วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 14:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นวาจาอันสูงสุด
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นล้วนเป็นคำจริง
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมใจเชื่ออย่างยิ่ง
ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของพระผู้มีภาคเจ้าพระองค์นั้นเลยว่าจะเป็นคำไม่จริง

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีวาจาสูงสุด

ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้
ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้
ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้
เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้
ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้

พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง
แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์
อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นวาจาอันสูงสุด
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นล้วนเป็นคำจริง
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมใจเชื่ออย่างยิ่ง
ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของพระผู้มีภาคเจ้าพระองค์นั้นเลยว่าจะเป็นคำไม่จริง

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีวาจาสูงสุด

ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้
ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้
ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้
เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้
ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้

พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง
แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์
อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.

:b8: :b8: :b8:

ขออนุญาติถามท่าน เห็นท่านแสดงธรรมเช่นนี้ ท่านเป็นพระใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ถ้าใช่ดิฉันขอ อนุโมทนาด้วยเจ้าค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 01:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมดำรงเพศคฤหัสถ์ไม่ใช่พระหรอกครับ

คุณ nongkong พึ่งทำความเลื่อมใสศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้รู้แจ้งธรรมทั้งปวงเถิด ถ้อยคำของพระองค์นั้นเป็นถ้อยคำที่พึงฟัง เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนทั้งหลาย ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ โดยประการทั้งปวงในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 01:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อุตส่าเลี่ยงไม่ตอบแล้ว...ก็ย้าง...จะวกมาจนได้ :b13: :b13:

มี 2 ครอบครัว

ครอบครัวแรก...พ่อแม่..มีทรัพย์สมบัติมาก...แต่ก็บอกลูกให้ไปหัดหาการหางานทำ

ครอบครัวที่ 2 ...พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดธนาคารใว้เลย....ได้บอกให้ลูกไปหาการหางานทำ

ลูกทั้ง สองบ้านนี้..ต่างก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน...แต่...ใครจะสบายกว่ากัน

พ่อแม่ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม...ก็เหมือนครอบครัวที่พ่อแม่มีทรัพย์สมบัติมาก...นั้นแหละ

ลูกจะรู้ได้อย่างไร?.....ความรู้สึกว่าสบายก็เหมือนกับลูกของครอบครัวที่มีทรัพย์มากรู้ว่าเขาจะได้รับมรดก...

โฮ..จะสบายใจมั้ยถ้ารู้ว่าในอนาคตเดียวก็จะได้รับมรดกมหาศาลแล้ว.. :b12: :b12: :b12:

สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
จำได้ว่าครั้งหนึ่งพี่โฮฮับเคยบอกกับผมว่า ความรักของพี่โฮฮับคือความโลภกับโทสะ...ดังนั้นพี่โฮฮับถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่กบนอกกะลาได้อุปมาอุปมัยก่อนหน้านี้...คนเราถ้าไม่รักก็ไม่มีทางสนใจความเป็นตายร้ายดี แต่ถ้าเป็นคนที่เรารักเราย่อมต้องการช่วยเหลือแนะนำเค้าด้วยความเมตตากรุณา...ถ้าพี่โฮฮับไม่ดื้อดึงดันเกินไปย่อมเข้าใจว่า การลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความรักอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความเมตตากรุณานั้นมันต่างจากการลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความโกรธโทสะอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความขัดข้องขุ่นใจ ซึ่งผมว่าทุกคนในที่นี้ย่อมเข้าใจความแตกต่างของสองอย่างนี้แน่นอน เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยเจอเหตุการณ็ทำนองนี้มาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นวาจาอันสูงสุด
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นล้วนเป็นคำจริง
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมใจเชื่ออย่างยิ่ง
ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของพระผู้มีภาคเจ้าพระองค์นั้นเลยว่าจะเป็นคำไม่จริง

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีวาจาสูงสุด

ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้
ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้
ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้
เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้
ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้

พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง
แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์
อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.

:b8: :b8: :b8:



:b8: :b42: :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

แล้วตะโกนกรอกหูมันว่า "ลูกเจ็บมั้ยลูก ลูกรู้มั้ยพ่อเจ็บกว่าลูกหลายเท่านะ"

เลี่ยงคน....เสียคน
เลี้ยงลูกหมา....ก็เสียหมา
:b12:
แน่... :b32:

แน่ะ! เขาเอาเรื่องจริงมาพูดนะเนี่ย คนที่เป็นพ่อน่ะมีอาชีพขับรถส่งของ
ส่วนลูกมีอาชีพรับราชการ และกำลังจบปฎิญาโทมหาลัย แถวสามย่าน

คนเป็นพ่อเล่าให้ผมฟังเองถึงวิธีเลี้ยงลูก ตีลูกด้วยความรักทำอย่างไร
แล้วไอ้วิธีที่บอกว่า ให้ลูกรู้ว่ามีมรดกรออยู่น่ะกะลาเอาที่ไหนมาคิด :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 03:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
[สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
จำได้ว่าครั้งหนึ่งพี่โฮฮับเคยบอกกับผมว่า ความรักของพี่โฮฮับคือความโลภกับโทสะ...ดังนั้นพี่โฮฮับถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่กบนอกกะลาได้อุปมาอุปมัยก่อนหน้านี้...คนเราถ้าไม่รักก็ไม่มีทางสนใจความเป็นตายร้ายดี แต่ถ้าเป็นคนที่เรารักเราย่อมต้องการช่วยเหลือแนะนำเค้าด้วยความเมตตากรุณา...ถ้าพี่โฮฮับไม่ดื้อดึงดันเกินไปย่อมเข้าใจว่า การลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความรักอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความเมตตากรุณานั้นมันต่างจากการลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความโกรธโทสะอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความขัดข้องขุ่นใจ ซึ่งผมว่าทุกคนในที่นี้ย่อมเข้าใจความแตกต่างของสองอย่างนี้แน่นอน เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยเจอเหตุการณ็ทำนองนี้มาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ผมแนะนำให้คุณไปบวชให้ครบเดือนก่อนแล้วค่อยมาแสดงความเห็น
ที่มันมีลักษณะมีอารมณ์คลุกคล้ากิเลสจนเป็นเนื้อเดียวแบบนี้


ไปหัดอ่านพระอภิธรรมและดูซิอารมณ์ปรมัตถ์มันเป็นอย่างไร
กิเลสที่แท้จริงเป็นอย่างไร จะยกตัวอย่างง่ายๆให้ดูจะได้สำเหนียก

มีคุณกับผมกำลังเห็นเด็กหลายคนกำลังจมน้ำ และในนั้นมีลูกคุณกับผมร่วมอยู่ด้วย
คุณโดดลงไปช่วยลูกคุณก่อน ส่วนผมโดดลงไปช่วยลูกชาวบ้านก่อน คุณว่า..
ใครมันมีกิเลสอกุศลกว่ากันครับ


คุณพระป่าสงสัยจะชอบนิยายดราม่านะครับ อย่าดูมากมันจะทำให้ลืมเห็นอกเห็นใจคนอื่น
รักเมตตากรุณาคนอื่นเขาเรียกพรหมวิหาร รักลูก เมตตาลูกตัวเองมันเป็นการเห็นแก่ตัว
มันเป็นนิสัยหรือสันดานติดตัวมาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เข้าใจมั้ยล่ะทิดดีกรีเจ็ดวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


ค่ะ ท่านFLAME คะ เมื่อไหร่ท่านจะตอบคำถามดิฉันซักทีคะ ดิฉันยังไม่ได้รับความกระจ่างเลยนะคะ กำลังรอว่าเมื่อไหร่ท่านFLAME จะมาตอบคำถามดิฉันสักที รอแล้วรอเล่าท่านFLAME ก็ยังไม่ตอบคำถามดิฉันซักที ดิฉันจึงขอนำคำถามเก่าวนมาถามใหม่นะคะ เพราะเกรงว่าท่านจะไม่สะดวกเปิดกลับไปมา ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉับอำนวยความสะดวกให้ท่านค่ะ

FLAME เขียน:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย


กราบเรียนท่าน FLAME ผู้แจ้งในพระธรรม

การทีคุณกล่าวมาเช่นนี้ พลันทำให้ดิฉันฉุกคิดขึ้นมาได้พอดีเลยค่ะ ในเรื่องของหลักกาลามสูตร

ดิฉันใคร่ขอความกรุณาให้ท่าน FLAME โปรดชี้แนะดิฉันในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ดิฉันจะถามเป็นข้อๆ เพื่อง่ายแกการอ่านนะคะ

1.หลักกาลามสูตร เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ ถ้าตอบว่าไม่ใช่ เป็นคำสอนใครคะ

2.โปรดอธิบายขยายความ ในเรื่องของ กาลามสูตร 10 ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้มั้ยคะ

คือตามที่ดิฉันอ่านๆมา มักจะมีแต่การแปลความที่แปลไว้สั้นๆ น่ะค่ะ จึงอยากรบกวนท่านFLAME
ผู้แจ้งในธรรมข้อกาลามสูตรช่วยกรุณาขยายหรือบรรยายความเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย

หวังว่าท่านFLAME คงไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับดิฉันสักเล็กน้อยนะคะ

ขอขอคุณท่านFLAME ล่วงหน้านะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 08:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
[สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
จำได้ว่าครั้งหนึ่งพี่โฮฮับเคยบอกกับผมว่า ความรักของพี่โฮฮับคือความโลภกับโทสะ...ดังนั้นพี่โฮฮับถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่กบนอกกะลาได้อุปมาอุปมัยก่อนหน้านี้...คนเราถ้าไม่รักก็ไม่มีทางสนใจความเป็นตายร้ายดี แต่ถ้าเป็นคนที่เรารักเราย่อมต้องการช่วยเหลือแนะนำเค้าด้วยความเมตตากรุณา...ถ้าพี่โฮฮับไม่ดื้อดึงดันเกินไปย่อมเข้าใจว่า การลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความรักอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความเมตตากรุณานั้นมันต่างจากการลงโทษ การตีหรือแม้แต่การว่ากล่าวตักเตือนด้วยความโกรธโทสะอันมีพื้นฐานมีเหตุจากความขัดข้องขุ่นใจ ซึ่งผมว่าทุกคนในที่นี้ย่อมเข้าใจความแตกต่างของสองอย่างนี้แน่นอน เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยเจอเหตุการณ็ทำนองนี้มาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ผมแนะนำให้คุณไปบวชให้ครบเดือนก่อนแล้วค่อยมาแสดงความเห็น
ที่มันมีลักษณะมีอารมณ์คลุกคล้ากิเลสจนเป็นเนื้อเดียวแบบนี้


ไปหัดอ่านพระอภิธรรมและดูซิอารมณ์ปรมัตถ์มันเป็นอย่างไร
กิเลสที่แท้จริงเป็นอย่างไร จะยกตัวอย่างง่ายๆให้ดูจะได้สำเหนียก

มีคุณกับผมกำลังเห็นเด็กหลายคนกำลังจมน้ำ และในนั้นมีลูกคุณกับผมร่วมอยู่ด้วย
คุณโดดลงไปช่วยลูกคุณก่อน ส่วนผมโดดลงไปช่วยลูกชาวบ้านก่อน คุณว่า..
ใครมันมีกิเลสอกุศลกว่ากันครับ


คุณพระป่าสงสัยจะชอบนิยายดราม่านะครับ อย่าดูมากมันจะทำให้ลืมเห็นอกเห็นใจคนอื่น
รักเมตตากรุณาคนอื่นเขาเรียกพรหมวิหาร รักลูก เมตตาลูกตัวเองมันเป็นการเห็นแก่ตัว
มันเป็นนิสัยหรือสันดานติดตัวมาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เข้าใจมั้ยล่ะทิดดีกรีเจ็ดวัน

สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
พี่ก็ยังดื้อได้อีก...แต่มันเป็นเรื่องของพี่ถ้าพี่จะคิดแบบนั้น...ผมเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนก็เลยคิดแบบคนทั่วไปน่ะครับ...แต่ยังไงๆสำหรับผมความรักอันประกอบไปด้วยพรหมวิหารธรรมก็ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรอกครับพี่ เพราะอะไรรู้ไหมครับพี่...เพราะพรหมวิหารธรรมนี้พระพุทธเจ้าได้เมตตาแสดงไว้ว่าเป็นกุศลธรรมที่คฤหัสพึงมีไว้
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณหญิงไทย

เชิญศึกษาเกสปุตตสูตร
ดูก่อนนะครับ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 930&Z=5092


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 11:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนเป็นพ่อเล่าให้ผมฟังเองถึงวิธีเลี้ยงลูก ตีลูกด้วยความรักทำอย่า :b46:
แล้วไอ้วิธีที่บอกว่า ให้ลูกรู้ว่ามีมรดกรออยู่น่ะกะลาเอาที่ไหนมาคิด :b13:


คนเขามีมรดกมากจริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องพูดบอกลูกหรอก...มันรู้ได้

คนที่ต้องพูดนี้...ส่วนใหญ่ไม่มีจริง :b12:

เหมือนคนที่ว่า..จะโดดไปช่วยลูกชาวบ้านก่อนนั้นแหละ...เพราะไม่มีลูกให้จมน้ำ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
พี่ก็ยังดื้อได้อีก...แต่มันเป็นเรื่องของพี่ถ้าพี่จะคิดแบบนั้น...ผมเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนก็เลยคิดแบบคนทั่วไปน่ะครับ...แต่ยังไงๆสำหรับผมความรักอันประกอบไปด้วยพรหมวิหารธรรมก็ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรอกครับพี่ เพราะอะไรรู้ไหมครับพี่...เพราะพรหมวิหารธรรมนี้พระพุทธเจ้าได้เมตตาแสดงไว้ว่าเป็นกุศลธรรมที่คฤหัสพึงมีไว้
ขอบคุณครับ :b8:


ผมเอาดื้อมา คุณเอาด้านไปแบ่งกันครับ
ถามหน่อยครับ ครูบาอาจารย์ ไม่ได้สอนเรื่องการรักษาคำพูดหรือครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
คนเป็นพ่อเล่าให้ผมฟังเองถึงวิธีเลี้ยงลูก ตีลูกด้วยความรักทำอย่า :b46:
แล้วไอ้วิธีที่บอกว่า ให้ลูกรู้ว่ามีมรดกรออยู่น่ะกะลาเอาที่ไหนมาคิด :b13:


คนเขามีมรดกมากจริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องพูดบอกลูกหรอก...มันรู้ได้

คนที่ต้องพูดนี้...ส่วนใหญ่ไม่มีจริง :b12:

เหมือนคนที่ว่า..จะโดดไปช่วยลูกชาวบ้านก่อนนั้นแหละ...เพราะไม่มีลูกให้จมน้ำ

:b32: :b32:

กะลาดูถูกเราหาว่าบ่อมิไก๊ อย่างนั้นช่วยเอาไปเลี้ยงซักตัวสองตัวซิ
ตีได้ด่าได้ แต่มันกัดไม่รู้ด้วยนะ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
สวัสดีครับคุณหญิงไทย

เชิญศึกษาเกสปุตตสูตร
ดูก่อนนะครับ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 930&Z=5092


กราบเรียนท่าน FLAME ผู้แจ้งในธรรม อย่ามองว่าดิฉันเซ้าซี้หรือยอกย้อนเลยนะคะ

ดิฉันชี้แจงไปแล้วว่าดิฉันไม่มีความเข้าใจบทความในพระไตรปิฎก
เพราะถึงแม้ว่าพระไตรปิฎกจะมีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม แต่ก็แปลเป็นสำนวน หรือ
ดิฉันเรียกว่า คำพระ ซึ่งยังยากต่อการตีความ ดิฉันกลัวว่าจะแปลความผิดๆ แปลไม่แตกฉานน่ะค่ะ

แต่ท่าน FLAME เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามของดิฉัน แต่กลับยกพระสูตรที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกมาบังคับให้ดิฉันไปศึกษาเองและตีความเอาเอง

ท่าน FLAME คะ พระสูตรต่างๆ หรือพระไตรปิฎก ดิฉันสามารถ เสิร์ชหาเอาเองได้ค่ะ แต่ดิฉันไม่มีความสามารถในการแปลสำนวน หรืออธิบายความในพระไตรปิฎก และเมื่อมาพบพานผู้ที่มีความแตกฉานรู้แจ้งในการแปลสำนวนในพระไตรปิฎกอย่าเช่นท่าน FLAME จึงทำให้ดิฉันมีความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งที่จะขอความอนุเคราะห์ให้ท่าน FLAME ช่วยแปลสำนวนนั้น เป็นภาษาธรรมดาที่ดิฉันอ่านแล้วสามารถเข้าใจได้เลย ไม่ต้องขยายเอาเองอีก
รบกวนท่านFLAME แปลพระสูตรที่ท่านยกมาให้ดิฉันด้วยนะคะ

พระไตรปิฎก เขียน:
เกสปุตตสูตร
[๕๐๕] ๖๖. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของพวกกาลามะชื่อว่า เกสปุตตะ
พวกชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร
ทรงผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคมโดยลำดับ ก็กิตติศัพท์อัน
งามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... ทรงเบิกบานแล้ว ทรงจำแนกธรรม
พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะใน
ท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อม
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปาน-
*นั้น ย่อมเป็นความดีแล ครั้งนั้น ชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมมือ
ไปทางพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและ
โคตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งเฉยๆ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อต่างก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า มีสมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศ
แต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น
พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม
ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของ
ผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวก
ข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่าน
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร
กาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่าน
ทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำ
สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้าง
ตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ความตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าได้
ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้
เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว
เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรม
เหล่านั้นเสีย ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็น
ประโยชน์ พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ มีจิต
อันความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อม
ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น
ในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิต
อันความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อม
ชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความหลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่ง
ไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ มีจิต
อันความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้หลง ย่อม
ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อ
ทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชน
ทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้
ฟังมา ... อย่าได้ยึดถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้
ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้ว
นั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ... อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือ
ว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่า
นี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้
ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่าน
ทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดเพื่อ
ประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่ถูกความโลภครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความไม่โกรธ เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
สิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่โกรธ ไม่ถูกความโกรธครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โกรธ
ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความไม่หลง เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อ
สิ่งไม่เป็นประโยชน์ ฯ
กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่
หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุข ในข้อนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ ฯ
ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้
ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือ
โดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่า
ผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรม
เหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้
บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้นท่าน
ทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น เรา
จึงได้กล่าวไว้ดังนี้ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ปราศจากความ
โลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี้ มีสัมปชัญญะ มีสติ
มั่นคง มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓
ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอด
โลก ทั่วสัตว์ทุกข์เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอัน
ไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
อยู่ มีใจประกอบด้วยกรุณา ... มีใจประกอบด้วยมุทิตา ... มีใจประกอบด้วย
อุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน
ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่
หาประโยชน์มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่
เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการใน
ปัจจุบันว่าก็ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็นเครื่อง
ให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจ
ข้อที่ ๑ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดี
ทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่
ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๒ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าเมื่อ
บุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์
จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๓ นี้ พระอริย
สาวกนั้นได้แล้ว ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็น
ตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๔ นี้ พระอริย
สาวกนั้นได้แล้ว ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่มีเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้ว
อย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน ฯ
กา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระอริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิต
ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้
ท่านย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบัน ... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ


ขอบพระคุณค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย หญิงไทย เมื่อ 06 เม.ย. 2012, 13:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง ท่านFLAME อย่ามองว่าดิฉันเซ้าซี้เลยนะคะ เมื่อไหร่ท่านจะตอบคำถามดิฉันซักทีคะ ดิฉันยังไม่ได้รับความกระจ่างเลยนะคะ กำลังรอว่าเมื่อไหร่ท่านFLAME จะมาตอบคำถามดิฉันสักที รอแล้วรอเล่าท่านFLAME ก็ยังไม่ตอบคำถามดิฉันซักที ดิฉันจึงขอนำคำถามเก่า วนมาถามใหม่นะคะ เพราะเกรงว่าท่านจะไม่สะดวกเปิดกลับไปมา ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันอำนวยความสะดวกให้ท่านค่ะ

FLAME เขียน:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย


กราบเรียนท่าน FLAME ผู้แจ้งในพระธรรม

การทีคุณกล่าวมาเช่นนี้ พลันทำให้ดิฉันฉุกคิดขึ้นมาได้พอดีเลยค่ะ ในเรื่องของหลักกาลามสูตร

ดิฉันใคร่ขอความกรุณาให้ท่าน FLAME โปรดชี้แนะดิฉันในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ดิฉันจะถามเป็นข้อๆ เพื่อง่ายแกการอ่านนะคะ

1.หลักกาลามสูตร เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ ถ้าตอบว่าไม่ใช่ เป็นคำสอนใครคะ

2.โปรดอธิบายขยายความ ในเรื่องของ กาลามสูตร 10 ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้มั้ยคะ

คือตามที่ดิฉันอ่านๆมา มักจะมีแต่การแปลความที่แปลไว้สั้นๆ น่ะค่ะ จึงอยากรบกวนท่านFLAME
ผู้แจ้งในธรรมข้อกาลามสูตรช่วยกรุณาขยายหรือบรรยายความเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย

หวังว่าท่านFLAME คงไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับดิฉันสักเล็กน้อยนะคะ

ขอขอคุณท่านFLAME ล่วงหน้านะคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร