วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 16:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 18:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงสภาวะ โสดาปัตติมรรค ประเภท รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ยังไม่รู้แจ้งในสภาวะนิพพาน ตามความเป็นจริง จึงยังไม่สามารถแยกสภาวะสัญญากับปัญญา ออกจากกันได้


แล้ว เฟส 1 กะ เฟส 2
:b6: เป็นการแสดง ปัญญา หรือ สัญญา

:b16:


เวลาจิต เป็นสมาธิ คุณสามารถรู้ชัด(มีความรู้สึกตัว)ในสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน กายและจิตได้ไหม?

สมาธิที่เกิด ตั้งมั่น อยู่ได้นานกี่ชั่วโมง? เกิดแบบปกติ คือ เกิดขึ้นเนืองๆ(ยืน เดิน นั่ง นอน) โดยไม่ต้องเจตนา ทำให้เกิดขึ้น หรือ ต้องตั้งใจทำให้เกิดขึ้น หรือ นานๆเกิดที?

สามารถรู้ชัด ในอาการที่เกิดขึ้น ของสมาธิ ขณะจิตเป็นสมาธิ แต่ละขณะได้ไหม?


นี่เหร๋อ คำตอบ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 18:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงสภาวะ โสดาปัตติมรรค ประเภท รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ยังไม่รู้แจ้งในสภาวะนิพพาน ตามความเป็นจริง จึงยังไม่สามารถแยกสภาวะสัญญากับปัญญา ออกจากกันได้


แล้ว เฟส 1 กะ เฟส 2

:b6: เป็นการแสดง ปัญญา หรือ สัญญา

:b16:


คือ เฟส 1 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า แรกเริ่มรู้ เหมือนกันหมด ไม่มีแตกต่าง คือ ติดอุปกิเลส

พอเฟส 2 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า นี่คือ ปัจจัยของการเกิด เวทนา ที่เกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นอยู่ (สัมมาสมาธิ)

ทั้งสองความเห็นคุณเป็นคนแสดง
เราถามคุณ เพราะนั้นเป็นสิ่งที่คุณแสดงออกมา
ถ้าคุณแยกแยะออก คุณก็แค่ตอบออกมา ก็แค่นั้น

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงสภาวะ โสดาปัตติมรรค ประเภท รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ยังไม่รู้แจ้งในสภาวะนิพพาน ตามความเป็นจริง จึงยังไม่สามารถแยกสภาวะสัญญากับปัญญา ออกจากกันได้


แล้ว เฟส 1 กะ เฟส 2
:b6: เป็นการแสดง ปัญญา หรือ สัญญา

:b16:


เวลาจิต เป็นสมาธิ คุณสามารถรู้ชัด(มีความรู้สึกตัว)ในสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน กายและจิตได้ไหม?

สมาธิที่เกิด ตั้งมั่น อยู่ได้นานกี่ชั่วโมง? เกิดแบบปกติ คือ เกิดขึ้นเนืองๆ(ยืน เดิน นั่ง นอน) โดยไม่ต้องเจตนา ทำให้เกิดขึ้น หรือ ต้องตั้งใจทำให้เกิดขึ้น หรือ นานๆเกิดที?

สามารถรู้ชัด ในอาการที่เกิดขึ้น ของสมาธิ ขณะจิตเป็นสมาธิ แต่ละขณะได้ไหม?


นี่เหร๋อ คำตอบ :b12:





eragon_joe เขียน:
eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงสภาวะ โสดาปัตติมรรค ประเภท รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ยังไม่รู้แจ้งในสภาวะนิพพาน ตามความเป็นจริง จึงยังไม่สามารถแยกสภาวะสัญญากับปัญญา ออกจากกันได้


แล้ว เฟส 1 กะ เฟส 2

:b6: เป็นการแสดง ปัญญา หรือ สัญญา

:b16:


คือ เฟส 1 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า แรกเริ่มรู้ เหมือนกันหมด ไม่มีแตกต่าง คือ ติดอุปกิเลส

พอเฟส 2 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า นี่คือ ปัจจัยของการเกิด เวทนา ที่เกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นอยู่ (สัมมาสมาธิ)

ทั้งสองความเห็นคุณเป็นคนแสดง
เราถามคุณ เพราะนั้นเป็นสิ่งที่คุณแสดงออกมา
ถ้าคุณแยกแยะออก คุณก็แค่ตอบออกมา ก็แค่นั้น

:b1:






หากคุณไม่ตอบคำถาม ที่ถามไป ก็ไม่มีการตอบอะไรทั้งสิ้น

เพราะ คำตอบ ที่คุณตอบคำถามมา ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำถาม ที่ถามมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2012, 18:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามันเป็นความเห็นด้วยสภาวะที่ออกมาจาก ปัญญา
ทำไม ปัญญา2 จึงพลิกผันไปจาก ปัญญา1
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มัน แปรเปลี่ยนไป

ถ้ามันเป็นความเห็นด้วยสภาวะที่ออกมาจาก สัญญา
ทำไม สัญญา2 จึงพลิกผันไปจาก สัญญา1
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มัน แปรเปลี่ยนไป

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
หากคุณไม่ตอบคำถาม ที่ถามไป ก็ไม่มีการตอบอะไรทั้งสิ้น

เพราะ คำตอบ ที่คุณตอบคำถามมา ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำถาม ที่ถามมา


ไม่เป็นไร เงื่อนไขนี้ คุณจะถือ หรือวางมันก็เป็นเรื่องราวของคุณ

ส่วน สิ่งที่เราจะนำเสนอต่อไป มันก็จะเป็นการนำเสนอแง่มุมนัยยะที่เราตั้งข้อสังเกตต่าง ๆ
เกี่ยวกับเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่ได้มีการนำเสนอมาแล้วข้างต้นในกระทู้นี้ต่อไป เรื่อย ๆ

ซึ่งถึงแม้เราจะไม่ตอบคำถามคุณ เราก็จะได้คำตอบจากการเข้าไปสืบค้นบทธรรมตามแหล่งต่าง ๆ
เข้ามาโยงใยเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้เองแหละ

ประหนึ่งว่า คุณขายอาหารไก่ แต่ลูกค้ามาซื้ออาหารไก่
คุณกลับบอกเขาว่า ให้เขาไปเอาไก่ที่เลี้ยงมาด้วย ถ้าไม่เห็นไก่ไม่ขาย

ซึ่งร้านขายอาหารไก่ ก็ไม่ได้มีร้านใดร้านเดียว

:b12: ... ไก่บางตัวมันไก่ป่า ไม่ได้อาหารไก่ มันก็เจริญอยู่ได้
เพราะมันหากินตามธรรมชาติของมันได้ ... :b16:

:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 09:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญา กับ ปัญญา

ความเห็นตามสัญญากับความเห็นด้วยปัญญา
ต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน

ความเห็นด้วยสัญญาพาให้ผู้เห็นมีอารมณ์มาก
มักเสกสรรตัวว่ามีความรู้มาก ทั้งที่กำลังหลงมาก
จึงมีทิฏฐิมานะมาก ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ...

ส่วนความเห็นด้วยปัญญาเป็นความเห็นซึ่งพร้อมที่จะถอดถอน ความสำคัญมั่นหมายต่างๆ อันเป็นตัวกิเลสทิฏฐิมานะน้อยใหญ่ออกไปโดยลำดับที่ปัญญาหยั่งถึง ถ้าปัญญาหยั่งลงโดยทั่วถึงจริงๆ กิเลสทั้งมวลก็พังทลายไปหมด

เจริญธรรม

โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1691


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 09:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญา ...ความจำได้หมายรู้

ปัญญา ...ความรู้ชัด ความเห็นชัด เป็นกุศลธรรมเจตสิก เป็นสังขารขันธ์
เมื่อพิจารณาสัญญาด้วยปัญญา จึงหยั่งรู้ลงสู่สัญญาด้วยความเห็นชอบ

มานะ ทิฏฐิ(มิจฉาทิฏฐิ) เป็นกิเลส ทำให้ปัญญามืดบอด
เมื่อพิจารณาสัญญาด้วย กิเลสเต็มจิต ย่อมเป็นความมีดมน เป็นความหลง หยั่งลงสู่สัญญาด้วยความเห็นผิด

สัญญา ไม่มีความตัดสินว่า สัญญาดี หรือไม่ดี ความเห็นความตัดสินต่อสัญญา อันเป็นสังขารขันธ์ นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่พึงศึกษาให้ดี

ธรรมทั้งหลาย มีมนสิการเป็นแดนเกิด


เช่นนั้น 25 เม.ย. 2554 เวลา 09:33 น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 09:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสะ ...
เป็นเหตุเกิดแห่งสัญญา

ความดับแห่งสัญญา...
ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ

วิบาก/ผล แห่งสัญญา ..
คือ คำพูด เพราะคนรู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

สัญญาในรูปเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาในรสเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาในธรรมารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง

ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา....
ได้แก่มรรคมีองค์ ๘

สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เพราะการศึกษา
สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป เพราะการศึกษา


:b48: :b48: :b48:

http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1691

สัญญาใด
เป็นสัญญาในกาม
เป็นสัญญาในพยาบาท
เป็นสัญญาในการเบียดเบียน
ความดำริเป็นอกุศลมีสัญญานี้เป็นสมุฏฐาน

ความดำริที่เป็นอกุศลนี้ .... ดับได้ด้วยปฐมฌาน

**************************

สัญญาใด
เป็นสัญญาในเนกขัมมะ
เป็นสัญญาในความไม่พยาบาท
เป็นสัญญาในอันไม่เบียดเบียน
ความดำริเป็นกุศลมีสัญญานี้เป็นสมุฏฐาน.

ความดำริที่เป็นกุศลนี้ .... ดับได้ด้วยทุติยฌาน


:b54: :b54: :b54: :b54:

ปัญญา ...

บุคคลผู้ไม่รู้ชัดว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ตรัสว่าเป็นบุคคลมีปัญญาทราม

บุคคลผู้รู้ชัดว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ตรัสว่าเป็นบุคคลมีปัญญา


ประโยชน์ของปัญญา ....
มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์
มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์
มีความละเป็นประโยชน์


:b53: :b53: :b53:

ปัญญา และ วิญญาณ
ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
เพราะ....
ปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น
วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น

แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกัน
ปัญญา .... เป็นสิ่งที่ควรเจริญ
วิญญาณ .. เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้

เวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น
วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น


:b40: :b40: :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
หากคุณไม่ตอบคำถาม ที่ถามไป ก็ไม่มีการตอบอะไรทั้งสิ้น

เพราะ คำตอบ ที่คุณตอบคำถามมา ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำถาม ที่ถามมา


ไม่เป็นไร เงื่อนไขนี้ คุณจะถือ หรือวางมันก็เป็นเรื่องราวของคุณ

ส่วน สิ่งที่เราจะนำเสนอต่อไป มันก็จะเป็นการนำเสนอแง่มุมนัยยะที่เราตั้งข้อสังเกตต่าง ๆ
เกี่ยวกับเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่ได้มีการนำเสนอมาแล้วข้างต้นในกระทู้นี้ต่อไป เรื่อย ๆ

ซึ่งถึงแม้เราจะไม่ตอบคำถามคุณ เราก็จะได้คำตอบจากการเข้าไปสืบค้นบทธรรมตามแหล่งต่าง ๆ
เข้ามาโยงใยเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้เองแหละ

ประหนึ่งว่า คุณขายอาหารไก่ แต่ลูกค้ามาซื้ออาหารไก่
คุณกลับบอกเขาว่า ให้เขาไปเอาไก่ที่เลี้ยงมาด้วย ถ้าไม่เห็นไก่ไม่ขาย

ซึ่งร้านขายอาหารไก่ ก็ไม่ได้มีร้านใดร้านเดียว

:b12: ... ไก่บางตัวมันไก่ป่า ไม่ได้อาหารไก่ มันก็เจริญอยู่ได้
เพราะมันหากินตามธรรมชาติของมันได้ ... :b16:

:b16:





เมื่อคุณเห็นแบบไหน คุณย่อมแสดงทิฏฐิแบบนั้น นี่ก็เรื่องปกติ


เหตุปัจจัยของแต่ละคน สร้างมาแตกต่างกันไป วิธีการ สำหรับแต่ละคน จึงแตกต่างกันไป


เมื่อยังไม่แจ้งใน โยนิโสมนสิการ สิ่งที่คิดว่าอ่านแล้วรู้ อ่านแล้วเข้าใจ หรือแม้กระทั่ง คิดแล้วรู้ แล้วคิดว่า รู้นั้นๆ เป็นปัญญา แท้จริง ล้วนเป็นเพียง สัญญา


เนื่องด้วยเหตุปัจจัย ของแต่ละคน แต่ละยุค แต่ละสมัย โยนิโสมนสิการ จึงเป็นเพียง สัญญา ที่ไม่ใช่สภาวะตามความเป็นจริง ที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบัน


พระผู้มีพระภาค ทรงวางทางไว้ให้อย่างดีแล้ว ประเสริฐสุดแล้ว คือ ธรรมทั้งมวล จบลงที่ โยนิโสมนสิการ


เย ธมมา เหตุปปะภะวา

เตสัง เหตุง ตถาคโต

เตสัญจ โย นิโรโธ จ

เอวัง วาที มหาสมโณฯ


เป็นประโยค ยะ ตะ นะครับ แยกได้ดังนี้นะครับ

(เย ธัมมา) อันว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใด (เหตุปปะภะวา) มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน (คือ เกิดจากเหตุนั่นเอง) (จ) ด้วย

(โย นิโรโธ) อันว่า ความดับใด (เตสัง ธรรมานัง)แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้น (จ) ด้วย

(ตถาคโต) อันว่า พระตถาคต (อาห) ตรัส (เหตุง)ซึ่งเหตุ (เตสัง ธรรมานัง)แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้นด้วย

(อาห)ตรัส (ตัง นิโรธัง) ซึ่งความดับนั้นด้วย

(มหาสมโณ) อันว่าพระมหาสมณะ (วาที) เป็นผู้มีปกติกล่าว (เอวัง) อย่างนี้



ค่อนข้างจะสับสนนะครับ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนบาลี เพราะประโยคนี้มี ยะ ตะ ถึงสองตัวด้วยกัน

ส่วนตัวนี้คือ เหตุง ต้องเป็น เหตุง นะครับ ศัพท์เดิม คือ เหตุ ลงทุติยาวิภัติ จึงต้องผันเป็น เหตุง แปลว่า ซึ่งเหตุครับ

(ขอบคุณผู้แปลและถอดคำบาลี hug0_boss)

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3049.0

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 10:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

เป็นปกติเป็นยังไง และคุณเป็นปกติอยู่รึเปล่า

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b12:

เป็นปกติเป็นยังไง และคุณเป็นปกติอยู่รึเปล่า

:b12:


วัลยพร เป็นปกติ


ทุกสรรพสิ่ง ที่เกิดขึ้น เป็นปกติ ของสิ่งๆนั้น

เมื่อใดก็ตาม ที่มีการนำ ความมีตัวตนที่มีอยู่(ทิฏฐิ) เข้าไปแทรกแซง(ให้ค่า) ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งๆนั้น ย่อมเปลี่ยนจาก ปกติ เป็น ผิดปกติ


สิ่งที่วลัยพร เขียนๆไป ล้วนเป็นเพียง สัญญา

เพราะ ปัญญาที่แท้จริง มีแต่ เป็นเหตุให้ จิตเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เกิดทุกข์ เห็นแต่ทุกข์ ทุกข์ โทษ ภัย ของการเกิด ทุกข์ โทษ ภัย ของอัตภาพสังขารหรือร่างกายที่มีอยู่ โดยสภาวะของจิตเอง มิใช่ผู้ใดหรืออะไร ทำให้เกิดขึ้น

จนกว่าจิตจะปล่อยวาง โดยไม่ต้องคิดปล่อยวาง นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง จึงปรากฏขึ้น จะเห็นแบบหยาบๆ แล้วจึงละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ

หากยังมียึด จากสิ่งที่ปรากฏเห็นอยู่ รู้อยู่ จะกลับกลายสภาพเป็น สัญญา ไปทันที

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 11:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงสภาวะ โสดาปัตติมรรค ประเภท รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ยังไม่รู้แจ้งในสภาวะนิพพาน ตามความเป็นจริง จึงยังไม่สามารถแยกสภาวะสัญญากับปัญญา ออกจากกันได้


แล้ว เฟส 1 กะ เฟส 2

:b6: เป็นการแสดง ปัญญา หรือ สัญญา

:b16:

คือ เฟส 1 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า แรกเริ่มรู้ เหมือนกันหมด ไม่มีแตกต่าง คือ ติดอุปกิเลส

พอเฟส 2 คุณ แสดงนัยไปในทางว่า นี่คือ ปัจจัยของการเกิด เวทนา ที่เกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นอยู่ (สัมมาสมาธิ)

ทั้งสองความเห็นคุณเป็นคนแสดง
เราถามคุณ เพราะนั้นเป็นสิ่งที่คุณแสดงออกมา
ถ้าคุณแยกแยะออก คุณก็แค่ตอบออกมา ก็แค่นั้น

:b1:

walaiporn เขียน:
เมื่อยังไม่แจ้งใน โยนิโสมนสิการ สิ่งที่คิดว่าอ่านแล้วรู้ อ่านแล้วเข้าใจ หรือแม้กระทั่ง คิดแล้วรู้ แล้วคิดว่า รู้นั้นๆ เป็นปัญญา แท้จริง ล้วนเป็นเพียง สัญญา

เนื่องด้วยเหตุปัจจัย ของแต่ละคน แต่ละยุค แต่ละสมัย โยนิโสมนสิการ จึงเป็นเพียง สัญญา ที่ไม่ใช่สภาวะตามความเป็นจริง ที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบัน


:b17: อืมม์ ความเห็นที่คุณแสดงข้อนี้ เราเห็นด้วย ไม่ขัดแย้ง

นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี แม้เราที่เราสนทนามาจะมีการแสดงความเห็นต่างกันในหลายแง่อยู่
แต่ก็ ยังมีความเห็นที่เราต่างเห็นไม่ขัดแย้งกันอยู่เช่นกัน

ใช่ม๊า.... :b27:

:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

:b17: อืมม์ ความเห็นที่คุณแสดงข้อนี้ เราเห็นด้วย ไม่ขัดแย้ง

นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี แม้เราที่เราสนทนามาจะมีการแสดงความเห็นต่างกันในหลายแง่อยู่
แต่ก็ ยังมีความเห็นที่เราต่างเห็นไม่ขัดแย้งกันอยู่เช่นกัน

ใช่ม๊า.... :b27:

:b17: :b17: :b17:




การสนทนา ย่อมมี การเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย หรือรู้สึกเฉยๆ
ทั้งที่แสดงความคิดเห็น และไม่ได้แสดงความคิดเห็น นี่ก็เรื่องปกติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b12:

เป็นปกติเป็นยังไง และคุณเป็นปกติอยู่รึเปล่า

:b12:


วัลยพร เป็นปกติ


ทุกสรรพสิ่ง ที่เกิดขึ้น เป็นปกติ ของสิ่งๆนั้น

เมื่อใดก็ตาม ที่มีการนำ ความมีตัวตนที่มีอยู่(ทิฏฐิ) เข้าไปแทรกแซง(ให้ค่า) ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งๆนั้น ย่อมเปลี่ยนจาก ปกติ เป็น ผิดปกติ


สิ่งที่วลัยพร เขียนๆไป ล้วนเป็นเพียง สัญญา

เพราะ ปัญญาที่แท้จริง มีแต่ เป็นเหตุให้ จิตเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เกิดทุกข์ เห็นแต่ทุกข์ ทุกข์ โทษ ภัย ของการเกิด ทุกข์ โทษ ภัย ของอัตภาพสังขารหรือร่างกายที่มีอยู่ โดยสภาวะของจิตเอง มิใช่ผู้ใดหรืออะไร ทำให้เกิดขึ้น

จนกว่าจิตจะปล่อยวาง โดยไม่ต้องคิดปล่อยวาง นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง จึงปรากฏขึ้น จะเห็นแบบหยาบๆ แล้วจึงละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ

หากยังมียึด จากสิ่งที่ปรากฏเห็นอยู่ รู้อยู่ จะกลับกลายสภาพเป็น สัญญา ไปทันที


:b8:

อนุโมทนา กับการแสดงความเห็นของคุณ

:b8:

และขอโทษด้วยที่เราต้องมาแสดงบทไล่จี้คุณ

เพราะ
asoka ส่งสำเนียง
ผมติดตามสังเกตคุณวลัยพรมาอยู่นาน เห็นว่าเป็นคนดี ต่อไปจะมีประโยชน์ต่อโลกมากยิ่งขึ้นๆ

เราเข้าใจในสิ่งที่ท่านอโศกะพูด ว่าท่านพูดสิ่งนี้ออกมาจากใจจริง

การที่คุณออกมาแสดงความเห็นมากมาย หลังจากเงียบห่างไป
คุณก็เป็นสีสรรหนึ่ง ของลานแห่งนี้
และหลายคน ที่อยากเห็นการแสดงความเห็นของคุณ ก็มี และยังมี

คนที่อยากสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกับคุณนั้น ก็มีมาก
ส่วนแข็งที่คุณมีที่จะเป็นประโยชน์ ก็มีมาก
แต่เวลาสนทนาธรรมในลาน
การคุยกับคุณ มันเหมือนกับเอาสามล้อไปวิ่งตัดหน้าสิบล้อที่วิ่งมาอย่างเต็มกำลัง
ถ้าสิบล้อไม่หักหลบ/เสียหลัก ไอ้บ้าที่บังอาจมาวิ่งตัดหน้ารถก็ตาย

แต่ต่อให้เป็นสิบล้อ ร้อยล้อ หรือ พันล้อ
อย่าลืม พวงมาลัยก็อยู่ในมือคุณ เบรคก็อยู่กับเท้าคุณ ... :b27:

:b8: :b8: :b8:

ขอให้คุณนำเสนอธรรมที่ดี อันเป็นประโยชน์
อันจะเป็นไปเพื่อขัดเกลาธรรมซึ่งกันและกัน ต่อไป ด้วยดี

:b8: :b8: :b8:

ปล.อิอิ
คำคมส่งท้าย

"สิบล้อจ๋า สามล้อไปก่อน...น๊ะจ๊ะ"

:b13: :b4: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

:b8:

อนุโมทนา กับการแสดงความเห็นของคุณ

:b8:

และขอโทษด้วยที่เราต้องมาแสดงบทไล่จี้คุณ




อนุโมทนา :b8:

ไม่มีอะไร ที่ต้องขอโทษต่อกัน ทุกสรรพสิ่ง ล้วนมีเหตุต่อกัน พบกันก็เพราะเหตุ จากกันก็เพราะเหตุ

ที่ได้มาสนทนากัน ณ ที่นี้ ก็เพราะ เหตุ


การสนทนาครั้งนี้ ไม่ว่า ใครจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร นั่นคือ เหตุปัจจัยของแต่ละคน ที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร