วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 01:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปรัปวาท (ปะ-รับ-ปะ-วาด) คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก, คำสอนที่คลาดเคลื่อน หรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถึงชาวพุทธเองก็เถอะ ถ้าพูดกล่าวหลักธรรมผิดๆเพี้ยนๆคลาดเคลื่อนไป ก็อยู่ในพวกอื่นลัทธิอื่นเหมือนกัน คือเป็นปรัปวาทด้วย

คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ คงจะไม่ได้ศึกษาพระธรรมมากพอ

ที่หนูแสดงให้เรื่องเซน

ไม่ใช่ปรัปวาทที่วิปริต

เพราะ การที่แสดงให้หาจิตปกติ หาได้จากใจของตนเอง ไม่ใช่หาจากใจคนอื่นนั้น
ไม่ได้ผิดเพี้ยน ไม่วิปริต ไม่คลาดเคลื่อน ไม่ได้เป็นการคัดค้าน ไม่ได้เป็นการโต้แย้ง ไม่ได้ขัดหลักการของเถรวาท ค่ะ

แต่ช่วยส่งเสริม ความกว้างขวาง ของพระพุทธศาสนาเถรวาท
และคำสอนสพระพุทธองค์ ที่สามารถมองไปได้ ทั้งโลก ทุกศาสนา ทุกลัทธิค่ะ


ซึ่งสามารถตรวจสอบทาน กับพุทธพจน์ พระไตรปิฎก พระสูตร พระอภิธรรม คำสอนของพระสาวก อรรถา และฏีกา ได้ว่า
พระพุทธะเจ้า ทรงสอนและแสดง ชัดเจน

ในการปฎิบัติ ให้ดู ให้รู้ ให้หา ให้ปฎิบัติที่ตัวเอง ค่ะ

ที่ตัวเองค่ะ


คำพูดนี้ จึงไม่วิปริต ไม่ผิดเพี้ยน และไม่ได้จำมาผิด ไม่ได้ทองมาผิด ไม่ได้แสดงผิด ค่ะ


ย้ำ ให้หาที่ตัวเองค่ะ

จะต้องย้ำอีกสักกี่หนคะ คุณผู้ทรงคุณวุฒิ



ที่พูดมาทั้งหมดนั่นแล พูดแบบสำเร็จรูป แม้ที่ย้ำบ่อยๆที่ตัวเองๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นก็เถอะ :b13:

นี่ตัวเองไหม

อ้างคำพูด:
ช่วงหลังๆนี้มีอาการผิดปกติกับตัวเองค่ะ คือมีอาการขนลุกตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนนั่งสมาธิเป็นหนักมาก ขออนุญาต เล่าเป็นข้อๆดังนี้นะคะ
อาการที่เกิด
1.บ่อยครั้งขนลุกบริเวณขาซ้าย
เป็นบ่อยค่ะอาการนี้ (เป็นมานาน)

2.อาการขนหัวลุก เสียวท้ายทอยมาก เริ่มมาเป็นช่วงหลังๆมานี่เองค่ะ เกิดชัดครั้งแรก ตอนไปร่วมพิธีไหว้ครูที่นึง เป็นพิธีใหญ่พอสมควร พอเริ่มพิธี เท่านั้นเองก็ขนหัวลุกซู่ ลุกจนเสียวต้นคอ และบริเวณท้ายทอยมาก พอซักพัก นั่งร้องไห้แบบไม่ทราบสาเหตุค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้น งงตัวเองนะคะว่า ร้องไห้ทำไม อายก็อายค่ะ แต่ฝืนตัวเองไม่ได้เลย อยู่ในพิธี เป็นอยู่แบบนี้ ทั้งขนหัวลุกและร้องไห้ 3 - 4 รอบสลับกันไปจนจบพิธีอาการก็หายค่ะ นี่คือครั้งแรกค่ะ

แต่ที่จะถามต่อคือ มาช่วง นี้ 3-4 วัน ก่อนที่จะโพสถามนี่ อาการกลับมาค่ะ แต่หนักและถี่แรงกว่าปกติ คือเริ่มต้นจากอยู่ๆ ก็ขนลุกน้อยๆทั้งตัวบ้าง ขนลุกบริเวณขาซ้ายบ้าง เป็นอย่างงี้ทั้งวันค่ะ (ปกตินานๆทีแต่ครั้งนี้เป็นตลอดวัน)

แต่ที่หนักสุด พอมานั่งสมาธิ (ปกตินั่งสมาธิเกือบทุกวันไม่เคยมีอาการขนหัวลุกหรือเสียวต้นคอเลย) อยู่ๆคราวนี้พอเริ่มนั่งเริ่มกำหนด ไม่ถึงนาที อาการขนหัวลุก เสียวต้นคอ -ท้ายทอย มาหนักมาก กำหนดอย่างอื่นไม่ได้เลย เลยกำหนดไปที่อาการนี้ คือ ขนลุกหนอ เสียวท้ายทอยหนอ อยู่แบบนี้ พอหายซักพัก ก็ไปกำหนดท้องพองยุบ หรือกำหนดตามจิตเราที่ไปกระทบปกติ เดี๋ยวอาการขนหัวลุกก็มาแทรกอีก เป็นอย่างนี้สลับไป สังเกตุตัวเองว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาใช้ชีวิตปกติก็ขนลุกตลอดเวลา ทั้งวัน แต่ไม่แรง พอวันที่ 2 นั่งสมาธิใหม่ก็ขนหัวลุกอีก อาการจะแรงช่วงนั่งสมาธิค่ะ กังวลมาก ไม่รู้ไปทำไรผิดเข้ารึเปล่า ใครรู้ช่วยบอก หรือแก้อาการทีค่ะ


เป็นอะไร ที่รูปนามหรือที่ตัวเอง หรือคุณโลกสวย เอ้าว่าปาย คิกๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


เป็นสะยังงั้นไป
ถ้ายังงั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อฝึกจิตก็ดี การประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น ก็ดี ทำให้ปกติมัวหมองสิขอรับ ยังงั้นในแต่ละวันๆ นอนมองเพดานอยู่ในห้อง ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติหรือขอรับ :b10:

หรือไม่ยังงั้น ก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงตาให้มันบอดเสียเลย เพื่อไม่ต้องเห็นอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติ เป็นไงแบบนี้


คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ
คุณต้องทราบตัวเองก่อนว่า ปกติจิตของคุณน่ะ เป็นประเภทไหน อุคฆฏิตัญญู หรือเปล่า ข้อนี้คงตัดไปได้
วิปจิตัญญู หรือเปล่า จากธรรมสากัจฉาที่ผ่านมา ข้อนี้ก็ต้องตัดไป
เนยยะ หรือเปล่า ยังแยกดีแยกชั่ว ละอายบปไม่เป็น ข้อนี้ก็คงไม่ถึง

ปกติจิต ของคนเรา สี่ประเภท ตามที่พระพุทธองค์แสดงไว้

การปฎิบัติกัมฐาน การฝึกจิต การปฎิบัติเพื่อได้ กุศลเจตสิก ไม่มีกุศลอันไหน มืดหมอง มืดมัว เรยนะคะ
และกรรมวิบากจากที่กระทำ ให้เกิดกุศลเจตสิก กรรมที่เกิด ก็ไม่ขาวไม่ดำ เป็นไปเพื่อหลุดพ้น

ไม่สามารถทำให้ปกติจิตมัวหมองไปได้
มีแต่ปกติยิ่ง จนถึงมหากริยาจิตกุศล อันเป็นปกติยิ่งยวด ค่ะ



คุณผู้ทรงคุณวุฒฺิ อย่าแถเรย อย่าเถียงข้างๆคูๆเลย ค่ะ

เมื่อยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังไม่อาจจำแนกได้ เมื่ออธิบายไปซ้ำๆหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

หนูขอชักเสียนะคะ

ไม่สนทนาด้วย ค่ะ

เอวังค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


เป็นสะยังงั้นไป
ถ้ายังงั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อฝึกจิตก็ดี การประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น ก็ดี ทำให้ปกติมัวหมองสิขอรับ ยังงั้นในแต่ละวันๆ นอนมองเพดานอยู่ในห้อง ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติหรือขอรับ :b10:

หรือไม่ยังงั้น ก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงตาให้มันบอดเสียเลย เพื่อไม่ต้องเห็นอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติ เป็นไงแบบนี้


คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ
คุณต้องทราบตัวเองก่อนว่า ปกติจิตของคุณน่ะ เป็นประเภทไหน อุคฆฏิตัญญู หรือเปล่า ข้อนี้คงตัดไปได้
วิปจิตัญญู หรือเปล่า จากธรรมสากัจฉาที่ผ่านมา ข้อนี้ก็ต้องตัดไป
เนยยะ หรือเปล่า ยังแยกดีแยกชั่ว ละอายบปไม่เป็น ข้อนี้ก็คงไม่ถึง

ปกติจิต ของคนเรา สี่ประเภท ตามที่พระพุทธองค์แสดงไว้

การปฎิบัติกัมฐาน การฝึกจิต การปฎิบัติเพื่อได้ กุศลเจตสิก ไม่มีกุศลอันไหน มืดหมอง มืดมัว เรยนะคะ
และกรรมวิบากจากที่กระทำ ให้เกิดกุศลเจตสิก กรรมที่เกิด ก็ไม่ขาวไม่ดำ เป็นไปเพื่อหลุดพ้น

ไม่สามารถทำให้ปกติจิตมัวหมองไปได้
มีแต่ปกติยิ่ง จนถึงมหากริยาจิตกุศล อันเป็นปกติยิ่งยวด ค่ะ



คุณผู้ทรงคุณวุฒฺิ อย่าแถเรย อย่าเถียงข้างๆคูๆเลย ค่ะ

เมื่อยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังไม่อาจจำแนกได้ เมื่ออธิบายไปซ้ำๆหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

หนูขอชักเสียนะคะ

ไม่สนทนาด้วย ค่ะ

เอวังค่ะ



อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ
อ้างคำพูด:


นั่นใครพูดใครว่า คุณโลกสวยไม่ใช่รึ ว่าการแสวงหาความรู้นานาประการทำให้ความปกติจิตมัวหมอง อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


เป็นสะยังงั้นไป
ถ้ายังงั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อฝึกจิตก็ดี การประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น ก็ดี ทำให้ปกติมัวหมองสิขอรับ ยังงั้นในแต่ละวันๆ นอนมองเพดานอยู่ในห้อง ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติหรือขอรับ :b10:

หรือไม่ยังงั้น ก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงตาให้มันบอดเสียเลย เพื่อไม่ต้องเห็นอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติ เป็นไงแบบนี้


คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ
คุณต้องทราบตัวเองก่อนว่า ปกติจิตของคุณน่ะ เป็นประเภทไหน อุคฆฏิตัญญู หรือเปล่า ข้อนี้คงตัดไปได้
วิปจิตัญญู หรือเปล่า จากธรรมสากัจฉาที่ผ่านมา ข้อนี้ก็ต้องตัดไป
เนยยะ หรือเปล่า ยังแยกดีแยกชั่ว ละอายบปไม่เป็น ข้อนี้ก็คงไม่ถึง

ปกติจิต ของคนเรา สี่ประเภท ตามที่พระพุทธองค์แสดงไว้

การปฎิบัติกัมฐาน การฝึกจิต การปฎิบัติเพื่อได้ กุศลเจตสิก ไม่มีกุศลอันไหน มืดหมอง มืดมัว เรยนะคะ
และกรรมวิบากจากที่กระทำ ให้เกิดกุศลเจตสิก กรรมที่เกิด ก็ไม่ขาวไม่ดำ เป็นไปเพื่อหลุดพ้น

ไม่สามารถทำให้ปกติจิตมัวหมองไปได้
มีแต่ปกติยิ่ง จนถึงมหากริยาจิตกุศล อันเป็นปกติยิ่งยวด ค่ะ



คุณผู้ทรงคุณวุฒฺิ อย่าแถเรย อย่าเถียงข้างๆคูๆเลย ค่ะ

เมื่อยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังไม่อาจจำแนกได้ เมื่ออธิบายไปซ้ำๆหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

หนูขอชักเสียนะคะ

ไม่สนทนาด้วย ค่ะ

เอวังค่ะ



อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ
อ้างคำพูด:


นั่นใครพูดใครว่า คุณโลกสวยไม่ใช่รึ ว่าการแสวงหาความรู้นานาประการทำให้ความปกติจิตมัวหมอง อิอิ



ตอบให้เป็นสุดท้าย ด้วยเมตตา

เพราะคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม จึงตื้นเขิน

หนูกล่าวว่า การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมอง ค่ะ

ไม่ใช่คำกล่าวดังที่คุณทรงคุณวุฒฺิ ตัดต่อข้อความ ว่าการแสวงหาความรู้นานาประการทำให้ความปกติของจิตมัวหมอง

คุณทรงคุณวุฒิ ได้กระทำการ ปิดบัง โดยได้กระทำการตัดต่อข้อความ โดยเอา คำว่า อยากออกไป


และเพราะคุณทรงคุณวุฒิ ไม่ได้เรียนอภิธรรม จึงไม่รู้ว่า

โสภณเจตสิก 25ทั้งสี่ประเภท นั้น

ไม่มีความอยาก ในนั้น

และโสภณเจตสิก ไม่ได้ทำให้จิตนี้เศร้าหมองค่ะ

คุณทรงคุณวุฒิไม่รู้อภิธรรม ไม่เรียนอภิธรรม เลยไม่รู้ว่า

อยากรู้ ไม่ใช่โสภณเจตสิก


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 15 มี.ค. 2018, 18:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิ้งท้าย ปัจฉิมโอวาท


คุณผู้ทรงคุณวุฒิ มีความกำหนัดความอยากรู้ อะไรอีกหละคะ ?

จบบทสุดท้ายเพียงเท่านี้ ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สำนักที่บรรลุธรรมอีกแห่งหนึ่ง :b1: อวิชชาขาดผึงก้นกระแทกเลย :b32: โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น

รูปภาพ


ตอดเล็กตอดน้อย...เป็นนิสัยเสีย...ประจำเลย





หนูขอขอบพระคุณแทนด้วยนะคะ

คุณเป็นผู้ทรงคุณวุฒฺิด้วยกัน ได้ตักเตือนกันไว้ เพื่อเค้า จะได้ไม่ถลำลึกผิดซ้ำซ้อน ไปกว่านี้ค่ะ

ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ด้วยนะคะ การให้ข้อมูลแก่ผู้อื่น การให้สัมภาษณ์ การโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง และอีกอย่างท่านเป็นผู้วายชมน์ละสังขารหรือตายไปแล้ว
การแสดงความเห็นด้วยการล้อเลียน หมิ่นประมาท ไส่ความ ผู้วายชนม์ จะไม่เป็นตัวอย่างที่ดี และไม่ส่งผลดีใดๆเลยค่ะ

ถ้าผู้ทรงคุณวุฒิคนนั้น ตระหนัก และสำนึกได้ ละอายบาป ก็ฝากบอกให้คุณคนนั้น ไปกราบขอขมาหน้าบอร์ดเสียนะคะ


คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารแล้ว เมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา ของวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖


ขอบพระคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2018, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตย.ให้คุณโลกสวย แนะนำตามวิธีดังคุณว่าสิครับ นี่ครับ


อ้างคำพูด:
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา

1.เราถือศีลเป็นปกติ

2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆารวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)

เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรกตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำ รวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อน ขณะมองดูลมหายใจไปตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเราตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ

วันหนึ่งเราหลับเห็นแสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณาแสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย

หลังจากนั้นเราได้งาน ก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่

ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่ง เรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืน นอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ) อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย

จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะ เพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเหล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่งตามลมไป แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายใจหาย ทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็ตกใจหลุดออกมา...แบบวู้บ...ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้าน จนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง

ขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว...กลัว...แหยงๆ...ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆกลัว อยากให้ทราบว่ามันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้

เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ...


จะให้หนูตอบอย่างลึกซึ้ง เธอก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ

ตอบให้ง่ายๆ ถ้าจะเริ่มปฎิบัติ

ความมีจิตที่ปกติ คือพื้นฐาน และการปฎิบัติ เบื้องต้น ค่ะ

ก็เริ่มจาก รู้จัก จิตที่ปกติ ที่สุดของตนเองให้ได้เสียก่อน ดูให้เห็น หาให้เจอ เสียก่อนค่ะ


แล้วจะเห็นเอง ทราบเอง ตอบได้เองในปัญหาที่ถามมา ทั้งหมดค่ะ

การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ


เป็นสะยังงั้นไป
ถ้ายังงั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อฝึกจิตก็ดี การประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น ก็ดี ทำให้ปกติมัวหมองสิขอรับ ยังงั้นในแต่ละวันๆ นอนมองเพดานอยู่ในห้อง ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติหรือขอรับ :b10:

หรือไม่ยังงั้น ก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นแทงตาให้มันบอดเสียเลย เพื่อไม่ต้องเห็นอะไร เพื่อรักษาจิตให้ปกติ เป็นไงแบบนี้


คุณผู้ทรงคุณวุฒิคะ
คุณต้องทราบตัวเองก่อนว่า ปกติจิตของคุณน่ะ เป็นประเภทไหน อุคฆฏิตัญญู หรือเปล่า ข้อนี้คงตัดไปได้
วิปจิตัญญู หรือเปล่า จากธรรมสากัจฉาที่ผ่านมา ข้อนี้ก็ต้องตัดไป
เนยยะ หรือเปล่า ยังแยกดีแยกชั่ว ละอายบปไม่เป็น ข้อนี้ก็คงไม่ถึง

ปกติจิต ของคนเรา สี่ประเภท ตามที่พระพุทธองค์แสดงไว้

การปฎิบัติกัมฐาน การฝึกจิต การปฎิบัติเพื่อได้ กุศลเจตสิก ไม่มีกุศลอันไหน มืดหมอง มืดมัว เรยนะคะ
และกรรมวิบากจากที่กระทำ ให้เกิดกุศลเจตสิก กรรมที่เกิด ก็ไม่ขาวไม่ดำ เป็นไปเพื่อหลุดพ้น

ไม่สามารถทำให้ปกติจิตมัวหมองไปได้
มีแต่ปกติยิ่ง จนถึงมหากริยาจิตกุศล อันเป็นปกติยิ่งยวด ค่ะ



คุณผู้ทรงคุณวุฒฺิ อย่าแถเรย อย่าเถียงข้างๆคูๆเลย ค่ะ

เมื่อยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังไม่อาจจำแนกได้ เมื่ออธิบายไปซ้ำๆหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

หนูขอชักเสียนะคะ

ไม่สนทนาด้วย ค่ะ

เอวังค่ะ



อ้างคำพูด:
การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมองค่ะ
อ้างคำพูด:


นั่นใครพูดใครว่า คุณโลกสวยไม่ใช่รึ ว่าการแสวงหาความรู้นานาประการทำให้ความปกติจิตมัวหมอง อิอิ



ตอบให้เป็นสุดท้าย ด้วยเมตตา

เพราะคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม จึงตื้นเขิน

หนูกล่าวว่า การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมอง ค่ะ

ไม่ใช่คำกล่าวดังที่คุณทรงคุณวุฒฺิ ตัดต่อข้อความ ว่าการแสวงหาความรู้นานาประการทำให้ความปกติของจิตมัวหมอง

คุณทรงคุณวุฒิ ได้กระทำการ ปิดบัง โดยได้กระทำการตัดต่อข้อความ โดยเอา คำว่า อยากออกไป


และเพราะคุณทรงคุณวุฒิ ไม่ได้เรียนอภิธรรม จึงไม่รู้ว่า

โสภณเจตสิก 25ทั้งสี่ประเภท นั้น

ไม่มีความอยาก ในนั้น

และโสภณเจตสิก ไม่ได้ทำให้จิตนี้เศร้าหมองค่ะ

คุณทรงคุณวุฒิไม่รู้อภิธรรม ไม่เรียนอภิธรรม เลยไม่รู้ว่า

อยากรู้ ไม่ใช่โสภณเจตสิก


แน่ะๆ คุณโลกสวยด้วยมือเรา มาเบ่งมาพองตัวว่า เรียนอภิธรรมมา กรัชกายไม่ได้เรียนอภิธรรม คิกๆๆ

ถามหน่อย คุณโลกสวยเรียนอภิธรรมถึงชั้นไหน เรียนถึงชั้นจูฬตรีไหม ?



อ้างคำพูด:
หนูกล่าวว่า การแสวงหาความอยากรู้ นานาประการ ล้วนทำให้ความปกติของจิตมัวหมอง ค่ะ


แน่ะๆปลิ้นออกทางนี้ ไหนๆตักตีหน้าแข้งสักทีสิ :b32:

อยากนี่หมายถึงอะไร ? ถ้าไม่อยากรู้ ถ้ายังงั้นก็อยากโง่ใช่ไหม โง่เพื่อรักษาปกติจิต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2018, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สำนักที่บรรลุธรรมอีกแห่งหนึ่ง :b1: อวิชชาขาดผึงก้นกระแทกเลย :b32: โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น

[img]https://f.ptcdn.info/971/055/000/p3iylkjmf4wpEg8uc1-o.jpg

ตอดเล็กตอดน้อย...เป็นนิสัยเสีย...ประจำเลย





หนูขอขอบพระคุณแทนด้วยนะคะ

คุณเป็นผู้ทรงคุณวุฒฺิด้วยกัน ได้ตักเตือนกันไว้ เพื่อเค้า จะได้ไม่ถลำลึกผิดซ้ำซ้อน ไปกว่านี้ค่ะ

ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ด้วยนะคะ การให้ข้อมูลแก่ผู้อื่น การให้สัมภาษณ์ การโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง และอีกอย่างท่านเป็นผู้วายชมน์ละสังขารหรือตายไปแล้ว
การแสดงความเห็นด้วยการล้อเลียน หมิ่นประมาท ไส่ความ ผู้วายชนม์ จะไม่เป็นตัวอย่างที่ดี และไม่ส่งผลดีใดๆเลยค่ะ

ถ้าผู้ทรงคุณวุฒิคนนั้น ตระหนัก และสำนึกได้ ละอายบาป ก็ฝากบอกให้คุณคนนั้น ไปกราบขอขมาหน้าบอร์ดเสียนะคะ


คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารแล้ว เมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา ของวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖


ขอบพระคุณค่ะ


ขอแสดงว่าความไว้อาลัยด้วยนะครับ คุณโลกสวยคงเป็นศิษย์ใกล้ชิดกระมั่ง

เรื่องโพสต์คงไม่เป็นไร เพราะโพสต์ก่อนถึงแก่กรรม หรือถึงแก่กรรมไปแล้ว ถ้ามีเหตุก็พูดได้ มีตัวอย่าง เช่น มีคนพูดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น สมเด็จพุฒาจารย์โต ก็ยังมีคนอ้างถึง พระพุทธเจ้าเองซึ่งปรินิพพานไปแล้วก็ยังมีคนนำมาพูด พระเทวทัตก็พูด พูดไปตามเรื่องนั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ



เวปนี้เป็นเวปธรรมะ

แม้แต่เวปนี้ คุณก็ยังสำเร็จความไคร่ด้วยปาก เสมอมาไม่ใช่หรือคะ

นับประสาอะไรกะเวปโป๊


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ



เวปนี้เป็นเวปธรรมะ

แม้แต่เวปนี้ คุณก็ยังสำเร็จความไคร่ด้วยปาก เสมอมาไม่ใช่หรือคะ

นับประสาอะไรกะเวปโป๊



สำเร็จความใคร่ด้วยปาก อิอิ คุณโลกสวยพูด X อยู่นะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 23:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ



เวปนี้เป็นเวปธรรมะ

แม้แต่เวปนี้ คุณก็ยังสำเร็จความไคร่ด้วยปาก เสมอมาไม่ใช่หรือคะ

นับประสาอะไรกะเวปโป๊



สำเร็จความใคร่ด้วยปาก อิอิ คุณโลกสวยพูด X อยู่นะ คิกๆๆ


แค่หลอกล่อคุณ ด้วยสมมุติบัญญัติ ก็หลงตาม
และคิดปรุงแต่งต่อไปเอง มโนตามไปหลายแล้วค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2018, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ



เวปนี้เป็นเวปธรรมะ

แม้แต่เวปนี้ คุณก็ยังสำเร็จความไคร่ด้วยปาก เสมอมาไม่ใช่หรือคะ

นับประสาอะไรกะเวปโป๊



สำเร็จความใคร่ด้วยปาก อิอิ คุณโลกสวยพูด X อยู่นะ คิกๆๆ


แค่หลอกล่อคุณ ด้วยสมมุติบัญญัติ ก็หลงตาม
และคิดปรุงแต่งต่อไปเอง มโนตามไปหลายแล้วค่ะ


สมมติบัญญัติมันยังไงอ่ะ ตอบชัดๆสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2018, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
ที่แท้

ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาจากการโพสต์กระทู้มาก โพสต์เรื่อยเปื่อย โดยไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี อะไรเป็นทีรับรอง

ป่วยการ ที่หนูจะสนทนาด้วยค่ะ



ขนาดทรงคุณวุฒิ โพสต์มากคุณโลกสวยยังไม่กล้าสนทนาด้วย ถ้าเป็นทรงคุณวุฒิแบบคุณโลกสวย มิผูกคอตายหรอ

เอาน่า เราก็ว่ากันไปตามเรื่องดีกว่าเล่นเวปโป้ ไม่ใช่รึ คิกๆๆ หรือคุณว่าเข้าเวปโป้ดีกว่า ก็บอกมาตรงๆ



เวปนี้เป็นเวปธรรมะ

แม้แต่เวปนี้ คุณก็ยังสำเร็จความไคร่ด้วยปาก เสมอมาไม่ใช่หรือคะ

นับประสาอะไรกะเวปโป๊



สำเร็จความใคร่ด้วยปาก อิอิ คุณโลกสวยพูด X อยู่นะ คิกๆๆ


แค่หลอกล่อคุณ ด้วยสมมุติบัญญัติ ก็หลงตาม
และคิดปรุงแต่งต่อไปเอง มโนตามไปหลายแล้วค่ะ


สมมติบัญญัติมันยังไงอ่ะ ตอบชัดๆสิ



ก็แสดงความโง่เขลาของคุณค่ะ ที่อ่อนทั้งปริยัติ อ่อนทั้งการปฎิบัติ
ดีแต่ตัดแปะลิ้งของเวปต่างๆ

ไม่รู้ว่าธรรมบัญญัติ มีทั้ง อัตถบัญญัติ และ สัททบัญญัติ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron