วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
asoka เขียน:
:b42:
เครื่องช่วยสังเกตว่า ความนิ่งสงบเงียบไปไร้ปฏิกิริยาตอบโต้กัปัจจุบันอารมณ์นั้นเป็นไปด้วยอำนาจสมถะ หรือวิปัสสนา

ถ้าเป็นสมถะ จะมีอารมณ์อื่นเป็นที่ยึดจนกลบบังความยินดียินร้ายที่ตอบโต้กับอารมณ์นั้นๆ เช่น จิตผูกแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับรูปนิมิตหรือคำบริกรรม หลังจากนั้นเมื่อมีผัสสะอารมณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีก ปฏิกิริยาการตอบโต้ของจิตก็จะรุนแรงเท่าเดิม ถ้าสติดึงไปหานิมิต คำบริกรรม หรือกรรมฐานที่เจริญอยู่ไม่ทัน เวทนา ตัณหา อุปาทาน ตา วงปฏิจจสมุปบาทก็จะหมุนต่ออย่างแรงทันที

ถ้าเป็นวิปัสสนาภาวนา สติ ปัญญา จะรู้ทัน รู้ทั่วถึงปัจจุบันอารมณ์และลูกหลานของอารมณ์นั้นจนตลอดสาย จนดับไปหมดทุกอารมณ์ หลังจากนั้นแล้วเมื่อมีผ้ัสสะอารมณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้น อีกปฏิกิริยาของจิตที่จะตอบโต้ต่ออารมณ์นั้นจะลดน้อย เบาบาง จางลง หรือหมดปฏิกิริยาไป
:b37:


ครับ ผมเห็นด้วยกัยคำกล่าวนี้ อนุโมทนา

:b8:
สาธุ แสดงว่าคุณ student เคยนั่งเผชิญหน้ากับอารมณ์ในกายจริงๆ

กบกับกรัชกายน่าจะเป็นแบบนี้บ้างนะ จะได้คุยกันสนุกยิ่งกว่านี้
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

s002 onion

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝากถึง..อโสกะ...อีกที.. :b32: :b32:
กบนอกกะลา เขียน:
.....

คำต่างๆที่เป็นภาษา..ที่ใช้พิจารณา...นั้นยังไม่ใช่ปัญญาที่ต้องการนะครับ...ปัญญาที่ต้องการจริงๆ..นั้นเป็นความรู้สึกว่า..ความจริงเป็นอย่างคำที่ใช้พิจารณา..จริงๆ..จะซึ่งหรืออิน..มาก....จนห้ามปีติไม่อยู่..(ในกรณีที่เป็นความรู้สึกครั้งแรก....จะประทับใจไม่รู้ลืม...บางคนยังอยากให้เกิดปีติอย่างนี้อีก...มันไม่เกิดหรอก..)

หากมีคนมาถามว่า...ทำไมร่างกายไม่ใช่เรา.....เขาจะตอบคำถามนั้นจากความรู้สึกของตัวเองได้น้ำไหลไฟดับ...หรือจัะตอบแบบสั้นๆ..เพียงคำเดียวก็ได้....ซึ่งคนที่จำปัญญาปริยัติก็ทำได้อย่างเดียวกันนี้....ดังนั้น....ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ถามว่าใครตอบจากปัญญาที่ตัวรู้แจ้ง....แต่เป็นหน้าที่ของผู้ตอบมากกว่า...ว่า...เราตอบออกไปนั้น..ออกไปด้วยอะไร...ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของผู้ตอบเอง..มากกว่า

ไม่ว่า...จะใช้สมถะนำ...หรือ.วิปัสสนานำ....เมื่อถึงคราวที่รู้แจ้งแล้ว...ก็มีอาการเดียวกัน...คือ...รู้แจ้งใจในเหตุผลกลไกการทำงานของกิเลสตัญหาและอุปาทาน...บอกได้หมดในเหตุของการเกิดหรือ..ปฏิจจสมุปบาท..นั้นเอง...

หาก...ยังอ่ำอึ่ง...ยังต้องนึกอยู่...หรือรู้แต่ตื้น...รู้แต่สั้น...ไม่ลึกไม่กว้าง....ก็ให้สังวรตนใว้ว่า...ตนยังห่างไกลกับคำว่ารู้ตามความเป็นจริงอยู่มาก


ตรวจสอบตัวเอง...ในหลักนี้อย่างเที่ยงธรรมต่อตัวเอง...ก็จะทราบด้วยตัวเองว่า..เราขาดตกบกพร่องอยู่หรือไม่...ปัญญาที่ต้องการเกิดกับเราแล้วรึยัง...จะได้ไม่หลงคืดว่าตัวเองดีแล้ว...เดินทางผิดถูกอย่างไร..ก็จะได้รู้...เตือนตนได้ถูกต้อง


ตรวจสอบตัวเองดู..นะครับ..อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คงเห็นตัวอย่าง...ที่พระสารีบุตรแนะนำภิกษุ...แล้วนะครับ

มีที่คล้ายๆกันนี้อีก...ซึ่งก็ทำนองเดียวกัน....คือ...พิจารณาร่างกาย..นี้แหละ

คำต่างๆที่เป็นภาษา..ที่ใช้พิจารณา...นั้นยังไม่ใช่ปัญญาที่ต้องการนะครับ...ปัญญาที่ต้องการจริงๆ..นั้นเป็นความรู้สึกว่า..ความจริงเป็นอย่างคำที่ใช้พิจารณา..จริงๆ..จะซึ่งหรืออิน..มาก....จนห้ามปีติไม่อยู่..(ในกรณีที่เป็นความรู้สึกครั้งแรก....จะประทับใจไม่รู้ลืม...บางคนยังอยากให้เกิดปีติอย่างนี้อีก...มันไม่เกิดหรอก..)

หากมีคนมาถามว่า...ทำไมร่างกายไม่ใช่เรา.....เขาจะตอบคำถามนั้นจากความรู้สึกของตัวเองได้น้ำไหลไฟดับ...หรือจัะตอบแบบสั้นๆ..เพียงคำเดียวก็ได้....ซึ่งคนที่จำปัญญาปริยัติก็ทำได้อย่างเดียวกันนี้....ดังนั้น....ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ถามว่าใครตอบจากปัญญาที่ตัวรู้แจ้ง....แต่เป็นหน้าที่ของผู้ตอบมากกว่า...ว่า...เราตอบออกไปนั้น..ออกไปด้วยอะไร...ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของผู้ตอบเอง..มากกว่า

ไม่ว่า...จะใช้สมถะนำ...หรือ.วิปัสสนานำ....เมื่อถึงคราวที่รู้แจ้งแล้ว...ก็มีอาการเดียวกัน...คือ...รู้แจ้งใจในเหตุผลกลไกการทำงานของกิเลสตัญหาและอุปาทาน...บอกได้หมดในเหตุของการเกิดหรือ..ปฏิจจสมุปบาท..นั้นเอง...

หาก...ยังอ่ำอึ่ง...ยังต้องนึกอยู่...หรือรู้แต่ตื้น...รู้แต่สั้น...ไม่ลึกไม่กว้าง....ก็ให้สังวรตนใว้ว่า...ตนยังห่างไกลกับคำว่ารู้ตามความเป็นจริงอยู่มาก

ตรวจสอบตัวเอง...ในหลักนี้อย่างเที่ยงธรรมต่อตัวเอง...ก็จะทราบด้วยตัวเองว่า..เราขาดตกบกพร่องอยู่หรือไม่...ปัญญาที่ต้องการเกิดกับเราแล้วรึยัง...จะได้ไม่หลงคืดว่าตัวเองดีแล้ว...เดินทางผิดถูกอย่างไร..ก็จะได้รู้...เตือนตนได้ถูกต้อง

Onion_L
มัวแต่อิงตำรามาพูดอยู่นั่นแหละไม่ ทางจะรู้เรื่องกันได้ง่ายๆหรอก คุณกบ

นั่งลงเผชิญหน้าความจริงในกายในใจของคุณแล้วเอามาเทียบถามกันในประเด็นนี้ดีกว่า จะรู้เรื่องเร็ว มีประโยชน์มาก

คำว่าพิจารณาที่กบใช้และเข้าใ จนั้น สำคัญว่าต้องคิดนึก ปรุงแต่งตามบัญญัติที่เรียนมาเสมอหรือ

หามิได้นะกบ การพิจารณาโดยไม่ต้องคิดนึกก็มีอยู่นะ เขาเรียกว่า "สังเกต" ฝรั่งเรียก "Observ " หลังสังเกตจนจบกระบวนการควา จริงแล้วเขาจึงค่อยม าวิตกวิจารณ์ วิจัย ใช้ความนึกคิด ปรุงแต่ง แล้วแสดงเป็นบัญญัติเพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้เรื่อง

กบไม่มี ประสบการณ์จริงเรื่องสังเกตรู้ บ้างเลยหรือ ชีวิตนี้ มีแต่เปรียบเทียบตำรา รู้ เท่านั้นหรือ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
รูปภาพ

s002 onion


:b20: :b20: :b20:

เห็นท่านเช่นนั้นโพสต์ภาพอย่างนี้ ทำให้นึกถึงหลับอยู่ขึ้นมาทันที

:b8: :b8: :b8:

ถ้าท่านเช่นนั้นยังมีโอกาสเจอหลับอยู่
ฝากบอกด้วย...เอกอนระลึกถึง

:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 เม.ย. 2014, 21:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลั :b13: :b13: บอยู่...หนใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คงเห็นตัวอย่าง...ที่พระสารีบุตรแนะนำภิกษุ...แล้วนะครับ

มีที่คล้ายๆกันนี้อีก...ซึ่งก็ทำนองเดียวกัน....คือ...พิจารณาร่างกาย..นี้แหละ

คำต่างๆที่เป็นภาษา..ที่ใช้พิจารณา...นั้นยังไม่ใช่ปัญญาที่ต้องการนะครับ...ปัญญาที่ต้องการจริงๆ..นั้นเป็นความรู้สึกว่า..ความจริงเป็นอย่างคำที่ใช้พิจารณา..จริงๆ..จะซึ่งหรืออิน..มาก....จนห้ามปีติไม่อยู่..(ในกรณีที่เป็นความรู้สึกครั้งแรก....จะประทับใจไม่รู้ลืม...บางคนยังอยากให้เกิดปีติอย่างนี้อีก...มันไม่เกิดหรอก..)

หากมีคนมาถามว่า...ทำไมร่างกายไม่ใช่เรา.....เขาจะตอบคำถามนั้นจากความรู้สึกของตัวเองได้น้ำไหลไฟดับ...หรือจัะตอบแบบสั้นๆ..เพียงคำเดียวก็ได้....ซึ่งคนที่จำปัญญาปริยัติก็ทำได้อย่างเดียวกันนี้....ดังนั้น....ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ถามว่าใครตอบจากปัญญาที่ตัวรู้แจ้ง....แต่เป็นหน้าที่ของผู้ตอบมากกว่า...ว่า...เราตอบออกไปนั้น..ออกไปด้วยอะไร...ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของผู้ตอบเอง..มากกว่า

ไม่ว่า...จะใช้สมถะนำ...หรือ.วิปัสสนานำ....เมื่อถึงคราวที่รู้แจ้งแล้ว...ก็มีอาการเดียวกัน...คือ...รู้แจ้งใจในเหตุผลกลไกการทำงานของกิเลสตัญหาและอุปาทาน...บอกได้หมดในเหตุของการเกิดหรือ..ปฏิจจสมุปบาท..นั้นเอง...

หาก...ยังอ่ำอึ่ง...ยังต้องนึกอยู่...หรือรู้แต่ตื้น...รู้แต่สั้น...ไม่ลึกไม่กว้าง....ก็ให้สังวรตนใว้ว่า...ตนยังห่างไกลกับคำว่ารู้ตามความเป็นจริงอยู่มาก

ตรวจสอบตัวเอง...ในหลักนี้อย่างเที่ยงธรรมต่อตัวเอง...ก็จะทราบด้วยตัวเองว่า..เราขาดตกบกพร่องอยู่หรือไม่...ปัญญาที่ต้องการเกิดกับเราแล้วรึยัง...จะได้ไม่หลงคืดว่าตัวเองดีแล้ว...เดินทางผิดถูกอย่างไร..ก็จะได้รู้...เตือนตนได้ถูกต้อง

Onion_L
มัวแต่อิงตำรามาพูดอยู่นั่นแหละไม่ ทางจะรู้เรื่องกันได้ง่ายๆหรอก คุณกบ

นั่งลงเผชิญหน้าความจริงในกายในใจของคุณแล้วเอามาเทียบถามกันในประเด็นนี้ดีกว่า จะรู้เรื่องเร็ว มีประโยชน์มาก

คำว่าพิจารณาที่กบใช้และเข้าใ จนั้น สำคัญว่าต้องคิดนึก ปรุงแต่งตามบัญญัติที่เรียนมาเสมอหรือ

หามิได้นะกบ การพิจารณาโดยไม่ต้องคิดนึกก็มีอยู่นะ เขาเรียกว่า "สังเกต" ฝรั่งเรียก "Observ " หลังสังเกตจนจบกระบวนการควา จริงแล้วเขาจึงค่อยม าวิตกวิจารณ์ วิจัย ใช้ความนึกคิด ปรุงแต่ง แล้วแสดงเป็นบัญญัติเพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้เรื่อง

กบไม่มี ประสบการณ์จริงเรื่องสังเกตรู้ บ้างเลยหรือ ชีวิตนี้ มีแต่เปรียบเทียบตำรา รู้ เท่านั้นหรือ
:b7:


เคยบอกแล้วว่า..อย่าเอ่ะอะ..อะไร...ก็ว่าใครๆไม่ปฏิบัติ...อีก...อิอิ
:b32: :b32:
อาการที่อโสกะปฏืบัติอยู่นั่น.....ไม่ได้มีใครไปว่า...มันไม่ดี..รึอะไร..นี้นา

แต่....เป็นสมถะ...หรือ..วิปัสสนา...ก็ให้ข้อสังเกตุไปตรวจดูเอาเอง...ว่า...เกิดความรู้..รึที่เรียกว่าปัญญา...บ้างรึเปล่า

ก็แค่นั่นเอง...

ถ้ายังไม่เข้าใจอีก....ก็ง่ายๆเลยว่า...ยังต้องทำต่อไปอีก...

ว่าแต่ว่า...จะเอายาว...รึ้เอาสั้น..??
เอายาว....ก็ทำต่อไปจนคิดเอะใจได้เอง
หากจะเอาสั้น....ก็พิจารณาตามพระสูตรที่เพื่อนๆนำ..ยกมา...รึลดมานะ..มาเชื่อเพื่อนๆที่อโสกะมักว่าเขาไม่ปฏิบัติดู...
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คำว่าพิจารณาที่กบใช้และเข้าใจนั้น สำคัญว่าต้องคิดนึก ปรุงแต่งตามบัญญัติที่เรียนมาเสมอหรือ

อิอิ....เป็นอโสกะที่ปรุงไปเอง..ว่าผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...

อ้างคำพูด:

กบไม่มี ประสบการณ์จริงเรื่องสังเกตรู้ บ้างเลยหรือ ชีวิตนี้ มีแต่เปรียบเทียบตำรา รู้ เท่านั้นหรือ
:b7:

ผมจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ของผม..ทุกๆเรื่องด้วยหรอ??
:b32: :b32:

จริงๆแล้ว...ผมศึกษาตำราน้อย...เอาแต่พอจำเป็นเพื่อคลายความสงสัยเท่านั้น...เรียกว่า..อ่อนสุดๆ..แล้วละอโสกะ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
คำพูดและเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์จริง อ่านหรือฟังเพียงนิดเดียวก็รู้แล้ว

นี่ มีแต้อ้างตำรามาพูด พอแสดงประสบการณ์จริงกลับคลุมๆเครือๆ ไม่เป็นลำดับเป็นหลักอะไร พูดลอยๆ หาที่มาที่ไปก็ยาก ยังจะมาอ้างว่ามีประสบการณ์จริงมากกว่าภาคปริยัติ มันดูกระไรๆอยู่นะกบ พูดเรื่องที่ประสบจริง เอาเรื่องที่พบจริงๆในกายในใจมาคุยกันดูซิ มันเป็นธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบนั่นแหละ แต่ศัพท์ บัญญัติอาจแตกต่างกันไปบ้างตามยุคสมัย
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
คำพูดและเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์จริง อ่านหรือฟังเพียงนิดเดียวก็รู้แล้ว

นี่ มีแต้อ้างตำรามาพูด พอแสดงประสบการณ์จริงกลับคลุมๆเครือๆ ไม่เป็นลำดับเป็นหลักอะไร พูดลอยๆ หาที่มาที่ไปก็ยาก ยังจะมาอ้างว่ามีประสบการณ์จริงมากกว่าภาคปริยัติ มันดูกระไรๆอยู่นะกบ พูดเรื่องที่ประสบจริง เอาเรื่องที่พบจริงๆในกายในใจมาคุยกันดูซิ มันเป็นธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบนั่นแหละ แต่ศัพท์ บัญญัติอาจแตกต่างกันไปบ้างตามยุคสมัย
:b4:



เฝ้ามองหาประสบการณ์จริงของอโศก ยังมองไม่เห็นว่าอะไร คิกๆๆ มองจนตาเหล่แล้วเนี่ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
สนุกกันใหญ่แล้วกับคำว่า "ไร้เจตนา"

พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปตามพื้นฐานสัญญา ความรู้ความเห็นของตน

คำว่า "ไร้เจตนา"ที่อโศกะบอกไปนั้นหมายถึงไม่มีการกำหนด การสั่งหรือความคาดหวังใดๆกับการภาวนา ที่ตนกระทำ

ถ้าจะมีก็มีนิดหนึ่งสำหรับตอนเริ่มต้น ที่ว่า "สำรวมกาย ใจ มา ""เหมือนการยกลูกตุ้มนาฬิกาขึ้นแกว่งครั้งแรกให้กลจักรของลานและเฟืองนาฬิกาทำงาน

เราคงไม่เรียกว่าเจตนา แต่เป็นมนสิการ ความใส่ใจ ส่วนคำพูดต่อไปที่ว่า "นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์" นั้นถือเป็นความแยบคายในการภาวนาหรือที่เรียกว่า "โยนิโส"

เมื่อกลไกธรรมชาติในกายใจได้เริ่ มต้นอย่างถูกต้องแล้วที่เหลือเขาจะดำเนินไปเองตามธรรม ตามหน้าที่ สติก็จะทำหน้าที่ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม ปัญญาสัมมาสังกัปปะก็จะทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาอารมณ์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ก็จะทำหน้าที่ ดู เห็น รู้ อารมณ์ไป ถ้าไม่มีอัตตา ตัณหา อุปาทานเกิดขึ้นตอบโต้อารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์นั้นไม่มีการสืบต่อก็จะดับไป ๆ ๆ ๆ มุกอารมณ์

การเรียนรู้ของจิตโดยธรรมจะเกิดขึ้นรู้ว่า ไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดีับไปของอารมณ์เท่านั้นเอง
ทีนี้ความเข้าใจ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเขาจะปิ้๊งขึ้นมาเองในจิตใจ บางคนอาจเผลอไปคิดวิตกวิจารณ์บ้าง บางท่านก็ถึงบางอ้อเสียก่อนจะคิดนึกวิตกวิจารณ์ตามตำราที่เรียนรู้มา

ความตอนนี้จะไปตรงกับคำสอนของหลวงปู่ครูบาที่ว่า

"หยุดคิด ถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด"

เอ้าพยายามจับประเด็นค้นให้พบควา มลับในเรื่องนี้กันให้เจอนะครับ
onion

บ่างถ



ยังไม่เห็นประสบการณ์จริงที่อโศกว่านะ :b1: เห็นแต่ไปจำคำพูดของคนนั้นคนนี้มา เช่น
อ้างคำพูด:
หยุดคิด ถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด


เอามาผสมกับความคิดของตนเอง

แม้ "ไร้เจตนา" ก็ไปจำเขามาผสมผสานกับความฟุ้งซ่านของตนเอง

อ้างคำพูด:
คำว่า "ไร้เจตนา"ที่อโศกะบอกไปนั้นหมายถึงไม่มีการกำหนด การสั่งหรือความคาดหวังใดๆกับการภาวนา ที่ตนกระทำ


พอเราไล่เข้าหน่อย แน่ะ กลิ้งเป็นหมายถึงไม่มีการกำหนดไปอีกแระ คิกๆๆ จะเอาฮาไปถึงไหนขอรับ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 23:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
คำพูดและเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์จริง อ่านหรือฟังเพียงนิดเดียวก็รู้แล้ว



ช่าย.....ผมอ่านอโสกะ....ทะลุหมดแล้ว
แต่..อโสกะ...ยังมองไม่เห็น..อะไรอะไร...ของผมเลย

แล้วจะให้ผมคิดยังงัยเนี้ย....ช่วยบอกหน่อย...
อิอิ....โม้ซะเลย...

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2014, 12:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
คำพูดและเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์จริง อ่านหรือฟังเพียงนิดเดียวก็รู้แล้ว

นี่ มีแต้อ้างตำรามาพูด พอแสดงประสบการณ์จริงกลับคลุมๆเครือๆ ไม่เป็นลำดับเป็นหลักอะไร พูดลอยๆ หาที่มาที่ไปก็ยาก ยังจะมาอ้างว่ามีประสบการณ์จริงมากกว่าภาคปริยัติ มันดูกระไรๆอยู่นะกบ พูดเรื่องที่ประสบจริง เอาเรื่องที่พบจริงๆในกายในใจมาคุยกันดูซิ มันเป็นธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบนั่นแหละ แต่ศัพท์ บัญญัติอาจแตกต่างกันไปบ้างตามยุคสมัย
:b4:



เฝ้ามองหาประสบการณ์จริงของอโศก ยังมองไม่เห็นว่าอะไร คิกๆๆ มองจนตาเหล่แล้วเนี่ย :b1:

:b12: :b12: :b12: :b12:
สงสัยกรัชกายจะตาฟาง เพราะอ่านและคัดลอกตำรามามากจนท่วมหัว หู ตา เสียแล้ว

ไม่เห็นประสบการณ์จริงของอโศกะได้ยังไง

แค่ "สำรวม กาย ใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตา" นี่ ก็ยังไม่เคยพบเห็นที่ไหนในยุทธจักรลานธรรมทั้งหลาย เท่านี้ยังไม่ฉุกใจคิดได้อีกหรือ?

"ใจปัญญา อย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา
ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอย หรือตายดับ ไปจากใจ"


เฉพาะความท่อนนี้ ก็ยังไม่เคยพบเจอที่ไหนอื่นอีกเช่นกัน กรัชกายเองก็ยังเข้าถึงไม่ลึกหรือไม่รู้เรื่องเลยว่า ทุกตัวอักษรบนกลอนบทนี้มีความหมายอันลึุกล้ำทั้งสิ้นในตอนปฏิบัติจริงเจอใจเห็นผิด ยึกผิดว่าเป็นกู เป็นเราจริงๆ เรียกว่าทิ้งไม่ได้เลยซักคำ

กรัชกายมัวแต่หลงเพลินไปกับความรู้ในบัญญัติอันสวยหรูวิจิตรพิศดาร ว่า อัตตา กู ไม่มีอยู่จริง

แต่ความจริง ในใจปุถุชน มีความเห็นผิด ยึดผิดว่าเป็นกู เป็นเรานี้อยู่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่นักวิชาการใหญ่ กรัชกาย กบ หรือใครต่อใครที่ท่องเที่ยวอยู่ในลานธรรม เพราะผมเชื่อว่ายังไงๆพระอรหันต์ ท่านไม่มาเข้าเวปตอบปัญหาธรรมมะแน่ๆ ยกเว้นแต่อริยบุคคลชั้นต้น

:b25:
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2014, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
สนุกกันใหญ่แล้วกับคำว่า "ไร้เจตนา"

พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปตามพื้นฐานสัญญา ความรู้ความเห็นของตน

คำว่า "ไร้เจตนา"ที่อโศกะบอกไปนั้นหมายถึงไม่มีการกำหนด การสั่งหรือความคาดหวังใดๆกับการภาวนา ที่ตนกระทำ

ถ้าจะมีก็มีนิดหนึ่งสำหรับตอนเริ่มต้น ที่ว่า "สำรวมกาย ใจ มา ""เหมือนการยกลูกตุ้มนาฬิกาขึ้นแกว่งครั้งแรกให้กลจักรของลานและเฟืองนาฬิกาทำงาน

เราคงไม่เรียกว่าเจตนา แต่เป็นมนสิการ ความใส่ใจ ส่วนคำพูดต่อไปที่ว่า "นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์" นั้นถือเป็นความแยบคายในการภาวนาหรือที่เรียกว่า "โยนิโส"

เมื่อกลไกธรรมชาติในกายใจได้เริ่ มต้นอย่างถูกต้องแล้วที่เหลือเขาจะดำเนินไปเองตามธรรม ตามหน้าที่ สติก็จะทำหน้าที่ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม ปัญญาสัมมาสังกัปปะก็จะทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาอารมณ์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ก็จะทำหน้าที่ ดู เห็น รู้ อารมณ์ไป ถ้าไม่มีอัตตา ตัณหา อุปาทานเกิดขึ้นตอบโต้อารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์นั้นไม่มีการสืบต่อก็จะดับไป ๆ ๆ ๆ มุกอารมณ์

การเรียนรู้ของจิตโดยธรรมจะเกิดขึ้นรู้ว่า ไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดีับไปของอารมณ์เท่านั้นเอง
ทีนี้ความเข้าใจ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเขาจะปิ้๊งขึ้นมาเองในจิตใจ บางคนอาจเผลอไปคิดวิตกวิจารณ์บ้าง บางท่านก็ถึงบางอ้อเสียก่อนจะคิดนึกวิตกวิจารณ์ตามตำราที่เรียนรู้มา

ความตอนนี้จะไปตรงกับคำสอนของหลวงปู่ครูบาที่ว่า

"หยุดคิด ถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด"

เอ้าพยายามจับประเด็นค้นให้พบควา มลับในเรื่องนี้กันให้เจอนะครับ
onion

บ่างถ



ยังไม่เห็นประสบการณ์จริงที่อโศกว่านะ :b1: เห็นแต่ไปจำคำพูดของคนนั้นคนนี้มา เช่น
อ้างคำพูด:
หยุดคิด ถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด


เอามาผสมกับความคิดของตนเอง

แม้ "ไร้เจตนา" ก็ไปจำเขามาผสมผสานกับความฟุ้งซ่านของตนเอง

อ้างคำพูด:
คำว่า "ไร้เจตนา"ที่อโศกะบอกไปนั้นหมายถึงไม่มีการกำหนด การสั่งหรือความคาดหวังใดๆกับการภาวนา ที่ตนกระทำ


พอเราไล่เข้าหน่อย แน่ะ กลิ้งเป็นหมายถึงไม่มีการกำหนดไปอีกแระ คิกๆๆ จะเอาฮาไปถึงไหนขอรับ :b9:

:b34:
ตาเหล่และฝ้าฟางอย่างกรัชกายจะไปเที่ยวตีความวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นได้ถูกต้องอยู่หรือ ผิดหมดแล้วหละ
กลับไปดูคำตอบกระทู้บนอีกทีนะ

:b7:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร