วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 14:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเราจะต้องมาถกเถียงกันในสิ่งที่เราคาดเดา
คิดเอาเองไม่ได้..ในเมื่อเราไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปรู้หรือเข้าไปเห็นเองด้วยจิต..ทำไมเราต้องมาวิตกวิจารณ์..ในสิ่งที่เกินปัญญาพวกเรา..ทำไมเราไม่ทำให้แจ้งเอง..รู้เอง...เราจะได้ไม่ต้องไปกล่าวพาดพิงคำบอกเล่าของพระภิกษุสาวก..ที่ใครๆก็ต่างเคารพท่านเทิดทูนนท่าน...มันบาปนะเจ้าค่ะ..
ถ้าเรายังไม่ใช่ผู้ห่างไกลจากกิเลศ...คุนน้องกลัวนรกกินกบาล..เลิกเถอะค่ะนิพพานเมืองแก้ว..จบพอได้แล้ว..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 17:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.luangta.com/thamma_forum/for ... orumID=438

แบบว่า ไปเจอ link นี้

อ้างคำพูด:
ความเข้าใจอายตนะนิพพาน

ขอเมตตาหลวงตาพิจารณาความเข้าใจนี้ว่าถูกหรือไม่ ได้ยินคำว่าอายตนะนิพพานแล้ว รู้สึกว่าเป็นคำที่ใช้ได้ดีอย่างมาก คำว่าอายตนะคือ ระบบการรับรู้ จะต้องมีสองส่วนคือ สิ่งของ วัตถุ หรือ คลื่นเสียง ระบบกลิ่น ระบบรส ที่มาตกกระทบกับอวัยวะ แต่อวัยวะนั้นไม่ได้รับรู้ เพราะว่ากันตามจริงแล้ว อวัยวะไม่มีผู้รับรู้ แต่ผู้รับรู้โดยตรงคือ นามธรรมตัวหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนคนทั่วไปจะเอา นามธรรมผู้รู้นี้ ปนกันระบบรู้ ปนกับร่างกายและอวัยวะ และบอกว่าเขาเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน ได้กลิ่น และลิ้มรส แต่ผู้ปฏิบัติเพื่อการรู้เห็นตามความเป็นจริงจะทราบได้ และแจกแจงได้ถึงความเป็นคนละส่วนของระบบทั้งหมด ระบบจิตล้วนๆของพระอรหันต์จะแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากระบบทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถึงแม้จิตจะภูมิใจในความเป็นผู้รู้ล้วน ๆ ว่ารู้แล้ว ว่าระบบอายตนะภายใน ภายนอกเป็นอย่างไร และไม่ติดในความรู้ ความเห็นใด ๆ ในจิตนี้ แล้วก็ตาม แต่จิตลืมไปว่า มันยังติดอยู่ในตัวตนเองที่ยังวิจารณ์ ตัวอื่น ๆนอกเหนือตัวมัน ลืมที่จะหันมาวิจารณ์ตัวเอง เมื่อได้หันมาวิจารณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ปัญญาจะเห็นว่า ผู้รับรู้นี้เป็นเพียง ระบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้น และมีความเป็นตัวเป็นตน หลอกให้จิตเชื่อว่า เป็นตัวเป็นตนตามมันไป จิตที่เห็นความจริง จะแยกออกมาจากระบบนี้ และมีความรู้ ความเห็นอันหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้ ความเห็นอันนี้แหละ ซึ่งรู้ความจริง ในระบบทั้งหมด รวมถึงรู้ความจริงในตัวผู้รู้มันเองด้วยเป็นอายตนะหนึ่งเดียวที่มีในจิตที่บริสุทธิ์

เรียนคุณหมาน้อย หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบเป็นแนวธรรมศึกษาให้คุณ ไว้วันที่ ๓๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

หลวงตา : โอ๊ย.เอาละไม่อยากพูด คำว่า อายตนะนิพพาน จะรู้ได้ชัดและเข้าใจกัน มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วน ๆ เท่านั้น เพราะอายตนะนิพพานเป็นสมบัติประจำท่านตลอด จ้าเข้าไปปั๊บนี่ถึงแล้วถึงกันหมดแล้ว นี่พูดเข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละอายตนะนิพพาน พอบรรลุธรรมปึ๋งถึงกันหมด นี่อายตนะนิพพานของพระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน พวกเรามาถามนี้ เดี๋ยวเห่าไปทางนั้น เดี๋ยวเห่าไปทางนี้ เดี๋ยวไอ้หยองเห่าทางนี้เดี๋ยวไอ้ปุกกี้เห่าทางนี้ เราเลยจะต้มยำหมาไม่ไหววันนี้ เอาละพอ

อายตนะนิพพานเป็นของเล่นเมื่อไร แต่เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ พอบรรลุธรรมปึ๋งอายตนะนิพพานถึงกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละอายตนะนิพพานโดยแท้เป็นอย่างนี้ อย่างอื่นก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ที่จ้าขึ้นเลยทันทีไม่ต้องถามกัน ทุก ๆ องค์บรรดาสิ้นกิเลสด้วยกันแล้วก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นผู้ทรงอายตนะนิพพานสมบูรณ์แบบ เข้าใจไหม แล้วจะมีข้อคัดค้านตรงไหนอีกล่ะว่ามาซิ

โยม : ขอให้มีอายตนะนิพพาน จะได้เข้าใจกว่านี้
หลวงตา : ก็พูดแล้วนี่ อายตนะนิพพาน เช่น พระอรหันต์นี่นะ เช่น สมมุติหลวงตาบัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ นี่ก็อายตนะนิพพาน แน่ะ ก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ตุ๊กตาเข้าใจไหม มันก็เท่านั้นเองจะว่าอะไรอีก พูดขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจ นี่ละธรรมประเภทที่ท่านก็พูดออกมาสำหรับปุถุชนเรานี้ไม่เข้าใจเลย อันนี้เราแน่นอนไม่เข้าใจเลย จะพูดแยกไปไหนก็ไม่เข้าใจ พอว่า อายตนะนิพพาน พระอรหันต์ทรงไว้สมบูรณ์แบบทุกองค์ ถึงกันหมดทันที อันนี้เข้าใจด้วยกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ พอผางเข้าจุดนั้นแล้วเป็นอายตนะนิพพานด้วยกันหมดเลย เข้าใจเหรอ ท่านไม่สงสัยกันเลย ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีมากมีน้อยเพียงไร แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่สงสัยพระอรหันต์ เพราะเป็นอายตนะนิพพานด้วยกัน สงสัยกันหาอะไร แน่ะเท่านั้น


:b8: :b8: :b8:

ตัวอย่างของการเข้าใจได้ยาก ในเรื่องของ อายตนะ

ดังนั้นจะเป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดาว่า อายตนะ ของพระนักปฏิบัติที่มีชั่วโมงบินที่สูง
จะเข้าไปรับรู้อะไร อย่างไร
ซึ่งมันยากสำหรับผู้ที่มีชั่วโมงบินที่ต่ำกว่า จะเข้าใจได้

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 มิ.ย. 2015, 17:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 17:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://reocities.com/area51/keep/2913/book02/p24.html

อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์ได้ทรงบรรยายถึงสภาพของ นิพพาน ว่า เป็นอายตนะชนิดหนึ่ง ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกบาลีเถรวาท หลายแห่ง เช่น ปาฏลิคามวัคค์ อุทาน. ขุ.๒๕/๒๐๖/๑๕๘ แต่ที่จะสามารถเข้าใจ ได้อย่างละเอียด สำหรับผู้สงสัยใน สภาพ หรือ ภพ ของ นิพพาน ที่ท่านได้ขยายความถึง สภาพ ลักษณะ ของ นิพพาน ว่าเป็น อายตนะ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสแก่ เกวัฏฏคหบดีบุตร ณ ปาวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา ปรากฏเป็นหลักฐานใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี สี.ที. ๙/๒๗๗ - ๒๘๓/๓๔๓ -๓๕๐) ว่า

"คือ อายตนะ หนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่มีทางปฏิบัติ เข้ามาถึงได้โดยรอบ นั้นมีอยู่ใน อายตนะ นั้นแหละ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่อาจหยั่งลงได้

ใน อายตนะ นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจหยั่งลงได้

ใน อายตนะ นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิทใน อายตนะ นี้ เพราะความดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้"


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 18:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=438

แบบว่า ไปเจอ link นี้

อ้างคำพูด:
ความเข้าใจอายตนะนิพพาน

ขอเมตตาหลวงตาพิจารณาความเข้าใจนี้ว่าถูกหรือไม่ ได้ยินคำว่าอายตนะนิพพานแล้ว รู้สึกว่าเป็นคำที่ใช้ได้ดีอย่างมาก คำว่าอายตนะคือ ระบบการรับรู้ จะต้องมีสองส่วนคือ สิ่งของ วัตถุ หรือ คลื่นเสียง ระบบกลิ่น ระบบรส ที่มาตกกระทบกับอวัยวะ แต่อวัยวะนั้นไม่ได้รับรู้ เพราะว่ากันตามจริงแล้ว อวัยวะไม่มีผู้รับรู้ แต่ผู้รับรู้โดยตรงคือ นามธรรมตัวหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนคนทั่วไปจะเอา นามธรรมผู้รู้นี้ ปนกันระบบรู้ ปนกับร่างกายและอวัยวะ และบอกว่าเขาเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน ได้กลิ่น และลิ้มรส แต่ผู้ปฏิบัติเพื่อการรู้เห็นตามความเป็นจริงจะทราบได้ และแจกแจงได้ถึงความเป็นคนละส่วนของระบบทั้งหมด ระบบจิตล้วนๆของพระอรหันต์จะแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากระบบทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถึงแม้จิตจะภูมิใจในความเป็นผู้รู้ล้วน ๆ ว่ารู้แล้ว ว่าระบบอายตนะภายใน ภายนอกเป็นอย่างไร และไม่ติดในความรู้ ความเห็นใด ๆ ในจิตนี้ แล้วก็ตาม แต่จิตลืมไปว่า มันยังติดอยู่ในตัวตนเองที่ยังวิจารณ์ ตัวอื่น ๆนอกเหนือตัวมัน ลืมที่จะหันมาวิจารณ์ตัวเอง เมื่อได้หันมาวิจารณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ปัญญาจะเห็นว่า ผู้รับรู้นี้เป็นเพียง ระบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้น และมีความเป็นตัวเป็นตน หลอกให้จิตเชื่อว่า เป็นตัวเป็นตนตามมันไป จิตที่เห็นความจริง จะแยกออกมาจากระบบนี้ และมีความรู้ ความเห็นอันหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้ ความเห็นอันนี้แหละ ซึ่งรู้ความจริง ในระบบทั้งหมด รวมถึงรู้ความจริงในตัวผู้รู้มันเองด้วยเป็นอายตนะหนึ่งเดียวที่มีในจิตที่บริสุทธิ์

เรียนคุณหมาน้อย หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบเป็นแนวธรรมศึกษาให้คุณ ไว้วันที่ ๓๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

หลวงตา : โอ๊ย.เอาละไม่อยากพูด คำว่า อายตนะนิพพาน จะรู้ได้ชัดและเข้าใจกัน มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วน ๆ เท่านั้น เพราะอายตนะนิพพานเป็นสมบัติประจำท่านตลอด จ้าเข้าไปปั๊บนี่ถึงแล้วถึงกันหมดแล้ว นี่พูดเข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละอายตนะนิพพาน พอบรรลุธรรมปึ๋งถึงกันหมด นี่อายตนะนิพพานของพระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน พวกเรามาถามนี้ เดี๋ยวเห่าไปทางนั้น เดี๋ยวเห่าไปทางนี้ เดี๋ยวไอ้หยองเห่าทางนี้เดี๋ยวไอ้ปุกกี้เห่าทางนี้ เราเลยจะต้มยำหมาไม่ไหววันนี้ เอาละพอ

อายตนะนิพพานเป็นของเล่นเมื่อไร แต่เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ พอบรรลุธรรมปึ๋งอายตนะนิพพานถึงกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละอายตนะนิพพานโดยแท้เป็นอย่างนี้ อย่างอื่นก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ที่จ้าขึ้นเลยทันทีไม่ต้องถามกัน ทุก ๆ องค์บรรดาสิ้นกิเลสด้วยกันแล้วก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นผู้ทรงอายตนะนิพพานสมบูรณ์แบบ เข้าใจไหม แล้วจะมีข้อคัดค้านตรงไหนอีกล่ะว่ามาซิ

โยม : ขอให้มีอายตนะนิพพาน จะได้เข้าใจกว่านี้
หลวงตา : ก็พูดแล้วนี่ อายตนะนิพพาน เช่น พระอรหันต์นี่นะ เช่น สมมุติหลวงตาบัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ นี่ก็อายตนะนิพพาน แน่ะ ก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ตุ๊กตาเข้าใจไหม มันก็เท่านั้นเองจะว่าอะไรอีก พูดขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจ นี่ละธรรมประเภทที่ท่านก็พูดออกมาสำหรับปุถุชนเรานี้ไม่เข้าใจเลย อันนี้เราแน่นอนไม่เข้าใจเลย จะพูดแยกไปไหนก็ไม่เข้าใจ พอว่า อายตนะนิพพาน พระอรหันต์ทรงไว้สมบูรณ์แบบทุกองค์ ถึงกันหมดทันที อันนี้เข้าใจด้วยกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ พอผางเข้าจุดนั้นแล้วเป็นอายตนะนิพพานด้วยกันหมดเลย เข้าใจเหรอ ท่านไม่สงสัยกันเลย ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีมากมีน้อยเพียงไร แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่สงสัยพระอรหันต์ เพราะเป็นอายตนะนิพพานด้วยกัน สงสัยกันหาอะไร แน่ะเท่านั้น


:b8: :b8: :b8:

ตัวอย่างของการเข้าใจได้ยาก ในเรื่องของ อายตนะ

ดังนั้นจะเป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดาว่า อายตนะ ของพระนักปฏิบัติที่มีชั่วโมงบินที่สูง
จะเข้าไปรับรู้อะไร อย่างไร
ซึ่งมันยากสำหรับผู้ที่มีชั่วโมงบินที่ต่ำกว่า จะเข้าใจได้

:b1:





:b8: :b8: :b8: สำหรับภูมิของพระอริยะเจ้าที่ยังไม่บรรลุอรหันต์พวกท่านๆคงได้สัมผัสกันแล้วนะคุณเอกอน นิพพานบางเวลา คงไม่สงสัยในนิพพานเหมือนเราๆ ท่านๆ จิตของพวกท่านคงไม่อยากมุ่งไปนิพพานเท่ากับมุ่งทำให้พ้นทุกข์ ( ความคิดของสุชาวดีค่ะ s005 )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 19:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
สุชาวดี เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
student เขียน:
nongkong เขียน:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่


เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่

เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0
พระพุทธองค์กล่าวไว้ชัดเจน..เด่วจะถอดออกมาเป็นคำพูดธรรมดาๆให้เข้าใจ..พระพุทธองค์ กล่าวถึงขันธ์5 กายที่มีตัณหานำไปสู่ภพ..ขาดแล้ว..คือพระองค์ตรัสว่า..ภพชาติพระองค์สิ้นแล้ว..เมื่อกายแตก มนุษย์เทวดาจะไม่เห็นกาย ตถาคต

ปล.แล้วใครบอกว่า หลวงปู่หลวงตาเห็นกาย ตถาคต..มีชาวพุทธส่วนใหญ่เข้าใจผิดมากว่า..พระพุทธองค์กายแตกแล้วจะไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์..ทั้งทีพระองค์ก็บอกอยู่ว่า กายอันมีตัณหานำไปสู่ภพ..นั่นคือกายหยาบที่เป็นขันธ์5..แล้วใครจะไปสามารถเห็นตถาคตที่มีกายหยาบได้..

พอมีพระอริยะสงฆ์เห็นพระพุทธเจ้าในนิมิตก็พากันวิพากวิจารณ์กัน..


พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องปฎิจจสมุปบาท คือ เหตุของภพคือตัญหา ท่านไม่ได้หมายถึง กายหยาบแตกสิ้นชีพแล้ว ยังมีกายละเอียดครับ ท่านชี้ให้เห็นถึงความแตกดับ และภพที่ขาดแล้วเพราะตัญหาสิ้น ท่านไม่ได้พูดเป็นนัยให้เข้าใจว่า กายละเอียดท่านยังปรากฎอยู่

อีกนัยหนึ่งก็คือ ตัณหาไม่สิ้น ก็ยังมีภพอีกต่อๆไป เป็นเรื่องของปฎิจจสมุปบาทครับ ไม่ใช่เรื่องของการเห็นท่าน

คุนน้องรู้ค่ะ..ว่าพระพุทธองค์พูดถึงปฏิจสมุปบาท..และคุนน้องไม่ได้กล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีกายละเอียด..ใครอยากจะตีความหมายไปในทางใดก็ช่างเขาค่ะ..คุนน้องมีหน้าที่ทำให้ชาวพุทธเข้าใจความจริงว่า..พระพุทธเจ้ากายแตกแต่มิได้ขาดสูญ..คุนน้องเชื่อหลวงปู่หลวงตาครูบาอาจารย์ดีกว่า..ทำไมคุนน้องต้องเชื่อคนที่ยังไม่บรรลุธรรม..หรือฆราวาสที่มีความเห็นผิด..ขนาดเรื่ององค์พระปฐมยังมาถกเถียงกัน..
สงสัยพระพุทธเจ้าไม่ขาดสูญแล้วอยู่ที่ไหนครับ

อยู่ที่จิต รู้ได้ด้วยจิต ยามมืดบอด คุนน้องจะเห็นพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นที่จิต..ตรัสสอนธรรมคุนน้องในจิต.ความมืดบอดในจิตก็ปรากฏความสว่างสไสว.เพราะเหตุนีคุนน้องถึงนอบน้อมในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ..ใครจะจาบจ้วง พระรัตนตรัยต่อหน้าคุนน้อง มิได้..




ขออนุญาติเสริมนะคะคุณน้อง พุทธะ อยู่ในจิตผู้รู้ค่ะ จิตผู้รู้มีอยู่ตรงไหนพุทธะจะมีอยู่ที่นั่น จิตผู้รู้ไม่เกิดในผู้ได พุทธะจะไม่เกิดไม่เห็นในผู้นั้น :b41: :b41:

อนุโมทนา คุนสุชาดาค่ะ..ขอให้เจริญในธรรม..
คุนน้องสัมผัสที่ตัวผู้รู้ของ คุนสุชาดา..จากสภาวะธรรมที่เคยกล่าว..คุนน้องเห็นความเป็นพุทธในจิตคุนสุชาดานะ..คือบอกไม่ถูกคุนน้องไม่เคยเห็นคลื่นพลังกลุ่มดำในจิตคุนสุชาดาเลย..ยังแปลกใจนิดหน่อย..ว่าคุนสุชาดาก็คงไม่ใช่ธรรมดา




s005 ขอบคุณค่ะที่ประเมินพี่สุชาวดี สูงเกินไป รู้มั้ยคะคุณน้อง พี่สุชาวดีมีความรู้เรื่องพระอภิธรรม ในพระสูตรตา่งๆน้อยมากถึงไม่มีเลยค่ะ(เพราะปัญญาน้อยความเพียรเลยน้อย) พอได้เข้ามาในเวปนี้ถึงได้รู้ว่าแต่ละท่าน มีความรู้กว้างขวางมากค่ะ พี่อาศัยฟังเทศจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในยูทูปค่ะ ชอบปฏิบัติเลย ผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งบอกว่า พี่ปฏิบัติแบบลูกทุ่ง

:b48: พี่ยังเป็นผู้มากด้วยกิเลศและโง่เขลาอีกมากค่ะ คุณน้องซะอีกมีสีสันในบอร์ดมากค่ะ บางคอมเม้นท์ ที่ตักเตือนคุณน้องก็น้อมรับ อ่านคุณน้องไปพี่ก็ยิ้มไป :b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 19:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

คิดกันง่ายๆ ถ้าองค์ปฐมมี ก็แสดงว่า สังสารวัฏฏ์ นั้นมีที่สิ้นสุด ขัดกับคำสอนจริงไหม?
ถ้านิพพานเป็นเมืองแก้วหรือเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าไปเกิดอยู่หรือพระอรหันต์เกิดไปอยู่นั้น
ทีเรียกว่าไม่แก่ ไม่ตาย มันก็จะไปขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย

ถ้าเราจะคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ เมืองแก้วนั้นจะเป็นเมืองที่ไม่มีความสุขเลย เพราะจะแออัดไปด้วย
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่ไปสะสมที่มีอยู่ก่อนแล้วที่มีจำนวนมาก ที่ไม่แก่ ไม่ตาย
เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก็ขนสัตว์ให้พ้นไปจากวัฏฏ์จนนับไม่ถ้วน
แล้วพระพุทธเจ้าก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วนเช่นกัน จึงนับว่าเมืองแก้วไม่ใช่เมืองที่น่าจะไปเลย


คิดกันง่ายๆ ถ้าองค์ปฐมมี ก็แสดงว่า สังสารวัฏฏ์ นั้นมีที่สิ้นสุด ขัดกับคำสอนจริงไหม?

นี้เป็นสังขารปรุงแต่ง..ของลุงหมานเอง..ว่า..." ถ้ามี...ก็แสดงว่า...."...

ถ้านิพพานเป็นเมืองแก้วหรือเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าไปเกิดอยู่หรือพระอรหันต์เกิดไปอยู่นั้นทีเรียกว่าไม่แก่ ไม่ตาย มันก็จะไปขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย
พระพุทธเจ้าไปเกิด...พระอรหันต์ไปเกิด..นี้เป็นคำพูดลุงหมานเองนะ.... :b32: :b32:

ถ้าเราจะคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ เมืองแก้วนั้นจะเป็นเมืองที่ไม่มีความสุขเลย เพราะจะแออัดไปด้วยพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่ไปสะสมที่มีอยู่ก่อนแล้วที่มีจำนวนมาก ที่ไม่แก่ ไม่ตาย
เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก็ขนสัตว์ให้พ้นไปจากวัฏฏ์จนนับไม่ถ้วน
แล้วพระพุทธเจ้าก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วนเช่นกัน จึงนับว่าเมืองแก้วไม่ใช่เมืองที่น่าจะไปเลย


พอพูดว่าเป็นเมืองแก้ว....เราก็ติดคิดเอาแบบที่คุ้นชินแบบโลก..ที่มีกว้าง x ยาว x สูง..
พอมีพื้นที่..มีปริมาณ...ก็มีแออัด...มีหลวม

พอมีผัสสะอะไรขึ้นมา...มันก็ปรุงแต่ง..จากที่สิ่งที่เคยเจอ...นี้แหละ...ขันธ์5...ที่ไม่สามารถปรุงแต่งจากสิ่งที่มันไม่เคยเจอมาก่อนเลย..แม้สักอย่างเดียว

นี้แหละที่พระผู้มีพระภาคเจ้า..สอนให้...ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์5

ในความปรุงของผมนะ...เมืองแก้ว...ก็เหมือนเมืองที่อยู่ในจอคอมพ์หรือจอทีวี...มีแขกมา..ก็เปิดให้แขกมาเยี่ยมดู....แขกไป..ก็ปิด...เมืองในจอคอมพ์จึงไม่ต้องมีอาณาเขต..ต้องมีที่อยู่..ที่อาศัย...ทั้งเมืองที่ดูเหมือยกว้างใหญ่ไพศาลก็แค่จอคอมพ์..เท่านั้น..แล้วจะเอาอะไรไปแออัด...

เมืองแก้ว...มีอยู่...เมื่อผัสสะ

และกระผมก็พร้อมที่จะเปลี่ยนจากที่ตัวเองคิดปรุงนะ...เมื่อถึงเวลานั้น...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเทวดาปู่ย่าตาทวด...หรือบุคคลที่เคนรู้จัก..มาหาคุณ
ท่านก็มาหาในรูปแบบที่มีอยู่ในสัญญาความจำของคุณ..ไม่งั้น...ลูกหลานก็จำไม่ได้

แต่..ไอ้รูปเดิมนั้น....มันสลายไปตั้งนานแล้ว...แต่พอจะมาสื่อสารกับคุณ...ก็ต้องแสดงมาในรูปที่คุณพอจะจำได้

ซึ่งก็แสดงได้หลายๆรูป...คนนี้จะจำรูปในชาติโน้นได้..ก็แสดงภาพในชาติโน้น
คนนี้จะจำรูปเมื่อ 10 ชาติที่แล้วได้..ก็แสดงภาพในรูปนั้น

แต่ทั้งหลายๆรูปนั้น..ก็มีต้นตอ..คือจุดเดียวกัน

หากจุด..จุดนั้น..จะสื่อสารกับพวกที่ติดโลกอยู่....ก็ต้องแสดงในรูปที่โลกๆเข้าใจ

เมืองแก้ว....ก็เป็นตัวแสดงอีกรูปแบบหนึ่ง...ของจุดบริสุทธิ์อันนั้น...

ความคิดปรุงอันนี้...ก็พร้อมจะเปลี่ยน...เมื่อถึงเวลา :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 06:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ทำไมเราจะต้องมาถกเถียงกันในสิ่งที่เราคาดเดา
คิดเอาเองไม่ได้..ในเมื่อเราไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปรู้หรือเข้าไปเห็นเองด้วยจิต..ทำไมเราต้องมาวิตกวิจารณ์..ในสิ่งที่เกินปัญญาพวกเรา..ทำไมเราไม่ทำให้แจ้งเอง..รู้เอง...เราจะได้ไม่ต้องไปกล่าวพาดพิงคำบอกเล่าของพระภิกษุสาวก..ที่ใครๆก็ต่างเคารพท่านเทิดทูนนท่าน...มันบาปนะเจ้าค่ะ..
ถ้าเรายังไม่ใช่ผู้ห่างไกลจากกิเลศ...คุนน้องกลัวนรกกินกบาล..เลิกเถอะค่ะนิพพานเมืองแก้ว..จบพอได้แล้ว..

การที่เราถกเถียงกันนี้ก็เพื่อให้เกิดปัญญา หาความรู้ของแต่ละคนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร
และจะแตกต่างกันอย่างไร จะผิดหรือจะถูกเป็นเรื่องผู้ติดตามอ่านเขาจะเชื่อหรือตัดสินใจอย่างไรว่า
อันไหนผิดหรือถูก บางที่คนติดตามอ่านเขาจะเชื่อคนที่ตอบผิดๆก็ได้ สิ่งที่ตอบถูกพูดจริงกลับไม่เชื่อ
กลับไปเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ เพราะเขาไม่สามารถที่จะมีปัญญากรองเหตุผลได้

เราก็จะไม่วิจารณ์ครูบาอาจารย์ท่านใดที่เป็นที่เคารพนับถือของคนส่วนมาก
อย่างน้อยๆ มันก็ผิดในเรื่องกฏกติกาของบอร์ด แต่เราก็ต้องดูว่า ครูบาอาจารย์บางท่าน
ก็มีความเห็นสุดโต่งก็มีเยอะแยะ เช่น อาจพูดว่า มีเมืองแก้วเมืองนิพพาน ที่เป็นดินแดนสุขาวดี
เป็นเมืองที่ ไม่เกิด ไม่ตาย มีความเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล

ถ้ามันดังนั้นจริงพระพุทธเจ้าสมณโคดมของเราที่ท่านกล่าวว่าที่อยู่ของสัตว์มีเพียง ๓๑ ภูมิ
เป็นอันว่าไม่ถูกต้อง เพราะแดนสุขาวดีก็เป็นภูมิ ที่เพิ่มขึ้นมาอีก ๑ ภูมิ จะเป็นภูมิที่ ๓๒ ใช่หรือไม่?
คำว่าภูมินั้นก็คือสถานที่อยู่ที่เกิดที่อาศัยของสัตว์จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นเราก็ต้องวิเคราะห์
วิจารณ์ได้ ไม่ใช่ใครพูดแล้วเราต้องเชื่อตามหมดอย่างนี้แหละโง่ตายเลย

น้องก้องก็หัดพยายามคิดหน่อย อย่าเอาบาปมาเป็นข้ออ้าง เอานรกมาขู่เพื่อตัดทอนปัญญา
ให้หยุดวิภาควิจารณ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 06:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=438

แบบว่า ไปเจอ link นี้

อ้างคำพูด:
ความเข้าใจอายตนะนิพพาน

ขอเมตตาหลวงตาพิจารณาความเข้าใจนี้ว่าถูกหรือไม่ ได้ยินคำว่าอายตนะนิพพานแล้ว รู้สึกว่าเป็นคำที่ใช้ได้ดีอย่างมาก คำว่าอายตนะคือ ระบบการรับรู้ จะต้องมีสองส่วนคือ สิ่งของ วัตถุ หรือ คลื่นเสียง ระบบกลิ่น ระบบรส ที่มาตกกระทบกับอวัยวะ แต่อวัยวะนั้นไม่ได้รับรู้ เพราะว่ากันตามจริงแล้ว อวัยวะไม่มีผู้รับรู้ แต่ผู้รับรู้โดยตรงคือ นามธรรมตัวหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนคนทั่วไปจะเอา นามธรรมผู้รู้นี้ ปนกันระบบรู้ ปนกับร่างกายและอวัยวะ และบอกว่าเขาเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน ได้กลิ่น และลิ้มรส แต่ผู้ปฏิบัติเพื่อการรู้เห็นตามความเป็นจริงจะทราบได้ และแจกแจงได้ถึงความเป็นคนละส่วนของระบบทั้งหมด ระบบจิตล้วนๆของพระอรหันต์จะแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากระบบทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถึงแม้จิตจะภูมิใจในความเป็นผู้รู้ล้วน ๆ ว่ารู้แล้ว ว่าระบบอายตนะภายใน ภายนอกเป็นอย่างไร และไม่ติดในความรู้ ความเห็นใด ๆ ในจิตนี้ แล้วก็ตาม แต่จิตลืมไปว่า มันยังติดอยู่ในตัวตนเองที่ยังวิจารณ์ ตัวอื่น ๆนอกเหนือตัวมัน ลืมที่จะหันมาวิจารณ์ตัวเอง เมื่อได้หันมาวิจารณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ปัญญาจะเห็นว่า ผู้รับรู้นี้เป็นเพียง ระบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้น และมีความเป็นตัวเป็นตน หลอกให้จิตเชื่อว่า เป็นตัวเป็นตนตามมันไป จิตที่เห็นความจริง จะแยกออกมาจากระบบนี้ และมีความรู้ ความเห็นอันหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้ ความเห็นอันนี้แหละ ซึ่งรู้ความจริง ในระบบทั้งหมด รวมถึงรู้ความจริงในตัวผู้รู้มันเองด้วยเป็นอายตนะหนึ่งเดียวที่มีในจิตที่บริสุทธิ์

เรียนคุณหมาน้อย หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบเป็นแนวธรรมศึกษาให้คุณ ไว้วันที่ ๓๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

หลวงตา : โอ๊ย.เอาละไม่อยากพูด คำว่า อายตนะนิพพาน จะรู้ได้ชัดและเข้าใจกัน มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วน ๆ เท่านั้น เพราะอายตนะนิพพานเป็นสมบัติประจำท่านตลอด จ้าเข้าไปปั๊บนี่ถึงแล้วถึงกันหมดแล้ว นี่พูดเข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละอายตนะนิพพาน พอบรรลุธรรมปึ๋งถึงกันหมด นี่อายตนะนิพพานของพระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน พวกเรามาถามนี้ เดี๋ยวเห่าไปทางนั้น เดี๋ยวเห่าไปทางนี้ เดี๋ยวไอ้หยองเห่าทางนี้เดี๋ยวไอ้ปุกกี้เห่าทางนี้ เราเลยจะต้มยำหมาไม่ไหววันนี้ เอาละพอ

อายตนะนิพพานเป็นของเล่นเมื่อไร แต่เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ พอบรรลุธรรมปึ๋งอายตนะนิพพานถึงกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละอายตนะนิพพานโดยแท้เป็นอย่างนี้ อย่างอื่นก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ที่จ้าขึ้นเลยทันทีไม่ต้องถามกัน ทุก ๆ องค์บรรดาสิ้นกิเลสด้วยกันแล้วก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นผู้ทรงอายตนะนิพพานสมบูรณ์แบบ เข้าใจไหม แล้วจะมีข้อคัดค้านตรงไหนอีกล่ะว่ามาซิ

โยม : ขอให้มีอายตนะนิพพาน จะได้เข้าใจกว่านี้
หลวงตา : ก็พูดแล้วนี่ อายตนะนิพพาน เช่น พระอรหันต์นี่นะ เช่น สมมุติหลวงตาบัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ นี่ก็อายตนะนิพพาน แน่ะ ก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ตุ๊กตาเข้าใจไหม มันก็เท่านั้นเองจะว่าอะไรอีก พูดขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจ นี่ละธรรมประเภทที่ท่านก็พูดออกมาสำหรับปุถุชนเรานี้ไม่เข้าใจเลย อันนี้เราแน่นอนไม่เข้าใจเลย จะพูดแยกไปไหนก็ไม่เข้าใจ พอว่า อายตนะนิพพาน พระอรหันต์ทรงไว้สมบูรณ์แบบทุกองค์ ถึงกันหมดทันที อันนี้เข้าใจด้วยกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ พอผางเข้าจุดนั้นแล้วเป็นอายตนะนิพพานด้วยกันหมดเลย เข้าใจเหรอ ท่านไม่สงสัยกันเลย ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีมากมีน้อยเพียงไร แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่สงสัยพระอรหันต์ เพราะเป็นอายตนะนิพพานด้วยกัน สงสัยกันหาอะไร แน่ะเท่านั้น


:b8: :b8: :b8:

ตัวอย่างของการเข้าใจได้ยาก ในเรื่องของ อายตนะ

ดังนั้นจะเป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดาว่า อายตนะ ของพระนักปฏิบัติที่มีชั่วโมงบินที่สูง
จะเข้าไปรับรู้อะไร อย่างไร
ซึ่งมันยากสำหรับผู้ที่มีชั่วโมงบินที่ต่ำกว่า จะเข้าใจได้

:b1:


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เวลาเทวดาปู่ย่าตาทวด...หรือบุคคลที่เคนรู้จัก..มาหาคุณ
ท่านก็มาหาในรูปแบบที่มีอยู่ในสัญญาความจำของคุณ..ไม่งั้น...ลูกหลานก็จำไม่ได้

แต่..ไอ้รูปเดิมนั้น....มันสลายไปตั้งนานแล้ว...แต่พอจะมาสื่อสารกับคุณ...ก็ต้องแสดงมาในรูปที่คุณพอจะจำได้

ซึ่งก็แสดงได้หลายๆรูป...คนนี้จะจำรูปในชาติโน้นได้..ก็แสดงภาพในชาติโน้น
คนนี้จะจำรูปเมื่อ 10 ชาติที่แล้วได้..ก็แสดงภาพในรูปนั้น

แต่ทั้งหลายๆรูปนั้น..ก็มีต้นตอ..คือจุดเดียวกัน

หากจุด..จุดนั้น..จะสื่อสารกับพวกที่ติดโลกอยู่....ก็ต้องแสดงในรูปที่โลกๆเข้าใจ

เมืองแก้ว....ก็เป็นตัวแสดงอีกรูปแบบหนึ่ง...ของจุดบริสุทธิ์อันนั้น...

ความคิดปรุงอันนี้...ก็พร้อมจะเปลี่ยน...เมื่อถึงเวลา :b16:

:b1: :b1: :b1:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 06:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
http://reocities.com/area51/keep/2913/book02/p24.html

อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์ได้ทรงบรรยายถึงสภาพของ นิพพาน ว่า เป็นอายตนะชนิดหนึ่ง ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกบาลีเถรวาท หลายแห่ง เช่น ปาฏลิคามวัคค์ อุทาน. ขุ.๒๕/๒๐๖/๑๕๘ แต่ที่จะสามารถเข้าใจ ได้อย่างละเอียด สำหรับผู้สงสัยใน สภาพ หรือ ภพ ของ นิพพาน ที่ท่านได้ขยายความถึง สภาพ ลักษณะ ของ นิพพาน ว่าเป็น อายตนะ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสแก่ เกวัฏฏคหบดีบุตร ณ ปาวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา ปรากฏเป็นหลักฐานใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี สี.ที. ๙/๒๗๗ - ๒๘๓/๓๔๓ -๓๕๐) ว่า

"คือ อายตนะ หนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่มีทางปฏิบัติ เข้ามาถึงได้โดยรอบ นั้นมีอยู่ใน อายตนะ นั้นแหละ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่อาจหยั่งลงได้

ใน อายตนะ นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจหยั่งลงได้

ใน อายตนะ นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิทใน อายตนะ นี้ เพราะความดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้"


:b1: :b1: :b1:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2015, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


[๕๖๒] สหัมบดีพรหม ได้กราบทูลดังนี้แล้ว ครั้นแล้วได้กล่าวนิคม
คาถาอีกว่า
พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดที่ล่วงไปแล้วก็ดี พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเหล่าใดที่ยังไม่มีมาก็ดี และพระสัมพุทธเจ้าพระองค์
ใดในบัดนี้ผู้ยังความโศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายก็ดี
พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ ทรงเคารพพระสัทธรรม
อยู่แล้วยังอยู่และจักอยู่ต่อไป
ข้อนี้เป็นธรรมดาของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ กุลบุตรผู้รักตน
หวังความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย พึงเคารพพระสัทธรรม ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๔๔๘๓ - ๔๕๓๔. หน้าที่ ๑๙๔ - ๑๙๖.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 483&Z=4534


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2015, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


องค์ปฐม...

การจะเรียกองค์ที่หนึ่ง..องค์ที่สอง..ส่วนตัว..เชื่อว่า..ก็ต้องมีหลักอะไรสักอย่าง...มาใช้วัดเป็นเกณฑ์เรียก...เช่น...ของจักรวาลนี้..หรือในอาณาบริเวณนี้..ส่วนโลกที่มีอายุ แค่ประมาณ 4,800 ล้านปี..ดูจากอายุโลก...อาจมีพระพุทธเจ้าเพียงแค่ 1 พัน 6 ร้อยพระองค์..ซึ่ง..น้อยมาก...เมื่อไปเทียบกับเม็ดทรายในมหาสมุทร..(ถ้าคิดประมาณว่า..3 ล้านปี..จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาพระองค์หนึ่ง)..

ซึ่งจริง ๆ โลก.อาจเกิดดับ..เกิดดับ..ไปแล้วหลาย ๆ ครั้ง...ตลอดการอุบัติของพระพุทธเจ้า

แต่กว่าจะตรัสรู้..ก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาก่อน..แสดงว่า..มนุษย์เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนหน้าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม..

ซึ่ง...เราเองก็อาจเกิดก่อนที่องคปฐมจะตรัสรู้..เสียอีก

ก็คิดดูเถอะ..ว่าพวกเรา..โง่กันมานาน..ขนาดไหน

:b5: :b5: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2016, 19:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


huh huh huh

จะอ่านเอาอะไรหนอ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2016, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เวลาเทวดาปู่ย่าตาทวด...หรือบุคคลที่เคนรู้จัก..มาหาคุณ
ท่านก็มาหาในรูปแบบที่มีอยู่ในสัญญาความจำของคุณ..ไม่งั้น...ลูกหลานก็จำไม่ได้

แต่..ไอ้รูปเดิมนั้น....มันสลายไปตั้งนานแล้ว...แต่พอจะมาสื่อสารกับคุณ...ก็ต้องแสดงมาในรูปที่คุณพอจะจำได้

ซึ่งก็แสดงได้หลายๆรูป...คนนี้จะจำรูปในชาติโน้นได้..ก็แสดงภาพในชาติโน้น
คนนี้จะจำรูปเมื่อ 10 ชาติที่แล้วได้..ก็แสดงภาพในรูปนั้น

แต่ทั้งหลายๆรูปนั้น..ก็มีต้นตอ..คือจุดเดียวกัน

หากจุด..จุดนั้น..จะสื่อสารกับพวกที่ติดโลกอยู่....ก็ต้องแสดงในรูปที่โลกๆเข้าใจ

เมืองแก้ว....ก็เป็นตัวแสดงอีกรูปแบบหนึ่ง...ของจุดบริสุทธิ์อันนั้น...

ความคิดปรุงอันนี้...ก็พร้อมจะเปลี่ยน...เมื่อถึงเวลา :b16:

เละ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร