วันเวลาปัจจุบัน 13 มิ.ย. 2025, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จิตประภัสสรเป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างหาก หรือ

มันเป็นคำสอนของพวกมหายาน ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังยอ้นหลังไปหาการกำเนิดของจิตไม่ได้ แล้วใครจะรู้

ถ้าย้อนหลังไปที่สุดเท่าที่จะทำได้ จิตมันก็ตกภวังค์แน่นิ่งอยู่รอเวลาที่จะกลับมาเกิดในพรหมโลก เท่านั้นแหละ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 17:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
จิตประภัสสรเป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างหาก หรือ

มันเป็นคำสอนของพวกมหายาน ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังย้อนหลังไปหาการกำเนิดของจิตไม่ได้ แล้วใครจะรู้

ถ้าย้อนหลังไปที่สุดเท่าที่จะทำได้ จิตมันก็ตกภวังค์แน่นิ่งอยู่รอเวลาที่จะกลับมาเกิดในพรหมโลก เท่านั้นแหละ


อ้อใช่ ลืมไป จริง ๆ จะกล่าวถึง
สิ่งนี้ :b12:

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ฯ

....

[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง
ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ

...
พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต ๖. อัจฉราสังฆาตวรรค

[๔๙] จิตนี้ผุดผ่อง๑ แต่จิตนั้นแลเศร้าหมองเพราะอุปกิเลส๒ ที่เกิดขึ้น
ภายหลัง (๙)
[๕๐] จิตนี้ผุดผ่องและจิตนั้นแลหลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสที่เกิดขึ้นภายหลัง (๑๐)


http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd20.htm

พระสูตรเต็ม อ่านแล้วก็จะเห็นลำดับการอบรมจิตที่พระพุทธองค์ทรงสอน

จิตที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างหากหรือไม่
ถ้ามี การเอาสัญญาใหม่ใส่เข้าไปจึงเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสัจจะ

แต่ถ้าไม่มีจิตเช่นนี้ตั้งอยู่ต่างหาก
ท่านต้องเช็คกระบวนการทางปัญญาของท่านใหม่
ท่านต้อง แจงการเอาสัญญาใส่เข้าไปใหม่ ให้ชัดเจนกว่านี้
เอกอนจึงได้ท้วงว่า ปัญญา กะ สัญญา ผลการกระทำที่มีต่อจิต มันต่างกัน

ท่านต้องละเอียดให้มากกว่านี้ และสอบทานแนวทางให้สอดคล้องกับ คำสอนของพระพุทธองค์

ส่วนเรื่อง ภวังค์ - พรหม ละเอาไว้ก่อน เพราะเรื่องมันยาวววววว
เพราะมันแน่นอน สัญญามันไม่เที่ยง ภวังค์ - พรหม แล้วกลับมาเกิดก็เพราะมีสัญญาที่ยังไม่เคียร์

:b1: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเด็กประถมที่ยังไม่รู้การหาพื้นที่ของวงกลม เมื่ออาจารย์ได้สอนแล้ว เด็กคนนั้นก็รู้วิธีการหาพื้นที่ของวงกลม สิ่งที่อาจารย์สอน เด็กรับรู้ทาง ตา หู และความคิด และมันจะถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำใจจิต หรือ เป็นสัญญา ไม่ได้เก็บไว้ในที่อื่นใด

ปุถุชนเห็นรูป สมมุติว่าเป็นดอกไม้ ก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ เพราะมีความรู้ได้หมายจำหรือมีสัญญาเก่าอยู่ ลงความเห็นว่าดอกไม้สวย เพราะอิทธิพลของอวิชชา จิตก็จำย้ำลงไปอีกว่า ดอกไม้สวย (เกิดเป็นโลภะจิตหรือเกิดความพอใจ) เมื่อกลับมาเห็นดอกไม้อีก สัญญาเก่าที่เห็นว่าดอกไม้สวยถูกดึงขึ้นมาอีก ผู้นั้นก็จำเสมอว่า ดอกไม้สวย เห็นอีก ย้ำลงไปอีกในสัญญา เกิดเป็นความเคยชินที่ละเอียดขึ้นมา เรียกว่า เกิดทุกข์ถมทุกข์ไม่จบไม่สิ้น อวิชชาก็แข็งแรงขึ้นมา

ปุถุชนได้สดับรับฟังว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เที่ยงฯ ไม่น่ายึดถือ เป็นเครื่องผูกเราไว้กับโลก เป็นสิ่งที่ควรละ สิ่งที่ได้ฟังมา ก็เก็บไว้เป็นความทรงจำอีกนั่นแหละ มันจะไปอยู่ที่ใหนได้

เมื่อตากลับมาเห็นดอกไม้อีก ตอนนี้ แทนที่จะปล่อยให้อวิชชา หรือกิเลสตัณหาลากไป ก็รู้จักว่ายสวนกระแส เพราะได้เรียนรู้มาแล้ว ก็ลงความเห็นใหม่ว่า ดอกไม้นี่มันไม่เที่ยงนี่หว่า หลงเห็นว่าสวยมาตั้งนาน ... จิตแทนที่จะจำว่า ดอกไม้สวย ก็ได้ข้อมูลใหม่เข้าไปว่า ดอกไม้ไม่เที่ยง (เกิดอนิจสัญญา อนัตตสัญญาขึ้นมาแทน หรืออวิชชาตอนนั้นดับไป วิชชาเกิดขึ้นมาแทนที่) ได้ ๑ ครั้ง มันก็ยังถูกเก็บไว้ในสัญญา

ครั้งต่อๆ มา เจอดอกไม้อีก ถ้าเผลอเรอ สติมันก็ไปเจอสัญญาว่า ดอกไม้สวย จิตก็ยังเป็นอกุศลได้อยู่ แต่พอมีสติ ก็ไปนึกว่า ดอกไม้ไม่เที่ยงต่างหาก ตอนนี้ จิตเริ่มเป็นกุศลกับอกุศลปนกันครึ่งๆ แต่ถ้าไปเทียบกับปุถุชนที่จิตเป็นอกุศล ๑๐๐ เปอร์เซ็น ก็นับว่าประเสริฐกว่ามากแล้ว จิตมันรู้แล้วก็จะจำ ตอนนี้ก็จำปนๆ กันไป

พอวิปัสสนามากๆ เข้า สัญญาที่เห็นว่า ดอกไม้ไม่ที่ยง เริ่มมีมากขึ้น สัญญานี้ก็ทำให้ปัญญาแข้มแข็งขึ้น ส่งอิทธิพลต่อความคิดเห็นประกอบกับการรับรู้ได้มากขึ้น อวิชชาก็อ่อนกำลังลง ทีหลังพอเห็นดอกไม้ สัญญาที่เกิดจากการเห็นจริงตามจริงว่า ถ้าดอกไม้ไม่เที่ยง ออกมารับผัสสะแทนดอกไม้สวยทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ ... ตอนนี้ก็อรหันตผลแล้วละครับ

เพราะจิตมีสัญญาเป็นฐานของการคิด การคิดเป็นฐานของความรู้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 19:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมมันถึงคิดว่า..ดอกไม้สวย...

อะไรคือเป้าหมายที่ทำให้คิดว่า...ดอกไม้สวย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมมันถึงคิดว่า..ดอกไม้สวย...
เพราะกิเลสอันนอนเนื่อง นึกถึงตอนที่สัตว์ตนแรกเห็นง้วนดินแล้วเอาง้วนดินเข้าปาก ทำให้เกิดความพอใจขึ้นมา พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์ใหลลงสู่ที่ต่ำ

อ้างคำพูด:
อะไรคือเป้าหมายที่ทำให้คิดว่า...ดอกไม้สวย
กามคุณ ๕ อันเป็นเครื่องล่อหรือเป็นอามิสของโลก

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
การอยากได้รูปดี...เสียงดี...กลิ่นดี...รสดี...สัมผัสดี...

ไอ้ที่ว่าดี...นี้มันดีกับอะไร...

อะไรคือเป้าหมายของความอยากนี้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การอยากได้รูปดี...เสียงดี...กลิ่นดี...รสดี...สัมผัสดี...

ไอ้ที่ว่าดี...นี้มันดีกับอะไร...

อะไรคือเป้าหมายของความอยากนี้...

ดีสนองความพอใจ หรือ สนองกิเลสตัณหา ... เป้าหมายคือ สุขเวทนา หรือ โสมนัท อันเป็นอนิจจัง ทุกขขัง อนันตตา ... จึงถมไม่เต็ม พร่องอยู่เป็นนิจ

Quote Tipitaka:
ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 612&Z=5616

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลผู้ไม่มีความยินดีในวัตถุเป็นที่ยินดี ไม่ประกอบในความดูหมิ่นผู้ละเอียด มีปฏิภาณ ไม่เชื่อใครๆ และไม่คลายกำหนัด.


Quote Tipitaka:
มหาทุกขักขันธสูตร ว่าด้วยกองทุกข์ใหญ่
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 784&Z=3013


[๑๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นคุณของกามทั้งหลาย?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน?

คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการเหล่านี้แล ความสุข ความโสมนัสใดเล่า อาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้เกิดขึ้น นี้เป็นคุณของกามทั้งหลาย.

[๒๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของรูปทั้งหลาย? .... ฯลฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 20:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อวิชชาก็อ่อนกำลังลง ทีหลังพอเห็นดอกไม้ สัญญาที่เกิดจากการเห็นจริงตามจริงว่า ถ้าดอกไม้ไม่เที่ยง ออกมารับผัสสะแทนดอกไม้สวยทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ ... ตอนนี้ก็อรหันตผลแล้วละครับ


จิตอรหันต์ผล ยังมีกิจกรรมเยอะแฮะ

สิ่งที่ อรหันต์ทำ ไม่จัดว่าเป็น กรรม เป็นแค่เพียงวิบาก

ทำไม จึงเป็นเช่นนั้นล่ะ


อ้างคำพูด:
เพราะจิตมีสัญญาเป็นฐานของการคิด การคิดเป็นฐานของความรู้


ทำไม
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้


ทำไม
สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.


ทำไม ท่านพระมหาโกฏฐิกะ จึงตั้งคำถามแยก
และทำไม ท่านพระสารีบุตร ก็ตอบเช่นนั้น แยกไว้อย่างนั้น ไม่เอามาโยงกัน

เพราะ สัญญาของท่านทั้งสอง หรือ

:b1: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จิตอรหันต์ผล ยังมีกิจกรรมเยอะแฮะ

จนกว่าจะดับขันธ์นั่นแหละ

อ้างคำพูด:
สิ่งที่ อรหันต์ทำ ไม่จัดว่าเป็น กรรม เป็นแค่เพียงวิบาก

มันไม่มีผลเป็นบุญเป็นบาป หลังจากดับขันธ์ฯ ไปแล้ว จิตไม่มีแล้ว กรรมก็ตามไปทำอะไรไม่ได้แล้ว

อ้างคำพูด:
ทำไม ท่านพระมหาโกฏฐิกะ จึงตั้งคำถามแยก
และทำไม ท่านพระสารีบุตร เช่นนั้น

เพราะ สัญญาของท่านทั้งสอง หรือ

พระสารีบุตรนับเป็นผู้จำแนกแจกแจงธรรมได้ดีที่สุดในบรรดาสาวก โดยเฉพาะเรื่องปัญญา พระโกฏฐิกะท่านไม่รู้ หรือ ไม่มีข้อมูลนี้ในสัญญา ท่านก็มาถามพระสารีบุตร ที่รู้มากกว่า

ยกตัวอย่าง เวทนาตัณหาอุปทาน ตามความเป็นจริง เวทนาก็อย่างหนึ่ง ตัณหาก็อย่างหนึ่ง อุปทานก็อย่างหนึ่ง แต่เวลามันเกิดจริงๆ กันเกิดพร้อมๆ กัน ตอนศึกษาเราแยกมันออกมา เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้

จิตมันมีหน้าที่ รับ จำ คิด รู้ คำว่ารู้ หรือ วิญญาณมันมีปัญญาประกอบอยู่ด้วย

วิญญาณ ก็คือ จิตที่เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ และทำหน้าที่รู้แจ้งในอารมณ์นั้น วิญญานเกิดทางตาเพื่อรู้เห็นรูป รู้ว่ารูปคืออะไร รู้ถึงทุกข์สุขที่เกิดจากรูปนั้น หรือทำงานขั้นพื้นฐาน แต่ตัวปัญญาที่รู้แจ้งอารมณ์เดียวกัน รู้ชัดในสิ่งนั้น ยังมีการกำหนดรู้ มีวิจยะ มีทิฐิ ฯ หรือทำงานขั้น advance

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
[๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ จึงเสพ
เสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและป่าเปลี่ยว อำนาจประโยชน์ ๒ ประการ เป็นไฉน คือ เห็นการ
อยู่สบายในปัจจุบันของตน ๑ อนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลัง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นอำนาจ
ประโยชน์ ๒ ประการนี้แล จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและป่าเปลี่ยว ฯ
[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ธรรม ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวย
ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนาที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้ว ย่อม
เสวยประโยชน์อะไรย่อมละอวิชชาได้ ฯ



สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้

ราคะละได้ด้วยอำนาจสมถะ มิใช่วิปัสสนา ตามที่อ้างอิงมา
ฉะนั้น หน้าที่ละราคะมิใช่หน้าที่ของวิปัสสนา
ทำไมจึงว่าวิปัสสนาอย่างเดียวที่ ชำระกิเลสได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะต้องคู่กับวิปัสสนา ธรรมนี้เป็นธรรมคู่
เสมือนภรรยาที่ต้องคู่กับสามี

พระบรมศาสดาของเรามักจะตรัส สมถะคู่กับวิปัสสนาอยู่เสมอๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
การอยากได้รูปดี...เสียงดี...กลิ่นดี...รสดี...สัมผัสดี...

ไอ้ที่ว่าดี...นี้มันดีกับอะไร...

อะไรคือเป้าหมายของความอยากนี้...

ดีสนองความพอใจ หรือ สนองกิเลสตัณหา ... เป้าหมายคือ สุขเวทนา หรือ โสมนัท อันเป็นอนิจจัง ทุกขขัง อนันตตา ... จึงถมไม่เต็ม พร่องอยู่เป็นนิจ



:b8:

อาหารทำใว้นานแล้วดูไม่สดดูไม่สวยดูไม่ดี...รูปไม่ดี..ไม่น่าทาน..หากดูแล้วสดดูสวยดูดี...นี้รูปดี..น่าทาน

ร้านอาหารทำอาหารไปด่าลูกน้องไป..ด่าแขกไป..มีเสียงปืนดัง..ปั๊ง..ปั๊ง..นี้เสียงไม่ดี...คงไม่อยู่ทาน..หากมาพูดสวัสดีครับสวัสดีค่า...นี้เสียงดี...น่านั่งทาน

รูปดีแล้ว..เสียงดีแล้ว...หากกลิ่นกับรสยังกะปล่าเน่า...คงไม่อยู่ทาน....นี้กลิ่นไม่ดีรสไม่ดี...หากกลิ่นดีรสดี..ก็นั่งทานต่อ

ดูอย่างธรรมดาจะเห็นว่า..
รูปดี..เสียงดี..กลิ่นดี...รสดี...สัมผัสดี...ทั้งหมดนี้มันดีกับร่างกาย..จึงอยาก

เป้าหมายให้ร่างกายนี้ยั่งยืน...
เพราะ(คิด)ว่านี้เป็นเรา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
วิปัสสนาทำได้เลย ไม่มีอะไรเกี่ยวกับจริต เรื่องจริตเป็นเรื่องของพวกทำสมาธิ ไม่เกี่ยวกับวิปัสสนา


จริตคือพฤติกรรมที่จิตแสดงออกมา การชอบปฏิบัติวิปัสสนาก็เป็นพฤติกรรมของจิต คือจริตนั่นเอง จะว่าไม่เกี่ยวกันได้งัย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
สมถะต้องคู่กับวิปัสสนา ธรรมนี้เป็นธรรมคู่
เสมือนภรรยาที่ต้องคู่กับสามี

พระบรมศาสดาของเรามักจะตรัส สมถะคู่กับวิปัสสนาอยู่เสมอๆ


เห็นด้วยอย่างยิ่งนะ
แต่เปรียบเทียบเหมือนสามีภรรยาดูแล้วมันอย่างไงอยู่นะ
ถ้าเปรียบเทียบเหมือนขากรรไกร ดูน่าจะยอดเยี่ยมกว่านะ เพราะกรรไกรอาศัยขาสองขาตัดกระดาษเป็นต้นได้ สมถะกับวิปัสสนาอาศัยกันสามารถชำระกิเลสตัณหาได้งัยเล่า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
จิตอรหันต์ผล ยังมีกิจกรรมเยอะแฮะ

จนกว่าจะดับขันธ์นั่นแหละ


กิจกรรมอะไรของจิต ที่จิตอรหันต์ยังคงดำเนินอยู่

อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
สิ่งที่ อรหันต์ทำ ไม่จัดว่าเป็น กรรม เป็นแค่เพียงวิบาก

มันไม่มีผลเป็นบุญเป็นบาป หลังจากดับขันธ์ฯ ไปแล้ว จิตไม่มีแล้ว กรรมก็ตามไปทำอะไรไม่ได้แล้ว


เพราะ กิริยาจิต ของอรหันต์ จึงไม่จัดว่าเป็นกรรม

อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
ทำไม ท่านพระมหาโกฏฐิกะ จึงตั้งคำถามแยก
และทำไม ท่านพระสารีบุตร เช่นนั้น

เพราะ สัญญาของท่านทั้งสอง หรือ


พระสารีบุตรนับเป็นผู้จำแนกแจกแจงธรรมได้ดีที่สุดในบรรดาสาวก โดยเฉพาะเรื่องปัญญา

พระโกฏฐิกะท่านไม่รู้ หรือ ไม่มีข้อมูลนี้ในสัญญา ท่านก็มาถามพระสารีบุตร ที่รู้มากกว่า

ยกตัวอย่าง เวทนาตัณหาอุปทาน ตามความเป็นจริง เวทนาก็อย่างหนึ่ง ตัณหาก็อย่างหนึ่ง อุปทานก็อย่างหนึ่ง แต่เวลามันเกิดจริงๆ กันเกิดพร้อมๆ กัน ตอนศึกษาเราแยกมันออกมา เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้

จิตมันมีหน้าที่ รับ จำ คิด รู้ คำว่ารู้ หรือ วิญญาณมันมีปัญญาประกอบอยู่ด้วย

....


Quote Tipitaka:
พระมหาโกฏฐิตเถระ
เอตทัคคมหาสาวกผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
ปฏิสัมภิทา ความแตกฉาน, ความรู้แตกฉาน, ปัญญาแตกฉาน มี ๔ คือ

๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุกติคือ ภาษา
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ

อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ, ความแตกฉานสามารถอธิบายเนื้อความย่อของภาษิตโดยพิสดารและความเข้าใจที่สามารถคาดหมายผลข้างหน้าอันจะเกิดสืบเนื่องไปจากเหตุ

ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม, เห็นคำอธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นหัวข้อได้เห็นผลก็สืบสาวไปหาเหตุได้

นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในภาษา คือเข้าใจภาษา รู้จักใช้ถ้อยคำให้คนเข้าใจ ตลอดทั้งรู้ภาษาต่างประเทศ

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณได้แก่ไหวพริบคือ โต้ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที หรือแก้ไขเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ฉับพลันทันการ


Quote Tipitaka:
การถามนี้มี ๕ อย่าง คือ
๑. ถามเพื่อส่องสิ่งที่ยังไม่เห็น
๒. ถามเพื่อเทียบเคียงสิ่งที่เห็นแล้ว.
๓. ถามเพื่อตัดความสงสัย.
๔. ถามเพื่อซ้อมความเข้าใจ (ให้ยอมรับรู้, ให้อนุมัติ).
๕. ถามเพื่อต้องการแสดงเสียเอง (ถามเอง ตอบเอง).


เวทนาตัณหาอุปทาน เป็นการยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบที่ ไม่สอดคล้องด้วยหมวดกับ ปัญญา-วิญญาณ
วิญญาณ-เวทนา-สัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร