วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 03:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
พระพุทธองค์จึงสอน ทั้ง แบบข้ามภพ ข้ามชาติ - ปัจจุบันชาติ และ ปัจจุบันขณะ ตาม เหตุ-ปัจจัย ของ ผู้ติดข้องในธรรม ณ.เวลานั้น
ใช่ป่าวครับ

หากจะกล่าวอ้างถึงพระพุทธองค์ทรงสอน ....

เช่นนั้น จำเป็นตกยกพระสูตร ที่พระองค์ทรงตรัสว่า อาศัยกำลังของพระองค์สิ่งไรในการประกาศพรหมจักร คือการแสดงธรรมของพระพุทธองค์

แม้จะยาวหน่อยก็จะตอบคำถามของท่านได้ ด้วยเนื้อความในพระสูตรเอง

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=9754&Z=9852&pagebreak=0

Quote Tipitaka:
[๓๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลังของตถาคต ๖ ประการนี้ ที่พระตถาคตประกอบแล้ว เป็นเหตุให้ปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัทประกาศพรหมจักร

กำลัง ๖ ประการเป็นไฉน คือ
ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งฐานะโดยความเป็นฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดยความเป็นเหตุมิใช่
ฐานะในโลกนี้ แม้การที่ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งฐานะโดยความเป็น
ฐานะ และเหตุที่มิใช่ฐานะโดยความเป็นเหตุมิใช่ฐานะ
นี้ย่อมเป็นกำลังของ
ตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท
ประกาศพรหมจักร ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง
ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทานที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยปัจจัย โดย
เหตุ
แม้การที่ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งวิบากแห่งกรรมสมาทานที่เป็น
อดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยปัจจัย โดยเหตุ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต
ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศ
พรหมจักร ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง
ซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และ
สมาบัติ
แม้การที่ตถาคตย่อมทราบชัดตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมอง ความ
ผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ นี้ย่อมเป็นกำลัง
ของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทใน
บริษัท ประกาศพรหมจักร ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ตถาคตย่อมระลึกถึง
ชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
แม้
การที่ตถาคตย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ
บ้าง ฯลฯ ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ด้วยประการฉะนี้ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะ
ของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่
กำลังจุติ กำลังอุบัติ ฯลฯ ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด
ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ
แม้การที่ตถาคตย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลัง
จุติ กำลังอุบัติ ฯลฯ ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่
สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัย
ปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ
ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
แม้การที่ตถาคตย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่นี้ย่อมเป็นกำลังของตถาคต ซึ่งตถาคตได้อาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก
บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลังของตถาคต
๖ ประการนี้แล ที่ตถาคตประกอบแล้วเป็นเหตุให้ปฏิญาณฐานะของผู้โจก บันลือ
สีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร ฯ

.... ยกมาหมดจะยาวไป หากท่านมีความสนใจก็ กด ลิงค์พิจารณาตามไป

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 12:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ขนมจีบซาลาเปา :b8:
ผมคิดว่าพี่คงเข้าใจที่ผมพูดก่อนหน้านี้ได้ไม่ทั้งหมด ซึ่งผมผิดเองเองที่พูดสั้นไปไม่ชัดเจน ผมขออนุญาติข้ามในเรื่องอายตนะไปก่อนนะครับ จะขอพูดเรื่องการพิจารณามหาสติปัฏฐานแทน โดยจะขอยกเอาปฏิปทาแนวทางของท่านพระอาจารย์ใหญ่องค์หลวงปู่มั่นมาแสดงพอสังเขปนะครับ...
ในการพิจารณาสติปัฏฐานสี่มี กาย เวทนา จิต ธรรม โดยเป็นการวางลำดับจากหยาบไปหาละเอียด ดังนั้นในเบื้องต้นท่านจึงให้เริ่มพิจารณา(ตามดูตามรู้)ที่กายนี้ก่อน ซึ่งอุบายในการพิจารณากายนั้นก็มีหลายอย่าง แต่ในที่นี้ผมขอยกเอาความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางกายหรือเวทนาทางกายขึ้นมาพูดนะครับ เพราะจะได้ตีวงเข้าสู่สติปัฏฐานสี่ได้ง่าย เริ่มต้นนั้นเรากำหนดสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจอันนี้คือพิจารณากาย ต่อมาซักพักความปวดนั่นเจ็บนี่ย่อมเกิดขึ้นอันนี้เป็นการแสดงตัวของเวทนา เมื่อเวทนาแสดงตัวจิตย่อมแสดงอาการของมันขึ้นมามีวิตกวิจารณ์ฟุ้งซ่านบ้าง ใช้สติตามรู้ก็เป็นการพิจารณาจิต ถึงจุดๆหนึ่งสติปัญญาจะยกธรรมขึ้นมาแสดงเราก็พิจารณาธรรมนั้นไป ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างแบบให้เห็นได้ง่ายๆพอเป็นแนวทาง ในความเป็นจริงตอนปฏิบัติของแต่ละคนแต่ละครั้งย่อมมีที่แตกต่างออกไปไม่เหมือนอย่างที่ยกออกมากล่าวนะครับ...มีอุบายธรรมง่ายๆอย่างหนึ่งที่อยากให้จำไว้นะครับว่า"อันไหนเกิดก่อน(รู้สึกได้ก่อน)ให้พิจารณา(ตามดูตามรู้)อันนั้นก่อน"...หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องตั้งใจพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจที่จะพิจารณาสิ่งที่มันแสดงตัวให้เราเห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าจิตสังขารเกิดขึ้นก็พิจารณามันไป เวทนาเกิดขึ้นก็พิจารณามันไปให้สุด จนจิตเราสงบขึ้นเรื่อยๆและรวมลงสู่ความสงบระงับ...กระบวนการที่กล่าวมานี้ถือเป็นการทำสมถะกัมมัฏฐาน เพื่อสมาธิ เพื่อให้สมาธิเป็นกำลังให้สติต่อไป ต่อมาเมื่อจิตเราเข้าไปพักในสมาธิพอสมควรแล้วก็ในถอนจิตออกมาสู่กระบวนการวิปัสสนา กำหนดพิจารณากายให้เห็นแจ้งอย่างถ่องแท้ การพิจารณาในขั้นวิปัสสนานี้ต้องทำซ้ำๆไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะถึงจุดที่พอ เกิดเป็นกตญาณขึ้นมา จิตจึงจะเรียกว่าวางรูปกายได้อย่างเด็ดขาด ก้าวข้ามความหยาบได้อย่างแท้จริง และเข้าสู่การพิจารณาความละเอียดคือจิตนี้ได้อย่างถ่องแท้ครับ
ดังนั้นถ้าเรายังก้าวข้ามความหยาบไปไม่ได้ การพิจารณาจิตละเอียดให้เห็นแจ้งอย่างถ่องแท้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยครับ...ในกระทู้เมื่อนานมาแล้วผมเคยได้พูดถึงการทำผิดครูของตัวผมเองต่อแนวทางของพระอาจารย์มาแล้วคือมองข้ามการพิจารณากาย แล้วไปมุ่งพิจารณาที่ตัวจิตเลย ซึ่งมันก็ได้ผลดีระดับหนึ่งนะครับ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันจะติดเพราะจิต(สติปัญญา)เราไม่ละเอียดพอ ไม่ละเอียดเพราะกายอันเป็นของหยาบนี้เรายังก้าวข้ามพ้นไปไม่ได้นั่นเองครับ..ไม่รู้ว่าที่ผมตอบไปนี้จะตรงกัยที่พี่ขัดข้องหรือป่าวนะครับ เพราะผมก็เป็ฯเพียงเด็กหัดเดินหัดพูดเท่านั้นเองครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 13:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงคุณ ลูกพระป่า

สาธุค่ะ :b8: ดิฉันเข้าใจในทั้งหมดที่คุณพูด แต่เหตุที่ดิฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องกายเนื่องจากว่า ก่อนนั้นเราไม่ได้คุยเรื่องกายค่ะ และดิฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณลูกพระป่าได้บอกกล่าวมาทั้งหมด เพราะมหาสตินั้น รวมย่อ อยู่ที่กายกับจิต ทั้ง2 อย่างไม่สามารถที่จะละเลยได้.. :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอางี้พูดอีกอย่าง นักกรรมฐานที่ใช้อานาปานเพื่อให้เ้ข้าให้ได้ถึงฌานน่ะ เข้าต้องสำรวมกายวาจาใจ ไม่ส่งจิตออกนอก เขาถึงจะเ้ข้าฌานได้ใช่ไหม ถึงแม้เขาเข้าฌาน แต่อาตนะ12นั้น ยังทำงานอยู่ไหม แต่ทำไมเขาเข้าฌานได้ เพราะใจเข้าไม่ข้องเกี่ยวกับอายตนะ12 เลยต่างหาก(การสำรวมกายวาจาใจนั้นก็ไม่ต่างกับการสำรวมอายตนะ12 ซึ่งนักกรรมฐาน40 จะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้มากนั้น เขาเลยไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเข้าจับที่จุดใหญ่ จุดเดียว ตรงที่ว่า ตอนนี้จิตเสวยอารมณ์อะไรอยู่..)

ดิฉันเขียนมาย๊าว ยาว เพื่อจะอธิบายว่า อาตนะ12 ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญแต่มันเป็นแค่ตัวเริ่มต้นที่จะทำให้ถึงคำว่า สติ เท่าั้นั้น แต่ถ้าเราย่ำอยู่แต่กับอายตนะ12 เราจะไปถึงสติได้ช้า.


การเรียกอายตนะ12 นั้นอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจในเชิงปฏิบัติที่ยากขึ้น แต่ถ้าเรียกว่าอายตนะภายในทั้ง6กระทบอายตนะภายนอกทั้ง6 ด้วยอาศัยเหตุคือมีธาตุที่ทำงานอยู่ของอายตนะภายในทั้ง6 มีวิญญาณเกิดขึ้น เกิดผัสสะ และเวทนาตามลำดับ จึงจะได้ความละเอียดของธรรมที่ชัดเจนขึ้น สมมุติมีดวงตาอยู่แต่ตาบอดเสีย ธาตุรู้ก็ไม่ทำงาน หรือตาไม่บอดแต่หลับตาลงเสีย ธาตุรู้ทำงาน แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ เหตุเพราะว่าอายตนะภายนอกนั้นอาศัยธาตุคือแสงสว่าง หากไม่มีพื้นดินแสงจะกระทบที่ใด

หากสังเกตุทันธาตุรู้ที่เกิดจากอายตนะภายในทั้ง6 (รวมทั้งความคิดด้วย) ย่อมเห็นสภาวะของธรรมตามความเป็นจริง โดยจิตไม่ส่งออกนอกตามรูป เสียง กลิ่น รส โผสสัมผัส และกามารมณ์ จึงไม่ใช่เรื่องของสติอย่างเดียวครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
เอางี้พูดอีกอย่าง นักกรรมฐานที่ใช้อานาปานเพื่อให้เ้ข้าให้ได้ถึงฌานน่ะ เข้าต้องสำรวมกายวาจาใจ ไม่ส่งจิตออกนอก เขาถึงจะเ้ข้าฌานได้ใช่ไหม ถึงแม้เขาเข้าฌาน แต่อาตนะ12นั้น ยังทำงานอยู่ไหม แต่ทำไมเขาเข้าฌานได้ เพราะใจเข้าไม่ข้องเกี่ยวกับอายตนะ12 เลยต่างหาก(การสำรวมกายวาจาใจนั้นก็ไม่ต่างกับการสำรวมอายตนะ12 ซึ่งนักกรรมฐาน40 จะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้มากนั้น เขาเลยไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเข้าจับที่จุดใหญ่ จุดเดียว ตรงที่ว่า ตอนนี้จิตเสวยอารมณ์อะไรอยู่..)

ดิฉันเขียนมาย๊าว ยาว เพื่อจะอธิบายว่า อาตนะ12 ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญแต่มันเป็นแค่ตัวเริ่มต้นที่จะทำให้ถึงคำว่า สติ เท่าั้นั้น แต่ถ้าเราย่ำอยู่แต่กับอายตนะ12 เราจะไปถึงสติได้ช้า.


การเรียกอายตนะ12 นั้นอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจในเชิงปฏิบัติที่ยากขึ้น แต่ถ้าเรียกว่าอายตนะภายในทั้ง6กระทบอายตนะภายนอกทั้ง6 ด้วยอาศัยเหตุคือมีธาตุที่ทำงานอยู่ของอายตนะภายในทั้ง6 มีวิญญาณเกิดขึ้น เกิดผัสสะ และเวทนาตามลำดับ จึงจะได้ความละเอียดของธรรมที่ชัดเจนขึ้น สมมุติมีดวงตาอยู่แต่ตาบอดเสีย ธาตุรู้ก็ไม่ทำงาน หรือตาไม่บอดแต่หลับตาลงเสีย ธาตุรู้ทำงาน แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ เหตุเพราะว่าอายตนะภายนอกนั้นอาศัยธาตุคือแสงสว่าง หากไม่มีพื้นดินแสงจะกระทบที่ใด

หากสังเกตุทันธาตุรู้ที่เกิดจากอายตนะภายในทั้ง6 (รวมทั้งความคิดด้วย) ย่อมเห็นสภาวะของธรรมตามความเป็นจริง โดยจิตไม่ส่งออกนอกตามรูป เสียง กลิ่น รส โผสสัมผัส และกามารมณ์ จึงไม่ใช่เรื่องของสติอย่างเดียวครับ



สาํึธุค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อเข้าใจจริง ๆ แล้วว่ารูปนี้...ไม่ใช่เรา.....ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณก็ไม่มี

เมื่อความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณไม่มีเพราะเข้าใจในรูปดีแล้ว.....ความเข้าใจว่าเราตาย...ก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่าอะไรตายไม่ใช่เราแล้ว....ความรู้สึกว่าเราชราก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่ารูปนี้ไม่ใช่เรา..การมีรูปเป็นภาระแล้ว....ความอยากเกิดอีกก็ไม่มีในใจเรา...ชาติก็ดับ

ชาติดับ...เพราะ..ชรา.มรณะ.ทุกขะ.โทมนัสส.อุปายาต..ดับ ก็ด้วยเหตุนี้


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อความอยากเกิดไม่มีในใจเราแล้ว....ที่ตั้งของการเกิดก็เป็นอันไม่มีไปด้วย
ภพดับ...เพราะ...ชาติดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


เมื่อภพอันเป็นจุดหมายไม่มี....จะมีอะไรให้ไข่วขว้า

อุปาทาน..ดับ...เพราะ..ภพ..ดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่สนจะไขว่ขว้าสิ่งใด...ก็ไม่มีอะไรให้โจนทยาน

ตัณหาดับ...เพราะ...อุปาทานดับ..ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อรู้ว่ากระโจนตามสิ่งล่อใจครั้งใด..ทุกข์ทุกครั้งไป...ต่อให้หลอกล่อด้วยอะไร...หามีความหมายไม่

เวทนาดับ..เพราะ..ตัณหาดับ..ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 00:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัย แก่สังขาร...

สัตว์(ผู้ข้องในภพ 3) คือจิตที่เจือไปด้วยอวิชชา สัตว์นี้เมื่อประสพกับอารมณ์ ย่อมหน่วงรั้งเอาอารมณ์นั้นมาปรุงแต่งประกอบกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง...
นี่เป็นห่วงแรก มีต้นคืออวิชชา มีปลายคือสังขาร กองทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดขึ้น
เมื่ออวิชชาดับ สังขารจึงดับ
คือเมื่อรู้ เมื่อสัตว์นั้น ได้แล้วซึ่งวิชชา เป็นผู้รู้ผู้เห็น คือวิมุติญาณทัสสนะ ย่อมไม่หน่วงเอาอารมณ์นั้นมาปรุงแต่งประกอบกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ

ความหมายของคำว่ารู้ ไม่ได้หมายถึง การบังคับไม่ให้มันเกิด
ที่ว่ารู้ ก็คือรู้ ขบวนการขันธ์ห้า รู้อายตนะสิบสอง
สรุปก็คือ รู้ผลที่เกิดและรู้เหตุที่ทำให้เกิด
เมื่อมีเหตุแล้วเราไม่สามารถบังคับไม่ให้เกิดผลย่อมเป็นไปไม่ได้
เมื่อเกิดผัสสะขึ้น กระบวนการขันธ์ย่อมเกิดขึ้นและมาจบที่สังขารขันธ์
อาจจะจบที่จิตสังขาร วจีสังขารหรือกายสังขารแล้วแต่บุคคล

เช่นนั้น เขียน:
สังขาร เป็นปัจจัยแก่วิญญาณ
สัตว์นั้นเมื่อประกอบเจตนาเป็นกรรมทางกายบ้าง เป็นกรรมทางวาจาบ้าง เป็นกรรมทางใจบ้าง
วิญญาณจึงตั้งขึ้น ไปรู้ ตามชนิดของเจตนาที่ประกอบกรรมนั้น
เมื่อประกอบกรรมทางกาย วิญญาณก็ไปตั้งอยู่ที่กาย
เมื่อประกอบกรรมทางวาจา วิญญาณก็ไปตั้งอยู่รู้อยู่ที่วาจา
เมื่อประกอบกรรมทางใจ วิญญาณก็ไปตั้งอยู่รู้อยู่ทางใจ
เพราะกรรม คือเจตนา เจตนาคือสังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยแก่วิญญาณ
เมื่อสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
นี่เป็นห่วงถัดมา มีต้น คือสังขาร มีปลายคือวิญญาณ
เจริญธรรม

การอธิบายความข้างบน มันสับสนด้วยการเอากระบวนการขันธ์ห้า
มาอธิบายปะปนกันกระบวนการปฏิจสมุบาท
วิญญาณและสังขารในปฏิจจฯและกระบวนการขันธ์ห้า
มันเป็นคนละตัวกัน
การอธิบายความของเจ้าของความเห็น สงสัยจะเข้าใจว่าเป็นตัวเดียวกัน
การอธิบายความเลยออกมาแบบนี้

การจะเข้าใจปฏิจจสมุบาทได้ จะต้องมีความเข้าใจถึงกระบวนการขันธ์ห้าเสียก่อน
เพราะการจะแทงตลอดปฏิจจสมุบาทได้ มันต้องอาศัยกระบวนการขันธ์ห้า
เฉกเช่นการจะรู้อริยสัจจ์สี่ต้องรู้ที่รูปนามหรือที่กายใจ


ที่พูดแบบนี้เพราะเห็นแต่ละคน บอกว่าดับโน้นดับนี้ พูดแบบไม่เข้าใจ
พูดไปเรื่อย
เหตุมันยังอยู่ทนโท่โด่เด่ แล้วจะดับผลมันดับได้ที่ไหน
ดูซิดูรูปนามหรือกายใจเรามันยังอยู่หรือเปล่า
ตลกดีครับ ช่วยกันลากช่วยกันละเลงซะยาวเหยียด
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานน้องโฮฮับหากินกับของเก่า ดูซิ วันนี้น้องโฮฮับเอาอะไรมาอวดพวกเรา
อ้อ ธรรมนิดหน่อย นอกนั้น ความหยิ่งทะนง ยกตน ถ้าละพวกนี้ได้จะดีมาก
เอามาอวดอีกนะน้องโฮฮับ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 08:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


เปล่าหรอก.....แค่มองต่างมุมดูว่า...หากผลเราไม่ต้องการแล้ว...ใครจะเสียเวลามาทำเหตุ

แต่หากดูจริง ๆ แล้ว...ที่เราไม่ต้องการผล..ก็เพราะว่าเรารู้ความจริง..ไม่หลงนั้นเอง...นั้นแหละต้นเหตุ

แม้ตอนแรก..จะเป็นความหลงหยาบ ๆ ...คือหลงร่างกายเป็นเรา

สาวลงไปเรื่อย ๆ ...มันก็ถึงรากความหลงของจิตอวิชชาว่าเป็นเรา..ได้เหมือนกัน

ทำซ้ำ ๆ....ความกว้างยาวความละเอียดละออของแต่ละชั้น ๆ ...จะไม่เหมือนเดิมตามกำลัง

อันนี้...เป็นกัลยาณมิตรแลกเปลี่ยนให้ฟัง...หยั่งใจตามดูแล้วก็แปลกดี...ก็เห็นตามที่ท่านเล่า..

แต่ที่ยังไม่เห็น..ก็ตรง..สังขารไม่มีแล้วอวิชชาจะมีอะไร..

ของท่านว่าโล่ง...แต่เรามืด..ตามไม่ทัน :b7:

ของท่านเล่า..มีทั้งขยายจากที่ย่อ ๆ ...แล้วก็ย่อจากที่ขยายไปซะใหญ่โต..

อย่างน้อยการหยั่งใจตามก็เป็นการอบรมสมาธิ...ละนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 09:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


อาจจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า

ถ้าความพอใจ-ไม่พอใจในเวทนานั้น ๆ ดับไป
การแสวงหาผัสสะใดเพื่อให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น หรือไม่ให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น
ก็ไม่มี
แต่ผัสสะนั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
และเวทนานั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
แต่ไม่ได้เกิดด้วยตัณหาราคะ
แต่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัย ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป

:b12: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 10:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
มันไม่ติดใจเรา...ก็เหมือนมันตายไปจากเรา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร