วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 14:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 112 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมประเพณีอันนี้
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือผู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 08 ส.ค. 2015, 18:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 08 ส.ค. 2015, 17:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
รอ...

กบนอกกะลา เขียน:


ถามความเห็นเพื่อน ๆ ว่า..

หิริ..โอตัปปะ...นี้...จะเกิดขึ้นกับบุคคลใดได้นี้...ต้องทำอย่างไร.

อยากรู้....อยากรู่้ครับ... s006 s006

หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป
โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาป

บางท่านก็เรียก ..

"ธรรมโลกบาล" "โลกปาลธรรม" ธรรมะเครื่องคุ้มครองโลก "มโนธรรม" ก็เรียก เพราะเกิดภายในจิตใจ
"หิริ โอตัปปะ" ยังถือว่าเป็น "เทวธรรม" คือธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทวดานางฟ้า ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหละ

"หิริ โอตัปปะ" เป็นความสำนึก ความรู้สึกสำนึกเหล่านี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้น เมื่อคนเห็น คุณค่าของความยับ
ยั้งชั่งใจ ขันติ ความอดกลั้น อันเกิดขึ้นจากการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

"หิริ โอตัปปะ" เป็นทั้ง "เทวธรรมและคุณธรรมของพระอริยบุคคลทุกลำดับชั้น" ผู้ใดประพฤติ
ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ "หิริ โอตัปปะ" ย่อมเจริญในใจของผู้นั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปและมีแต่ความสุข
ความสบายใจ ปราศจากภัยอันตรายมาเบียดเบียน เป็นต้น


สมดังพุทธภาษิตที่ว่า ..

"ธัมโม หเว รักขติ ธรรมมจาริง" ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
"ธัมโม สุจินโน สุขมาวาหาติ" ธรรม ที่ผู้ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้

"ธรรม" ในที่นี้ย่อมหมายถึง "หิริ โอตัปปะ" อย่างนี้แล ..

:b1: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
รอ...

กบนอกกะลา เขียน:


ถามความเห็นเพื่อน ๆ ว่า..

หิริ..โอตัปปะ...นี้...จะเกิดขึ้นกับบุคคลใดได้นี้...ต้องทำอย่างไร.

อยากรู้....อยากรู่้ครับ... s006 s006

หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป
โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาป

บางท่านก็เรียก ..

"ธรรมโลกบาล" "โลกปาลธรรม" ธรรมะเครื่องคุ้มครองโลก "มโนธรรม" ก็เรียก เพราะเกิดภายในจิตใจ
"หิริ โอตัปปะ" ยังถือว่าเป็น "เทวธรรม" คือธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทวดานางฟ้า ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหละ

"หิริ โอตัปปะ" เป็นความสำนึก ความรู้สึกสำนึกเหล่านี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้น เมื่อคนเห็น คุณค่าของความยับ
ยั้งชั่งใจ ขันติ ความอดกลั้น อันเกิดขึ้นจากการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

"หิริ โอตัปปะ" เป็นทั้ง "เทวธรรมและคุณธรรมของพระอริยบุคคลทุกลำดับชั้น" ผู้ใดประพฤติ
ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ "หิริ โอตัปปะ" ย่อมเจริญในใจของผู้นั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปและมีแต่ความสุข
ความสบายใจ ปราศจากภัยอันตรายมาเบียดเบียน เป็นต้น


สมดังพุทธภาษิตที่ว่า ..

"ธัมโม หเว รักขติ ธรรมมจาริง" ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
"ธัมโม สุจินโน สุขมาวาหาติ" ธรรม ที่ผู้ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้

"ธรรม" ในที่นี้ย่อมหมายถึง "หิริ โอตัปปะ" อย่างนี้แล ..

:b1: :b1:

:b8:
ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะนึกถึงสิ่งที่ได้เคยศึกษามาถึงการเลือกเกิดตามการสะสม
การสะสมความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้หวง ขี้เหนียว ระดับจิตภูมิเปรต
คุณธรรมที่ทำให้ได้เกิดไม่ต่ำกว่าภพภูมิมนุษย์คืออย่าเห็นแก่ตัว
ระดับจิตเทวดามีคุณธรรมเดียวกับมนุษย์และเพิ่มความมีหิริโอตัปปะ
ระดับจิตพรหมมีคุณธรรมเดียวกับเทวดาและเพิ่มพรหมวิหารธรรม
:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม

การเข้าถึงฌานจะฝรั่งหรือใครก็ตามจะมีศาสนาพุทธหรือไม่ก็ตามก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการหลุดพ้น หลุดพ้นสิ่งทั้งปวง คิดดูง่ายๆ ถ้าขยะในใจท่านยังมีสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดติดที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยะขั้นต้นท่านจะก้าวสู่ภูมิอริยะได้อย่างไร. แค่คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งท่านยังไม่เข้าใจ ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือสิ่งนี้ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว. ง่ายจะตายผมจะบอกความลับให้นะ ก็แค่ไม่ทำอะไรนอกเหนือที่ท่านสั่งสอนไว้ก็เท่านั้น. เอาเถอะของแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นจะตัดกันง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องทิฎฐิที่ยึดติดมายาวนาน. มันจึงมีไม่กี่คนที่คิดได้นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกนะยังจะต้องมีข้ออื่นๆเข้าไปอีก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้ตอบในความเห็นส่วนตัวนะ สมัยก่อนก็ฟังธรรมะมาก็เยอะแต่ก็ไม่รู้สึกถึงการกลัวบาปก็ยังรักษาศิลไม่ได้เลย ตั้งแต่อบรมคอร์สธรรมะที่ธรรมกมลาของท่าจอาจารย์โกเอ็นก้ามา เราเริ่มเห็นความคิดของเราได้ทุกครั้งที่เราคิดไม่ดีจนทำให้เรารู้สึกละอายชั่วกลัวบาป ทำให้เรารักษาศิลได้ หิริโอตัปปะน่าจะเกิดจากการที่เราเจาะลึกลงไปในจิตใจนำคำสอนพระองค์เข้าไปสอนในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ไปปลุกส่วนดีให้ตื่นขึ้นมาทำงาน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม

การเข้าถึงฌานจะฝรั่งหรือใครก็ตามจะมีศาสนาพุทธหรือไม่ก็ตามก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการหลุดพ้น หลุดพ้นสิ่งทั้งปวง คิดดูง่ายๆ ถ้าขยะในใจท่านยังมีสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดติดที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยะขั้นต้นท่านจะก้าวสู่ภูมิอริยะได้อย่างไร. แค่คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งท่านยังไม่เข้าใจ ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือสิ่งนี้ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว. ง่ายจะตายผมจะบอกความลับให้นะ ก็แค่ไม่ทำอะไรนอกเหนือที่ท่านสั่งสอนไว้ก็เท่านั้น. เอาเถอะของแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นจะตัดกันง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องทิฎฐิที่ยึดติดมายาวนาน. มันจึงมีไม่กี่คนที่คิดได้นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกนะยังจะต้องมีข้ออื่นๆเข้าไปอีก

เขียนอะไรก็ขายหน้าตัวเองแค่ยอมรับว่าตัวน่ะปัญญาแค่เข้าใจคำสอนยังคิดไม่เป็น
แล้วไหนจะคาถาบารมี30ทัศ พระคาถาชินบัญชร คาถาพาหุงด้วย
เขาก็สวดเพื่อให้จิตใจมีที่ยึดเหนี่ยว ถึงคนที่เป็นเซียนพระเครื่อง
เค้ายังรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับผู้อื่นที่ฝึกจิตมีคุณธรรมที่ดี
ถามสิว่าถ้าการได้รับสิ่งชองมงคลจากผู้ที่ท่านมีญาณพิเศษจะรับไหม
ความเป็นศิริมงคลเกิดจากการทำตัวดีของผู้ที่รับวัตถุมงคลมาติดตัว
ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ คาถาก็เช่นกันล้วนสอนให้ผู้ท่องคิดดีพูดดีทำดีนะจ๊ะ
แล้วที่บอกว่าง่ายจะตายนะ แค่ยอมรับตัวเองว่าปัญญาไม่แตกฉาน
แค่รู้จักการอนุโมทนาการทำดีของผู้อื่นได้ กิเลสขี้อิจฉาก็ละได้นะ
ง่ายมากที่สุดที่ข้าพเจ้าจะแนะนำคือสร้างหนังให้ตัวเองดูทุกวันเลย
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปจะทำยังไงให้คิดดีกับเขาเป็นบ้าง
:b8:
:b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 08 ส.ค. 2015, 19:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
อันนี้ตอบในความเห็นส่วนตัวนะ สมัยก่อนก็ฟังธรรมะมาก็เยอะแต่ก็ไม่รู้สึกถึงการกลัวบาปก็ยังรักษาศิลไม่ได้เลย ตั้งแต่อบรมคอร์สธรรมะที่ธรรมกมลาของท่าจอาจารย์โกเอ็นก้ามา เราเริ่มเห็นความคิดของเราได้ทุกครั้งที่เราคิดไม่ดีจนทำให้เรารู้สึกละอายชั่วกลัวบาป ทำให้เรารักษาศิลได้ หิริโอตัปปะน่าจะเกิดจากการที่เราเจาะลึกลงไปในจิตใจนำคำสอนพระองค์เข้าไปสอนในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ไปปลุกส่วนดีให้ตื่นขึ้นมาทำงาน

จะส่วนตัวก็คิดไว้ในใจ โพสต์ความดีความมานะอดทนที่ทำได้
คนอื่นมองเห็นเขาก็จะเข้ามาอนุโมทนาขอร่วมบุญด้วยนะ
:b32: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
รอ...

กบนอกกะลา เขียน:


ถามความเห็นเพื่อน ๆ ว่า..

หิริ..โอตัปปะ...นี้...จะเกิดขึ้นกับบุคคลใดได้นี้...ต้องทำอย่างไร.

อยากรู้....อยากรู่้ครับ... s006 s006

หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป
โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาป

บางท่านก็เรียก ..

"ธรรมโลกบาล" "โลกปาลธรรม" ธรรมะเครื่องคุ้มครองโลก "มโนธรรม" ก็เรียก เพราะเกิดภายในจิตใจ
"หิริ โอตัปปะ" ยังถือว่าเป็น "เทวธรรม" คือธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทวดานางฟ้า ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหละ

"หิริ โอตัปปะ" เป็นความสำนึก ความรู้สึกสำนึกเหล่านี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้น เมื่อคนเห็น คุณค่าของความยับ
ยั้งชั่งใจ ขันติ ความอดกลั้น อันเกิดขึ้นจากการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

"หิริ โอตัปปะ" เป็นทั้ง "เทวธรรมและคุณธรรมของพระอริยบุคคลทุกลำดับชั้น" ผู้ใดประพฤติ
ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ "หิริ โอตัปปะ" ย่อมเจริญในใจของผู้นั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป
และมีแต่ความสุขความสบายใจ ปราศจากภัยอันตรายมาเบียดเบียน เป็นต้น

สมดังพุทธภาษิตที่ว่า ..

"ธัมโม หเว รักขติ ธรรมมจาริง" ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
"ธัมโม สุจินโน สุขมาวาหาติ" ธรรม ที่ผู้ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้

"ธรรม" ในที่นี้ย่อมหมายถึง "หิริ โอตัปปะ" อย่างนี้แล ..

:b1: :b1:


ชัดเจนดีครับ.. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม

การเข้าถึงฌานจะฝรั่งหรือใครก็ตามจะมีศาสนาพุทธหรือไม่ก็ตามก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการหลุดพ้น หลุดพ้นสิ่งทั้งปวง คิดดูง่ายๆ ถ้าขยะในใจท่านยังมีสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดติดที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยะขั้นต้นท่านจะก้าวสู่ภูมิอริยะได้อย่างไร. แค่คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งท่านยังไม่เข้าใจ ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือสิ่งนี้ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว. ง่ายจะตายผมจะบอกความลับให้นะ ก็แค่ไม่ทำอะไรนอกเหนือที่ท่านสั่งสอนไว้ก็เท่านั้น. เอาเถอะของแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นจะตัดกันง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องทิฎฐิที่ยึดติดมายาวนาน. มันจึงมีไม่กี่คนที่คิดได้นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกนะยังจะต้องมีข้ออื่นๆเข้าไปอีก

เขียนอะไรก็ขายหน้าตัวเองแค่ยอมรับว่าตัวน่ะปัญญาแค่เข้าใจคำสอนยังคิดไม่เป็น
แล้วไหนจะคาถาบารมี30ทัศ พระคาถาชินบัญชร คาถาพาหุงด้วย
เขาก็สวดเพื่อให้จิตใจมีที่ยึดเหนี่ยว ถึงคนที่เป็นเซียนพระเครื่อง
เค้ายังรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับผู้อื่นที่ฝึกจิตมีคุณธรรมที่ดี
ถามสิว่าถ้าการได้รับสิ่งชองมงคลจากผู้ที่ท่านมีญาณพิเศษจะรับไหม
ความเป็นศิริมงคลเกิดจากการทำตัวดีของผู้ที่รับวัตถุมงคลมาติดตัว
ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ คาถาก็เช่นกันล้วนสอนให้ผู้ท่องคิดดีพูดดีทำดีนะจ๊ะ
แล้วที่บอกว่าง่ายจะตายนะ แค่ยอมรับตัวเองว่าปัญญาไม่แตกฉาน
แค่รู้จักการอนุโมทนาการทำดีของผู้อื่นได้ กิเลสขี้อิจฉาก็ละได้นะ
ง่ายมากที่สุดที่ข้าพเจ้าจะแนะนำคือสร้างหนังให้ตัวเองดูทุกวันเลย
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปจะทำยังไงให้คิดดีกับเขาเป็นบ้าง
:b8:
:b55: :b55:
พระพุทธองค์สอน ทาน ศิล ภาวนา. ยิ่งพูดยิ่งเห็นว่าไปไม่ถึงไหนจริงๆ สมัยก่อนผมก็ทำหมดแหล่ะที่ท่านบอกมา คาถาอะไรท่องหมด. แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ. เบาตัวเบาใจ สบายกว่ากันเยอะเลย. แนะนำศึกษาพุทธวจนเยอะๆจะได้รู้ทางออก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 08 ส.ค. 2015, 19:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
อันนี้ตอบในความเห็นส่วนตัวนะ สมัยก่อนก็ฟังธรรมะมาก็เยอะแต่ก็ไม่รู้สึกถึงการกลัวบาปก็ยังรักษาศิลไม่ได้เลย ตั้งแต่อบรมคอร์สธรรมะที่ธรรมกมลาของท่าจอาจารย์โกเอ็นก้ามา เราเริ่มเห็นความคิดของเราได้ทุกครั้งที่เราคิดไม่ดีจนทำให้เรารู้สึกละอายชั่วกลัวบาป ทำให้เรารักษาศิลได้ หิริโอตัปปะน่าจะเกิดจากการที่เราเจาะลึกลงไปในจิตใจนำคำสอนพระองค์เข้าไปสอนในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ไปปลุกส่วนดีให้ตื่นขึ้นมาทำงาน

จะส่วนตัวก็คิดไว้ในใจ โพสต์ความดีความมานะอดทนที่ทำได้
คนอื่นมองเห็นเขาก็จะเข้ามาอนุโมทนาขอร่วมบุญด้วยนะ
:b32: :b13:
:b9:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม

การเข้าถึงฌานจะฝรั่งหรือใครก็ตามจะมีศาสนาพุทธหรือไม่ก็ตามก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการหลุดพ้น หลุดพ้นสิ่งทั้งปวง คิดดูง่ายๆ ถ้าขยะในใจท่านยังมีสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดติดที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยะขั้นต้นท่านจะก้าวสู่ภูมิอริยะได้อย่างไร. แค่คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งท่านยังไม่เข้าใจ ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือสิ่งนี้ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว. ง่ายจะตายผมจะบอกความลับให้นะ ก็แค่ไม่ทำอะไรนอกเหนือที่ท่านสั่งสอนไว้ก็เท่านั้น. เอาเถอะของแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นจะตัดกันง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องทิฎฐิที่ยึดติดมายาวนาน. มันจึงมีไม่กี่คนที่คิดได้นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกนะยังจะต้องมีข้ออื่นๆเข้าไปอีก

เขียนอะไรก็ขายหน้าตัวเองแค่ยอมรับว่าตัวน่ะปัญญาแค่เข้าใจคำสอนยังคิดไม่เป็น
แล้วไหนจะคาถาบารมี30ทัศ พระคาถาชินบัญชร คาถาพาหุงด้วย
เขาก็สวดเพื่อให้จิตใจมีที่ยึดเหนี่ยว ถึงคนที่เป็นเซียนพระเครื่อง
เค้ายังรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับผู้อื่นที่ฝึกจิตมีคุณธรรมที่ดี
ถามสิว่าถ้าการได้รับสิ่งชองมงคลจากผู้ที่ท่านมีญาณพิเศษจะรับไหม
ความเป็นศิริมงคลเกิดจากการทำตัวดีของผู้ที่รับวัตถุมงคลมาติดตัว
ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ คาถาก็เช่นกันล้วนสอนให้ผู้ท่องคิดดีพูดดีทำดีนะจ๊ะ
แล้วที่บอกว่าง่ายจะตายนะ แค่ยอมรับตัวเองว่าปัญญาไม่แตกฉาน
แค่รู้จักการอนุโมทนาการทำดีของผู้อื่นได้ กิเลสขี้อิจฉาก็ละได้นะ
ง่ายมากที่สุดที่ข้าพเจ้าจะแนะนำคือสร้างหนังให้ตัวเองดูทุกวันเลย
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปจะทำยังไงให้คิดดีกับเขาเป็นบ้าง
:b8:
:b55: :b55:
พระพุทธองค์สอน ทาน ศิล ภาวนา. ยิ่งพูดยิ่งเห็นว่าไปไม่ถึงไหนจริงๆ สมัยก่อนผมก็ทำหมดแหล่ะที่ท่านบอกมา คาถาอะไรท่องหมด. แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ. เบาตัวเบาใจ สบายกว่ากันเยอะเลย. แนะนำศึกษาพุทธวจนเยอะๆจะได้รู้ทางออก

:b12:
เป็นพระที่ไม่ต้องประกอบอาชีพหรา ถึงจะมีฉัน(ทาน) รักษาศีล ถาวนา
จิตเกิดดับตลอดเวลากระพริบตา1ครั้งก็เป็นจิตดวงใหม่นะทู่นะ
ถ้ายังคิดแต่เพ่งโทษว่าผู้อื่นไม่เอาไหนก็คือตัวน่ะทู่นะไม่เอาไหน
คิดเองเป็นไหมนี่ คนอื่นเค้าไม่ได้รองรับกรรมที่ทู่คิดไม่ดีของทู่น๊า
ทุกอย่างที่ทู่คิดๆๆๆๆๆว่าคนอื่นไม่ดีก็เป็นความไม่ดีของทู่สะสมที่จิตทู่น๊า
:b6:
หมายเหตุ บรรทัดต่อไปเป็นคำพูดในใจ
ปัญญาทู่น่าจะพอเกิดได้บ้างนะเนี่ย
:b43:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
มีวัดไหนที่ไม่สวดคาถาชินบัญชร บารมีสามสิบทัศ และพาหุงมั่ง
แล้วการอัญเชิญเทวดาอีก ทู่ไม่เข้าวัดเลยมั๊งเนี่ย เวรกรรมจริงๆ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีเทพ ไม่มีพรหม ไม่มีคาถา ไม่มีของขัง ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เราพึ่งได้ เราจะต้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้ ตอนเราจะตายใครจะช่วยเราได้แม้แต่แม่ที่รักเรามากที่สุดก็เอื้อมมือไปช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง พระองค็ก็เป็นเพียงผู้บอกทาง พระธรรมก็เป็นเพียงเครื่องมือ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงผู้รักษาพระธรรมให้คงอยู่. ฉะนั้นทางนี้เท่านั้นที่จะพาท่านข้ามพ้นสังสารวัฎ แห่งการเกิดแก่เจ็บตายไปได้คือพึ่งตนพึ่งธรรม. ท่านจะต้องกล้าที่จะข้ามความกลัว. ท่านจะต้องกล้าที่จะไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย บทแรกที่ท่านจะต้องทำให้ได้เพราะนี่คือคุณสมบัติของอริยชน. ไม่มีสิ่งที่4 มีเพียง3สิ่งเท่านั้นคือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเท่านั้น คาถาก็ไม่เอา วิ่งหาอรหันต์ก็ไม่ทำ การมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ใช่วิ่งหาอรหันต์

เขียนยังงัย เก๊าะยังขายความไม่เข้าใจของตนออกมาอยู่นั่นแล้ว
พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท4ประกอบด้วย
1.ภิกษุ 2.ภิกษุณี 3.อุบาสก 4.อุบาสิกา พระอรหันต์เท่านั้นเป็น
ทายาทโดยตรงที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ส่วนผู้รักษามี4บริษัท
คำว่ารักษาไม่ใช่เก็บไว้ในพระไตรปิฎก แต่เป็นการดำรงไว้ในใจเด้อ
ผู้ที่ท่านพึ่งตนเองได้แล้วคือพระอรหันต์ยุคปัจจุบันท่านทั้งรักษาได้100%
และสืบทอดรวมถึงถ่ายทอดอบรมคุณธรรมที่ท่านมีให้แก่พุทธบริษัท
ที่เป็นบริวารคือลูกศิษย์นะที่ขวนขวายหาบัณฑิตเข้าไปใกล้ชิดเพื่อ
คบหาสมาคมฟังคำที่ท่านอบรมสั่งสอนจนสามารถพึ่งตนโดยมีคุณธรรม
ที่ดีงามขึ้นทาในจิตใจผู้ที่มีปัญญามากก็เข้าถึงอริยบุุคคลตามลำดับ
พึ่งพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าปัจจุบันคือพระธรรมและพระวินัย
พึ่งพระธรรมคือศึกษาอบรมจิตใจตนตามคำจริงให้เป็นที่ยึดถือในใจ
พึ่งพระสงฆ์คือเข้าไปคบพระอริยบุคคลทั้ง8จำพวกคือพึ่งปัญญาท่าน
โดยการฟังคำสอนในสิ่งที่ท่านรู้ตามคำสอนเพื่อเอามาใช้สั่งสอนตนเองนะ
ไม่ใช่มีแต่บริษัทพระสงฆ์เท่านั้นที่รักษาพระศาสนาต้องทั้งสี่บริษัทช่วยกัน
ไม่งั้นพระจะฉันอะไรถ้าไม่มีผู้เลื่อมใสคอยนั่งตาดำๆรอใส่บาตรเป็นประจำ
ถ้าพระทำผิดศีลธรรมใครจะปรามพระได้ก็ต้องมีขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะเป็นหน้าที่พุทธบริษัททั้งสี่ ที่จะดำรงธรรมและพระศาสนาไว้ในหทัย
:b16: :b27:
:b12:
ก็ตอบถูกนี่. แต่ในบริบทที่ผมบอกคือู้ที่หลงผิดยึดติดสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัยฮะ

ฝาหรั่งเขาบริกรรมเยซูๆๆๆๆๆๆก็ถึงฌานครูอาจารย์ท่านว่านะ
เอาอะไรมาวัดว่าคนอื่นทำผิดมันไม่ใช่วิธีวัดปัญญาการถึงธรรม

การเข้าถึงฌานจะฝรั่งหรือใครก็ตามจะมีศาสนาพุทธหรือไม่ก็ตามก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการหลุดพ้น หลุดพ้นสิ่งทั้งปวง คิดดูง่ายๆ ถ้าขยะในใจท่านยังมีสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดติดที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยะขั้นต้นท่านจะก้าวสู่ภูมิอริยะได้อย่างไร. แค่คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งท่านยังไม่เข้าใจ ยังมีสิ่งอื่นนอกเหนือสิ่งนี้ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว. ง่ายจะตายผมจะบอกความลับให้นะ ก็แค่ไม่ทำอะไรนอกเหนือที่ท่านสั่งสอนไว้ก็เท่านั้น. เอาเถอะของแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นจะตัดกันง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องทิฎฐิที่ยึดติดมายาวนาน. มันจึงมีไม่กี่คนที่คิดได้นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกนะยังจะต้องมีข้ออื่นๆเข้าไปอีก

เขียนอะไรก็ขายหน้าตัวเองแค่ยอมรับว่าตัวน่ะปัญญาแค่เข้าใจคำสอนยังคิดไม่เป็น
แล้วไหนจะคาถาบารมี30ทัศ พระคาถาชินบัญชร คาถาพาหุงด้วย
เขาก็สวดเพื่อให้จิตใจมีที่ยึดเหนี่ยว ถึงคนที่เป็นเซียนพระเครื่อง
เค้ายังรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับผู้อื่นที่ฝึกจิตมีคุณธรรมที่ดี
ถามสิว่าถ้าการได้รับสิ่งชองมงคลจากผู้ที่ท่านมีญาณพิเศษจะรับไหม
ความเป็นศิริมงคลเกิดจากการทำตัวดีของผู้ที่รับวัตถุมงคลมาติดตัว
ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ คาถาก็เช่นกันล้วนสอนให้ผู้ท่องคิดดีพูดดีทำดีนะจ๊ะ
แล้วที่บอกว่าง่ายจะตายนะ แค่ยอมรับตัวเองว่าปัญญาไม่แตกฉาน
แค่รู้จักการอนุโมทนาการทำดีของผู้อื่นได้ กิเลสขี้อิจฉาก็ละได้นะ
ง่ายมากที่สุดที่ข้าพเจ้าจะแนะนำคือสร้างหนังให้ตัวเองดูทุกวันเลย
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปจะทำยังไงให้คิดดีกับเขาเป็นบ้าง
:b8:
:b55: :b55:
พระพุทธองค์สอน ทาน ศิล ภาวนา. ยิ่งพูดยิ่งเห็นว่าไปไม่ถึงไหนจริงๆ สมัยก่อนผมก็ทำหมดแหล่ะที่ท่านบอกมา คาถาอะไรท่องหมด. แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ. เบาตัวเบาใจ สบายกว่ากันเยอะเลย. แนะนำศึกษาพุทธวจนเยอะๆจะได้รู้ทางออก

:b12:
เป็นพระที่ไม่ต้องประกอบอาชีพหรา ถึงจะมีฉัน(ทาน) รักษาศีล ถาวนา
จิตเกิดดับตลอดเวลากระพริบตา1ครั้งก็เป็นจิตดวงใหม่นะทู่นะ
ถ้ายังคิดแต่เพ่งโทษว่าผู้อื่นไม่เอาไหนก็คือตัวน่ะทู่นะไม่เอาไหน
คิดเองเป็นไหมนี่ คนอื่นเค้าไม่ได้รองรับกรรมที่ทู่คิดไม่ดีของทู่น๊า
ทุกอย่างที่ทู่คิดๆๆๆๆๆว่าคนอื่นไม่ดีก็เป็นความไม่ดีของทู่สะสมที่จิตทู่น๊า
:b6:
หมายเหตุ บรรทัดต่อไปเป็นคำพูดในใจ
ปัญญาทู่น่าจะพอเกิดได้บ้างนะเนี่ย
:b43:
:b16: :b16:
นั้นไม่ใช่การดูถูกนะ เป็นการบอกถึงสิ่งที่คุณมีจริงๆ คุณยังไม่สามารถข้ามภูมิปุถุชนได้เลย. ผมจะบอกเคล็ดลับให้ง่ายๆมากเลย. ลองไม่ต้องท่องอะไรหรือทำอะไรทั้งนั้น.ชีวิตมันก็จะผ่านไปได้สบายๆ ขอเพียงมีทานศิลภาวนาแค่เนี๊ย พอแล้ว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
มีวัดไหนที่ไม่สวดคาถาชินบัญชร บารมีสามสิบทัศ และพาหุงมั่ง
แล้วการอัญเชิญเทวดาอีก ทู่ไม่เข้าวัดเลยมั๊งเนี่ย เวรกรรมจริงๆ
onion onion onion
สวดคำตถาคตนะ เขาสวดกันเพื่อเรียนรู้ความหมาย อะไรที่ไม่ใช่คำตถาคตสวดทำไม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 112 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร