วันเวลาปัจจุบัน 19 พ.ค. 2025, 01:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2012, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
อยากถามว่า..อาสวะ แปลว่าอะไรค่ะ ไม่เข้าใจ
ความซ่านไปสู่อารมณ์อันเป็นที่ยินดี ไม่ยินดีอันเคยชินของจิต

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2012, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตอนเราไม่มีอะไร....เราก็ไม่มีความรักความเสียใจกับสิ่งนั้น...

แต่เมื่อไรก็ตามที่เรามี..ของของเรา...เมื่อนั้นความรักความเสียใจที่เนื่องด้วยของสิ่งนั้น...ก็เกิดกับเรา

ไม่มีของ....ก็มีแค่เรา

มีของของเรา.....ก็มีทั้ง...เรา+ความรักความเสียใจ

จิตอวิชชา...ที่มีรูปสังขารเป็นของของเรา...จึงมีความทุกข์ความกังวลเพิ่มขึ้น...เปลี่ยนเป็นวิถีจิต

เพราะมีรูปสังขาร...จึงมีวิถีจิต

สังขาร...เป็นปัจจัย...วิญญาณ..จึงมี...ก็ด้วยเหตุนี้



ผมขอสรุปอย่างนี้ๆด้มั้ยครับท่าน ขันธ์5 ที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชานั้นแหละ คือตัวทุกข์
(ตัวกูของกู ตามความหมายของท่านพุทธทาสนั้น ก็คือ ขันธ์ 5 และสิ่งที่ขันธ์5 ทำให้กิดขึ้น )
เพราะทั้งสายของ สมุปบาท นั้น ก็มีแค่ ขันธ์ 5
วงรอบของอิทัป... นั้น จะเป็นเหมือนวงกลม ที่มีหลายวาง ทับกันไปมา เกิดจุดตัดส่งผลกัน ไปเรื่อยๆ
เช่น ปัจจัยของการเกิดไฟนั้น มีหลายอย่าง และในปัจจัยนั้นเอง ก็ยังมีปัจจัย ให้เกิดตัวปัจจัยเองด้วย
ดังนั้น ท่านอาจารย์ ทั้งหลาย จึงสอนให้...................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ยามเมื่อเรารักของสิ่งใด....เราย่อมเก็บมันใว้ใกล้ ๆ ตัวเรา...ก็เพื่อดูแลรักษา..ระมัดระวังไม่ให้ชำรุดสูญหาย...หนัก ๆ เข้าก็เอามาห่อยคอไปไหนไปกัน...เอาไปไม่ได้ก็นั่งเฝ้านอนเฝ้า...ก็เพราะความรักความห่วงแหน..


วิญญาณ...จึงหยั่งลงในรูปสังขาร...นามหยั่งลงในรูป...เป็นนามรูป

วิญญาณ...เป็นปัจจัย...นามรูป..จึงมี

จิตอวิชชา...ไม่เรียกชีวิต
รูปสังขาร...ไม่เรียกชีวิต
วิญญาณ...ไม่เรียกชีวิต
นามรูป....จึงเรียกชีวิต

ชีวิตก็เริ่มมีด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 00:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ยามเมื่อเรารักของสิ่งใด....เราย่อมเก็บมันใว้ใกล้ ๆ ตัวเรา...ก็เพื่อดูแลรักษา..ระมัดระวังไม่ให้ชำรุดสูญหาย...หนัก ๆ เข้าก็เอามาห่อยคอไปไหนไปกัน...เอาไปไม่ได้ก็นั่งเฝ้านอนเฝ้า...ก็เพราะความรักความห่วงแหน..


วิญญาณ...จึงหยั่งลงในรูปสังขาร...นามหยั่งลงในรูป...เป็นนามรูป

วิญญาณ...เป็นปัจจัย...นามรูป..จึงมี

จิตอวิชชา...ไม่เรียกชีวิต
รูปสังขาร...ไม่เรียกชีวิต
วิญญาณ...ไม่เรียกชีวิต
นามรูป....จึงเรียกชีวิต

ชีวิตก็เริ่มมีด้วยเหตุนี้



ด้วยเหตุเริมต้นของชิวิต พระพุทธเจ้าจึงให้เริ่มต้นพิจารณาที่ ผัสสะ ใช่มั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 00:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ห้าม..ทำลายชีวิต...เริ่มที่ตรงไหน?

ไข่..

สเปิร์ม...

ไข่+สเปิร์ม=เซล

1เซล.....เป็น...2เซล

2เซล..เป็น..4เซล

ก้อนเนื้อเริ่มมีระหยางค์ 5 ระหยางค์..

เริ่มดิ้นได้....(ผัสสะได้)

หรือ....คลอดออกมาแล้ว

ห้ามทำลายตอนไหน..ก็ตอนนั้นแหละ...ชีวิตเกิดแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 00:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่เมื่อเราเกิดมาเป็นตัวตนจนมาเป็นคนปฏิบัติธรรมภาวนา...ทุกข์ที่เจอ ก็เริ่มจากผัสสะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 00:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมีรูป...จึงรักรูป...

จากรูป...ที่เป็นแค่ของของเรา

ทุกวันนี้...รูปนี้เป็นเรา...ไปเสียแล้ว

พอรูปสลาย...ก็ว่าเราตาย

รูปทำท่าจะสลาย...ก็ว่าเราจะตาย

รูปนี้จะเป็นอันตราย...รูปนี้จะสลาย...ก็เศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณ

เศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณ...ก็เพราะเหตุที่เข้าใจว่ารูปนี้เป็นเรา...เป็นของของเรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 01:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเข้าใจจริง ๆ แล้วว่ารูปนี้...ไม่ใช่เรา.....ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณก็ไม่มี

เมื่อความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณไม่มีเพราะเข้าใจในรูปดีแล้ว.....ความเข้าใจว่าเราตาย...ก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่าอะไรตายไม่ใช่เราแล้ว....ความรู้สึกว่าเราชราก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่ารูปนี้ไม่ใช่เรา..การมีรูปเป็นภาระแล้ว....ความอยากเกิดอีกก็ไม่มีในใจเรา...ชาติก็ดับ

ชาติดับ...เพราะ..ชรา.มรณะ.ทุกขะ.โทมนัสส.อุปายาต..ดับ ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 01:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อความอยากเกิดไม่มีในใจเราแล้ว....ที่ตั้งของการเกิดก็เป็นอันไม่มีไปด้วย

ภพดับ...เพราะ...ชาติดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขารจึงมี

อ้างคำพูด:
๑. ปัญญาภิสังขาร อภิสังขาร คือ บุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขาร คือ บาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขาร คือ อเนญชา.
..........................................................
อภิสังขาร 3 (สภาพที่ปรุงแต่ง,ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ ,เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม)
1.ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ,สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร)
2.อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือบาป,สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่วได้แก่อกุศลเจตนาทั้งหลาย)
3.อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอาเนญชา,สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคงไม่หวั่นไหว ได้แก่กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4 หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน)
.................................................................
อภิสังขาร ความคิดนึกอันประกอบกับอารมณ์ ท่านแยกเป็น ๓ คือ อปุญญาภิสังขาร คิด นึกเรื่องที่ชั่วอันปรุงแต่งจิตให้ชั่วอย่างหนึ่ง ปุญญาภิสังขาร คิดนึกเรื่องที่ดี อันปรุงแต่งจิตให้ดี อย่างหนึ่ง อเนญชาภิสังขาร คิดนึกอยู่ในอารมณ์อันเดียวจนจิตแน่วแน่ไม่หวั่นไหวอีกอย่างหนึ่ง อปุญญาภิสังขาร เป็นมารของปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารก็เป็นมารของอเนญชาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารก็เป็นมารของความตรัสรู้ เป็นมารกันเป็นชั้นๆ รวมเข้าก็เรียกว่า อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร นี่อย่างหนึ่ง
http://larndham.org/index.php?/topic/17 ... age__st__1


เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี

เพราะสร้างกรรม(ด้วยกุศลเจตนาบ้าง อกุศลเจตนาบ้าง) ตายไปแล้ว จึงต้องเกิดอีก

เพราะขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สร้างกรรมดีบ้างชั่วบ้าง อยู่ตลอดจนกระทั่งตาย หลังจากตายแล้วส่งผลให้ต้องไปเกิดอีก

เพราะสังขารเป็นปัจจัย ปฏิสนธิวิญญาณจึงมี ...............................ความคิดเห็นส่วนตัวครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อเข้าใจจริง ๆ แล้วว่ารูปนี้...ไม่ใช่เรา.....ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณก็ไม่มี

เมื่อความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณไม่มีเพราะเข้าใจในรูปดีแล้ว.....ความเข้าใจว่าเราตาย...ก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่าอะไรตายไม่ใช่เราแล้ว....ความรู้สึกว่าเราชราก็ไม่มี

เมื่อเข้าใจว่ารูปนี้ไม่ใช่เรา..การมีรูปเป็นภาระแล้ว....ความอยากเกิดอีกก็ไม่มีในใจเรา...ชาติก็ดับ

ชาติดับ...เพราะ..ชรา.มรณะ.ทุกขะ.โทมนัสส.อุปายาต..ดับ ก็ด้วยเหตุนี้


ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว :b8: :b8: :b8:

มองอีก ในรูปแบบ ปัจจุบันขณะ
ทุกข์ เท่านั้นที่ เกิด ทุกข์ เท่านั้นที่ ดับ นำธรรม มาหลอมรวมกัน (โยนิโสนมสิการ)ตัดวงจรการเกิดทุกข์
หรือ หากหยุดการเกิดทุกข์ไม่ได้ ก็ให้เห็นสภาวะการเกิด การตั้งอยู่ และ ดับไปของทุกข์ ในปัจจุบันนั้น
พอได้มั้ยครับท่าน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 07:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขอถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อวิชชา ครับ

อาสวะ


[ขอถามต่อ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อาสวะ ครับ

อวิชชาครับ



แล้วอะไรเกิดก่อนครับ

ไม่มีการระบุก่อนหลังครับ
อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด
อาสวะย่อมมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด
เมื่อ อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด ต้นคืออวิชชา ปลายคืออาสวะ
เมื่ออาสวะมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด ต้นคืออาสวะ ปลายคืออวิชชา

อวิชชาเป็นความไม่รู้
อาสวะเป็นความเศร้าหมองความซ่านไปในอารมณ์ของจิต

เมื่อจิตหลุดพ้น จึงหลุดพ้นด้วยปัญญา
เมื่อจิตผ่องใส จึงผ่องใสเพราะไม่เศร้าหมอง

เจริญธรรม[/quote]

:b8: :b8: :b8: ท่านกล่าวได้ดีแล้วครับ
พระพุทธองค์จึงสอน ทั้ง แบบข้ามภพ ข้ามชาติ - ปัจจุบันชาติ และ ปัจจุบันขณะ ตาม เหตุ-ปัจจัย ของ ผู้ติดข้องในธรรม ณ.เวลานั้น
ใช่ป่าวครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 08:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร....นอกจากจิต

จิตเดิมแท้ประภัสสร...

แล้ว...จิตหนึ่งคิดว่า..มีอะไรนอกจากจิตแล้วจะเป็นอย่างไร....นี้อวิชชาจรมา...

..........................................
อวิชชา...เป็นปัจจัย...สังขารจึงมี....ก็ด้วยเหตุนี้


คุ้นๆนะครับ คล้ายหลวงปูดุลย์ตอบเลย ครับท่าน

แล้วทำมั้ยอยู่ๆจิตที่ประภัสสร ถึงได้มีความคิด............ อะไรเป็น เหตุ ปัจจัย ให้จิตคิดเช่นนั้น ละครับ


ขอตอบเท่าที่เข้าใจนะค่ะ

จิตประภัสสร คือจิตที่อยู่เหนือ กิเลส ไม่มีกิเลสและตัณหาเจือปนอยู่ในจิตนั้น เมื่อจิตเป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ภายใต้กิเลสใดๆ ไม่ได้อยู่ภายใต้ฌานการกดใดๆ จิตถึงมีอิสระและมีกำลัง จึงสามารถคิดได้ คิดทะลุได้ คิดถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาที่เราเรียกว่าสัญญา พิจารณาให้เกิดเป็นปัญญาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ขนมจีบซาลาเปา :b8:
ก่อนหน้านี้ที่ผมพูดเรื่องของขันธ์ 5 เพื่อจะบอกว่าที่พี่เห็นพี่รู้นั้นถูกต้องแล้วครับที่เห็นว่ามันแยกกันคนละส่วนคนละอย่าง...
ส่วนความเห็นข้างบนนี้ผมขออธิบายอย่างนี้ครับว่า อันธรรมดาแห่งของหยาบย่อมมองเห็นได้ง่ายกว่าของละเอียด...ดังนั้นจึงเป็นการประมาทเกินไปที่เราจะมองข้ามการพิจารณาอาการอย่างหยาบแล้วไล่เข้าไปสู่อย่างละเอียดเรื่อยๆ เพราะอวิชชาตัวละเอียดสุดนั้นมันหลบฉากอยู่หลังตัวอวิชชาตัวหยาบนั่นเองครับ อีกทั้งการก้าวข้ามความหยาบแล้วไปละเอียดเลยนั้นไม่ใช่วิสัยที่จะทำได้ครับ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองพระองค์ก็ทำไม่ได้นะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


เมื่อคืนดิฉันไปนอนนึกทบทวนสิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้้มา ว่าเป็นอย่างไร รวมถึงนึกในสิ่งที่คุณลุกพระป่าแนะนำในส่วนที่เป็นเรื่องของหยาบและของละเอียด ดิฉันมองและทบทวนกับตัวเองว่า ดิฉันหยาบไปหรือ ดิฉันละเีอียดไม่พอหรือ ดิฉันต้องแก้ไขอย่างไร มองไปถึง อายตนะ12 ที่คุณลูกพระป่าพูดถึงว่าเป็นสิ่งละเอียดที่ไม่ควรมองข้าม..นึกไปนึกมา ทบทวนไปทบทวนมา ทำให้ดิฉันคิดได้ว่า

...อานตยะ12 ทำงานเสมอไม่เคยมีวันหยุดจนกว่าเราจะหมดลมหายใจ แต่ขั้นตอนของการทำงานของอายตนะ12 ผ่านการปรุงมาตามขบวนการต่างๆของขันธ์5 ทำให้มีผลออกมาคือ อารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิด ที่แสดงที่จิต.....

ดิฉันไม่รู้จะพูดอธิบายอย่างไรดีให้มันตรงกับใจ...เนื่องจากว่าคุณลูกพระป่าเป็นนักกรรมฐานอยู่แล้ว ดิฉันจะอธิบายในลักษณะของการทำกรรมฐานจะเข้าใจได้ง่ายกว่านะค่ะ..เมื่อเราทำอานาปาน จนถึงขั้น อุปจารสมาธิ อายตนะ12 ทำงานเสมอ นี่เราเอาแบบเดินจงกรมเลย มันถึงจะเห็นได้ชัดว่า อายตนะ12 ทำงานทั้งหมด...เมื่อเราทำสมาธิถึงขั้นอุปจารสมาธิ อายตนะภายนอกและภายในยังทำงานเสมอ เมื่ออายตนะภายนอกมากระทบอายตนะภายใน วิญญาณรับรู้ ต่อไปที่สังขาร ต่อไปที่สัญญาและไปถึงรูป ทำให้เกิดอาการตกใจ(กับเสียงที่มากระทบ)...นี่คือผลจากที่จิตกับอายตนะ มันเชื่อมต่อกันอยู่

เมื่อเราทำสมาธิเข้าถึงฌาน1 อายตนะ ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่เรามีสติมีสมาธิ อายตนะ12 ซึ่งทำงานอยู่เสมอจะไม่มีผลต่อจิตแล้ว เห็นไหม...อายตนะนั้น เป็นแค่เหตุเริ่มต้น เท่านั้น ถ้าเทียบกับทางด้านการทำกรรมฐานมหาสติ..อายตนะ12 เป็นแค่ตัวกำกับให้เรามีสติเท่านั้นเอง

เมื่อเรามีสติทำให้เราเห็นจิตในจิตว่า ตอนนี้จิตเราเป็น เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน หรือเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน หรือเป็น ธรรมมนุปัสสนาสติปัฎฐาน... ทุกอย่างเกิดจากเรามีสติก่อน เราถึงเห็นว่า จิตเรานั้นมีเวทนาหรือมีธรรมา หรือมีจิตตา อยู่ในจิต.....เมื่อเราเห็นแล้วนั้นเราก็แค่ดู เฉยๆใช่ไหม ดูว่า ตอนนี้จิตรู้ว่าจิตเราสุขเราก็รู้ว่าจิตเราสุข (นี่เป็นเวทนาฯ) ตอนนี้รู้ว่าจิตเราฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตเราฟุ้งซ๋าน (นี่เป็นธรรมมา) ตอนนี้รู้ว่าจิตเรามีโทสะก็รู้ว่าจิตเรามีโทสะ( นี่เป็นจิตตา) ทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิตทั้งหมด ถ้าเรามีสติเราจะเห็นได้ว่าตอนนี้จิตเราเสวยอารมณ์อะไร

เมื่อเรารู้ว่าจิตเสวยอารมณ์อะไรก็เอาสังโยชน์มาเป็นเกณฑ์ในการเดินปฎิบัติ เราทำมหาสติเพื่อพระนิพพานไม่ใช่หรือ หรือเราทำมหาสติไปเรื่อยๆ เราบอกตัวเองอยู่ว่า เราทำมหาสติเพื่อนิพพาน แต่อะไรหล่ะ จะเป็นตัววัดว่า เราเข้าไกล้พระนิพพานได้หรือยัง หรือเราทำแบบวนในอ่าง ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีตั้ง84000 พระธรรมขันธ์ ทุกธรรมนั้นดีหมด แต่เราลองสังเกตุดูไหมว่า เราเดินอยู่ในวงกตของ84000 ธรรมขันธ์หรือเปล่า ตัวที่จะพาเราออกมาได้คือสังโยชน์ตัวเดียว เป็นตัวเดียวที่เป็นเข็มทิศให้เราเดินออกจากเขาวงกตของธรรมได้

สรุปได้ว่า การดูอายตนะ12 ให้ครบทุกขบวนการตามระบบ ของอายตนะนั้น เป็นตัวก่อให้เราเกิดสติเท่าั้นั้น เพื่อที่จะให้เรามีสติรู้ว่า ตอนนี้จิตเราเสวยอารมณ์อะไรอยู่

ถ้าเทียบกับการนั้นทำสมาธิ อานาปาน การดูอายตนะทั้งขบวนการจนครบนั้น ไม่ต่างกับการ กำกับคำภาวนา ทำเพื่อให้จิตรวมและมีสติขึ้นมา...ทุกทางทุกกรรมฐานต่างกันที่วิธีการปฎิบัติ แต่ผลจะออกมาตรงกันหมดทุกกรรมฐาน

เอางี้พูดอีกอย่าง นักกรรมฐานที่ใช้อานาปานเพื่อให้เ้ข้าให้ได้ถึงฌานน่ะ เข้าต้องสำรวมกายวาจาใจ ไม่ส่งจิตออกนอก เขาถึงจะเ้ข้าฌานได้ใช่ไหม ถึงแม้เขาเข้าฌาน แต่อาตนะ12นั้น ยังทำงานอยู่ไหม แต่ทำไมเขาเข้าฌานได้ เพราะใจเข้าไม่ข้องเกี่ยวกับอายตนะ12 เลยต่างหาก(การสำรวมกายวาจาใจนั้นก็ไม่ต่างกับการสำรวมอายตนะ12 ซึ่งนักกรรมฐาน40 จะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้มากนั้น เขาเลยไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเข้าจับที่จุดใหญ่ จุดเดียว ตรงที่ว่า ตอนนี้จิตเสวยอารมณ์อะไรอยู่..)

ดิฉันเขียนมาย๊าว ยาว เพื่อจะอธิบายว่า อาตนะ12 ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญแต่มันเป็นแค่ตัวเริ่มต้นที่จะทำให้ถึงคำว่า สติ เท่าั้นั้น แต่ถ้าเราย่ำอยู่แต่กับอายตนะ12 เราจะไปถึงสติได้ช้า...เหมือนคนที่เข้าถึงฌาน2ได้แล้ว คำภาวนาหลุดแล้ว แต่ดันบอกตัวเองไปว่า โอ๊ะ ฉันลืมคำภาวนา ไม่ได้ๆ ต้องกลับไปเริ่มภาวนาใหม่..เป็นแบบนี้เมื่อไหร่จะถึงฌาน 2 สักที

ดิฉันพูดไม่เก่งอธิบายไม่เป็น การที่เขียนยาวๆ หวังว่าคุณลูกพระป่าจะเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันต้องการจะบอกนะค่ะ และนี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดอย่างไรกรุณาแก้ไขให้ดิฉันรู้ได้ถูกต้องด้วยนะค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนากับท่าน ขนมจีบซาลาเปาเจ้าค่ะ :b8: ธรรมที่ท่านเอามาแสดงถือว่า เป็นแนวทางปฏิบัติให้ดิฉันเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันต้องอ่านซ้ำๆเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งกว่านี้ tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร