วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2015, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

[๒] ปัญญาอันเป็นเครื่องทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว คือ เป็นเครื่อง
รู้ชัดซึ่งธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง เป็นสุตมยญาณอย่างไร
ธรรมอย่างหนึ่งควรรู้ยิ่ง คือ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ธรรม ๒ ควรรู้ยิ่ง
คือ ธาตุ ๒ ธรรม ๓ ควรรู้ยิ่ง คือ ธาตุ ๓ ธรรม ๔ ควรรู้ยิ่ง คือ อริยสัจ ๔
ธรรม ๕ ควรรู้ยิ่ง คือ วิมุตตายตนะ ๕ ธรรม ๖ ควรรู้ยิ่ง คืออนุตตริยะ ๖
ธรรม ๗ ควรรู้ยิ่ง คือ นิททสวัตถุ [เหตุที่พระขีณาสพนิพพานแล้วไม่ปฏิสนธิ
อีกต่อไป] ๗
ธรรม ๘ ควรรู้ยิ่ง คือ อภิภายตนะ [อารมณ์แห่งญาณอันฌายี
บุคคลครอบงำไว้] ๘ ธรรม ๙ ควรรู้ยิ่ง คือ อนุปุพพวิหาร ๙ ธรรม ๑๐
ควรรู้ยิ่ง คือนิชชรวัตถุ [เหตุกำจัดมิจฉาทิฐิเป็นต้น] ๑๐ ฯ


Quote Tipitaka:
นิททสวัตถุสูตร

[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิททสวัตถุ ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานสิกขา
และเป็นผู้ได้ความยินดีในการสมาทานสิกขาต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการใคร่ครวญธรรม
และเป็นผู้ได้ความยินดีในการใคร่ครวญธรรมต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในอันที่จะกำจัดความอยาก
และเป็นผู้ได้ความยินดีในอันที่จะกำจัดความอยากต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการหลีกเร้น
และเป็นผู้ได้ความยินดีในการหลีกเร้นต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการปรารภความเพียร
และเป็นผู้ได้ความยินดีในการปรารภความเพียรต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในความเป็นผู้มีสติรอบคอบ
และเป็นผู้ได้ความยินดีในความเป็นผู้มีสติรอบคอบต่อไป ๑
เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการแทงตลอดด้วยทิฐิ
และเป็นผู้ได้ความยินดีในการแทงตลอดด้วยทิฐิต่อไป ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิททสวัตถุ ๗ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบอนุสยวรรคที่ ๒


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2015, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระศาสดา ทรงชักชวนเหล่าสัตว์มาสู่ประตูอมตะคือความไม่ตาย

จิตธาตุ จะปรากฏ เมื่อยังข้องเกี่ยวกับอารมณ์ภายนอก และสร้างอารมณ์ภายในข้องเกี่ยวกับอารมณ์ภายใน
ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ทั้งหลาย ติดข้องในอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น
ตัณหาจึงเป็นอารมณ์ของจิตเองที่นำพาจิตท่องไปในอารมณ์ ข้องเกี่ยวกับอารมณ์

สภาวะอันปรากฏแก่จิตธาตุดั่งข้างบน คือ "สัตว์" ผู้ติดข้องอยู่ในอารมณ์
มีแต่ "สัตว์" ที่จุติและปฏิสนธิ ดับแล้วอุบัติ

เรื่องเล่าในพระสูตร เกี่ยวกับสาติภิกษุผู้เข้าใจผิดว่า จิตหรือวิญญาณท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์โดยความที่จิตเป็นตัวเป็นตน จึงถูกพระพุทธองค์ตำหนิว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ

มีแต่สภาวะ "สัตว์" เช่น สัตว์ที่ดีสุดคือ "โพธิสัตว์" ที่ท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารเพราะ จิตยังมีเหตุมีปัจจัยอันปรุงแต่งให้เป็นสัตว์อยู่
เมื่อเหตุปัจจัยยังมีอยู่...สัตว์จึงจุติและปฏิสนธิ ดับแล้วอุบัติเพราะเหตุปัจจัยเหล่านั้น

พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลายทั้งปวง เพราะสิ้นเหตุปัจจัยอันแต่งความเป็น"สัตว์" เมื่อถึงเวลาดับขันธ์
ก็ดับเพียงขันธ์สิ้นเหตุปัจจัยแต่งปฏิสนธิ

มหาภูตธาตุ 4 กลับคืนสู่ธรรมชาติ
จิตธาตุ กลับคืนสู่ธรรมชาติ จะกล่าวว่าหายก็ไม่ได้ ไม่หายก็ไม่ได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 08:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

จิตธาตุ จะปรากฏ เมื่อยังข้องเกี่ยวกับอารมณ์ภายนอก และสร้างอารมณ์ภายในข้องเกี่ยวกับอารมณ์ภายใน
ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ทั้งหลาย ติดข้องในอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น
ตัณหาจึงเป็นอารมณ์ของจิตเองที่นำพาจิตท่องไปในอารมณ์ ข้องเกี่ยวกับอารมณ์

สภาวะอันปรากฏแก่จิตธาตุดั่งข้างบน คือ "สัตว์" ผู้ติดข้องอยู่ในอารมณ์

....



เอกอนฉงฉั๋ยง่ะ...ท่านเช่นนั้น

ที่บางครั้งเวลาที่กล่าวถึง
"พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ 3 อย่างคือ
(1) สักกายทิฏฐิ
(2) วิจิกิจฉา
(3) สีลัพพตปรามาส"

แต่ทำไมเวลาที่ผู้ที่เข้าใจว่าตนเข้าถึง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แล้ว
เมื่อกลาวถึง สัตตานัง เขากลับยังแสดงความรู้ความเข้าใจความเห็นที่ ไม่ชัวร์
เหมือนกับไม่เข้าใจ สภาพแห่งสัตตานัง ง่ะ

:b1: :b1: :b1:

เพราะ ผู้ปฏิบัติหมายรู้ในความเป็นโสดาบันคลาดเคลื่อนไป
หรือ ทัศนะ ในธรรมนี้ จะเห็นธรรมนั้นได้ภูมิธรรมต้องสูงกว่านั้น

:b1:

ธรรมอันนี้ ถ้าจะเห็นแจ้ง ต้อง วิปัสสนาญาน ระดับไหนคะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

รูปธรรม นามธรรม ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ

แบบนี้ จิตเรานี้ ก็ ไม่เที่ยง แต่คำว่าไม่เที่ยงนี้ มักใช้กับคำว่า เกิด และดับ เกิด และดับ

ผมเลยสงสัย แล้วจิตเรานี้มีวันดับ แล้วไม่เกิด อีกไหมครับ
:b8:






ควรหมั่นศึกษาพระธรรมคำสอน


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 20

[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็

ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็น

ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะ

สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะ

ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โลกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.











ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถูกแล้ว! เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอันว่า
พวกเธอทั้งหลายก็กล่าวอย่างนั้น, แม้เราตถาคต ก็กล่าวอย่างนั้น, ว่า
"เมื่อสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้ย่อมไม่มี; เพราะสิ่งนี้ดับ, สิ่งนี้ย่อมดับ กล่าวคือ

เพราะความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร;
เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; เพราะมีความ
ดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป; เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมี
ความดับแห่งสฬายตนะ; เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ; เพราะมี
ความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับ
แห่งตัณหา; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับ
แห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้".

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้ จึงพึงแล่นไปสู่ ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องต้น (ปุพพันตทิฏฐิ) ว่า
"ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เราได้มีแล้วหรือหนอ; เราไม่ได้มีแล้วหรือหนอ ; เราได้
เป็นอะไรแล้วหนอ; เราได้เป็นอย่าไรแล้วหนอ; เราเป็นอะไรแล้วจึงได้เป็นอะไรอีก
แล้วหนอ" ; ดังนี้?

"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า"



(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หรือว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้ จะพึงแล่นไปสู่ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลาย (อปรันตทิฏฐิ)
ว่า "ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เราจักมีหรือหนอ; เราจักไม่มีหรือหนอ; เราจัก
เป็นอะไรหนอ; เราจักเป็นอย่างไรหนอ; เราเป็นอะไรแล้วจักเป็นอะไรต่อไปหนอ";ดังนี้?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"



(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หรือว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จะพึงเป็นผู้มีความสงสัยเกี่ยวกับตน ปรารภกาลอันเป็นปัจจุบัน ในกาลนี้ว่า "เรามีอยู่หรือหนอ;
เราไม่มีอยู่หรือหนอ ; เราเป็นอะไรหนอ;เราเป็นอย่างไรหนอ; สัตว์นี้มาจากที่ไหน แล้วจักเป็นผู้ไปสู่ที่ไหนอีกหนอ"; ดังนี้?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ แล้วจะพึงกล่าวว่า
"พระศาสดาเป็นครูของพวกเรา ดังนั้น พวกเราต้องกล่าวอย่างที่ท่านกล่าว เพราะความเคารพในพระศาสดานั่นเทียว" ดังนี้?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ แล้วจะพึงกล่าวว่า
"พระสมณะ(พระพุทธองค์) กล่าวแล้วอย่างนี้;แต่สมณะทั้งหลายและพวกเรา จะกล่าวอย่างอื่น" ดังนี้?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้ จะพึงประกาศการนับถือศาสดาอื่น?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"


(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้ จะพึงเวียนกลับไปสู่การประพฤติซึ่งวัตตโกตูหลมงคลทั้งหลาย ตาม
แบบของสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าอื่นเป็นอันมาก โดยความเป็นสาระ?
"ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า!"


(๘) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจะกล่าวแต่สิ่งที่พวกเธอรู้เอง เห็นเอง
รู้สึกเองแล้ว เท่านั้น มิใช่หรือ?
"อย่างนั้น พระเจ้าข้า!"


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถูกแล้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย
เป็นผู้ที่เรานำไปแล้วด้วยธรรมนี้ อันเป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
(สนฺทิฏฐิโก), เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล (อกาลิโก), เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู
(เอหิปสฺสิโก), ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก), อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน
(ปจฺจตฺตํ เวทตพฺโพ วิญฺญูหิ).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! คำนี้เรากล่าวแล้ว หมายถึงคำที่เราได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน
อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน" ดังนี้.









“ภิกษุทั้งหลาย แท้จริงแล้ว อริยสาวกผู้เรียนรู้แล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใดอริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิด ความดับของโลกตามที่มันเป็นเช่นว่านี้
อริยสาวกนั้น เรียกว่าเป็นผู้มีทิฐิสมบูรณ์ (ความเห็นที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์) ก็ได้

ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ก็ได้ ผู้บรรลุถึงสัจธรรมนี้ก็ได้
ชื่อว่าผู้ประกอบด้วยเสขญาณก็ได้

ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชาก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้วก็ได้
พระอริยบุคคลผู้มีปัญญาชำระกิเลสก็ได้ ผู้อยู่ชิดติดประตูอมตะก็ได้”



“สมณพราหมณ์เหล่าใด
รู้ธรรมเหล่านี้
รู้เหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้
รู้ความดับของธรรมเหล่านี้
รู้ทางดำเนินเพื่อดับแห่งธรรมเหล่านี้ ฯลฯ

สมณพราหมณ์เหล่านั้นแล จึงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ
และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์

และได้ชื่อว่าได้บรรลุ-ประโยชน์ของความเป็นสมณะ
และประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่ง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:

...นี่ปัญญาจากการฟังที่เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
รบกวนไปทบทวนว่าที่ทรงแสดงภูมิธรรมของพระศาสดาตอนเคลื่อนพระจิตดับขันธปรินิพพาน
ก็ยังทรงเคลื่อนพระจิตออกตรงช่องว่างระหว่างรูปฌาณกะอรูปฌาณระหว่างฌาณ4กะฌาณ5
:b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 22 ก.ค. 2015, 15:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:

...นี่ปัญญาจากการฟังที่เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้า...
แล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่กล้ายืนยันว่าได้พบพระริพพาน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอกอนฉงฉั๋ยง่ะ...ท่านเช่นนั้น

ที่บางครั้งเวลาที่กล่าวถึง
"พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ 3 อย่างคือ
(1) สักกายทิฏฐิ
(2) วิจิกิจฉา
(3) สีลัพพตปรามาส"

แต่ทำไมเวลาที่ผู้ที่เข้าใจว่าตนเข้าถึง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แล้ว
เมื่อกลาวถึง สัตตานัง เขากลับยังแสดงความรู้ความเข้าใจความเห็นที่ ไม่ชัวร์
เหมือนกับไม่เข้าใจ สภาพแห่งสัตตานัง ง่ะ

:b1: :b1: :b1:

เพราะ ผู้ปฏิบัติหมายรู้ในความเป็นโสดาบันคลาดเคลื่อนไป
หรือ ทัศนะ ในธรรมนี้ จะเห็นธรรมนั้นได้ภูมิธรรมต้องสูงกว่านั้น
:b1:

เอกอน ถามถึงภูมิธรรมของบุคคลอื่น ซึ่งมีความขัดแย้งกับสิ่งที่เขาแสดงอยู่นะครับ
เช่นนั้น ไม่อาจจะตอบได้ครับ. เราไม่สามารถคาดเดาได้หากปราศจากการคลุกคลีด้วยได้ครับ

eragon_joe เขียน:

ธรรมอันนี้ ถ้าจะเห็นแจ้ง ต้อง วิปัสสนาญาน ระดับไหนคะ

:b1:

พระพุทธองค์ไม่ได้ แบ่งแยกจัดระดับวิปัสสนาญาณครับ
ไม่พึงสนใจครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:

...นี่ปัญญาจากการฟังที่เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้า...
แล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่กล้ายืนยันว่าได้พบพระริพพาน


Rosarin เขียน:
Kiss
รบกวนไปทบทวนว่าที่ทรงแสดงภูมิธรรมของพระศาสดาตอนเคลื่อนพระจิตดับขันธปรินิพพาน
ก็ยังทรงเคลื่อนพระจิตออกตรงช่องว่างระหว่างรูปฌาณกะอรูปฌาณระหว่างฌาณ4กะฌาณ5
:b44:


เข้าใจพระองค์ตามปัญญาของตนของตน เพราะมันว่างจากสมมติที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ทั้งหมด
ปัญญา3ระดับ 1.สุตมยปัญญญา 2.จินตามยปัญญญา 3.ภาวนามยปัญญา
เห็นพระองค์ด้วยปัญญา3ระดับไม่ใช่เห็นคำในพระไตรปิฎกค่ะตามปัญญาของตน
เข้าใจตรงตามที่พระองค์ทรงแสดงตามสติปัญญาศรัทธาความเพียรด้วยปัญญาค่ะ
ที่ข้าพเจ้าเขียนแสดงแค่ปัญญาหยาบๆขั้นฟังเท่านั้นเองก็แย้งได้ตรงไหนผิดจากคำสอนงิ
:b39: :b39:
:b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 15:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
eragon_joe เขียน:
เอกอนฉงฉั๋ยง่ะ...ท่านเช่นนั้น

ที่บางครั้งเวลาที่กล่าวถึง
"พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ 3 อย่างคือ
(1) สักกายทิฏฐิ
(2) วิจิกิจฉา
(3) สีลัพพตปรามาส"

แต่ทำไมเวลาที่ผู้ที่เข้าใจว่าตนเข้าถึง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แล้ว
เมื่อกลาวถึง สัตตานัง เขากลับยังแสดงความรู้ความเข้าใจความเห็นที่ ไม่ชัวร์
เหมือนกับไม่เข้าใจ สภาพแห่งสัตตานัง ง่ะ

:b1: :b1: :b1:

เพราะ ผู้ปฏิบัติหมายรู้ในความเป็นโสดาบันคลาดเคลื่อนไป
หรือ ทัศนะ ในธรรมนี้ จะเห็นธรรมนั้นได้ภูมิธรรมต้องสูงกว่านั้น
:b1:

เอกอน ถามถึงภูมิธรรมของบุคคลอื่น ซึ่งมีความขัดแย้งกับสิ่งที่เขาแสดงอยู่นะครับ
เช่นนั้น ไม่อาจจะตอบได้ครับ. เราไม่สามารถคาดเดาได้หากปราศจากการคลุกคลีด้วยได้ครับ

eragon_joe เขียน:

ธรรมอันนี้ ถ้าจะเห็นแจ้ง ต้อง วิปัสสนาญาน ระดับไหนคะ

:b1:

พระพุทธองค์ไม่ได้ แบ่งแยกจัดระดับวิปัสสนาญาณครับ
ไม่พึงสนใจครับ


s005 s005 s005

อิอิ ท่านเช่นนั้นรู้ทันง่ะ

:b34: :b34: :b34:

:b9: :b9: :b9:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2015, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:

...นี่ปัญญาจากการฟังที่เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้า...
แล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่กล้ายืนยันว่าได้พบพระริพพาน


Rosarin เขียน:
Kiss
รบกวนไปทบทวนว่าที่ทรงแสดงภูมิธรรมของพระศาสดาตอนเคลื่อนพระจิตดับขันธปรินิพพาน
ก็ยังทรงเคลื่อนพระจิตออกตรงช่องว่างระหว่างรูปฌาณกะอรูปฌาณระหว่างฌาณ4กะฌาณ5
:b44:


เข้าใจพระองค์ตามปัญญาของตนของตน เพราะมันว่างจากสมมติที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ทั้งหมด
ปัญญา3ระดับ 1.สุตมยปัญญญา 2.จินตามยปัญญญา 3.ภาวนามยปัญญา
เห็นพระองค์ด้วยปัญญา3ระดับไม่ใช่เห็นคำในพระไตรปิฎกค่ะตามปัญญาของตน
เข้าใจตรงตามที่พระองค์ทรงแสดงตามสติปัญญาศรัทธาความเพียรด้วยปัญญาค่ะ
ที่ข้าพเจ้าเขียนแสดงแค่ปัญญาหยาบๆขั้นฟังเท่านั้นเองก็แย้งได้ตรงไหนผิดจากคำสอนงิ
:b39: :b39:
:b40:
อ๋อ!ปัญญาขั้นการฟังมา. หุหุ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2015, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:

:b1:
...ความหมายก็ตามที่เขียนไม่เปลี่ยนค่ะ...จิตพระอรหันต์เป็นความสงบที่เป็นจิตล้วนล้วนหมดสิ้นกิเลส...
...เหลือเพียงความว่างที่เป็นสภาวะนิพพาน...ใครจะรู้ความจริงถ้ายังไม่ถึงนิพพาน...แต่ศึกษาให้เข้าใจ...
...ที่รู้ภาษาบาลีเกี่ยวกับพระธรรมนั้นคือความจำคำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆก็คือไม่เข้าใจจิต...
...อภิธรรม/1จิตเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เป็นประธาน 2เจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตเป็นกรรม...
...3รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นเสียง รส กลิ่น โต๊ะ เก้าอี้ ตาลปัตร ใบลาน แม่น้ำป่าไม้ ภูเขา ฯลฯ...
...4นิพพานเป็นสภาวะธรรมที่รู้เด่นอยู่ภายในว่ามีความว่างที่ปราศจากจิตแบบว่างเปล่าที่ต่างไปจากจิต...
...ว่างจากกิเลสและปล่อยวางอารมณ์ทางโลกไปนิ่งสงบ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น นิพพานไม่ใช่จิต...
...จิตและเจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลยแต่จิตไปยึดมั่น ทั้ง3อย่างไม่ใช่นิพพานเกิดและดับพร้อมกัน...
...ความดับกิเลสคือดับความไม่รู้ที่จิตและเจตสิกไปปรุงแต่งว่ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง...
...รูปจึงเป็นสภาพที่ไม่มีตัวตนและไม่ใช่นิพพาน...นิพพานจึงว่างจากจิตเจตสิกรูปจึงไม่เกิดไม่ดับค่ะ...
:b12:
...จิตพระอรหันต์เป็นจิตล้วนๆเป็นธาตุรู้สภาพรู้ที่เด่นภายในมีอารมณ์ว่างจากกุศลและอกุศลจึงไม่เกิดไม่ดับ...
...จิตท่านว่างถึงวิมุติหลุดพ้นจากอารมณ์ของโลกเป็นความว่างที่มีอยู่จริงๆจึงมีคำว่าเหนือโลก(โลกุตร)...
...ท่านจะกำหนดรู้อารมณ์ของโลกก็ได้...กำหนดรู้อารมณ์ฌาณก็ได้...นิพพานว่างเปล่าแต่ไม่สูญหาย...
...โลกว่างเปล่าตามธรรม...นิพพานว่างเปล่าจากสมมุติทั้งปวง...หลวงตามหาบัวท่านเรียกเมืองพอ...
...ละเอียดพอไหมที่จะขยายความว่า จิตพระอรหันต์ท่านจึงไม่เกิด ไม่ดับจึงเป็นอัพยากตาจิต ว่างล้วนๆ...
...จิต เจตสิก รูป ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองที่ทุกคนกำลังมีเกิดและดับตลอดเวลาแต่ไม่รู้...ปุถุชนตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ...
:b16: :b43:
:b44:
นิพพานแล้วเหรอถึงเอามาอธิบาย คิดว่าสิ่งที่อธิบายใช่เหรอ

...ถ้ามีปัญญาอธิบาย...ก็มีจะปัญญาคิดพิจารณาไตร่ตรองได้...
...แค่ปัญญาอธิบายให้เข้าใจที่ตนรู้ในภาษาไทยยังทำไม่ได้แล้ว...
...ภาษาบาลีอธิบายจะมีปัญญารึ...เข้าใจได้ในภาษาไทยสำหรับคนไทย...
...ถ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาแตกฉานในภาษาบาลี...
...ก็เขียนอธิบายให้คนที่ไม่เรียนบาลีเข้าใจสั้นๆ...
...ที่ข้าพเจ้าเขียนเนี่ยเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว...
...ก็คิดสิไม่ได้บอกให้เชื่อ...
...คนมีปัญญาเขาคิดได้ค่ะ...
...ห่วงตัวเองเถอะคิดถูกไหม...
...ลองอธิบายที่ท่านคิดมา...
:b12:

...นี่ปัญญาจากการฟังที่เป็นความเข้าใจของข้าพเจ้า...
แล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่กล้ายืนยันว่าได้พบพระริพพาน


Rosarin เขียน:
Kiss
รบกวนไปทบทวนว่าที่ทรงแสดงภูมิธรรมของพระศาสดาตอนเคลื่อนพระจิตดับขันธปรินิพพาน
ก็ยังทรงเคลื่อนพระจิตออกตรงช่องว่างระหว่างรูปฌาณกะอรูปฌาณระหว่างฌาณ4กะฌาณ5
:b44:


เข้าใจพระองค์ตามปัญญาของตนของตน เพราะมันว่างจากสมมติที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ทั้งหมด
ปัญญา3ระดับ 1.สุตมยปัญญญา 2.จินตามยปัญญญา 3.ภาวนามยปัญญา
เห็นพระองค์ด้วยปัญญา3ระดับไม่ใช่เห็นคำในพระไตรปิฎกค่ะตามปัญญาของตน
เข้าใจตรงตามที่พระองค์ทรงแสดงตามสติปัญญาศรัทธาความเพียรด้วยปัญญาค่ะ
ที่ข้าพเจ้าเขียนแสดงแค่ปัญญาหยาบๆขั้นฟังเท่านั้นเองก็แย้งได้ตรงไหนผิดจากคำสอนงิ
:b39: :b39:
:b40:
อ๋อ!ปัญญาขั้นการฟังมา. หุหุ

หุหุปัญญาขั้นหยาบๆของผู้อ่านที่คิดตามหรือท่านหลับตาอ่านหรือเป็นภาวนามยปัญญาล่ะ
ส่วนปัญญาของผู้เขียนแสดงปัญญาทั้งขั้นที่เคยฟังมาแล้วไตร่ตรองมาแล้ว
แม้ขณะที่เขียนก็มีสติระลึกเป็นไปในพระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่รู้หรา
:b16: :b12:
:b39:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร