วันเวลาปัจจุบัน 25 ก.ค. 2025, 00:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 37, 38, 39, 40, 41, 42, 43 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s00


กบสำคัญว่าตนเองถูกต้อง ก็ให้มันสำคัญอย่างนั้นต่อไปนะ
:b7:
"หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
:b12:


ให้กลับไปพิจารณา...ตนเอง
มันไม่สำคัญหรอกว่า..กบเป็นคนดีแล้วหรือว่า..ยังไม่ดี...แต่หากว่าอโสกะเป็นคนรักดีอยู่แล้ว...ต้องโยนิโสตามความเป็นจริง..ว่าที่เขาว่าเรานั้น..จริงหรือไม่จริง...เราเป็นอะไรถึงอยู่ดีดี..แต๋วถึงแตก...ไปว่าเขา..ว่า

"..แท้จริงแล้วตัวกบเองนั้นแหละอยากได้ยศ...การไปว่าเขานั้นเป้นเราเลวหรือเขาเลว...เป็นความปรุงแต่งของเราหรือของเขา.."...

นี้คือตัวอย่างการโยนิโส...ต้องโอปนะยิโกมาที่ตน...เป้นต้น

:b12: :b12:
"ไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่อีนังขังขอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ"

สัจจะวาจาจากหลวงพ่อเสือดาวฝากไว้ให้ชาวโลกทุกคน
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เรื่องราวทั้งหลาย ที่กั้นขวางเราไม่ให้ไปถึงที่หมายเปรียบไปก็คล้ายนิวรณ์ธรรมทั้ง5

ดังเช่นกระทู้นี้ ที่จริงจบลงได้ง่ายๆภายในไม่กี่ตอนเพราะหมดปัญหา แต่ที่ยืดเยื้อยืนยาวมาก็เพราะมีการแตกประเด็นย่อยออกไปให้ถามและสงสัยหลายๆอย่าง ความแตกย่อยของประเด็นต่างๆ ช่างคล้ายอุทธัจจะนิวรณ์ คือความฟุ้ง คิด นึกไปเรื่อย
อุทธัจจะนิวรณ์ เป็นเครื่องกางกั้นที่ร่สำคัญของคนที่เรียนรู้มาก ใช้สมองมากกว่าใช้กำลังกาย จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการที่เราจะเจาะลึกลงไปเฉพาะวิธีแก้และขุดถอนอุทธัจจะนิวรณ์ อันน่าจะเป็นตอนสุดท้ายของกระทู้นี้
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ความฟุ้งซ่าน หรือุทธัจจะนิวรณ์ ที่รู้และเข้าใจง่ายก็คือความคิดนึกนั่นเอง ตราบใดที่ยังมีความคิดนึกอยู่ ซึ่งแม้แต่การใคร่ครวญธรรม วิเคราะห์ วิจัยหรือวิตกวิจารณ์ธรรม ก็ยังต้องถือว่าฟุ้งซ่าน

เมื่อไหร่ความคิดนึกวิตกวิจารณ์หยุดลงเหลือแต่ความรู้สึกที่เกิดกับใจตรงๆ เมื่อนั้นแหละถึงจะถือว่าความฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะเริ่มสงบรำงับไป
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 22:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ความฟุ้งซ่าน หรือุทธัจจะนิวรณ์ ที่รู้และเข้าใจง่ายก็คือความคิดนึกนั่นเอง ตราบใดที่ยังมีความคิดนึกอยู่ ซึ่งแม้แต่การใคร่ครวญธรรม วิเคราะห์ วิจัยหรือวิตกวิจารณ์ธรรม ก็ยังต้องถือว่าฟุ้งซ่าน

อโสกะพูดอย่างนี้.....ใกล้เดียรถีเข้าไปมากแล้วนะ...เพราะแยกระหว่างความฟุ้งซ่าน..กับ..การพินิจพิจารณาตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสั่ง....ไม่ออก.

asoka เขียน:

เมื่อไหร่ความคิดนึกวิตกวิจารณ์หยุดลงเหลือแต่ความรู้สึกที่เกิดกับใจตรงๆ เมื่อนั้นแหละถึงจะถือว่าความฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะเริ่มสงบรำงับไป
:b44:


ไปเกิดเป็นพรหม...ไป๊...พรหมที่เข้าตั้งแต่ฌาน2 ขึ้นไป...วิตกวิจารณ์..ก็ไม่มีแล้ว...รู้สึกอย่างเดียว..อิอิ

นี้ก็หลวว่า..วิตกวิจารณเป็นความฟุ้งซ่านไปเสียอีกแล้ว....แยกไม่ออกอีกแล้ว

ปฐมฌาน...มีองค์ธรรม..คือ..วิตก...วิจารณ์..ปีติ..สุข..และเอกคัตตารมณ์...

อโสกะ...เห็นคำว่า..วิตก...วิจารณ์....ในภาษาธรรมะ...กับ...ภาษาพูดคุย....มาปนกัน..เลยมั่วไปเลย
นี้แหละ....ชอบทำอะไร..มักง่ายไปหน่อย...คิดเอง..เอ่อเอง...บัญญัติเองมากไป...

วิตก...ง่ายๆเลยคือ..รับรู้...อย่างตาเห็น..ก็รู้ว่าเห็น.......หูฟังก็รู้ว่ามีเสียง
ส่วน..วิจารณ์...ก็คือ..รู้สึก....รู้ว่าที่ตาเห็นนั้น..เห็นอะไร....รู้ว่าที่หูได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงอะไรมีความหมายว่าอะไร

ไม่ใช่...วิตกวิจารณ์..คือคิดมากฟุ้งซ่าน..อย่างที่ภาษาชาวบ้านที่ใช้พูดคุยกัน..
อโสกะนี้....เข้าข่าย...กล่าวว่าธรรม..ไม่ใช่ธรรม...กล่าวคำที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม...แล้วนะเนีย
grin


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 04 พ.ค. 2014, 22:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 22:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
ความฟุ้งซ่าน หรือุทธัจจะนิวรณ์ ที่รู้และเข้าใจง่ายก็คือความคิดนึกนั่นเอง ตราบใดที่ยังมีความคิดนึกอยู่ ซึ่งแม้แต่การใคร่ครวญธรรม วิเคราะห์ วิจัยหรือวิตกวิจารณ์ธรรม ก็ยังต้องถือว่าฟุ้งซ่าน

อโสกะพูดอย่างนี้.....ใกล้เดียรถีเข้าไปมากแล้วนะ...เพราะแยกระหว่างความฟุ้งซ่าน..กับ..การพินิจพิจารณาตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสั่ง....ไม่ออก.

asoka เขียน:

เมื่อไหร่ความคิดนึกวิตกวิจารณ์หยุดลงเหลือแต่ความรู้สึกที่เกิดกับใจตรงๆ เมื่อนั้นแหละถึงจะถือว่าความฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะเริ่มสงบรำงับไป
:b44:


ไปเกิดเป็นพรหม...ไป๊..

:b12:
กบเคยสัมผัสสภาวะที่ความคิดนึกหยุดทำงานไปชั่วคราวแล้วหรือยัง ถึงได้กล้าด่วนตัดสินความไปตามใจฉันเช่นนี้ ตรองดูให้ดีๆนะครับ
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าว่าแต่ชั่วคราวเลย..อโสกะ...วันละ 8 ชั่วโมง...เป็นอย่างน้อย.ทุกคนก็ทำมันทุกวันอยู่แล้ว...
แล้วจะคุยโม้ไปทำไม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฌานที่เป็นมิจฉาสมาธิ....ตั้งแต่..2. 3. 4 ...ก็ไม่คิดแล้ว

คนที่นอนเป็นเจ้าชาย..เจ้าหญิงนิทรา..ตาม.รพ. ต่างๆ....ก็ไม่มีใครบอกว่าแกยังคิดอยู่

คนนอนหลับสนิท...รวดเดียวตืน..ฝันก็ไม่ฝัน...นี้ก็ไม่คิด

บางคนหน้าตาดี..ร่างกายสมบูรณ์...แต่ไม่ทำงานทำการ....เห็นชาวบ้านด่าว่าเป็นคนสิ้นคิด...ก็มีเยอะ

:b32: :b32: แล้วอโสกะจะภูมิใจอะไรกันนักกันหน่า...กับสิ้นคิดชั่วคราว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 21:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าว่าแต่ชั่วคราวเลย..อโสกะ...วันละ 8 ชั่วโมง...เป็นอย่างน้อย.ทุกคนก็ทำมันทุกวันอยู่แล้ว...
แล้วจะคุยโม้ไปทำไม...

s006
หยุดคิดนึกได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย........เหลือเชื่อจริงๆ
ถ้าทำได้จริงก็ยอมยกนิ้วนับถือให้จริงๆ

กบทรงฌาณได้เกินวันละ 8 ชั่วโมงจริงๆหรือ ไม่ได้คุยโม้โอ้อวดนะครับ

ผ่าง ๆ ๆ ๆ ๆ เจ้าข้าเอ้ย
:b14:
แล้วเอาเวลาตอนไหนมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักร เอาเวลาไหนไปกินข้าวกินน้ำนะครับ
s006
เพราะที่อโศกะสนทนาอยู่นี้ไม่ใช่การหยุดคิดนึกไปตอนนอนหลับแต่เป็นการหยุดยั้งความคิดนึกได้ด้วยความตั้งใจในเวลาที่จิตตื่นอยู่นะครับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2014, 09:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ...ลองบอกมาซิว่า...หยุดคิดแบบนอนหลับ..กับ..หยุดคิดชั่วคราว..แบบอโสกะ..เหมือนกันและต่างกันอย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 08:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ...ลองบอกมาซิว่า...หยุดคิดแบบนอนหลับ..กับ..หยุดคิดชั่วคราว..แบบอโสกะ..เหมือนกันและต่างกันอย่างไร?

:b16:
หยุดคิดเมื่อนอนหลับสนิทเป็นการหยุดพักตามธรรมชาติ ไม่สามารถสั่งให้เกิดได้ตามใจ เป็นอนัตตา เป็นโมหะ

หยุดคิดด้วยโยนิโสมนสิการ คือ ตั้งใจให้หยุด ฝึกฝนให้หยุด สร้างนิสัยใหม่ให้หยุด เป็นอัตตาในตอนแรกแต่เสริมให้ถึงอนัตตาในตอนหลัง

ต่างจากการหยุดคิดเพราะนอนหลับสนิทมาก เพราะอันหนึ่งเป็นสัมมาวายามะ แต่อีกอันหนึ่งเป็นโมหะ
:b53:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 10:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาวายามะ...หรอ..อโสกะ

สัมมาวายามะ..เพียรชอบ..4.คือ
1.สังวรระวัง...มิให้อกุศลที่ยังไม่เกิด...ได้เกิด
2.กำจัดอกุศลที่เกิดแล้ว..ให้หมดไป
3.เจรืญกุศลที่ยังไม่เกิด...ให้เกิด
4. รักษากุศลที่เกิดมีแล้ว...ให้คงอยู่

แต่..หยุดคิดของอโสกะ..นี้นะ..ต่อให้เอาใจช่วยแบบเอาสีข้างเข้าถู..ว่ามันน่าจะเข้าได้กับข้อ1คือ..สังวรระวัง..นะ

แต่ว่า...ก็ในเมื่อ...ไม่มีสัมปชัญยะ...แล้วจะรู้ได้งัยว่า..อกุศลกำลังจะเกิดในใจตน
ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง...การกำจัด....การเจริญ....และการรักษา..ซึ่งก็ต่างต้องใช้การโยนิโสอย่างหนักหน่วง

ดังนั้น...การหยุดคิด...ของอโสกะ...เป็นได้คือหินทับหญ้า...เพราะถามอะไรๆแล้ว..อโสกะชี้แจงเหตุและผลไม่แจ่มแสดงให้เห็นผลขององค์ภาวนา.เรยนิ...มีแต่ต้องปัจจัตตังท่าเดียว..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 พ.ค. 2014, 10:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 22:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ...ลองบอกมาซิว่า...หยุดคิดแบบนอนหลับ..กับ..หยุดคิดชั่วคราว..แบบอโสกะ..เหมือนกันและต่างกันอย่างไร?

:b16:
หยุดคิดเมื่อนอนหลับสนิทเป็นการหยุดพักตามธรรมชาติ ไม่สามารถสั่งให้เกิดได้ตามใจ เป็นอนัตตา เป็นโมหะ

หยุดคิดด้วยโยนิโสมนสิการ คือ ตั้งใจให้หยุด ฝึกฝนให้หยุด สร้างนิสัยใหม่ให้หยุด เป็นอัตตาในตอนแรกแต่เสริมให้ถึงอนัตตาในตอนหลัง

ต่างจากการหยุดคิดเพราะนอนหลับสนิทมาก เพราะอันหนึ่งเป็นสัมมาวายามะ แต่อีกอันหนึ่งเป็นโมหะ
:b53:
onion

:b37:
กระบวนการที่จะทำให้เกิดการหยุดคิดหรือระงับความฟุ้งซ่านนั้นคือตัวสติปัฏฐาน 4 นั่นเลยทีเดียวเพราะประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน 4 คือ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก เมื่อยินดียินร้ายไม่เกิด มโนกรรมหรือใจคิดก็ไม่เกิด เอายินดีนิยินร้ายในทุกผัสสะอารมณ์ออกเสียได้ อกุศลเก่าก็ไม่ลุก อกุศลใหม่ก็ไม่เกิด
การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นกุศลใหม่เป็นเหตุให้กุศลใหม่นั้นเจริญงอกงามไปสู่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1
จึงได้กล่าวว่าเป็นสัมมาวายามะ
:b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b46:
ทำไมเมื่อเอาความยินดียินร้ายออกเสียได้ จึงหยุดคิดได้หรือมโนกรรมไม่เกิด .....

ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ เมื่อไม่มียินดียินร้าย อุเบกขา ความวางเฉยก็จะเป็นสิ่งที่คงเหลืออยู่ให้จิตได้เสวย
ที่อุเบกขาหรือความวางเฉยนั้น มโนกรรมจะหยุดพักไปชั่วคราว

ดังนั้นนักวิปัสสนาภาวนาทั้งหลาย เมื่อทำได้และชำนาญแล้ว จึงมีอุเบกขา ฌาณ 4 หรือ สังขารุเปกขาญาณ เป็นที่พักจิตพักใจ ให้มีกำลัง เพื่อจะได้เดินทางต่อไปสู่ มรรค ผล นิพพาน ที่ยิ่งๆขึ้นไป

ตรงอุเบกขา ญาณ 4 หรือสังขารุเปกขาญาณนั้น เป็นตัวสัมมาทิฏฐิ ดังมีสอนไว้ในเรื่องของอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 10:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นแต่พูดว่า..เอาความยินดียินร้ายออก...

แต่...ไม่เคยเห็นบอกเลนว่า..ทำไมถึงเอามันออกได้

นิ่ง..เฉยๆ...ข่มใจไม่ไปยินดี..หรือ..ไปยินร้าย...นี้นะ...เขาไม่เรียกว่า..เอาซึ่งความยินดียินร้าย...ออกจริงหรอกนะครับอโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดนะง่าย แต่ทำนะยากส์ ทำถูกต้องปฏิบัติถูกวิธีก็ดีปาย ถึงกระนั่นก็ต้องใช้เวลา (พระพุทธเจ้าใช้เวลา 6 แล้วคุณเป็นใคร) แต่ถ้าทำก็ไม่ถูกแถมใจร้อน ทำไปๆก็คิดแต่จะเอานั่นไม่เอานี่ เอานี่ไม่เอานั่น เสี่ยงขอรับ คิกๆๆ เหมือนคนทำงาน มือก็ทำงานไปหยิบนั่นนี่ผิดๆถูกๆ ใจไม่อยู่กับงานที่ทำ คิดร่ำๆแต่จะเอาเงินเดือนฉันใดก็ฉันนั้น ประสบความสำเร็จยากขอรัับ :b1:


อย่างอโศกจ้องแต่จะเอายาน อยากได้ญาณ ถึงได้บอกว่า จะแบกจักรยานกลับสำนัก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 37, 38, 39, 40, 41, 42, 43 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร