกเวลา
ไม่ต้องหาให้ยาก ลำบากใจ

ตั้งใจจริงทำจริงๆ อย่าทิ้งขว้าง
เพราะว่าทางแห่งมรรค 8 ไม่อยู่ไหน
ปัจจุบันอารมณ์ รู้เข้าไป
ทันให้ได้ ทุกเสี้ยว วินาที

นี่คือทางลัดเข้าไปใกล้และถึง
ยังที่ซึ่ง พุทธะ จะเกิดได้
โปรดขยัน สังเกตเข้าในกายใจ
ทุกข์ทั้งหลายจะพังภิณ เมื่อสิ้น "กู"


:b8:
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


คำถามเรื่องชีพจร ที่ไปสรุปเอาเองว่าเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ทั้งๆที่ผมได้เรียนแจ้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนาเท่านั้น หลักปฏิบัติยังคงเป็น มรรค 8 อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 และสัพเพธัมมา อนัตตา

การสัมผัสรู้ ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร ความสั่นสะเทือนในร่างกาย หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณได้ อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องไม่พิเศษนะครับ คุณวลัยพรอาจทำได้ทั้งหมดแต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้




asoka เขียน:
กรุณาอย่าเพิ่งด่วนตีความไปเป็นอื่น ผมเรียนให้ลองนำไปทดสอบกับเพื่อนๆข้างเคียงดูไม่ได้ให้ไปเพ่งโทษใคร

และอีกประเด็นหนึ่งคืออย่าใจร้อนด่วนตัดสินว่าข้อความเพียงกลุ่มหนึ่ง ท่อนหนึ่งจะเป็นทั้งหมด โปรดดูให้ทั่ว พิจารณาให้รอบๆและลึกซึ้งก่อนตัดสินใจนะครับ





walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
แต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้[/b][/color]





การปฏิบัติ ให้รู้ในตัวให้มากๆ ไม่ใช่ไปคอยสอดส่องว่า คนอื่นเป็นอย่างไร

ทำแบบนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เต็มเปี่ยม

จิตส่งออกนอก เป็นทุกข์ เพราะเหตุนี้
เพราะมีแต่การสร้างเหตุของการเกิดให้เกิดขึ้นใหม่ ให้เกิดขึ้นเนืองๆ




กิเลสน่ะ มันเนียนนะ ดูให้ทัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ลองอ่านกลอนสดบทนี้ดีกว่าเผื่อจะได้รู้จักกันดีมากขึ้นนะครับ

รู้ถูกต้อง เห็นใช่แล้ว พึงลงมือ
อย่ามัวแต่ฝึกปรือ แสวงหา
ธรรมมีอยู่ในกายใจ ทุกเวลา
ไม่ต้องหาให้ยาก ลำบากใจ





รู้มาตั้งนานแล้วว่า คุณไม่รู้ชัดในสภาวะ และมีความยึดมั่นถือมั่นมาก ในสิ่งที่คิดว่า รู้

ยิ่งคุณนำมาโพสแบบนี้ บ่งบอกว่า คุณไม่รู้ชัดในเรื่อง เหตุปัจจัย ที่กระทำมาของแต่ละคน

เพราะว่า ไม่ว่าใครปฏิบัติแบบไหน รูปแบบใดๆ
จะรู้ปริยัติ หรือ ไม่รู้ปริยัติ
รู้หนังสือ หรือไม่รู้หนังสือ
จะฝึก หรือไม่ฝึก จะแสวงหา หรือ ไม่แสวงหา

ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่ทำมา
และที่สร้างให้เกิดขึ้นใหม่ ในแต่ละขณะๆ ของแต่ละคน

เหตุและปัจจัยทั้งหมดมีแค่นี้

ที่เกินจากนั้น ที่กล่าวว่า เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้
ก็หนีไม่พ้น เหตุปัจจัยเก่าที่มีอยู่ และเหตุปัจจัย ที่กระทำให้เกิดขึ้นใหม่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
ส่วนของคุณโฮฮับนั้น ฟุ้งบัญญัติมามากกว่าเพื่อน จนเป็นความพองโตของกระทู้นี้

เรื่องค้านบัญญัติ ปริยัติ ผมไม่ค้าน เพราะยังไงก็ต้องสื่อสารกับผู้คนอยู่ ดูให้ดี

แต่กระทู้นี้ ติงว่า บัญญัติหรือปริยัติธรรมที่มากไปจนเฝือ จนล้นเหลือ หากไม่นำมาประยุกต์ใช้ในการลงมือปฏิบัติจริง พิสูจน์ความจริง จนทำได้จริงด้วยตนเอง ปริยัติที่มากมายเหล่านั้นก็หมดความหมาย ไร้ค่าไปทันที ดังภาษืตที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"


โสกะน่าสงสารครับ พอไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมาตอบ ก็ไผร่ไปกล่าวหาบัญญัติปริยัติทุกที
ถ้าเราจะดูกันจริง คำพูดของโสกะต่างหากที่เกิดจากการปรุงแต่งจินตนาการ
ไม่มีหลักในการปฏิบัติที่ถูกต้องตามพุทธพจน์ การปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องเทียบเคียง
กับพุทธพจน์ได้.........ไม่ใช่มาเพ้อเจ้อ แค่เอาคำพูดของนักบวชที่ตัวเองเชื่อ
มาผสมกับจินตนาการของตน


ขอนอกเรื่องหน่อยครับ.....มีพุทธศาสนิกมากมาย ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพ
อาศัยความด้อยอ่อนในปัญญาของคน หลอกลวงให้หลงเชื่อว่าตนเป็นผู้หลุดพ้น
ตั้งสำนักเอาตนเป็นศาสดา ด้วยการยืมพระนามของพุทธองค์มาสร้างความน่าเชื่อถือ

การปฏิบัติผลหรือปฏิเวธ จะต้องได้ตรงกับพุทธพจน์หรือบัญญัติ
ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ ถ้ามีผู้มากล่าวในเรื่องการปฏิบัติ
แล้วมีผู้เอาพุทธพจน์มาโต้แย้งตามเหตุปัจจัย ถ้าคู่สนทนาอ้างว่า ปริยัติมากไปไร้ค่า
ก็ขอให้เชื่อไว้ก่อนเลยว่า บุคคลนั้นเป็นโมฆะบุรุษ หาได้รู้จริงไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
ผมเคยถามกว้างๆรวมถึงคุณโฮฮับด้วยสั้นๆว่า

คุณใช้เวลากี่นาที จึงจะทำความสงบกายสงบใจ จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของชีพจรได้?

โฮฮับก็ไม่ตอบ กรัชกายก็ไม่พูด ยังไม่มีท่านอื่นใดมาแสดงความเห็นจากประสบการณ์จริงในเรื่องชีพจรนี้ แต่พากันฟุ้งแตกประเด็นไปในเรื่องอื่น จนบางเรื่องผมต้องออกจากประเด็นไปตอบ


คุณมันไม่มีสติครับ ปากก็จ้อ..."สติอยู่กับปัจจุบัน" แต่จิตมีแต่ความหลง
แทนที่จะอยู้กํบการพิจารณาธรรมตรงหน้า ดันไปจับจ้องกับตัวหนังสือที่ก่อให้เกิดอกุศลในใจ

คุณโสกะถ้าคุณมีความเพียรสักนิด รู้จักการพิจารณาธรรมสักหน่อย
คุณก็จะรู้ว่า สิ่งที่คุณกำลังโต้แย้งประชดประชัดเขา มันเป็นเพราะคุณขาดสติ
กลับไปอ่านความเห็นผมใหม่....ในความเห็นผมผมตอบคุณไปแล้ว มิหน่ำซ้ำผมยังสอนคุณอีก
ด้วยว่า คุณทำกรรมฐานปะสาอะไรถึงต้องนั่งจับเวลา ส่วนเรื่องระยะของกรรมฐาน
ผมก็บอกว่า......ผมท่องชินบัญชรเพียงครึ่งบท ก็เกิดนิมิตแล้ว ส่วนผลสุดท้ายก็คือ...
อากาสานัญจายตนะ นี่แหล่ะที่ผมตอบคุณไป เพียงแต่คุณขาดปัญญาพิจารณาเท่านั้นเอง
ถึงได้มาถามหาคำตอบซ้ำซาก

อีกประเด็นที่ถามว่า...รู้อาการเต้นตอดของหัวใจ
คุณยังไม่รู้อีกหรือว่า ผมตลกขบขันกับแนวทางปฏิบัติของคุณ
คุณเข้าใจมั้ยครับ ผมเห็นมันเป็นเรื่องตลก แล้วคุณคิดว่าผมจะกระทำแบบที่คุณถามหรือครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านๆบางครั้งก็นึกเปรียบเทียบกับสมัยพุทธกาล ตำราบันทึกไว้ว่า ว่ามีเจ้าลัทธิความเชื่อมากมาย ในสมัยนั้น :b1: ปัจจุบันประเทศอินเดีย ยังมีลัทธิความเชื่อ แก้ผ้าเดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่เลย :b32:

ถ้าถามว่า ทำไมถึงมากมายซะเหลือเกิน คำตอบก็คงประมาณว่า เพราะความคิดของคนไม่เท่ากัน

พูดยังงี้มองไม่เห็นเพราะเป็นนามธรรม ขอยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมพอมองเห็นกันได้ เช่น เราพูดถึง ต้นไม้เนี่ย นี่รวมหมด ทั้งต้น ราก เปลือก กิ่ง ใบ....รวมกันเรียกว่า ต้นไม้ ฉันใด ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อเรื่องศาสนาก็ฉันนั้น ใครคิดเกาะจับแง่ไหนมุมใดได้ก็ว่ากันไปตามที่จับติดนั้น

แต่พระพุทธศาสนามีสองอย่างคือธรรม กับ วินัย พระพุทธเจ้ารู้ธรรมบัญญัติวินัย วินัยก็คือกฎระเบียบข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่ออะไร? เพื่อให้คนดำเนินไปสู่ธรรม (ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:

วันนี้ต้องใช้เวลาพิจารณาความเห็นของคุณโฮฮับมาก ก็ได้ประโยชน์คือได้ทราบว่า

คุณโฮฮับอ่านคัมภีร์มากก็จริงแต่ไปอ่านของฎีกาและอรรถกถามาก แล้วจับประเด็น ตีความมาผิดบ้างถูกบ้าง บางอย่างก็ค้านคำพูดเก่าของตนเอง อย่างเช่นเรื่องไตรลักษณ์ ที่อ้างอรรถกถามาวันนี้ ท่านบอกชัดว่า.


ใครว่าครับว่าผมอ่านคัมภีร์ ผมไม่ใช่นักท่องจำครับ ธรรมใดมีปัญหา
ผมจึงจะเปิดพระไตรปิฎก เพี่อที่จะหาพุทธพจน์ที่กล่าวถึงธรรมที่เป็นปัญหา
เมื่อเจอแล้ว ผมจึงจะพิจารณาพุทพจน์และธรรมนั้นควบคู่กันไปครับ

asoka เขียน:
:
ง อย่างเช่นเรื่องไตรลักษณ์ ที่อ้างอรรถกถามาวันนี้ ท่านบอกชัดว่า

ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ชัดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วสามารถพาเข้าสู่ประตูนิพพานทางด้านนั้นได้

ความเห็นเก่าของโฮฮับบอกว่า

ไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


ที่คุณพูดมาเป็นความไม่เข้าใจธรรมของคุณเอง คุณสับสนด้วยความไม่รู้
เมื่อไม่รู้แทนที่จะสอบถาม คุณกลับเอามิจฉาทิฐิมาตัดสินสิ่งที่คุณไม่เข้าใจว่า...ผิด

ตั้งใจฟังให้ดีน่ะโสกะ......คำว่าไตรลักษณ์ เป็นบัญญัติที่สร้างขึ้นใหม่โดยครูบาอาจารย์รุ่นหลัง
มันเป็นการถอดบัญญัติมาเป็นบัญญัติ หลายคนที่ยังขาดปัญญามักจะเข้าใจว่า....
ไตรลักษณ์คือ....อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไตรลักษณ์คือ ลักษณะของสังขารที่มี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ในความเป็นลักษณะของสังขารนี้ มันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ด้วยเหตุปัจจัยดังนี้ ถ้าเราจะกล่าวว่า ไตรลักษณ์..หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ย่อมได้
แต่ถ้าเป็นหลักในการพิจารณาธรรม เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์
เราต้องเข้าใจว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะปัญญา
ส่วนการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..ไตรลักษณ์เป็นวิชชา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา

นั้นคือเราต้องเอา วิชชา(เหตุแห่งปัญญา) และปัญญา(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
ไปพิจารณาธรรมเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ เป็นดังนี้เมื่อเราได้ยินว่า.."ไตรลักษณ์"
ก็ให้เข้าใจว่า นั้นคือ วิชชาและปัญญา เป็นปัจจัยร่วมกันอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ส่วนเรื่องปัญญา 3 ตามความเห็นของอรรถกถาจารย์นั้น ต้องพิจารณาให้ดีๆ ตีความให้ถูกต้องแม่นยำ เปรียบเทียบกับอรรถกถาจารย์ท่านอื่นๆให้หลายๆความเห็น เพราะอรรถกถาจารย์ ก็คือผู้รู้ ผู้มีเมตตา แจกแจงธรรมของพระพุทธเจ้าตามความเห็นของตนเอง ย่อมหลายด้วยนาๆจิตตังและทัศนะ ตามจริตนิสัยวาสนาบารมีของอรรถกถาจารย์แต่ละท่านแต่ละองค์ซึ่งเอาเป็นสัจจะมาตรฐานกลางอย่างของพระพุทธเจ้าไม่ได้

ปัญญาสามตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเข้าใจง่าย ไม่มากมายไปด้วยศัพท์บัญญัติที่อ่านแล้วเข้าใจยากอย่างที่คุณโฮฮับยกมา ลองไปพิสูจน์อ่านกันดูนะครับหลักฐานมีอยู่ข้างบน

1.สุตตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟัง การศึกษา

2.จินตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากคิด พิจารณา

3.ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการลงมือปฏิบัติจริงจนสัมผัสความจริงนั้นๆด้วยใจ (จนเกิดความ อ้อ!ขึ้นมา)

ว่าไปนั้น เถียงข้างคูๆ คุณดูก่อนว่าสิ่งที่ผมเอามาโพสและอ้างอิง เป็นอะไร
ที่ผมเอามาอ้างอิง...เป็นพระไตรปิฎกนะครับ ดันเอาอรรถกถามาย้อน
แถมอ้างลอยๆอีกแน่ะ หลักฐานก็ไม่มี ไร้สาระจริงๆ

คุณโสกะครับ ผมจะบอกคุณให้ สิ่งที่คุณเอามาโพสข้างบนนั้นน่ะ
เขาไม่เรียกอรรถกถา แม้ฎีกายังเป็นไม่ได้เลย มันเป็นเพียงการแปลคำศัพท์
ซึ่งการแปลนั้น เป็นไปตามหลักของผู้ที่แปล ขึ้นอยู่กับว่าผู้แปลจะให้บัญญัตินั้น
มีความหมายเป็นอย่างไร.....เขาเรียกว่า พจนานุกรมพุทธศาสตร์
เขาเอาไว้สอนนักศึกษาอันเกี่ยวกับ โลกียธรรม เข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:

อ้างคำพูด:
ที่อ้างอิงคือประเด็นที่ผมว่าอาจารย์คุณไปลอกเอามาจาก.....
พระอภิธัมมัตถสังคหะ


[i]เขาไม่เรียกว่า ลอกเอา อาจารย์ผมก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่ท่านมีเมตตา เอาคำสอนนั้นมาทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยทำตัวหนังสือให้เป็นภาพซึ่งดีกว่าคำพูดหลายร้อยเท่า

แล้วที่คุณโฮฮับพูด เขียน อย่างน้ำท่วมทุ่งทุกวันนี้ ก็มิใช่ลอกเอามาทั้งดุ้นหรือครับ ประยุกต์ใช้ไม่เป็น เข้าใจเพียงแต่ว่า ธรรมะคือต้องมาจากคำภีร์อ้างอิงได้ สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในกายใจให้สัมผัสรู้อยู่ทุกวันนี้มิใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน......คุณเข้าใจธรรมผิดไปมากแล้วนะครับ...


อย่างฮา! :b32: ตอนแรกเถียงคอเป็นเอ็นว่า เป็นผลการปฏิบัติ
ไม่ชอบปริยัติอย่างโน้นอย่างนี้ เราโฮฮับแย้งว่า ก็แค่ไปลอกพระอภิธัมมัตถฯ แล้วก็ทำเป็นรูปภาพ
ไม่ยอมรับขอหลักฐานจากเรา พอเราเอาหลักฐานมาโชว์ ดันแถไปเรื่องอาจารย์เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า

คุณโสกะครับ ผมว่าคุณแกล้งมองไม่เห็นมันก็หมดเรื่องแล้ว ยังเอาสิ่งที่น่าอาย
มาแถให้มันอายซ้ำซาก

แถอาจารย์เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า แต่ดันรังเกียจปริยัติ อันนี้ก็ตลกพอแรงอยู่แล้ว

ดันแถดันอ้างพระพุทธเจ้า......คุณไม่รู้หรือว่า ไอ้รูปที่คุณไปลอกมาจาก
พระอภิธัมมัตถ์สังคหะนั้นน่ะ จะบอกให้ พระอภิธัมมัตถ์ฯ ไม่ใช่พุทธพจน์และไม่ใช่พุทธวจน
เป็นคัมภีร์ที่พระอนุรุทธาจารย์แต่งขึ้นมาภายหลัง นั้นก็คือเกิดพระไตรปิฎกมาก่อนแล้ว


แถอ้างเป็นศิษย์พระพุทธองค์ แต่ดันไปลอกคัมภีร์พระอภิธัมัตถฯ
แล้วยังไม่รู้เลยว่า คัมภีย์นั้นใครเป็นผู้แต่ง......ตลกครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
แล้วที่คุณโฮฮับพูด เขียน อย่างน้ำท่วมทุ่งทุกวันนี้ ก็มิใช่ลอกเอามาทั้งดุ้นหรือครับ ประยุกต์ใช้ไม่เป็น เข้าใจเพียงแต่ว่า ธรรมะคือต้องมาจากคำภีร์อ้างอิงได้ สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในกายใจให้สัมผัสรู้อยู่ทุกวันนี้มิใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน......คุณเข้าใจธรรมผิดไปมากแล้วนะครับ


ไปน้ำขุ่นๆอีกแล้วครับ :b32: คุณจะเอายังไงของคุณครับ
พอผมอธิบายธรรมให้ฟัง คุณบอกว่า ผมวิปัสนึก คิดเอาเอง
ตอนนี้บอกผมพูดน้ำท่วมทุ่งเพราะไปลอกธรรมมา
คุณโสกะครับ อยากแนะนำครับ คุณจะมาแสดงความเห็นพูดในเรื่องการปฏิบัติ
ก่อนอื่นผมว่า คุณควรมีสติ มีสัมปชัญญะกับธรรมที่อยู่ตรงหน้าก่อนนะครับ

คุณกำลังแสดงอาการของคนหลง ขาดสติที่จะระลึกรู้ธรรม การพูดจาของคุณ
มันเลยเป็นลักษณะพูดต้อนต้นอย่างหนึ่ง ตอนปลายกลับเป็นอีกอย่าง
หังมัวกุท้ายมังกร มันพันวัลพันเกมั่วกันไปหมด พูดจาสเป่ะสปะ
อย่าว่าแต่สภาวธรรมเลย แค่การมีสติที่จะสื่อคำพูดง่ายๆคุณยังหลง

asoka เขียน:

คนที่เขาสามารถเอาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกายใจ พูดบอกได้ด้วยภาษาไทยง่ายๆ มาแสดงที่มาที่ไป เหตุ ปัจจัย ผล จนเอายินดียินร้ายออกจากใจได้ ไม่ใช่เขากำลังประยุกต์เอาคำสอนภาษาบาลีของพระพุทธเจ้ามาทำให้ง่ายแล้วเล่าสู่เพื่อนพี่น้องคนไทยที่ไม่ค่อยรู้บาลีได้เข้าใจ อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ ไม่มีอะไรนอกธรรมของพระพุทธเจ้า แต่บัญญัติภาษาที่ใช้แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและชาติพันธ์เท่านั้นเอง[/i]
:


คุณไม่ได้พูดจาในสิ่งที่ออกมาจากกายใจเลยครับ ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่คุณไปฟัง
อาจารย์ของคุณพูด แล้วคุณก็ไปยึดติด หลงว่านั้นคือผลการปฏิบัติ
คุณเอาคำพูดของคนไปปรุงแต่งครับ

แม้แต่ความเห็นประโยคข้างบนนี้ของคุณ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่คุณไปจำเขามาพูด
พูดแบบสำนวนก็คือ "แค่ขี้ปากชาวบ้าน" มันมีไว้สำหรับแก้ตัวยามเมื่อตัวเอง
จนปัญญาที่จะหาเหตุผลมาโต้แย้ง

asoka เขียน:

เจ็บ ปวด ทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ร้อน หนาว เย็น อุ่น ก็อันเดียวอย่างเดียวกับกับผู้คนเมื่อสมัยก่อน 2600 ปีก่อนโน้นเช่นกัน หรือไม่ใช่ครับคุณโฮฮับ
s004
หมดเวลาเสียแล้วสำหรับวันนี้ มีงานบุญต้องรีบไปทำให้เสร็จ อดใจไว้ตอนต่อไปนะครับ เพราะประเด็นแตกออกไปให้มีเรื่องฟุ้งบัญญัติกันอีกมากมายทีเดียว แต่ก็ดี เอาปรมัตถกระทู้ มาเป็นเหตุแจงปริยัติธรรม ไปตามเหตุปัจจัย
:b8:


คำพูดของคุณ เขาเรียกว่า เอาคำพูดคนอื่นมาใส่ตุ้งติ้งครับ
หาสาระในธรรมไม่ได้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"


ดังกล่าวนั่่นพอมีหลักฐานจากคัมภีร์อ้างอิงไหมครับ :b1:

:b12:
ไม่ต้องอ้างคัมภีร์ เพราะมีสภาวะจริงๆให้พิสูจน์ได้ทันที ทุกเมื่อ ในกายของคุณกรัชกายเอง ทำไมต้องไปอ้างคัมภีร์ กลัวผิดธรรม ผิดทางหรือ แสดงว่ายังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็คือ เรื่องของกาย ของใจ มีอยู่ในกายในใจหรือจิตของเรานี้ทั้งสิ้น คัมภีร์เล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบเล่มนี้แหละที่มีธรรมะให้พิสูจน์ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ หรือมากกว่า เพราะมีอีกหลายเรื่องที่พระบรมศาสดาไม่นำมาแสดงแต่ทรงทิ้งไว้ให้พุทธสาวกพิสูจน์ความจริงกันเอาเอง
onion onion onion
รู้วิธีการอ่านธรรมในกายและจิตให้ถูกต้อง และถูกวิธีซิ ทุกอย่างมีในกายใจนี้ทั้งหมด

ถ้ายังไม่รู้วิธี พึงใส่ใจ และทำความละเอียดเรื่องปัจจุบันอารมณ์ให้มากๆ แล้วจะพบวิธีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติเฉพาะตัวของคุณกรัชกายเอง

:b4: :b4:
กรัชกาย
อ้างคำพูด:
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก :b32: ตอบไม่ได้ หรือเราถามไม่ชัด :b10:

ถ้างั้นถามใหม่นะครับนะ

ที่ว่าเนี่ย

อ้างคำพูด:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด


พอจะเทียบกับหลักธรรมข้อใดหรือคัมภีร์ไหนได้บ้าง :b10: :b14:

คุณอโศกเรียนต่อมาจากใครหรืออย่างไรครับ

:b12:
หลักธรรมก็คือว่า ...เมื่อกายและจิต สงบ สยบนิวรณ์ได้แล้ว ย่อมควรแก่การทำงานบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะขณะนั้น สติ ปัญญา จะมีความคมกล้า สามารถรู้เห็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ่ง ทั้งปวง สมาธิ หรือความตั้งมั่นของจิตก็ทนต่อการทำงานพิสูจน์ธรรม ค้นคว้าวิจัยธรรมได้เป็นระยะเวลายาวเพียงพอที่จะ รู้ เห็น อารมณ์ต่างๆตั้งแต่เกิดขึ้น....ตั้งอยู่....จนดับไป
:b16:
คัมภีร์....ผมอ้างคัมภีร์ไม่ค่อยเป็นครับ ต้องขออภัย
:b1:
เรื่องเครื่องชี้วัดระดับของสมาธิ หรือความสงบในกายและจิตดังรูปที่แสดง มีลำดับที่ละเอียดลึกลงไปเริ่มจาก ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และสังขารุเปกขาญาณเป็นที่สุดนี้ เป็นผลจากการพิสูจน์ธรรมของอโศกะเอง เห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับ ผู้คนทั่วไป จึงนำมาทำเป็นไดอะแกรม แผ่นภาพ และเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทัศนะ ครับ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ก็ท้าให้พิสูจน์ เพราะมีความจริง(สัจจะ)รองรับอยู่ในกาย ใจ นี้เสมอๆ ชั่วกาลนาน
:b8:
onion
ภาพที่ยกมาประกอบเขียนขึ้นเมื่อปี 2548 โดยอาศัยศิษย์ที่เก่งคอมพ์ ทำรูปให้ จึงไม่มีขั้นตอนหัวใจเต้น และระดับที่ 5 ลึกสุดที่ว่า นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ระบุว่าเป็น...สังขารุเปกขาญาณ....

ระดับของสมาธิ อธิบายให้เข้ากับยุคสมัย ในภาษาและตัวอย่างของจริงที่จะให้รู้ง่ายเห็นง่าย จึงอาจไม่เหมือนในตำราหรือคัมภีร์ แต่สภาวะเมื่อเข้าถึงเป็นอันเดียวกันครับ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนีเลย ท้าให้พิสูจน์ด้วยครับคุณกรัชกาย

ผมเคยแนะนำคนที่เขาไม่มีมานะทิฏฐิมากลองพิสูจน์ดู เขาลงมือทำ แล้วได้ประโยชน์กับการปฏิบัติภาวนาของเขาต่อไปมากๆเลยครับ หลายท่านชำระจิตให้ขาว จนเกือบจะรอบได้ โดยอาศัยเครื่องชี้วัดเหล่านี้มาทำเป็นกรรมฐานก็มีครับ
:b27:
ที่สังเกตได้และมีจำนวนซ้ำทางสถิติค่อนข้างสูงคือ

ถ้านักศึกษาคนใด สามารถทำความสงบกายสงบใจและรู้ชัดชีพจรทั้งร่างได้ภายในเวลา1 - 3 นาที หรือรู้ได้เสมอ คนผู้นั้น จะรู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุธรรม รวดเร็วมากครับ บางคน 3 วัน กูตาย มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นนายแพทย์
ได้ฟังเรื่องนี้แล้วนำไปทดสอบ หลังจากนั้นเกิดการต่อยอดขึ้นไปเองโดยธรรม อีกวันครึ่ง อนัตตาก็ชัด กูก็พลอยตายไปด้วย น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ



:b1: การรู้ธรรมะก็คือการรู้สึกถึงการเต้นของชีพจรตุ้บๆตอดๆเนี่ย คุณอโศกได้แต่ไหนมา :b10: คนเป็น คือยังไม่ตาย ชีพจรมันก็เต็นของเป็นปกติอยู่ซี่ ถ้าชีพจรไม่เต้นก็ตายเท่านั้นเองน่ะ

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคุณอโศกว่าเพียงแค่รู้ถึงการเต้นของชีพจรแค่นี้เองหรือครับ คุณอโศก :b9:

ถ้ายังงั้น เรียนเชิญชาวพุทธทั่วโลก จับชีพจรตรงข้อมือนะครับ รู้สึกเต้นตุ้บๆ สำเร็จแล้วพระโสดาบัน
หรือจะเอารวดเดียวเป็นพระอรหันต์เลยก็ดีเหมือนกันไม่ต้องนั่งจับชีพจรกันบ่อยๆ คิกๆๆ

คุณน้องก็รู้ชัดเวลามีผัสสะมากระทบ คุณน้องจะรับรู้ถึงการเต้นตอดตุ๊บๆๆของหัวใจ คือมันจะตุ๊บๆๆๆและคุณน้องก็รู้ชัดอยู่ภายในว่าหัวใจเต้นแรงจนรู้สึกได้เลย โอโห้คุณน้องบรรลุเป็นพระโสดาบัณแล้วเพราะรู้ชัดถึงสภาวะการเต้นตอดของหัวใจ :b32: (มันก็เต้นปกติตามธรรมดาของมัน แต่ของขึ้นทีไรหัวใจเต้นตุ๊บๆๆเลยจนรู้สึกได้ นี่ตูโกรธจนหัวใจเต้นแรงขนาดนี้เชียวหรอว่ะ :b5: ) :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มีแต่เหตุกับผล_resize_resize.jpg
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize.jpg [ 40.89 KiB | เปิดดู 3649 ครั้ง ]
s004
Nongkkong
อ้างคำพูด:
คุณน้องก็รู้ชัดเวลามีผัสสะมากระทบ คุณน้องจะรับรู้ถึงการเต้นตอดตุ๊บๆๆของหัวใจ คือมันจะตุ๊บๆๆๆและคุณน้องก็รู้ชัดอยู่ภายในว่าหัวใจเต้นแรงจนรู้สึกได้เลย โอโห้คุณน้องบรรลุเป็นพระโสดาบัณแล้วเพราะรู้ชัดถึงสภาวะการเต้นตอดของหัวใจ :b32: (มันก็เต้นปกติตามธรรมดาของมัน แต่ของขึ้นทีไรหัวใจเต้นตุ๊บๆๆเลยจนรู้สึกได้ นี่ตูโกรธจนหัวใจเต้นแรงขนาดนี้เชียวหรอว่ะ

:b9:
น้องคงอ่านมาไม่ละเอียดพอกระมังครับ การที่สามารถสัมผัสรู้หัวใจเต้นหรือชีพจร ได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนนั้น เป็นเพียงเครื่องชี้บอกว่าระดับสมาธิหรือความตั้งมั่นของจิตอยู่ในระดับที่ควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา เพราะ ว่า รูป - นามจะแยกออกจากกันชัดเจน ทำให้สังเกต พิจารณาสภาวะต่างๆได้จนทำให้ญาณวิปัสสนาเจริญก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับแและอาจสามารถส่งให้เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน ผ่านญาณ 16 ได้

ลมหายใจ...หัวใจเต้น....ชีพจร....ความสั่นสะเทือนในร่างกาย.....สังขารุเปกขาญาณ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือหรือมิเตอร์ช่วยชี้วัดระดับของสมาธิว่าตั้งมั่นถึงระดับไหน ซึ่งทุกท่านทุกคนสามารถทดลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองได้

ความสงบระดับที่สามารถรู้สึกชีพจรในกายได้ชัดเจนตลอดเวลานั้น จะสังเกตเห็นว่า สติ ปัญญา จะมีความคมกล้า ว่องไว รู้เห็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งในกายและจิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม รู้เหตุ รู้ผล รู้ทันและรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของทุกอารมณ์....ลองสังเกตดูกันนะครับ

onion onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทางไปของสัตว์โลก3.jpg
ทางไปของสัตว์โลก3.jpg [ 56.06 KiB | เปิดดู 3644 ครั้ง ]
:b6:
สำหรับคุณโฮฮับนั้นพาผมและเพื่อนๆเตลิดออกมาไกลจากประเด็นของกระทู้มากแล้ว ผมจึงไม่ขอต่อล้อต่อเถียงกับคุณอีก เรื่องที่แสดงมาทั้งหมด ใครผิด ใครถูก สิ่งใดใช่ธรรมไม่ใช่ธรรม ผู้อ่านคงมีวินิจฉัยตัดสินใจได้เองว่าจะเลือกเชื่อใครในเรื่องใด หลักฐานเรื่องราวทั้งหมดไม่หายไปไหนตรวจสอบได้อยู่เสมอ

เรากลับมาเจาะลึกลงไปในหัวข้อของกระทู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนากันต่อไปดีกว่านะครับ

"ครึ่งชั่วโมง ทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้ รู้มากมายก็ไร้ค่า"

เมื่อเปิดกระทู้ขึ้นมาโดยยังมิได้บอกถึงวัตถุประสงค์ของกระทู้ให้ทราบเสียก่อน ก็เลยเปรียบเหมือนการไปแหย่รังแตน ให้เกิดกับผู้ที่เคยชินแต่การยกบัญญัติในคัมภีร์มาสนทนากัน มากกว่าการนำประสบการณ์การปฏิบัติจริงมาเล่าสู่กันฟัง จึงมีเรื่องและประเด็นต่างๆแทรกขึ้นมามากมาย

วันนี้จักกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการ ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาว่า

:b41:
1.เพื่อสะกิดใจให้นักศึกษาธรรมทั้งหลายได้สำเหนียกว่า......"ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"

2.ภาคปฏิบัติตามรูปแบบในตำราหรือคัมภีร์เรื่อง สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนา เราได้ยินได้ฟังกันมามากมายหลายแง่หลายมุม คราวนี้จะได้มาลองฟังในแง่มุมที่แปลกหูแปลกตาในรูปแบบและภาษาที่คนรุ่นไหมน่าจะอ่าน ฟัง รู้เรื่องและสามารถนำไปทดสอบทดลองปฏิบัติได้

3.กระทู้ไม่มีประสงค์ที่จะลบหลู่ปริยัติธรรม แต่เสนอข้อคิดสะกิดใจ ให้รู้ว่า...ความรู้ภาคปริยัติหรือทฤษฎี ถ้าไม่เอามาประยุกต์ใช้ ไม่ลงมือพิสูจน์ ไม่ทดสอบกับตนเอง จนทำได้ตามหลักทฤษฎี ความรู้ทั้งหลายทั้งหมดนั้นจะไร้ค่ากลายไปเป็นแค่ขยะในสมอง กลับกลายเป็นภาระและเครื่องถ่วงให้การปฏิบัติจริงล่าช้า เพราะจะมากด้วยอุทธัจจะนิวรณ์ธรรมและจะชักนำผู้รู้แล้วไม่ปฏิบัติ ให้ตกไปสู่ภาษิตที่ว่า

"รู้มาก ยากนาน" หรือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"


4.แบบทดสอบความสามารถสัมผัสรู้ชีพจร ได้เร็วมากน้อยเพียงไร หรือมิเตอร์วัดระดับสมาธิ 5 ขั้นตอนให้มาลองกันดูนั้นมันน่าสัมผัสลองดูจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่เกิดอยู่ในกายของมนุษย์เราทุกคน ผู้ตั้งกระทู้ก็ได้ทดลองทดสอบมาแล้วอย่างโชกโชนและช่ำชอง จนเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ที่มีผลต่อการปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน

ขอให้ทดลองสังเกตดูกันจริงๆเสียก่อน แล้วค่อยมาถกเถียงวิพากษ์วิจารณกันไปในกรอบของกระทู้

ลองดูแล้วได้ผลเป็นอย่างไรได้ข้อคิดสะกิดใจอะไรบ้างจากการทดลองนี้ ก็เอามาคุยกันนะครับ
:b38:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร