วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
5 อาสวะ 4 ประการ

อนาสวา ผู้ชื่อว่าไม่มีอาสวะคือไม่มีอาสวะ 4 ประการ ได้แก่ 1 กามาสวะ 2 ภวาสวะ 3 ทิฏฐาสวะ 4 อวิชชาสวะ บุคคลผู้ใดมาละเสีย ตัดเสียขาดแล้ว ซึ่งอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น มิให้มันบังเกิดขึ้นได้ต่อไป ผู้นั้นเป็น อนาสวะ คือผู้ไม่มีอาสวะแล




6 อัตตานุทิฏฐิ

อตตานุทิฏฐิติวุจจติ วิสติวตถุกา สกกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ อันมีวัตถุ พุทธบัณฑิตเรียกว่า อัตตนุทิฏฐิ ความตามเห็นซึ่งอาตมะตัวตน ได้ในขันธ์ 5 ขันธ์ ละ4 วัตถุ บรรจบเป็นวัตถุ 20 ทิศคือปถุชนผู้ไม่ได้สดับฟัง ณ โลกนี้
1 รูปํ อตตโต สมนุปสสติ เห็นรูปโดยความเป็นต้นบ้าง
2 รูปํวนตํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนเป็นรูปบ้าง
3 อตตนิ วา รูปํ สมนุปสสติ เห็นรูปมีในตนบ้าง
4 รูปสมํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนมีในรูปบ้าง ดังนี้
แม้ในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีวัตถุอย่างละ 4 เช่นเดียวกัน จึงบรรจบเป็นกายทิฏฐิ 20 วัตถุ ด้วยประการฉะนี้
เมื่อบุคคลตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ประชุมลงในขณะจิตอันเดียวได้แล้วชื่อว่า เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ เมื่อบุคคลใดมาเข่นฆ่า ซึ่งอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนลงเสียได้แล้ว ก็จะพึงเป็นบุคคลผู้ข้ามมฤตยูความตายเสียได้ เอวํ โลกํ อเวกขนตํ มจจุราชา น ปสสติ เมื่อบุคคลมาเห็นซึ่งโลกทั้งหลาย คือขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก โดยความเป็นของสูญ สังหารอัตตานุทิฏฐิลงเสียได้อย่างนี้ มฤตยุราช คือความตายย่อมไม่เห็น เพราะบุคคลผู้นั้นพ้นสัตว์วิสัยเสียแล้ว มัจจุราชย่อมไม่เห็นซึ่งผู้นั้น ผู้นั้นย่อมถึงพระนิพพานธรรมอันเป็นวิสัยแห่งมฤตยูราช ล่วงวิสัยมฤตยูราชเสียได้ด้วยประการฉะนี้ฯ



http://www.84000.org/supatipanno/index.html


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 มิ.ย. 2011, 12:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
7 สังสารทุกข์

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนา ซึ่งสังสารทุกข์ไว้ว่า สังสาระการท่องเที่ยวเกิดตายของสัตว์เปรียบเหมือนสระ คือเป็นโอกาสที่เที่ยวที่ลงของสัตว์ทั้งหลาย
สโรติ วุจจติ สํสาโร ก็ที่ท่านเรียกว่าสังสาระนี้หมายถึวความท่องเที่ยวไปด้วยการบังเกิดและจุติ อาคมนํ การมาสู่โลกนี้ คมนํ การไปสู่โลกหน้า คมนาคมนํ ทั้งไปและมา กาลํ กาลกิริยา คือมรณะขาดชีวิตอินทรีย์ คติ ความไป ภวาภโว ภพน้อยภพใหญ่ จุติ ความเคลื่อนจากภพ อุปปตติ ความเข้าถึงอัตตภาพ นิพพตติ ความปรากฏชัดแห่งขันธ์ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณํ ความตาย
ความท่องเที่ยว บังเกิด กำเนิด เกิด แก่ ตาย อันเป็นประหนึ่งโคถูกสวมคอเข้าไว้ในแอกฉะนั้น ได้ชื่อว่า สังสาระ คือเสือกไสดันไป ซึ่งแสดงไว้ว่า ขนธานํ ปฏิปาฏิยา ธาตุอายตนา นญจ อนโนจฉินนํ วฏฏมานา สํสาโรติ วุจติ ลำดับแห่งขันธ์ธาตุ และอายตนะทั้งหลายเป็นไปอยู่ไม่ขาดสาย ผู้รู้ท่านกล่าวว่า สงสาโร คือความเสือกซ่านท่องเที่ยวไป
สังสาระนี้ เมื่อจะกำหนดนามในสาคร 4 เป็นดังนี้ สังสารสาคร 1 ชลสาคร 1 นยสาคร 1ญาณสาคร 1 สังสารสาครชื่อว่าสโร คือสังสาระเปรียบเหมือนสระ
บทว่า มชเฌ สรสมิ ติฏฐตํ นั้นแสดงว่า สระสังสารสาครนี้ เป็นมัธยมสถานกลาง เพราะว่าที่สุดเบื้องต้น และที่สุดเบื้องปลายแห่งสังสารนั้น อันบุคคลหารู่ทั่วรู้ชัดไม่ ในเงื่อนเบื้องต้นและเบื้องปลายแห่งสังสาระนั้นไม่ปรากฏ จึงเป็นมัธยมสถานกลาง ด้วยประการฉะนี้
มชเฌ สํสาเร สตตา ฐิตา ก็แลสัตว์ทั้งหลายได้ตั้งอยู่แล้วในสังสาระอันเป็นสถานกลาง ซึ่งเกิดโอฆะห้วงน้ำใหญ่ท่วมท้น คือ 1 กามโอฆะ 2 ภวโอฆะ 3 ทิฏฐิโอฆะ 4 อวิชชาโอฆะ โอฆะทั้ง 4 แต่ละอย่างๆ อาศัยปัจจัยนั้นๆ แล้วเกิดขึ้น เจริญทวีมากขึ้นเป็นห้วงพัดพาสัตว์ให้เพียบด้วยทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสระสังสาระนั้นถูกภัยใหญ่เบียดเบียนร่ำไป ภัยใหญ่คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บ ป่วยไข้ มรณํ ความตาย แตกขาดแห่งชีวิตตินทรีย์ ทกขํ ความทุกข์กายลำบากใจ เหล่านี้แหลเป็นภัยใหญ่หลวงนัก เมื่อเกลื่อบกล่นอยู่ในสระสังสาระ ชรามจจุปเรตานํ เหล่าสัตว์ผู้ตั้งอยู่ ณ สังสาระอันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและมีภัยใหญ่หลวง เป็นสัตว์อันความแก่และความตายแวดล้อมรุมเบียดเบียนเป็นนิตย์ ความแก่และความตายท่านกำหนดเป็นประธานแห่งความทุกข์ทั้งหลาย เอวมา ทิตเก โลเก ชราย มรเณน จ โลกคือขันธ์ ธาตุ อายตนะ รุ่งเรืองแต่ต้น เพราะความแก่และความตายเข้าจุดเผา เหล่าสัตว์ที่ตั้งอยู่ ณ สระสังสาระ อันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและภัยใหญ่หลวง รุมเบียดเบียนด้วยประการฉะนี้



http://www.84000.org/supatipanno/index.html


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 มิ.ย. 2011, 12:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
คนหิว อยู่เป็นปกติสุขไม่ได้
จึงวิ่งหาโน่นหานี่
เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก
ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็เผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ

คนที่หลงจึงต้องแสวงหา
ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา
จะหาไปให้ลำบากทำไม
อะไรๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
จะตื่นเงา ตะครุบเงาไปทำไม
เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง

ตัวจริง คือ สัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว

เห็นสัตว์หยั่งลงในสงสารจึงเกิดเมตตา
เห็นคนหลงทางจึงบอกทางออกให้
ถ้านิพพานมีอยู่ในตนแล้ว ยังจะต้องแสวงหาทำไม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า



http://www.84000.org/supatipanno/index.html


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 มิ.ย. 2011, 12:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน = กาย + อนุ + วิปัสสนา + สติ + ปฏิบัติ + ฐาน
แปลว่า การปฏิบัติ โดยระลึกถึง(ความกำหนัดใน)กาย(ที่เหลือ) ช่วยตัวช่วยในการวิปัสสนา

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน = จติ + อนุ + วิปัสสนา + สติ + ปฏิบัติ + ฐาน
แปลว่า การปฏิบัติ โดยระลึกถึง(กิเลสที่เหลือใน)จิต ช่วยตัวช่วยในการวิปัสสนา

วิธีการปฏิบัติ คือ ทุกข์นิโรธาคามินีปฏิปทา หรือ มรรค ๘ ท่านไม่ได้ให้ดูเฉยๆ สูตรนี้ให้พิจารณากิเลสตัณหาที่เหลือในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมทั้งปวง เป็นวิธีปฏัยิตของผู้มีปัญญาอยู่แล้ว หรือเป็นสูตรของอริยบุคคล เพื่อการบรรลุอรหันตผล

เอาจิตพิจารณากาย ไม่มีในพระธรรมคำสอน เพราะจิตไม่ใช่เรา เราสั่งจิตไม่ได้

พระธรรม ๘๔๐๐๐ พระธรรมชันธ์ ตัดมาเพียงส่วนเดียวแล้วสรุป ก็หลงทางเท่านั้นเอง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า


กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน = กาย + อนุ + วิปัสสนา + สติ + ปฏิบัติ + ฐาน
แปลว่า การปฏิบัติ โดยระลึกถึง(ความกำหนัดใน)กาย(ที่เหลือ) ช่วยตัวช่วยในการวิปัสสนา

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน = จติ + อนุ + วิปัสสนา + สติ + ปฏิบัติ + ฐาน
แปลว่า การปฏิบัติ โดยระลึกถึง(กิเลสที่เหลือใน)จิต ช่วยตัวช่วยในการวิปัสสนา

วิธีการปฏิบัติ คือ ทุกข์นิโรธาคามินีปฏิปทา หรือ มรรค ๘ ท่านไม่ได้ให้ดูเฉยๆ สูตรนี้ให้พิจารณากิเลสตัณหาที่เหลือในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมทั้งปวง เป็นวิธีปฏัยิตของผู้มีปัญญาอยู่แล้ว หรือเป็นสูตรของอริยบุคคล เพื่อการบรรลุอรหันตผล

เอาจิตพิจารณากาย ไม่มีในพระธรรมคำสอน เพราะจิตไม่ใช่เรา เราสั่งจิตไม่ได้

พระธรรม ๘๔๐๐๐ พระธรรมชันธ์ ตัดมาเพียงส่วนเดียวแล้วสรุป ก็หลงทางเท่านั้นเอง


http://www.84000.org/supatipanno/index.html

พอดี หยิบมาจากเว๊บนี้น่ะ
ท่านเห็นว่า ธรรมที่พระอาจารย์ท่านนี้สอน มีข้อบกพร่องผิดพลาดตรงไหน
ก็หยิบยกมาทีละประเด็น ให้ทุกคนต่างได้เห็นกันแบบจะจะ ณ ตรงนี้ไปเลยสิ่
หรือจะให้เราไปตั้งแยกเป็นกระทู้ใหม่ก็ได้

จะตั้งชื่อว่า
"คำสอนพระอาจารย์มั่น vs คำสอนแห่งสำนักของท่าน Supareak"
โดยเราจะหยิบคำสอนของพระอาจารย์ท่านนี้มา และจะหยิบคำสอนของบรรดาลูกศิษย์ของท่านมา
แล้วท่านก็ แสดงความเห็นในแนวทางของท่านที่เห็นว่าธรรมที่ท่านสอน ไม่ถูกต้อง

ว่าไง ดีมั๊ย

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเทศไทย ผู้ศึกษาธรรมะ เก่งที่สุด ก็ไปถึงหลวงปู่หลวงพ่อ ไม่มีใครเลยไปถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคน พากันเป็นสาวกของหลวงปู่หลวงพ่อ เลยไม่มีสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ มาพันกว่าปี

เพราะเข้าใจว่า ท่านบวชเป็นพระ ต้องได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้องครบถ้วนมาเป็นแน่ แล้วก็ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้น โดยไม่ได้มีการนำกลับมาทบทวนธรรมวินัยตามพระปาฏิโมกข์

พอคำสอน การปฏิบัติ จัดลงพระสูตรพระวินัยไม่ได้ แทบจะเรียกได้ว่า ผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นการเขียนพระไตรปิฏกกันขึ้นมาใหม่ เอาบางส่วนของธรรมวินัยมาอ้าง สร้างความชอบธรรมในสิ่งที่ตนเชื่อ ... โดยไม่รู้ตัวว่า จริงๆ กำลังตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่แข่งกับศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ

... คำหลวงปู่หลวงพ่อ ก็ยังเป็นคำเขาว่า ไม่ใช่คำพระพุทธเจ้าว่า :b38: ลองเอาไปเทียบธรรมวินัยดู ถ้าพอจะจัดให้ลงก็ต้องแถบาลีเอา

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เหร๋อ มีความเห็นมาหักล้างแค่เนี๊ยะ

:b5: :b5: :b5:

Supareak Mulpong เขียน:
ประเทศไทย ผู้ศึกษาธรรมะ เก่งที่สุด ก็ไปถึงหลวงปู่หลวงพ่อ ไม่มีใครเลยไปถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคน

พวกท่านไม่ถึงเพราะอะไร
แล้วใครล่ะที่ไปถึง
ไปถึงแล้วเป็นยังไง

อ้างคำพูด:
เพราะเข้าใจว่า ท่านบวชเป็นพระ ต้องได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้องครบถ้วนมาเป็นแน่ แล้วก็ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้น โดยไม่ได้มีการนำกลับมาทบทวนธรรมวินัยตามพระปาฏิโมกข์

ปาฏิโมกข์ คือ อะไร
ใครเป็นผู้บัญญัติ บัญญัติเพื่ออะไร บัญญัติไว้ในสมัยใด
และปาฏิโมกข์ มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ สังสารวัฏ

อ้างคำพูด:
พอคำสอน การปฏิบัติ จัดลงพระสูตรพระวินัยไม่ได้ แทบจะเรียกได้ว่า ผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นการเขียนพระไตรปิฏกกันขึ้นมาใหม่ เอาบางส่วนของธรรมวินัยมาอ้าง สร้างความชอบธรรมในสิ่งที่ตนเชื่อ ... โดยไม่รู้ตัวว่า จริงๆ กำลังตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่แข่งกับศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ

ยกตัวอย่างพระไตรปิกฎส่วนที่เข้าข่ายที่ว่ามาหน่อยเถอะ และจริง ๆ จะต้องเขียนว่าอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อใจคิดว่า พระไตรปิฏกมีส่วนที่ถูกแก้ไขอยู่ร่ำไป
ในเมื่อใจคิดว่า พระไตรปิฏกฉบับแท้ยิ่งกว่ามีอยู่ร่ำไป

ใจก็เลยถูกพระไตรปิฏกที่ปรากฎว่ามีอยู่ลากไป และก็ยังถูกพระไตรปิฏกที่ยังไม่ปรากฎลากไปอีกทางด้วย
ถูกสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ลากไปไหนต่อไหน ยังไม่เห็นจะมีท่าทีรู้ตัวเลย

ไหนรู้เท่าทันในทุกผัสสะ

ไหนล่ะ "รู้เท่าทัน" ที่ว่ามีลักษณะอย่างไร

:b1: :b1: :b1:

นี่คือวิหารธรรมของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างนั้นหรือ

:b1: :b1: :b1:


ใจที่ถูกอวิชาลากไป

กะ ใจที่น้อมไปในการพิจารณาธรรม

ต่างกันตรงไหน รู้เท่าทันรึเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
พวกท่านไม่ถึงเพราะอะไร
เพราะกรรมปัจจัย

eragon_joe เขียน:
ไปถึงแล้วเป็นยังไง
มีปัญญาเอามาดับทุกข์ได้

eragon_joe เขียน:
ปาฏิโมกข์ คือ อะไร
คำสั่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
พอคำสอน การปฏิบัติ จัดลงพระสูตรพระวินัยไม่ได้ แทบจะเรียกได้ว่า ผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นการเขียนพระไตรปิฏกกันขึ้นมาใหม่ เอาบางส่วนของธรรมวินัยมาอ้าง สร้างความชอบธรรมในสิ่งที่ตนเชื่อ ... โดยไม่รู้ตัวว่า จริงๆ กำลังตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่แข่งกับศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ

ยกตัวอย่างพระไตรปิกฎส่วนที่เข้าข่ายที่ว่ามาหน่อยเถอะ และจริง ๆ จะต้องเขียนว่าอย่างไร
เป็นการอุปมาเปรียเทียบ ว่าตำราที่นำมาสอนกัน จากสารพัดสำนัก ต่างอะไรกับการเชียนคำสอนขึ้นมาใหม่

eragon_joe เขียน:
ไหนรู้เท่าทันในทุกผัสสะ

ไหนล่ะ "รู้เท่าทัน" ที่ว่ามีลักษณะอย่างไร
รู้ได้ก็ตอนที่กำหนดรู้ กำหนดรู้แล้วก็เห็นว่ามันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้ารู้ได้ตลอด ก็สำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว

eragon_joe เขียน:
นี่คือวิหารธรรมของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างนั้นหรือ
ก็ไปตามกำลังของเสขะบุคคล ... และการเผยแพร่ความจริง ก็เป็นหน้าที่ของสาวก

eragon_joe เขียน:
ใจที่ถูกอวิชาลากไป

กะ ใจที่น้อมไปในการพิจารณาธรรม

ต่างกันตรงไหน รู้เท่าทันรึเปล่า
อวิชชาที่ใหนทำให้เห็นความจริงได้? อวิชาที่ใหนดับอวิชชาได้? กิเลสัวใหนกับกิลสได้?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
eragon_joe เขียน:
พวกท่านไม่ถึงเพราะอะไร
เพราะกรรมปัจจัย

ท่านผู้ตอบคำถามนี้ออกมา กำลังจะบอกว่าตนเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องกรรม อยู่รึเปล่าเนี่ย
นึกว่า ผู้ที่รอบรู้ในเรื่องกรรมเป็นอย่างดีจะมีเพียงพระพุทธองค์ซะอีก
อ้างคำพูด:
eragon_joe เขียน:
ไหนรู้เท่าทันในทุกผัสสะ

ไหนล่ะ "รู้เท่าทัน" ที่ว่ามีลักษณะอย่างไร
รู้ได้ก็ตอนที่กำหนดรู้ กำหนดรู้แล้วก็เห็นว่ามันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้ารู้ได้ตลอด ก็สำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว

เหร๋อ ท่านควรต้องเช็คมาตรฐานกันใหม่นะ
อ้างคำพูด:
eragon_joe เขียน:
ใจที่ถูกอวิชาลากไป
กะ ใจที่น้อมไปในการพิจารณาธรรม
ต่างกันตรงไหน รู้เท่าทันรึเปล่า
อวิชชาที่ใหนทำให้เห็นความจริงได้? อวิชาที่ใหนดับอวิชชาได้? กิเลสัวใหนกับกิลสได้?

นิ้วพันกันหรือท่าน :b1:

ก็ใครจะไปมองเห็นเศษกระจกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าตัวเองได้ล่ะ อวิชาก็คือไอ้ตัวที่เหยียบเศษกระจกไว้ซะมิดนั่นล่ะ
ไอ้ตัวที่จะเห็นเศษกระจก กับไอ้ตัวที่เห็นไอ้ตัวที่เหยียบเศษกระจกไว้ ก็คือไอ้ตัวเดียวกันนั่นล่ะ
ต่างกันแค่ ลักษณะของการมองเห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมลิขิต พระพุทธองค์ได้แสดงความจริงข้อนี้ไว้ ศาสนาจะรุ่งเรื่องได้ไม่นานเพราะมีมาตุคามมาบวชก็มีแสดงไว้

ช่วงที่พระสูตรพระอภิธรรมได้เลือนหายไปจากสังคมโลก ท่านเหล่านั้นได้เกิดมาช่วงเวลานั้นพอดี การที่ท่านไม่ได้มีโอกาสพบสัปปบุรุษ ไม่ได้ธรรมของสัปปบุรุษ เพราะเกิดมาผิดเวลา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของกรรม

เมื่อพระธรรมคำสั่งสอนได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ผู้ที่เกิดมาในตอนนี้ จริงๆ แล้วบุญมากว่าท่านเหล่านั้นเยอะ ถ้าเข้าไม่ถึงธรรม ก็มีแต่ทิฐิเท่านั้น



คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าพิสูจณ์ได้ด้วยการทดลองปฏิบัติ ความพอใจไม่พอใจและความหลงที่ดับลงไปได้ ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะได้รู้เองเห็นเอง ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมเป็นความตรงความจริง..ผู้ที่เริ่มจะเห็นธรรม..เริ่มเห็นจิตเห็นใจตน..มุ่งพัฒนาตน..ดูง่ายไม่ยาก..เขาจะยุติธรรมเสมอ...ทั้งกับตนและผู้อื่น

เห็น..ก็บอกว่าเห็น
ไม่เห็น..ก็บอกไม่เห็น
ตนผิด..ก็บอกว่าผิด

เพราะไม่มีจิตเจตนาหาลาภ หาคำสรรเสริญ...
เพราะมีจิตละเอียด..ย่อมเห็นความผิดปกติของตนเองได้...ไม่ลำเอียงเข้าข้างตน

ก็เป็นธรรมดา..ไม่ใช่พระอรหันต์ที่ไม่มีผิดเลย

โสดาบัน..ยังมีผิดได้

แล้วคนที่ยังไม่เคยเห็นว่าตนผิดเลยนี้นะ...เป็นอะไร

หากไม่ใช่พระอรหันต์..ก็ต้องเป็นคนหลงทางสุด ๆ :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติ เหตุตรงผล ไม่เคยมีผิดเพี้ยน ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แสดงความจริงก็คือการแสดงธรรม ต้องถูกเหตุถูกปัจจัย ถ้าสิ่งที่แสดงไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงความเห็นหรือความเชื่อ เรียกว่า การแสดงอธรรม

ความยุติธรรม หมายถึง ความเป็นกลาง มีความจริงเป็นบรรทัดฐาน ไม่ได้เอาความรู้สึกนึกคิดมาเป็นตัววัด ความจริงก็คือ กฏธรรมชาติ ๒ กฏ ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และได้นำมาสอนเหล่าสาวก

เพราะฉะนั้น ถ้าผิดไปจากครรลองคลองธรรม ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าผิด .. ก็เพราะมันเป็นความจริง

หรือทำผิดกันมานานจนผิดกลายไปถูกในสายตาของพวกท่านไปแล้ว :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เหมือนความเชื่อที่ว่า..มรรคสูญไปพันกว่าปี..แล้วเพิ่งถูกรื้อฟื้น..นั้นแหละ

หลงจนคิดว่าคนอื่น ๆ ผิดไปแล้วในสายตาท่าน..เช่นกัน

ตรงนี้..เพราะเชื่อจึงหลง..ยิ่งหลงก็ยิ่งเชื่อ
เชื่อคนที่ยังไม่หมดกิเลส...ก็เลยหลงไปยิ้มเย๊าะอริยะเจ้าเข้า...หลวงปู่หลวงตาที่ท่านว่าไม่ได้ไปถึงไหนนั้นแหละ..

กรรม..หลงไปปรามาสอริยะเจ้าว่าไม่ถึงไหนนั้นแหละ..ผลของมันคือไปไหนไม่ได้ซักที

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์....มีกรรมเป็นแดนเกิด..กรรมทำร่วมกันมา..ทั้งศิษก์ทั้งอาจารย์

สวดขอขมาพระรัตนตรัยให้มาก ๆ เข้าใว้นะ... :b8:

เอาละ..เรื่องหลง..เรื่องผิดถูก..ละเอาใว้

มาว่ากันเรื่อง..ทุกข์..สมุทัย...กันดีมั้ย???

เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็คงดี.. :b6: :b6: :b6:

(ปล. หากสงสัยอานิจสงการสวดขอขมาว่าจะดีจริงมั้ย...เอามาคุยกันก็ได้นะ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร