วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 06:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
กรรม

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.



ก็ต้องดูลำดับเหตุการณ์ว่าในดับชาติปัจจุบัน
หรือด้ับด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เพราะแม้พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเสวยกรรมเก่า
พระพุทธเจ้าก็ยังเสวยกรรมเก่า
แม้พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเสวยเวทนา
แม้พระพุทธเจ้าก็ยังเสวยเวทนา
เวทนามีได้เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย


ลูบๆคลำๆ ต่อไปนะ

เผื่อจะช่วยให้ หายคัน(วิจิกิจฉา)ได้บ้าง


:b14: :b14: :b14:

...
การสาธยายธรรม...ตัดบทจบกันอย่างนี้
...

:b21: :b21: :b21:





อันนี้ วลัยพรพูดตามความเป็นจริงนะ

เพราะบางคน งัดแงะ ขุดแคะสัญญาไปเรื่อยๆ(ลูบๆคลำๆ) แก้ความสงสัย ที่ตนมีอยู่
วิจิกิจฉาที่มีอยู่ จะค่อยๆเบาบางลงไปเอง

หากผู้นั้น ยังมีความตั้งใจทำความเพียรต่อเนื่อง

เมื่อถึงเวลาเหตุปัจจัยพร้อม เขาจะรู้กันเอง

วลัยพรจะเลือกการสร้างเหตุ
ไม่กระทำพร่ำเพรื่อแบบก่อนๆ



ไม่มีอะไรมาก แค่บ่นพึมพำๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับกระทู้นี้ วลัยพรคิดว่า สมควรจบการสนทนาเพียงแค่นี้

ส่วนคนอื่นๆ หากยังมีความติดใจ
ใครใคร่อยากสนทนากันต่อ เชิญตามสะดวก

หากอยู่ในกรอบ เจ้าหน้าที่ไม่ล็อคกระทู้



สำหรับวลัยพร สนทนาในสิ่งที่คิดว่า สิ่งที่สมควรนำมาบอก

ส่วนใครจะมองเห็นหรือไม่ แล้วแต่เหตุปัจจัย


ตัวใคร ตัวมัน

ของแบบนี้(การดับเหตุของการเกิด) ไม่มีใครทำแทนกันได้ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ วลัยพร กำลังใช้ พุทธวจนะ อยู่นะ

ตรองดูดี ๆ

ผู้ที่นำพุทธวจนะมาใช้ในการสาธยายธรรม สนทนาโต้ตอบธรรม
การประคองอารมณ์ให้การสนทนาให้ราบรื่น...เป็นเรื่องสำคัญ นะ
ถ้าผู้หยิบยกธรรมอันเป็นพุทธวจนะมา
แต่ตามรักษาอารมณ์ไม่ได้
สิ่งที่จบ ไม่ใช่แต่การสนทนา ไม่ใช่แค่ตัวผู้สนทนา นะ

การสนทนาธรรม
ถ้าผู้สนทนาธรรมทำให้ผู้ที่เข้ามาติดตามการสนทนาสบประมาทในการสนทนาได้
ธรรมที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ธรรมที่ถูกนำมาใช้เพื่อการสนทนา ก็เป็นอันถูกสบประมาทได้
ว่า ธรรมเหล่านั้น ที่ถูกหยิบยกมานั้น ยังขัดเกลาผู้สนทนายังไม่ได้
แล้ว...ธรรมนั้น...จะดำรงความน่าเชื่อถืออยู่ได้อย่างไร
...

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 ม.ค. 2014, 11:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ให้เข้าใจ
ให้มองเห็นภาพ
การสนทนาที่ยังศรัทธาให้เสื่อม ด้วย

.....

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แต่ วลัยพร กำลังใช้ พุทธวจนะ อยู่นะ

ตรองดูดี ๆ

ผู้ที่นำพุทธวจนะมาใช้ในการสาธยายธรรม สนทนาโต้ตอบธรรม
การประคองอารมณ์ให้การสนทนาราบรื่น...เป็นเรื่องสำคัญ นะ
ถ้าผู้หยิบยกธรรมอันเป็นพุทธวจนะมา
แต่ตามรักษาอารมณ์ไม่ได้
สิ่งที่จบ ไม่ใช่แต่การสนทนา ตัวตนผู้สนทนา นะ

...


การสนทนาธรรม
ถ้าผู้สนทนาธรรมทำให้ผู้ที่เข้ามาติดตามการสนทนาสบประมาทในการสนทนาได้
ธรรมที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ธรรมที่ถูกนำมาใช้เพื่อการสนทนา ก็เป็นอันถูกสบประมาทได้
ว่า ธรรมเหล่านั้น ที่ถูกหยิบยกมานั้น ยังขัดเกลาผู้สนทนายังไม่ได้
แล้ว...ธรรมนั้น...จะดำรงความน่าเชื่อถืออยู่ได้อย่างไร

:b1:



eragon_joe เขียน:
ให้เข้าใจ
ให้มองเห็นภาพ
การสนทนาที่ยังศรัทธาให้เสื่อม ด้วย

.....

:b8: :b8: :b8:





คำกล่าว ที่เอกอน กล่าวมา เป็นเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่ของเอกอน

และ สิ่งที่เอกอน กำลังกระทำอยู่นี้ เป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่


เรื่องอารมณ์ใดๆ เป็นสิ่งที่เอกอน คาดเอาเอาเอง


สิ่งที่วลัยพร คิดว่า ควรนำมาพูด คือ การกระทำเพื่อดับเหตุของการเกิด ตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ โดยอาศัยพุทธวจนะ

ส่วนใครอ่านแล้ว สำคัญมั่นหมายว่าอย่างไร ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน(เชื่อ ไม่เชื่อ)
และเหตุปัจจัยที่เขามีอยู่ ทั้งเหตุปัจจัยที่กระทำขึ้นใหม่ ทุกๆขณะ ที่เกิดจาก ผัสสะเป็นเหตุปัจจัย


ใครจะรับรู้แค่ไหน วลัยพรไม่ใส่ใจ เพราะ รู้ว่า เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย


อย่าเสียเวลาคดเดาอารมณ์ของวลัยพร จงดูตัวเองให้มากๆ

รู้ชัดในสิ่งที่ตัวเองยังมีอยู่มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะดับเหตุของการเกิดยิ่งมีมาก



วลัยพรไม่สานต่อ(แค่บอกให้รู้ เดี๋ยวมาคาดเดาเอาเองอีกว่า ต้องอย่างงั้น อย่างงี้)

ส่วนใครจะสานต่อ เป็นเรื่องเหตุปัจจัย เหตุใคร เหตุมัน


สิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัว ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน


ทุกคนมีหน้าที่ ดับเหตุที่ตัวเอง ไม่ใช่ดับนอกตัว เพียงแต่ จะรู้กันหรือยัง เท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

...

แต่
รักษาตัวรอดด้วย
รักษาผู้อื่นรอดด้วย
รักษาธรรมรอดด้วย
เป็นยอดคุณธรรม

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

...

แต่
รักษาตัวรอดด้วย
รักษาผู้อื่นรอดด้วย
รักษาธรรมรอดด้วย
เป็นยอดคุณธรรม

:b8: :b8: :b8:






ไม่เป็นไรเอกอน

เอาเป็นว่า วลัยพรเข้าใจความรู้สึกที่เอกอนกล่าวมา

วลัยพรขอเอาตัวเองรอดก่อน เพราะ ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เหตุของความไม่รู้ชัดในผัสสะ


walaiporn เขียน:
กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.




ย่อมไม่รู้ชัดในเวทนา


ภิกษุ ท. ! สังโยชน์ ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่.
สิบประการอย่างไรเล่า ?

สิบประการ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท :
เหล่านี้ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา :
เหล่านี้ คือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล สัญโญชน์ ๑๐ ประการ.
- ทสก. อํ. ๒๔/๑๘-๑๙/๑๓.



ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ)
นั่นคือผัสสะ ;

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา อันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
บุคคลนั้น เมื่อสุขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ;
อนุสัยคือราคะ ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ) ;

เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ ย่อมคร่ำครวญ
ย่อมตีอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหลอยู่ ;
อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น.


เมื่อเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่สุขถูกต้องอยู่ เขาย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้นไป) ของเวทนานั้นด้วย ;
อนุสัยคืออวิชชา ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละราคานุสัยอันเกิดจากสุขเวทนาไม่ได้ ;
ยังบรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาไม่ได้ ;

ยังถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้ ;
เมื่อยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้ เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว,

เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้.
(ในกรณีแห่ง หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ก็ได้ตรัสโดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งตา).
- อุปริ.ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.



เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนาอยู่ ไม่รู้จักชัดซึ่งเวทนานั้น
ราคานุสัยย่อมมี แก่เขาผู้มองไม่เห็น ทางออกจาก อำนาจของเวทนานั้น.

เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทนาอยู่ ไม่รู้จักชัดซึ่งเวทนานั้น
ปฏิฆานุสัยย่อมมี แก่เขาผู้มองไม่เห็นทางออกจาก อำนาจของเวทนานั้น.

บุคคลเพลิดเพลินแม้ในอทุกขมสุข อันพระภูริปัญญา-
พุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นธรรมอันรำงับ ก็หาพ้นจากทุกข์ไปได้ไม่.

เมื่อใดภิกษุ มีความเพียรเผากิเลส ไม่ทอดทิ้งสัมปชัญญะ
ก็เป็นบัณฑิต รอบรู้เวทนาทั้งปวง.

ภิกษุนั้น เพราะรอบรู้ซึ่งเวทนา จึงเป็นผู้ไม่มีอาสวะในทิฏฐธรรม เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม
จนกระทั่งกายแตก จบเวท ไม่เข้าถึงซึ่งการนับ (ว่าเป็นอะไร) แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๔/๓๖๓-๓๖๔.




วิธีทำ เพื่อให้เกิดการกระทำดังนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.




ยิ่งการกระทำแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


walaiporn เขียน:



การละสังโยชน์


ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก หาได้โลก.

สี่จำพวกเหล่าไหนบ้าง ? สี่จำพวก คือ :-

(๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายที่ยังละไม่ได้,
มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกที่ยังละไม่ได้, และมีสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ ละสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
แต่มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีก ที่ยังละไม่ได้, มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ ละสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
ทั้งยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้มีการเกิดอีกได้ด้วย, แต่มีสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๔)บุคคลบางคนในโลกนี้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
ละสังโยชน์ ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกได้แล้ว และยังละสังโยชน์ด้วยเหตุ ให้ต้องมีภพได้อีกด้วย.


(ประเภทที่ ๑) ภิกษุ ท. ! พระสกิทาคามี นี้แล เป็นผู้ยังละสังโยชน์ ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลาย ไม่ได้ทั้งหมด
ละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกยังไม่ได้ และละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ยังไม่ได้.

(ประเภทที่ ๒) ภิกษุ ท. ! พระอนาคามีพวกที่มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ นี้แล
เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้ทั้งหมด แต่ยังละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องเกิดอีกไม่ได้
และละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องมีภพยังไม่ได้.

(ประเภทที่ ๓) ภิกษุ ท. ! พระอนาคามี พวกที่จักปรินิพพานในระหว่างนี้แล
เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้ด้วย ละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องเกิดอีกได้ด้วย
แต่ยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้มีภพไม่ได้.

(ประเภทที่ ๔) ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ขีณาสพ นี้แล เป็นผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้
ละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกได้ และยังละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพได้อีกด้วย.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ คือบุคคล ๔ จำพวก มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๑/๑๓๑.




ผู้ที่ยังมีกิเลส สามารถกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้




วิธีกระทำ

เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด

แค่ดู และรู้ ตามความเป็นจริง ของความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
มีสติรู้อยู่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น





ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.

ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือเมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.







ปิดท้ายกระทู้ อีกครั้ง สำหรับสิ่งที่ควรรู้กัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จริง ๆ กระทู้นี้สะท้อนภาพอะไรได้มากมายเลยละ

ทำให้เราพอจะมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า
ในองค์ประกอบแห่งศาสนาที่จะยืนยาว
1.พระศาสดา
2.พระธรรมอันพระศาสดาดรัสสอน
3.สาวกที่ปฏิบัติธรรม อันนำพระธรรมนั้นมาปฏิบัติด้วยดีแล้ว

:b1:

ศาสนาจึงจะดำรงอยู่ได้ ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

??????????????????????????????????????????????????????????????????

จากที่ได้ศึกษา อภิธรรมพื้นฐาน

จิตพระอรหันต์ ไม่มีเหล่า กุศลจิต และ เหล่า อกุศลจิต

การกระทำกรรม มีได้ เพราะกุศลจิต และ อกุศลจิต

ในเมื่อ จิตพระอรหันต์ ไม่เป็นกุศล อกุศล การกระทำทุกประการของพระอรหันต์จึงไม่จัดเป็นกรรม

ไม่มีกรรม ก็ไม่มี วิบาก ที่จะส่งผลย้อมกลับมาตอบสนอง ในอนาคต อีกต่อไป

เป็นผู้อยู่โดย ไม่กระทำกรรม อีกต่อไป

แต่การดำเนินชีวิต การทำนั่นทำนี่ ของพระอรหันต์ เป็นไปด้วย กิริยาจิต ............ เป็นแค่กิริยา

เมื่อได้สอบถาม ผู้รู้ทางอภิธรรม ก็ได้คำตอบว่า พระอรหันต์มีเจตนาเจตสิก มีผัสสะเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง เช่นกัน

เจตนาเจตสิก และผัสสะเจตสิก ที่เกิดพร้อมวิบากจิต และกิริยาจิต ........... ของพระอรหันต์

ตราบเท่าที่ ท่านยังคงมีจิต มีวิญญาณ มิอาจปราศจาก เจตสิก 7 ดวงได้เลย


////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
พอจะสรุปได้ว่า
กรรม คือการกระทำที่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต
กิริยา คือการกระทำที่ไม่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 16:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

อรหัต์ปฏิจจสมุปบาทขาดแล้ว ผัสสะย่อมดับไป เวทนาจะมีได้อย่างไร
อย่าท่องตามคำศัพท์ซิ แบบนี้เวทนาก็ยังอยู่น่ะซิ ไอ้ที่เหลืออยู่เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรม
มันไม่มีการปรุงแต่งแล้ว เป็นอสังขตธรรม(กรุณาไปดูพระสูตรประกอบ)

ไอ้ที่เหลืออยู่แล้วเข้าใจว่าเป็นเวทนานั้นน่ะ มันไม่ใช่มันเป็นเพียงความรู้สึก
ที่เป็นความจำเกิดที่สมอง(รูปธรรม)




ธรรมะจิ้นเอา ย่อมไม่สนใจพุทธพจน์อยู่แล้วนี่
พุทธพจน์ตรัสเป้งๆว่าอริยสาวกยังเสวยเวทนา

Quote Tipitaka:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=5572&Z=5634
สัลลัตถสูตร
[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวยสุขเวทนา
บ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง [i] อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อม
เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขเวทนา
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ ย่อมถึงความ
งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและเวทนาทางใจ ฯ
.....

[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวก ผู้ได้สดับ อันทุกขเวทนาถูก
ต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
งมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ฯ[/i]





พุทธพจน์ตรัสเป้งๆว่าพระพุทธเจ้ายังเสวยเวทนา

Quote Tipitaka:
[๙๓] ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยใน
อัมพปาลีวันแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด
เราจักไปยังบ้านเวฬุวคาม ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคพร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงบ้านเวฬุวคามแล้ว ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในบ้านเวฬุวคามนั้น ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจำพรรษารอบ
เมืองเวสาลี ตามที่เป็นมิตรกัน ตามที่เคยเห็นกัน ตามที่เคยคบกันเถิด ส่วนเรา
จะจำพรรษาในบ้านเวฬุวคามนี้แหละ พวกภิกษุทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค
แล้ว จำพรรษารอบเมืองเวสาลีตามที่เป็นมิตรกัน ตามที่เคยเห็นกัน ตามที่เคย
คบกัน ส่วนพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาในบ้านเวฬุวคามนั้นแหละ ครั้งนั้นเมื่อ
พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว ทรงประชวรอย่างหนัก เกิดเวทนาอย่างร้ายแรง
ถึงใกล้จะปรินิพพาน ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ
อดกลั้น ไม่พรั่นพรึง ทรงพระดำริว่า การที่เราจะไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ไม่
อำลาภิกษุสงฆ์ปรินิพพานเสียนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากระไร เราพึงใช้ความ
เพียรขับไล่อาพาธนี้ ดำรงชีวิตสังขารอยู่เถิด ฯ





อ้างคำพูด:
พูดแบบนี้ขาดสมาธิแยกแยะธรรม เข้าใจธรรมผิดแต่ต้น การหยิบธรรมตัวอื่นมาพูดมันก็เลย
ส่งผลให้ผิดไปหมด

ดูก็รู้แล้วว่า....คุณเกาคงจะเข้าใจว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึงการตายของพระอรหันต์ :b32:

ตลกอีกแล้วครับ! แบบนี้รู้เลยครับว่า ไม่รู้จักสอุปาทิเสสคืออะไร
อนุปาทิเสสคืออะไร :b32:




พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
นิพพานธาตุ ภาวะแห่งนิพพาน;
นิพพาน หรือ นิพพานธาตุ ๒ คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ




ตลกเข้าไปอีก

รูปภาพ

ขำหนักเข้าไปกว่านั้น

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


จะขำกว่านี้มั้ย พระไตรปิฏกมีเป็นกุรุฏ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


ลูบๆคลำๆ ต่อไปนะ

เผื่อจะช่วยให้ หายคัน(วิจิกิจฉา)ได้บ้าง



ก็จิ้นต่อไปครับ
จะได้เข้าใจไปเองว่าวิจิกิจฉาหมดแล้ว
Quote Tipitaka:
http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd18.htm

๑๐. ผัสสมูลกสูตร
ว่าด้วยเวทนามีผัสสะเป็นมูล

[๒๕๘] “ภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ ประการนี้เกิดจากผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล
มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย
เวทนา ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา
๓. อทุกขมสุขเวทนา
เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา สุขเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะ
อันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นนั่นแลดับ สุขเวทนาที่เกิดเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่
ตั้งแห่งสุขเวทนาที่เสวยอยู่อันเกิดจากผัสสะนั้นก็ดับคือสงบไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๘ หน้า :๒๘๒ }


ก็ในเมื่อขณะมีชีวิตพระอรหันต์ยังเสวยเวทนาอยู่แล้วผัสสะจะหมดดับสิ้นเชิงไปได้อย่างไร
Quote Tipitaka:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=5572&Z=5634
สัลลัตถสูตร
[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวยสุขเวทนา
บ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง [i] อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อม
เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขเวทนา
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ ย่อมถึงความ
งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและเวทนาทางใจ ฯ
.....

[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวก ผู้ได้สดับ อันทุกขเวทนาถูก
ต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
งมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ฯ[/i]


การสนทนาธรรมก็ควรถกด้วยเหตุด้วยผล

เวลาถูกคนแย้งด้วยเหตุผล อ้างที่มาได้
ก็ควรแสดงว่าเห็นต่างอย่างไร เพราะเหตุใด
แสดงที่มาว่าที่ฉันแย้งนะเพราะแบบนี้ โดยไม่จิ้นเอา

ถ้าตอบไม่ได้ ก็ลองพิจารณาดูว่าที่เขายกมานั้นสมเหตุผลหรือไม่
ถ้าเอาแต่ประชดประชันเหมือนสาวๆวัยรุ่น
ปฏิบัติธรรมที่บ้านไม่ดีกว่ารึ


แก้ไขล่าสุดโดย cantona_z เมื่อ 13 ม.ค. 2014, 17:01, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

??????????????????????????????????????????????????????????????????

จากที่ได้ศึกษา อภิธรรมพื้นฐาน

จิตพระอรหันต์ ไม่มีเหล่า กุศลจิต และ เหล่า อกุศลจิต

การกระทำกรรม มีได้ เพราะกุศลจิต และ อกุศลจิต

ในเมื่อ จิตพระอรหันต์ ไม่เป็นกุศล อกุศล การกระทำทุกประการของพระอรหันต์จึงไม่จัดเป็นกรรม

ไม่มีกรรม ก็ไม่มี วิบาก ที่จะส่งผลย้อมกลับมาตอบสนอง ในอนาคต อีกต่อไป

เป็นผู้อยู่โดย ไม่กระทำกรรม อีกต่อไป

แต่การดำเนินชีวิต การทำนั่นทำนี่ ของพระอรหันต์ เป็นไปด้วย กิริยาจิต ............ เป็นแค่กิริยา

เมื่อได้สอบถาม ผู้รู้ทางอภิธรรม ก็ได้คำตอบว่า พระอรหันต์มีเจตนาเจตสิก มีผัสสะเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง เช่นกัน

เจตนาเจตสิก และผัสสะเจตสิก ที่เกิดพร้อมวิบากจิต และกิริยาจิต ........... ของพระอรหันต์

ตราบเท่าที่ ท่านยังคงมีจิต มีวิญญาณ มิอาจปราศจาก เจตสิก 7 ดวงได้เลย


////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
พอจะสรุปได้ว่า
กรรม คือการกระทำที่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต
กิริยา คือการกระทำที่ไม่ส่งผลเป็นวิบากในอนาคต



ตามนั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
โฮฮับ เขียน:

อรหัต์ปฏิจจสมุปบาทขาดแล้ว ผัสสะย่อมดับไป เวทนาจะมีได้อย่างไร
อย่าท่องตามคำศัพท์ซิ แบบนี้เวทนาก็ยังอยู่น่ะซิ ไอ้ที่เหลืออยู่เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรม
มันไม่มีการปรุงแต่งแล้ว เป็นอสังขตธรรม(กรุณาไปดูพระสูตรประกอบ)

ไอ้ที่เหลืออยู่แล้วเข้าใจว่าเป็นเวทนานั้นน่ะ มันไม่ใช่มันเป็นเพียงความรู้สึก
ที่เป็นความจำเกิดที่สมอง(รูปธรรม)




ธรรมะจิ้นเอา ย่อมไม่สนใจพุทธพจน์อยู่แล้วนี่
พุทธพจน์ตรัสเป้งๆว่าอริยสาวกยังเสวยเวทนา

Quote Tipitaka:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=5572&Z=5634
สัลลัตถสูตร
[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวยสุขเวทนา
บ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง [i] อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อม
เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขเวทนา
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ ย่อมถึงความ
งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและเวทนาทางใจ ฯ
.....

[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวก ผู้ได้สดับ อันทุกขเวทนาถูก
ต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
งมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ฯ[/i]


อย่าดำน้ำซิครับ ปริยัติมันต้องทำให้เกิดผล ไม่ใช่การเอาบัญญติมาอ้างทั้งดุ้นแบบนี้
เป็นอย่างนี้เขาเรียกธรรมะมักง่าย...ท่องจำข้างหน้าแต่ลืมข้างหลัง
สงสัยคงไม่รู้ล่ะมั้งว่า....เวทนาที่เป็นสังขารกับเวทนาทางกายมันไม่เหมือนกัน

ในพระสูตรก็บอกอยู่ทนโท่ว่ามันไม่เหมือนกัน เวทนาทางกายมันเป็นเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย
........มันไม่ใช่เวทนาที่เป็นสังขาร หรือเป็นเวทนาขันธ์


ท่านบอกว่าไม่มีเวทนาทางใจแล้ว เหลือแต่เวทนาทางกาย.....
ถามหน่อยซิ ไอ้เวทนามันเป็นตัวเดียวกันหรือ
อย่างนี้เขาเรียก นกแก้วนกขุนทอง.....รู้ๆอยู่เวทนาทางใจมันเป็น...สังขตธรรม
เวทนาทางกายของพระอรหันต์ เป็นอสังขตธรรม(จิตพระอรหันต์เป็นนิพพาน)


ผมถามคุณจริงๆ คุณอ่านพระสูตรถึงแม้จะยังไม่มีปัญญา แต่ก็ควรเอาสมองคิด
เพื่อหาเหตุผลไปด้วย ไม่ใช่มานั้งท่องคำศัพท์
ร่างกายคนเราถ้าเกิดเจ็บป่วยหรือโดนกระทบ คนหนึ่งไม่เกิดความทุกข์ทางใจ
แต่อีกคนเกิดความทุกข์ทางใจ.....ไอ้เวทนาตัวนั้นมันเหมือนกันหรือ


จะบอกให้น่ะว่า.....จิตกับสมองมันไม่เหมือนกัน
ถ้ายังแยกแยะไม่ออก ก็ยังคงท่องจำคำศัพท์ต่อไป
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:

พุทธพจน์ตรัสเป้งๆว่าพระพุทธเจ้ายังเสวยเวทนา

Quote Tipitaka:
[๙๓] ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยใน
อัมพปาลีวันแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด
เราจักไปยังบ้านเวฬุวคาม ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคพร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงบ้านเวฬุวคามแล้ว ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในบ้านเวฬุวคามนั้น ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจำพรรษารอบ
เมืองเวสาลี ตามที่เป็นมิตรกัน ตามที่เคยเห็นกัน ตามที่เคยคบกันเถิด ส่วนเรา
จะจำพรรษาในบ้านเวฬุวคามนี้แหละ พวกภิกษุทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค
แล้ว จำพรรษารอบเมืองเวสาลีตามที่เป็นมิตรกัน ตามที่เคยเห็นกัน ตามที่เคย
คบกัน ส่วนพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาในบ้านเวฬุวคามนั้นแหละ ครั้งนั้นเมื่อ
พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว ทรงประชวรอย่างหนัก เกิดเวทนาอย่างร้ายแรง
ถึงใกล้จะปรินิพพาน ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ
อดกลั้น ไม่พรั่นพรึง ทรงพระดำริว่า การที่เราจะไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ไม่
อำลาภิกษุสงฆ์ปรินิพพานเสียนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากระไร เราพึงใช้ความ
เพียรขับไล่อาพาธนี้ ดำรงชีวิตสังขารอยู่เถิด ฯ


ยังรั้นอีกน่ะครับ พระสูตรก่อนหน้า ก็บอกอยู่ทนโท่ว่า
...เวทนาทางกายกับเวทนาทางใจ มันเป็นคนล่ะตัวกัน

ไม่ได้แยกแยะธรรมเล้ย :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร