วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 16:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2013, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เคยได้ยินแต่ วิสังขาร ครับ

พ้นการ การปรุงแต่ง

หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง


อสังขตะ ...................... ก็คือ พ้นจากการเกิดดับ

:b12: :b12:
ก็ควรได้ยินเสียบ้างนะครับ สิ่งที่เขาพูดกันในหมู่นักปฏิบัติ

สังขาร.....ปรุงแต่ง

อะ....ไม่

อสังขตะ ...อสังขตัง....ความหมายเดียวกัน แต่ถึงใจมากกว่ากัน....ก็คือ ไม่ปรุงแต่ง...

ไม่ใช่ ไม่เกิดดับนะครับ

เกิด - ดับ ....อุปัตทะ...วยะ.....อุปัตชิตวา....นิรุชฌันติ....เตสังวูปสโม สุขโข.....

"วยะธัมมา สังขารา...อัปมาเทนะ...สัมปาเททะ"....นี่คือ การสรุปอริยสัจ 4 ครั้งสุดท้ายของพระบรมศาสดา

วยะธัมมา.....ทุกขสัจจะ

สังขารา....สมุทัยสัจจะ

อัปมาเทนะ.....มรรคสัจจะ

สัมปาเททะ......นิโรธะสัจจะ..(หมายถึงการทำมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ให้สมบูรณ์)

:b36:
:b37:
:b38:
:b53:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2013, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อสังขตสูตร
ว่าด้วยลักษณะแห่งอสังขตธรรม ๓ ประการ

[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ไม่ปรากฏ ความเสื่อมสิ้น ก็ไม่ปรากฏ เมื่อ
ตั้งอยู่ความแปรไปก็ไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของ
อสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.


อสังขตะ คือ ไม่เกิด ไม่ดับ ตั้งอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง คือเที่ยงนั่นเอง

ไม่ทราบท่านอโศกะ เอาคำแปลว่า ไม่ปรุงแต่ง มาจากไหน

อ้างคำพูด:
ความเห็นของอโศกะ อสังขตะ ...อสังขตัง....ความหมายเดียวกัน แต่ถึงใจมากกว่ากัน....ก็คือ ไม่ปรุงแต่ง...

ไม่ใช่ ไม่เกิดดับนะครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 11:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
อสังขตสูตร
ว่าด้วยลักษณะแห่งอสังขตธรรม ๓ ประการ

[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ไม่ปรากฏ ความเสื่อมสิ้น ก็ไม่ปรากฏ เมื่อ
ตั้งอยู่ความแปรไปก็ไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของ
อสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.

:b17:
ความจากพระสูตรท่อนนี้ ตอบคำถามเรื่อง อสังขตะได้ดีมาก โดยต้องแปลความหมาายให้ถูกต้องตามธรรม....สาธุ
:b8:
การแปล อสังขตะ ว่า ไม่เกิด ดับ อาจทำให้คิดไปได้หลายแง่.....

การแปล อสังขตะ ว่า ไม่ปรุงแต่ง นั้นมีรากฐานมาจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อว่า

อสังขาร ....อสังขตัง....สัจจัง....ปรมัตถัง...อมตัง...นิพพานัง...ล้วนมีความหมายเป็นเช่นเดียวกัน...คือเป็นสภาวะคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้....สิ้นสังขาร พ้นจากสังขาร ความปรุงแต่ง คิดนึก ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ สัมผัสรู้ได้ที่ใจอย่างเดียว
:b8:
onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 12:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อท่านพูดรวม..รวม....เป็นวงกว้าง...เพื่อความเข้าใจ...แต่อโศกะกลับเอามาแปลความหมาย..ของอสังขต

ดีไม่ดี....จะกลายเป็นการแปลงสารของอโศกะเองเพราะขาดการเข้าใจ...ซึ่งไม่ควรทำ...แล้วยังมาเอาหลวงพ่อมาอ้างอีก...ทำให้ครูอาจารย์เสื่อมเสียไปซะเปล่า....ครั้งก่อนก็ทีแล้ว...

บางอย่าง..มันอยู่ในที่อบรม..ก็ควรให้มันอยู่อย่างนั้น...เพราะมันอาจเหมาะกับภาวะเฉพาะ..แต่ในสาธารณะ...ก็ต้องว่ากันตามหลักตามเกณท์..นะ

สติ...


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 มิ.ย. 2013, 14:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อ้างคำพูด:
อสังขตสูตร
ว่าด้วยลักษณะแห่งอสังขตธรรม ๓ ประการ

[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ไม่ปรากฏ ความเสื่อมสิ้น ก็ไม่ปรากฏ เมื่อ
ตั้งอยู่ความแปรไปก็ไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของ
อสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.

:b17:
ความจากพระสูตรท่อนนี้ ตอบคำถามเรื่อง อสังขตะได้ดีมาก โดยต้องแปลความหมาายให้ถูกต้องตามธรรม....สาธุ
:b8:
การแปล อสังขตะ ว่า ไม่เกิด ดับ อาจทำให้คิดไปได้หลายแง่.....

:b13: :b13:
งง...จุงเบย...บอกว่า....ดีมาก ๆ...แต่กลับบอกว่าแปลแล้วทำให้คิดไปหลายแง่..

จะคิดไปไหนหนอ...ตรง ๆ ก็ชัดเจนแล้ว...ไม่ปรากฎความเกิด...ไม่ปรากฎความดับ...ตั้งอยู่ไม่ปรากฎความแปรปรวน

ถ้าเราเข้าใจไม่ถึง...ก็อย่างเพิ่งด่วนว่ามันไม่ดี...เก็บเอาใว้ก่อน...ไม่ใชไม่เข้าใจก็เปลี่ยนตามใจ...นี้แหละสัทธรรมปฏิรูป..ละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
อสังขาร ....อสังขตัง....สัจจัง....ปรมัตถัง...อมตัง...นิพพานัง...ล้วนมีความหมายเป็นเช่นเดียวกัน...คือเป็นสภาวะคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้....สิ้นสังขาร พ้นจากสังขาร ความปรุงแต่ง คิดนึก ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ สัมผัสรู้ได้ที่ใจอย่างเดียว

:b1: :b1: :b1:
พิจารณาท่อนนี้ด้วยก็ดีนะคุณกบ....ไม่ทราบว่าจะเข้าใจหรือไม่?
:b38: :b38: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2013, 19:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
tongue
อ้างคำพูด:
อสังขาร ....อสังขตัง....สัจจัง....ปรมัตถัง...อมตัง...นิพพานัง...ล้วนมีความหมายเป็นเช่นเดียวกัน...คือเป็นสภาวะคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้....สิ้นสังขาร พ้นจากสังขาร ความปรุงแต่ง คิดนึก ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ สัมผัสรู้ได้ที่ใจอย่างเดียว

:b1: :b1: :b1:
พิจารณาท่อนนี้ด้วยก็ดีนะคุณกบ....ไม่ทราบว่าจะเข้าใจหรือไม่?
:b38: :b38: :b38:


เข้าใจ....ยิ่งกว่าเข้าใจอีก :b9: :b9:

แต่อโศกะ..นั่นแหละเข้าใจผิด...แล้วก็อ้างผิดด้วย...ที่เอามาอ้างว่าหลวงพ่อให้ความหมาย..อสังขต...ว่า..พ้นจากความปรุงแต่ง...

ที่จริง..ท่านก็บอกแล้วว่า..."คงความเป็นจริงอยู่อย่างนั้น....ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น"

แต่ที่พ้นจากความปรุงแต่ง..เพราะสิ้นสังขาร...
สังขารตัวนี้..คือ..รูป...คือ..อัตตาตัวตน...

และที่สำคัญ....อย่าเอาคำครูอาจารย์มาค้านพระไตรปิฎกด้วยความเข้าใจของตน

เพราะปัญญาของตัวเองอาจไม่ถึงปัญญาครู....ไม่เข้าใจเจตนาคนสอน...และท่านก็เพียงสอนให้เข้าใจ...แต่ไม่ได้บัญญัติ..

พอจะเห็นความผิดของตนบ้างหรือยัง?....กรุณาอย่าทำอีกนะครับป่ม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2013, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
govit2552 เขียน:
อนัตตา หมายถึง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
แต่... สิ่งที่ถูกระบุว่า เป็นอนัตตาบางอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ยืน เดิน นั่ง นอน วิ่ง พูด หัวเราะ ร้องไห้ ได้
หรือแม้แต่ อนัตตาบางอย่าง ก็ บินได้ เช่น นก แมลงมีปีก หรือเครื่องบิน จรวด เป็นต้น
อนัตตาบางอย่าง แปลงร่างได้ กลายร่างได้ เช่น น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
อนัตตาบางอย่าง หายตัวได้ เช่น น้ำกลายเป็นไอ หายไปในอากาศ ฝ้าที่ติด อยู่ที่กระจก หายไปเมื่อโดนแดดส่องสักพัก เป็นต้น
อนัตตาบางอย่าง เจริญเติบโตได้ ออกลูกออกหลานได้ แบ่งตัวได้
เช่น ต้นไม้ ทีแรกเป็นเมล็ด ต่อมาก็โตเป็นต้นไม้ใหญ่ ต่อมาก็ออกดอก ต่อมาก็เป็นผล ต่อมาก็ร่วงหล่น
ความเป็นอนัตตา มันมีสิ่งที่วิจิตร พิศดาร เยอะแยะ
อนัตตา บางอย่าง เปล่ง แสงได้ เช่น หลอดไฟต่างๆ
อนัตตา บางอย่าง คนเรามองไม่ทัน เช่น การกระพริบของหลอดไฟที่เร็วเกินค่าๆ หนึ่ง
อนัตตา บางอย่าง มันหลอกลวงประสาทสัมผัสของเรา เช่น ความคาว ที่ถูกปรุงด้วยโน่นนี่นั่น จนหอม แล้วเราก็กินลงไป อย่างเอร็ดอร่อย
มีอนัตตาบางอย่าง ที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ไม่ตรวจจับได้ เช่น กลิ่น
เครื่องตรวจ กลิ่นหอม ................ มีหรือไม่
เครื่องตรวจ กลิ่นเหม็น ............... มีหรือไม่
เครื่องตรวจความเป็นชาย ความเป็นหญิง แค่เอามือแตะโปร๊บ เครื่องก็ระบุได้ว่า หญิง ว่าชาย
เครื่องตรวจความ รัก โลภ โกรธ หลง แค่เข้าใกล้ เครื่องก็จะบ่งบอกว่า คนๆ นั้น มีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง
เครื่องตรวจวัดความหิว กระหาย เอามือสัมผัสเครื่อง ก็จะบ่งบอกว่า หิว หรือ กระหาย หรือปกติ

มีอนัตตา หลายอย่าง รอการพิสูจน์ จากนักวิทยาศาสตร์เยอะแยะ

โดยใช้คำๆ นี้คือ สิ่งมหัศจรรย์ สิ่งลี้ลับ สิ่งเหนือความคาดหมาย สิ่งที่ต้องพิสูจน์ สิ่งเร้นลับ

:b12:
...ธรรมะ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ข้อความเต็มๆ...
...เขียนแค่ อนัตตา แล้วก็แปลสั้นๆ เนื้อความไม่ครบแล้วก็แปลไปตามความคิดตน...
:b13:
...พระธรรมที่ทรงเมตตาแสดงนั้นละเอียดยิ่ง...อ่านประโยคเดียวแปลความไม่ละเอียด...
...จะเข้าใจแล้วก็ตีความถูกไม่ได้เลย เพราะคิดไม่ละเอียด ทำให้อรรถรสผิดเพี้ยนไปนะ...
:b16:
:b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2013, 09:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งใด...ที่ถูกสร้างขึ้นมา...สิ่งนั้น...ต้องสลายตัวไปในที่สุด

แค่นี้แหละ....อนัตตา ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2013, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
พยายามอธิบายกันอย่างไร ก็ไม่ซึ้งใจในอนัตตา แต่เมื่อสัมผัสรู้ที่ใจแล้วนั่นหละจึงจะรู้ซึ้งถึงจริง

ทางสัมผัสอนัตตา คือ ค้นหาให้พบความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา สู้กับความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา จนความเห็นผิดนั้นดับไป...สภาวะอนัตตาจะชัดเจนและซาบซึ้งขึ้นมาในดวงใจของทุกท่านเอง
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2013, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรทำให้เห็นผิด..ว่าเป็นอัตตา?

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 07:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อะไรทำให้เห็นผิด..ว่าเป็นอัตตา?

:b9: :b9:

:b12: :b12: :b12: :b12:
ความโง่ยังไงครับคุณกบ...ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "อวิชชา"

อะ = ไม่

วิชชา....วิชชุุ.....= แสงสว่าง

อวิชชา = ไม่มีแสงสว่าง.........ใจมืด สติปัญญาบอด เพราะไม่รู้

ไม่พบกัลยาณมิตร จึงไม่รู้ หรือรู้ผิดๆ......รู้ผิดๆมากแค่ไหน ก็เท่ากับ มืดบอดอยู่ดีนั่นเอง

พบกัลยาณมิตร

ได้รู้ถูกต้อง.....(ข้อนี้สำคัญที่สุด รองจากการได้พบกัลยาณมิตร)


รู้ถูกต้อง เป็นเหตุให้ เห็นถูกต้อง....สัมมาทิฏฐิ

เห็นถูกต้อง เป็นเหตุให้ คิดถูกต้อง.....สัมมาสังกัปปะ

คิดถูกต้อง เป็นเหตุให้ ทำถูกต้อง....สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ทำถูกต้องเป็นเหตุให้ ได้รับผลอันถูกต้อง.....วิชชา วิมุติ

ได้รับผลถูกต้อง จึงกลายเป็น คนถูกต้อง ....บัณฑิต กัลยาณมิตร

เป็นคนถูกต้อง จึงพูดและถ่ายทอดแต่สิ่งที่ถูกต้องสู่เพื่อนมนุษย์

ดังนี้และ...ท่านกบ..และมิตรสหายในธรรมทุกคน



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 09:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อะไรทำให้เห็นผิด..ว่าเป็นอัตตา?

:b9: :b9:

:b12: :b12: :b12: :b12:
[b]ความโง่ยังไงครับคุณกบ...ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "อวิชชา"
อะ = ไม่

วิชชา....วิชชุุ.....= แสงสว่าง

อวิชชา = ไม่มีแสงสว่าง.........ใจมืด สติปัญญาบอด เพราะไม่รู้



เพราะโง่...นั่นมันก็ถูก...
การที่เราด่วนสรุปเอาคำตอบสุดท้ายเร็วเกินไป.....จะทำให้ขาดรายละเอียดระหว่างทางได้

ทำบ่อย ๆ เข้า...ก็กลายเป็นนิสัย..ไปคว้าสัญญามาแก้ปัญหาทุกที่...เร็วกว่านั้นอีก..มันก็จะออกมาเป็นคำว่า...รู้แล้ว

อย่างที่ว่า...เห็นว่าเป้นอัตตา..เพราะความโง่....

ความโง่...มีอาการยังงัยนะ....ความโง่มีอะไรเป็นเป้าหมายนะ....??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ความโง่ยังไงครับคุณกบ...ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "อวิชชา"
อะ = ไม่
วิชชา....วิชชุุ.....= แสงสว่าง
อวิชชา = ไม่มีแสงสว่าง.........ใจมืด สติปัญญาบอด เพราะไม่รู้

กัลยาณมิตรที่ไหนบอกโสกะว่า อวิชาคือความโง่
อวิชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่ใช่ความโง่
บุคคลถ้ายังไม่เคยประสบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาเรียกว่า ความไม่รู้ในสิ่งๆนั้น

ส่วนความโง่ก็คือ การได้เคยพบเคยเจอสิ่งนั้นมาแล้ว
ต่อมาได้เห็นอีก แต่กลับไม่รู้ความหมายหรือไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่เคยพบเคยเห็นนั้น
คนอย่างนี้เขาเรียกว่า........โมฆะบุรุษ
คนโง่ในความหมายของพระพุทธเจ้าก็คือ โมฆะบุรุษเข้าใจมั้ยโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2013, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ความโง่ยังไงครับคุณกบ...ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "อวิชชา"
อะ = ไม่
วิชชา....วิชชุุ.....= แสงสว่าง
อวิชชา = ไม่มีแสงสว่าง.........ใจมืด สติปัญญาบอด เพราะไม่รู้

กัลยาณมิตรที่ไหนบอกโสกะว่า อวิชาคือความโง่
อวิชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่ใช่ความโง่
บุคคลถ้ายังไม่เคยประสบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาเรียกว่า ความไม่รู้ในสิ่งๆนั้น

ส่วนความโง่ก็คือ การได้เคยพบเคยเจอสิ่งนั้นมาแล้ว
ต่อมาได้เห็นอีก แต่กลับไม่รู้ความหมายหรือไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่เคยพบเคยเห็นนั้น
คนอย่างนี้เขาเรียกว่า........โมฆะบุรุษ
คนโง่ในความหมายของพระพุทธเจ้าก็คือ โมฆะบุรุษเข้าใจมั้ยโสกะ

s006
อืม !....เพิ่งได้ทราบจากคุณโฮฮับว่า ความโง่ กับความไม่รู้นี่เป็นคนละอันกัน
s006
ผมนึกว่าสิ่งเคยรู้ แล้วพบทีหลังกลับไม่รู้ นี่คือ ...ความหลงลืม คนละอันกับความโง่
:b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร