วันเวลาปัจจุบัน 01 พ.ค. 2025, 21:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 30, 31, 32, 33, 34, 35, 36 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อนุโมทนากับคุณเอก้อนด้วยที่ เชี่่ยวชาญในคัมภีร์ และมีความแม่นยำในการเลือกเฟ้นข้อธรรมมาใช้ให้ถูกกับเหตุการณ์ งาน กาละ เทศะและบุคคล

คำสอนของพระบรมศาสดานั้นสุดยอดแล้วสำหรับผู้ที่ฉลาดและสามารถเข้าใจความหมายได้อย่างถูกต้องตามธรรม

....

งานของอโศกะ อาจจะเป็นเป็นถนนคนละเส้นแต่มุ่งไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน อาจเห็นทิวทัศน์ข้างทางไม่เหมือนกัน ก็อย่าสงสัยขัดใจเลย มาแชร์กันได้เสมอเพื่อเป็นธรรมทัศนะ

อโศกะมีปณิธาณที่จะทำยากให้เป็นง่าย ให้ผู้คนเข้าใจธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ในภาษาและอุปมาอุปมัยที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงในปัจจุบันที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงอาจขัดใจนักวิชาการผู้มั่นในตำราและคัมภีร์ทั้งหลาย ต้องขออภัย ทางใครทางมันนะครับ


ไม่ใช่สัทธัมปฏิรูป...แต่เป็นสัทธัมปริยาย ทำให้ง่ายและไม่มากมายจนเกินรู้เกินจำครับ
onion onion
เจริญสุข เจริญธรรม
:b37: :b37:


ท่านคิดเรื่อยเปื่อยไปแล้วล่ะ

:b1: :b1: :b1:

ท่านน่าจะลองได้อ่านอัตชีวะประวัติของท่านพุทธทาสนะ

นักปฏิบัติชาวพุทธส่วนหนึ่ง ...
จะมีใจเป็นดั่งเช่น พุทธทาส พุทธบุตร

ซึ่งบรรดาผู้ที่มีใจดั่งเช่นนั้น จะมีเอกลักษณ์ในการแสดงธรรมใกล้เคียงกัน
เพราะใจพวกท่านนอบน้อมต่อธรรมเช่นนั้น ด้วยธรรมชาติจิตของท่านเป็นเช่นนั้น
ทำให้ท่านเพียรสอนธรรม เพียรเผยแพร่ธรรม เพียรรักษาธรรม ด้วยชีวิตและจิตใจทั้งหมดทั้งมี
อย่างสุดกำลัง ไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ... ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งตน
ท่านไม่ได้ทำเพื่อจะเขี่ยใคร หรือแบ่งแยกใครให้พ้นทางหรอก ... มีแต่ "มาสิ่ เข้ามารู้ เข้ามาฟัง...ธรรม"
ท่านก็เพียงแค่รักษาเส้นทางเพื่อคนรุ่นต่อ ๆ ไปยังคนสืบเท้าเดินตามมาในเส้นทางเก่า ๆ นั้นได้
...

อย่ากล่าวลอย ๆ ว่าใครยึดมั่นในคัมภีร์ หรือ ใครไม่ยึดมั่น หรือใครแบ่งแยกเลย
...
สักวันท่านจะก้าวย่างลงร่องสู่ทางอย่างเช่นอริยะรุ่นก่อน ๆ เมื่อไร ก็ยากจะรู้ได้...

เมื่อนั้น ท่านก็จะเข้าใจ...

คำว่า พุทธทาส...

พุทธทาส เมื่อเป็นแล้ว มันไม่ต้องถอยเลย
เพราะ ทางที่จะถอย ไม่มีแล้ว

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 13:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แอพไพลน์....มาตั้งยอะแล้วละ....แค่..ไอ้มานะ...ของบางคนมันสูงฉะลูด...
พอคิดว่า...ตัวเก่ง..ตัวดีอยู่แล้ว..นี้นะ....ของดีแค่ไหนแม้อยู่ตรงหน้า...มันก็ไม่เห้นหรอก...บอกมันเท่าไร..มันยังไม่รู้ตัว..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ.....ต่อให้เดินคนละเส้น..ถนัดคนละอย่าง...แต่วิวข้างทางจะเหมือนกันเสมอ..อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ.....ต่อให้เดินคนละเส้น..ถนัดคนละอย่าง...แต่วิวข้างทางจะเหมือนกันเสมอ..อโสกะ

:b12: :b12: :b12:
พูดอย่างนี้เหมือนกับจะบอกว่า ทางไปวัดพระแก้วที่ผ่านถนนราชดำเนิน กับทางไปวัดพระแก้วโดยลงเรือมาทางแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นท่าช้างวังหลัง สองข้างทางจะเหมือนกันยังงั้นแหละ กบ
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แอพไพลน์....มาตั้งยอะแล้วละ....แค่..ไอ้มานะ...ของบางคนมันสูงฉะลูด...
พอคิดว่า...ตัวเก่ง..ตัวดีอยู่แล้ว..นี้นะ....ของดีแค่ไหนแม้อยู่ตรงหน้า...มันก็ไม่เห้นหรอก...บอกมันเท่าไร..มันยังไม่รู้ตัว..

:b12: :b12:
ก็ไปบอกมัน พูดกับเผือกกับมันอย่างนั้น คน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ กบ
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
อนุโมทนากับคุณเอก้อนด้วยที่ เชี่่ยวชาญในคัมภีร์ และมีความแม่นยำในการเลือกเฟ้นข้อธรรมมาใช้ให้ถูกกับเหตุการณ์ งาน กาละ เทศะและบุคคล

คำสอนของพระบรมศาสดานั้นสุดยอดแล้วสำหรับผู้ที่ฉลาดและสามารถเข้าใจความหมายได้อย่างถูกต้องตามธรรม

....

งานของอโศกะ อาจจะเป็นเป็นถนนคนละเส้นแต่มุ่งไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน อาจเห็นทิวทัศน์ข้างทางไม่เหมือนกัน ก็อย่าสงสัยขัดใจเลย มาแชร์กันได้เสมอเพื่อเป็นธรรมทัศนะ

อโศกะมีปณิธาณที่จะทำยากให้เป็นง่าย ให้ผู้คนเข้าใจธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ในภาษาและอุปมาอุปมัยที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงในปัจจุบันที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงอาจขัดใจนักวิชาการผู้มั่นในตำราและคัมภีร์ทั้งหลาย ต้องขออภัย ทางใครทางมันนะครับ


ไม่ใช่สัทธัมปฏิรูป...แต่เป็นสัทธัมปริยาย ทำให้ง่ายและไม่มากมายจนเกินรู้เกินจำครับ
onion onion
เจริญสุข เจริญธรรม
:b37: :b37:


ท่านคิดเรื่อยเปื่อยไปแล้วล่ะ

:b1: :b1: :b1:

ท่านน่าจะลองได้อ่านอัตชีวะประวัติของท่านพุทธทาสนะ

นักปฏิบัติชาวพุทธส่วนหนึ่ง ...
จะมีใจเป็นดั่งเช่น พุทธทาส พุทธบุตร

ซึ่งบรรดาผู้ที่มีใจดั่งเช่นนั้น จะมีเอกลักษณ์ในการแสดงธรรมใกล้เคียงกัน
เพราะใจพวกท่านนอบน้อมต่อธรรมเช่นนั้น ด้วยธรรมชาติจิตของท่านเป็นเช่นนั้น
ทำให้ท่านเพียรสอนธรรม เพียรเผยแพร่ธรรม เพียรรักษาธรรม ด้วยชีวิตและจิตใจทั้งหมดทั้งมี
อย่างสุดกำลัง ไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ... ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งตน
ท่านไม่ได้ทำเพื่อจะเขี่ยใคร หรือแบ่งแยกใครให้พ้นทางหรอก ... มีแต่ "มาสิ่ เข้ามารู้ เข้ามาฟัง...ธรรม"
ท่านก็เพียงแค่รักษาเส้นทางเพื่อคนรุ่นต่อ ๆ ไปยังคนสืบเท้าเดินตามมาในเส้นทางเก่า ๆ นั้นได้
...

อย่ากล่าวลอย ๆ ว่าใครยึดมั่นในคัมภีร์ หรือ ใครไม่ยึดมั่น หรือใครแบ่งแยกเลย
...
สักวันท่านจะก้าวย่างลงร่องสู่ทางอย่างเช่นอริยะรุ่นก่อน ๆ เมื่อไร ก็ยากจะรู้ได้...

เมื่อนั้น ท่านก็จะเข้าใจ...

คำว่า พุทธทาส...

พุทธทาส เมื่อเป็นแล้ว มันไม่ต้องถอยเลย
เพราะ ทางที่จะถอย ไม่มีแล้ว

:b1:

:b12: :b12: :b12:
เอก้อนก็จับประเด็น ตีความไปเรื่อยเปื่อยตามอัตโนมัยใจคิดเอาเองเช่นกันแหละ พิจารณาให้ดีๆ มีประโยชน์และคุณเยอะแยะ ในการแบ่งปันธรรมและแง่มุมธรรมที่หลากหลาย เป็นอุบายช่วยกลั่นกรองธรรมของผู้ศึกษาธรรมทั้งหลาย ให้ได้ค้นพบแนวทางที่เป็นของเฉพาะตน
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 22:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ.....ต่อให้เดินคนละเส้น..ถนัดคนละอย่าง...แต่วิวข้างทางจะเหมือนกันเสมอ..อโสกะ

:b12: :b12: :b12:
พูดอย่างนี้เหมือนกับจะบอกว่า ทางไปวัดพระแก้วที่ผ่านถนนราชดำเนิน กับทางไปวัดพระแก้วโดยลงเรือมาทางแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นท่าช้างวังหลัง สองข้างทางจะเหมือนกันยังงั้นแหละ กบ
:b9:


ไหน...ว่าอ่าน..ญาณ16..แล้ว...เห็นไปอนุโมทนาสาธุกับผู้มาโพสต์...นี้ครับ

อุปกิเลส16 นั้นก็วิวอีกข้างหนึ่ง...

อิอิ....พอจะเข้าใจ...นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แอพไพลน์....มาตั้งยอะแล้วละ....แค่..ไอ้มานะ...ของบางคนมันสูงฉะลูด...
พอคิดว่า...ตัวเก่ง..ตัวดีอยู่แล้ว..นี้นะ....ของดีแค่ไหนแม้อยู่ตรงหน้า...มันก็ไม่เห้นหรอก...บอกมันเท่าไร..มันยังไม่รู้ตัว..

:b12: :b12:
ก็ไปบอกมัน พูดกับเผือกกับมันอย่างนั้น คน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ กบ
:b13: :b13: :b13:


ความยึดมั่น....มานะ...มันขวางนะซิครับ...

พวก..นิ่ง..สังเกต...รู้.....แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร..และไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร...นี้จะรู้ยากครับ..อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
เอก้อนก็จับประเด็น ตีความไปเรื่อยเปื่อยตามอัตโนมัยใจคิดเอาเองเช่นกันแหละ
onion


หมายถึงเรื่อง พุทธทาส พุทธบุตร น่ะเหร๋อ

:b1:

ก็คงจะอย่างนั้นล่ะ... เอกอนก็ตีความไปตามประสา... :b12:


คือ

ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรม...นะ

ซึ่ง

ธรรม เป็น อนัตตา นะ

อิทธิพลของจิตที่สัมผัสถึงสัจธรรมความเป็นอนัตตา :b1:
จะทำให้ทิฐิที่เคยหมายว่ามี ว่าเป็นอัตตา มันจะอ่อนยวบทันที

ดังนั้น... แนวทางที่จะเป็นเฉพาะของตน มันปรากฎเพียงชั่วคราว

มอง ปฏิจสมุปบาท 2 สายนี้ ให้ออก

สายที่ อวิชาครอบงำ
กับ
สายที่ วิชาประกอบ

:b1: ...

ใครคือผู้สอนปฏิจสมุปบาท
และ ปฏิจสมุปบาท คือคำสอนระดับไหน
เมื่อ จิตประกอบด้วยวิชชา จิตเข้าถึงธรรมชาติของจิต
ซึ่ง ก็จะเห็นธรรมอัน เป็นเช่นนั้นเอง ก็คือ ตถตา
จิตที่เห็น ธรรม จิตนั้นก็น้อมลงในธรรม เคารพในธรรม
เพราะจิตรู้แล้วว่า ไม่มีตัวตนใด นอกจาก ธรรม
ธรรม ก็ ความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือ ตถตา
ซึ่ง ตถาคตเอง ก็คือ ตถตา ... ก็คือ พุทธะ

พุทธทาส พุทธบุตร หรือคำใดก็ตามที่แสดงนัยยะความหมายประมาณนี้
ถูกใช้ในเบื้องต้น ด้วยปัจจัยสภาวะจิตมันแสดงออกเช่นนั้นเอง
คือจิตมัน สิโรราบ ต่อธรรมที่จิตนั้นประจักษ์แจ้ง

มองความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของสภาวะที่ปรากฎให้ออก...
สายปฏิจสมุปบาท ที่อัตตาครอบอยู่
กับ
สายปฏิจสมุปบาท ที่วิชา(อนัตตา)ประกอบ ...

บัญญัติศัพท์ทุกคำ ล้วนมีเรื่องราวที่มา ... อารมณ์ธรรมตามบัญญัติ ...

:b1:

ยังไงก็คงจะเป็นการคิดไปเรื่อยเปื่อย...อย่างมีหลักการ...เน๊อะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
เอก้อนก็จับประเด็น ตีความไปเรื่อยเปื่อยตามอัตโนมัยใจคิดเอาเองเช่นกันแหละ
onion


หมายถึงเรื่อง พุทธทาส พุทธบุตร น่ะเหร๋อ

:b1:

ก็คงจะอย่างนั้นล่ะ... เอกอนก็ตีความไปตามประสา... :b12:


คือ

ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรม...นะ

ซึ่ง

ธรรม เป็น อนัตตา นะ

อิทธิพลของจิตที่สัมผัสถึงสัจธรรมความเป็นอนัตตา :b1:
จะทำให้ทิฐิที่เคยหมายว่ามี ว่าเป็นอัตตา มันจะอ่อนยวบทันที

ดังนั้น... แนวทางที่จะเป็นเฉพาะของตน มันปรากฎเพียงชั่วคราว

มอง ปฏิจสมุปบาท 2 สายนี้ ให้ออก

สายที่ อวิชาครอบงำ
กับ
สายที่ วิชาประกอบ

:b1: ...

ใครคือผู้สอนปฏิจสมุปบาท
และ ปฏิจสมุปบาท คือคำสอนระดับไหน
เมื่อ จิตประกอบด้วยวิชชา จิตเข้าถึงธรรมชาติของจิต
ซึ่ง ก็จะเห็นธรรมอัน เป็นเช่นนั้นเอง ก็คือ ตถตา
จิตที่เห็น ธรรม จิตนั้นก็น้อมลงในธรรม เคารพในธรรม
เพราะจิตรู้แล้วว่า ไม่มีตัวตนใด นอกจาก ธรรม
ธรรม ก็ ความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือ ตถตา
ซึ่ง ตถาคตเอง ก็คือ ตถตา ... ก็คือ พุทธะ

พุทธทาส พุทธบุตร หรือคำใดก็ตามที่แสดงนัยยะความหมายประมาณนี้
ถูกใช้ในเบื้องต้น ด้วยปัจจัยสภาวะจิตมันแสดงออกเช่นนั้นเอง
คือจิตมัน สิโรราบ ต่อธรรมที่จิตนั้นประจักษ์แจ้ง

มองความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของสภาวะที่ปรากฎให้ออก...
สายปฏิจสมุปบาท ที่อัตตาครอบอยู่
กับ
สายปฏิจสมุปบาท ที่วิชา(อนัตตา)ประกอบ ...

บัญญัติศัพท์ทุกคำ ล้วนมีเรื่องราวที่มา ... อารมณ์ธรรมตามบัญญัติ ...

:b1:

ยังไงก็คงจะเป็นการคิดไปเรื่อยเปื่อย...อย่างมีหลักการ...เน๊อะ

:b1:

:b12:
เชิญฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยต่อไปจนกว่าจะได้ดี ถึงดีนะครับ
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 13:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


นัยยะแห่ง พุทธทาส ลึกซึ้ง...นัก

:b1: :b1: :b1:

จริง ๆ เอกอนไม่เคยอ่านบทความท่านพุทธทาสสักเท่าไร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเคยได้ให้ความหมายของ พุทธทาส ไว้ว่าอย่างไรตามความเห็นของท่าน

ซึ่งที่เอกอนกลั่นกรองมาอย่างสั้น ๆ ก็พิจารณาไปตามความเข้าใจ
อันนี้เขาเรียกว่า ผู้ปฏิบัติ เดาใจ ผู้ปฏิบัติ น่ะ...

ซึ่งตามที่เอกอนเข้าใจก็เป็นแง่มุมที่สอดคล้องกับสิ่งที่ท่านพุทธทาส ผู้ซึ่งได้นำชื่อนี้มาใช้
ก็อยู่ในประเด็นหลัก ๆ ... เน๊อะ

:b1: :b1: :b1:

http://www.buddhadasa.com/b_buddhadasa.html

อ้างคำพูด:
มาเป็นพุทธทาสกันเถิด

มีการเป็นทาสชนิดหนึ่ง เป็นทาสที่ไม่ต้องเลิก ยิ่งมีมาก ยิ่งดี
ยิ่งเป็นทุกคนด้วยแล้ว โลกยิ่งมีสันติภาพ ไร้วิกฤตกาล
นั้นคือ การเป็นทาสของพระพุทธองค์ เรียกว่า "พุทธทาส"

พุทธทาส แปลว่า ผู้รับใช้พระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต
ในฐานะเป็นหนี้ในพระมหากรุณาธิคุณด้วย
เพราะความกตัญญูด้วย และ
เพราะเห็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วย

จึงสมัคร มอบกายถวายชีวิตหมดสิ้นทุกประการ
เพื่อรับใช้พระพุทธองค์
เพื่อกระทำสิ่งที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธประสงค์

พระพุทธองค์ไหน?
ตอบอย่างภาษาคน ก็พระพุทธองค์ที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์
ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลก ตรัสรู้ แล้วสั่งสอนสัตว์ จนตลอดพระชนมายุ
เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว

แต่ถ้าตอบ อย่างภาษาธรรม ก็ได้แก่ พระพุทธองค์
ดังที่ตรัสไว้ในข้อความที่มีอยู่ว่า
"ผู้ใด เห็นธรรม ผู้นั้น เห็นเรา ผู้ใด เห็นเรา ผู้นั้น เห็นธรรม"
อันเป็นพระพุทธองค์ ซึ่งจะยังทรงอยู่ ตลอดกาลนิรันดร
และมีได้ในบุคคลทุกคนที่เห็นธรรม
สิ่งนั้น คือ สติปัญญาที่ดับทุกข์ได้ ตามหลักที่ตรัสไว้ว่า
"ผู้ใด เห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม"
ถ้าถือตามหลักนี้ ก็คือ รับใช้สติปัญญาของตนเอง
ที่เห็นธรรม จนดับทุกข์ของตนได้

แล้วช่วยเหลือผู้อื่น ให้ดับทุกข์ได้ด้วย
และมีผลแก่ชาวโลก ตรงตามพระพุทธประสงค์
ถือเอากิจกรรมนี้ เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างสุดชีวิตจิตใจ

รับใช้กันอย่างไร? รับใช้ด้วยกระทำ ให้เกิดความถูกต้อง
ทั้งในส่วนปริยัติ และปฏิบัติ ให้เกิดผล เป็นปฏิเวธที่แท้จริง
ให้เพื่อนมนุษย์ รู้ธรรมะ มีธรรมะ ใช้ธรรมะ ได้รับผลจากธรรมะ
มีชีวิตที่เยือกเย็น เป็นนิพพานกัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ตามสัดส่วน แห่ง สติปัญญา ความสามารถ แห่งตนๆ
ทำให้สติปัญญาชนิดนี้ ปรากฏแพร่หลายไปทั่วโลก
และทุกโลก ทุกโลกในที่นี้ หมายถึง ทุกชนิดแห่งบุคคล
ที่หลงใหลในกาม ในรูป หรือวัตถุ และในอรูป คือสิ่งที่ไม่มีรูป
เช่น อำนาจวาสนาบารมี หรือแม้แต่ในบุญกุศล
อีกอย่างหนึ่ง ก็พูดว่า ทั้งเทวดา และมนุษย์
มนุษย์ คือ ผู้ที่ต้องอยู่กับเหงื่อ
เทวดา คือ พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อนั่นเอง
โลกในภาษาคน คือ โลกพิภพ ที่อยู่นอกตัวคน ดังที่เห็นๆกันอยู่
ส่วนโลก ใน ภาษาธรรม นั้น เป็น โลกในตัวคน
ได้แก่ ภูมิแห่งจิตที่แตกต่างกัน ตามภูมิ ตามชั้น
ธรรมะต้องครอบงำทั่วทั้งโลกและทุกโลกจริงๆ อย่างแพร่หลาย

แพร่หลายทั่วโลกอย่างไร?
คือ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีในขีวิตประจำวันของมหาชน
ทุกชั้นทุกคน
มี สติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ขันติ ในการทำหน้าที่ ของตน
ทุกกาลและเทศ คือทุกวินาที และทุกกระเบียดนิ้ว
ทุกคนทำหน้าที่ อย่างสนุกสนาน มีความพอใจ
และความสุข จากความพอใจตลอดเวลาที่ทำงาน
มิใช่เมื่อรับผลงาน ไปประกอบกิจกรรมอบายมุขทั้งหลาย
มีความถูกต้อง ตลอดทั้งวัน ค่ำลงนึกดูแล้ว ยกมือไหว้ตัวเองได้
เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครว่างงาน
เพราะเห็นหน้าที่การงาน ทุกชนิด ว่า
นั่นแหละ คือตัวธรรมะ ที่เขารู้จักกัน มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล

มีความถูกต้องทั้งในส่วนปริยัติ ปฎิบัติ ปฏิเวธ นั้นเป็นอย่างไร?
คำว่าถูกต้องนี้ มิได้หมายถึง ถูกต้องตามทางตรรก
หรือ ทางปรัชญาชนิด ฟิโลโซฟี่
หากแต่ ถูกต้อง ตามหลักการของพุทธบริษัท คือมีผลปรากฏ
เป็นการไม่เบียดเบียนใคร แต่ทุกคนได้รับประโยชน์
อย่างที่มีความรู้สึกอยู่แก่ใจ
ไม่ต้องเชื่อใคร หรือ ให้ใครบอก (นี้เป็น สันทิฏฐิโก)
เป็นความถูกต้อง ที่เรียกใครๆ มาดูได้
เพราะมีให้ดูอยู่ ที่เนื้อ ที่ตัวจริงๆ (นี้เป็น เอหิปัสสิโก)
และมีผล ไม่ขึ้นอยู่กับ เวลา เมื่อนั้นเมื่อนี้ หรือต่อชาติหน้า
หากแต่มีทันทีตลอดเวลา ที่ปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ อยู่ (นี้เป็น อกาลิโก)
ความถูกต้อง คือไม่ทำใครให้เดือดร้อน
แต่มีผลดีแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งตนเองด้วย
เป็นความหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องถุ้งเถียงกัน
หรือ ต้องขึ้นศาล
ปริยัติ คือ ความรู้ ก็ถูกต้อง
ปฏิบัติ คือ การกระทำ ก็ถูกต้อง
ปฏิเวธ คือ ผลของการกระทำ ก็ถูกต้อง
เพราะมันมีความรู ้และ การกระทำอย่างถูกต้องนั่นเอง

ดับทุกข์ได้จริงอย่างไร?
คือมีความเย็นอกเย็นใจ ของทุกคนในชีวิตประจำวัน
ถ้าเขามีความรู้เรื่อง สุญญตา ตถตา และ อตัมมยตา
อย่างเพียงพอแล้ว ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความเร่าร้อนได้เลย

จิตของเขาไม่อยู่ใต้อำนาจ ของความเป็นบวกเป็นลบ
เพราะเห็นสิ่งทั้งปวง โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่หิวกระหายในสิ่งใด นอกจากความอิ่ม
เพราะรู้สึกว่า ได้กระทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
และเหงื่อนั้น คือ น้ำมนต์
หรือ สิ่งชักจูงให้พระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย
มาช่วยเหลือ รู้ชัดจนแน่ใจว่า
ถ้าไม่ประพฤติธรรม คือหน้าที่แล้ว
ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยได้
ให้มาสักฝูงหนึ่ง ก็ช่วยไม่ได้
ถ้าทำหน้าที่ อย่างถูกต้องแล้ว
เหงื่อนั่นแหละ กลายรูปเป็น
พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ที่ช่วยได้จริง
เขาเชื่อมั่นว่า มีอะไรเป็นตัวตน
สิ่งนั้นแหละ จะช่วยจนกว่า จะหมดตัวตน
ซึ่งไม่ต้องการช่วยเหลืออะไรจากใคร อีกต่อไป
ความเห็นแก่ตัว เป็นของร้อน
แต่ความไม่เห็นแก่ตัว หรือ หมดความเห็นแก่ตัว
เป็นของเย็น จะทำงานสิ่งใด ก็ทำด้วยสติปัญญา หรือสัมมาทิฎฐิ
ไม่ทำด้วยอำนาจความเห็นแก่ตัว ซึ่งจะเผาลนตลอดเวลา

อย่างไรเรียกว่าหมดความเห็นแก่ตัว?
ก็โดยศึกษาเรื่องความไม่มีตัว
กาย และ ใจ เป็นธรรมชาติ ที่รู้จักคิด รู้สึกพูด
และทำอะไรได้ โดยไม่ต้องมีผี หรือ เจตภูต เข้าสิง
ดังนั้น ต้องทำทุกสิ่ง ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ
ตามที่เราจะต้องการผลอย่างไร
ถ้ายังโง่อยู่ ยังเห็นว่ามีตัว ก็อย่าเห็นแก่ตัว
เพราะมันจะกัดเอา ด้วยความโลภ โกรธ หลง ซึ่งมีลักษณะ เป็นไฟ
มีสติสัมปชัญญะ เมื่อรับอารมณ์ใดๆ
ไม่ให้ปรุงขึ้นมา เป็นความเห็นแก่ตัว
มีแต่สติปัญญา จัดการกับอารมณ์ นั้นๆ ตามที่ควร
มีสัมมาทิฎฐิ เห็นชัดอยู่เสมอว่า ความเห็นแก่ตัว
หรือ ยึดถือ กายและใจ หรือ ขันธ์ทั้งห้า ว่าเป็นตัว นั้น
เป็นเหตุแห่งความรู้สึก เป็นทุกข์ หรือ เป็นตัวทุกข์เสียเอง
ปราศจากความยึดถือ นี้แล้ว ความทุกข์เกิดไม่ได้
ชีวิตจะเป็นของร้อน ไม่ได้

สัมมาทิฎฐิสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร?
เป็นความรู้จักสิ่งทั้งปวงว่า เป็นสิ่งปรุงแต่ง
มีมาจากเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งและจะปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป
ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นคือ กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง
หรือความไม่เที่ยง ซึ่งเรียกว่า อนิจจัง
เพราะต้องเป็นไปกับด้วยสิ่งที่อนิจจัง หรือ เปลี่ยนเรื่อย
ก็เกิดอาการที่เป็นทุกข์ทนยาก หรือ ที่เรียกว่า ทุกขัง
เพราะไม่มีอะไรต้านทาน ได้ต่อสิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์
จึงเรียกว่า ไม่มีตน หรือ ไม่ใช่ตน หรือ อนัตตา
การที่เป็นไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ เรียกว่า ธัมมัฎฐิตตา
คือ ความที่เราต้องเป็นไปเช่นนี้ เป็นธรรมดา
ทั้งนี้เป็นเพราะ
มี กฏของธรรมชาติบังคับอยู่ นี้เรียกว่า ธัมมนิยามตา
อาการที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนี้ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา
เป็นกฏธรรมชาติ มีอำนาจเสมอ สิ่งที่เรียกกันว่า "พระเป็นเจ้า"
การที่ไม่มีอะไร ต้านทาน กฏอิทัปปัจจยตา นี้เรียกว่า สุญญตา
คือ ว่างจากตัวตน หรือ ว่างจากความหมาย แห่งตัวตน
มีความจริงสูงสุด เรียกว่า ตถตา คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง

อย่างไม่ฟังเสียงใคร ใครจะฝืนให้เป็นไปตามใจตน มันก็กัดเอง
คือ เป็นทุกข์ ในที่สุดก็เกิดความรู้สึก ขั้นสุดท้ายว่า อตัมมยตา
ความที่ไม่อาจอาศัย หรือ เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้อีกต่อไป
ซึ่งเป็นความหมาย อย่างภาษาชาวบ้าน พูดว่า
"กูไม่เอากะมึงอีกต่อไปแล้ว"
สลัดออกไปเสีย ก็คือ การบรรลุมรรคผล ธัมมฐิติญาณ
รู้ความจริงของสังขาร สุดลงที่ อตัมมยตา
ต่อจากนั้น ก็เป็นกลุ่ม นิพพานญาณ
เป็นฝ่ายโลกุตตระ เริ่มต้นแห่งความเย็น หรือ ความหมายของนิพพาน

โลกกลายเป็นโลกเย็น
ในที่สุด โลกก็กลายเป็นโลกเย็น เพราะเต็มไปด้วยศีลธรรม
หรือ ภาวะปกติไม่วุ่นวาย อยู่ภายในจิตใจของคน
แม้ว่า ภายนอกกาย จะมีความวุ่นวาย ตามธรรมดาโลก
ความเย็นอกเย็นใจ เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ในหมู่คนเหล่านั้น
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวาย
เพราะมี จิตที่ปราศจากความยึดมั่น อย่างโง่เขลา
ไม่ยอมรับสภาพ เช่นนั้นเอง ของธรรมดาโลก
เรือนจำ สถานีตำรวจ ศาล โรงพยาบาลประสาท
และ โรงพยาบาลโรคจิต จะลดลง
เมตตา และความสัตย์ จะเป็นสิ่ง หาได้ง่าย ในสังคมนั้น
มีลักษณะเป็น โลกของพระศรีอารยเมตไตรย
แม้ระเบิดปรมาณู จะลงมา ทุกคนก็ยังหัวเราะได้
เพราะ ความไม่ยึดมั่น ในตัวตน และไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
เพราะ อำนาจของสัมมาทิฎฐิ ดังกล่าวแล้ว
ไม่อาจปล่อยให้ ปรุงเป็นความทุกข์ หรือ ความกลัวขึ้นมา
ทั้งนี้ เป็นผลงานของ บรรดาเหล่าพุทธทาสทั้งหลาย
ที่ได้พยายาม ทำหน้าที่ของตน ตามกำลังสติปัญญา

จะเป็นพุทธทาสกันได้สักกี่คน?
ถ้าไม่มองข้ามกันเสีย ก็มีคนที่เป็นพุทธทาสกันอยู่ทั่วไปอย่างมากมาย แต่มิได้เรียกชื่อตัวว่า พุทธทาส กลัวเสียเกียรติ
สู้เรียกตนว่า เป็น อุบาสก อุบาสิกา ไม่ได้
ทุกคนสวดบททำวัตรเย็นว่า
พุทฺธสฺสาหสฺมิ ทาโส ว พุทฺโธ เม สามิกิสฺสโร
อยู่ด้วยกันทุกวัน เป็นการประกาศตัวว่า เป็นพุทธทาส
ด้วยไร้สำนึกหรืออย่างไร ควรจะลองคิดดู

แต่การที่จะเป็นพุทธทาส ให้ตรงหรือ เต็ม ตามพระพุทธประสงค์
นั้นคือ ทำหน้าที่นั้นๆ ให้สมบูรณ์
มิใช่เพียงแต่ ร้องประกาศ โดยไม่รู้ความหมาย อันแท้จริง
หน้าที่นั้น คือสิ่งใด เป็นพระพุทธประสงค์
ต้องบากบั่น กระทำให้สำเร็จ ตามพระพุทธประสงค์
พระพุทธประสงค์นั้น สรุปให้สั้นที่สุด ก็คือ
ให้ทุกคนเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่นจากหลับและเป็น ผู้เบิกบาน
ไม่รู้จักความทุกข์ อีกต่อไป
ความรู้ เรื่องพระนิพพาน อันเป็นสันทิฎฐิกัง อกาลิกัง เอหิปัสสิกัง
เป็น หัวใจของเรื่องนั้น
แต่กลับพากัน เห็นเป็นเรื่องสุดวิสัย และพ้นสมัยไปเสีย
ข้อนี้ มีค่าเท่ากับ พระพุทธศาสนา หมดสิ้นไปแล้ว
อย่างน่าเศร้าเหลือประมาณ
ผู้สมัครเป็นพุทธทาส ทุกคน ต้องรับรู้เรื่องนี้ให้เพียงพอ

ทุกคนเป็นพุทธทาสได้ และมีอะไรพร้อมที่จะเป็น
ยังขาดอยู่แต่ สัมมาทิฎฐิ หรือ ความเข้าใจอันถูกต้อง
ดูให้ดีจะพบว่า เดี๋ยวนี้ ก็กำลังเป็นกันอยู่ เป็นจำนวนไม่น้อย
หากแต่ไม่ประกาศตัว เพราะเมื่อตั้งใจจะทำจริงๆ แล้ว
ก็ไม่ต้องประกาศก็ได้ การชักชวนนี้ ก็มิใช่ต้องการให้ประกาศตัว
ขอแต่ให้ทำจริง ด้วยการทำตัวอย่าง แห่งบุคคล ผู้มีชีวิตเย็นให้ดู
และพยายามชี้แจงให้เข้าใจชีวิต ระบอบนี้ ให้ยิ่งขึ้นไป
และพยายามทำให้ เพื่อนมนุษย์รู้ธรรม โดยไม่ถือว่า
เป็นบุญคุณ หรือ ต้องการบุญคุณ ให้ใครตอบแทน
ทุกคนย่อมทำได้ ตามมากตามน้อย
ที่จะทำไม่ได้เสียเลยนั้น ดูจะไม่มี

ในที่สุดนี้ เมื่อเราพุทธบริษัท พยายามทำกันอยู่อย่างนี้
จนสุดความสามารถ แล้ว
พระพุทธประสงค์ ก็ได้รับการตอบสนอง อย่างถึงที่สุด
ประโยชน์สุข ก็จะเกิดขึ้นแก่โลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก
พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณพราหม์ พร้อมทั้งเทวดา
และมนุษย์ เต็มตาม พระพุทธประสงค์ และพระพุทธดำรัส
ที่ทรงเอ่ยชื่อ หมู่สัตว์ เหล่านี้ เสมอ ในพระพุทธภาษิต นั้นๆ

เรามาเป็นพุทธทาสกันเถิด
สมควรแก่กาลและเทศอย่างยิ่งแล้ว มาเถิด

โมกขพลาราม

๓๐ เม.ย. ๓๑


ฟุ้งซ่านแบบเอกอนนี่ออกแนว
จินตนาการบรรเจิด เห็นบัญญัติ ก็ประมาณการอารมณ์ธรรมนั้น ๆ ออกเป็นฉาก ๆ ได้
อย่างเหมือนได้สัมผัส เหมือนตาเห็น
ซึ่งบางคนจะต้องใช้เวลาศึกษา ปฏิบัติเพื่อจะเข้าถึงสภาวะธรรมนั้น ๆ ก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน
...

นี่ละ อาการซินเนสเตเซีย & savant ชั่วขณะเมื่อเรียกใช้งาน ... :b32: :b9:

:b1:

เพลิน ๆ น่ะ เอกอน เป็นคนที่อาการทางจิตผิดปกติ ไม่ใช่คนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอะไรหรอก
...
มันเป็นก็คือมันเป็น จะไม่เป็นก็ไม่ได้... แม้ไม่อยากให้เป็นก็ไม่ได้

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 มี.ค. 2014, 17:01, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
โล่งอก สบายใจ ได้ระบายธรรมะที่คับคั่งอยู่ในจิตออกเต็มที่ ดีแล้วนะ เอก้อน

เจริญสุข ๆ เจริญธรรม
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2014, 16:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
มาพูดกันถึงเรื่องพุทธทาส ธรรมทาส สังฆทาส กันสักนิดก่อนจะเดินหน้ากันต่อไปตามใจความของกระทู้นัะครับ

พุทธทาส......ข้ารับใช้พระพุทธเจ้า.........ในยุคสมัยเกือบร้อยปีที่ผ่านมานี้ คงมีท่านเดียวนะครับที่กล้าประกาศตนให้โลกรู้ นอกนั้นส่วนใหญ่ก็ทำแบบปิดทองหลังพระ

ธรรมทาส......ข้ารับใช้พระธรรม.........จริงๆข้อนี้น่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ของพุทธบริษัท 4 ทุกคน แต่คนที่กล้าประกาศตนต่อชาวโลกจริงๆยังไม่ชัด สมัย านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่มีพระรูปหนึ่งเป็นศิษย์ของท่านพุทธทาสเคยใช้นามว่า "ธรรมทาส" แต่ภายหลังได้ทราบว่าอาจถูกวัวเขาอ่อนขวิดออกวัดไป

อโศกะ ปารถนาเป็นธรรมทาสครับ เป็นข้ารับใช้ธรรมเพราะจะได้รับใช้พระพุทธเจ้าไปในตัวด้วยดังพุทธดำรัสที่ทรงมีต่อพระอานนท์ครั้งหนึ่งว่า

"ธรรมใดที่เราสอนไว้ดีแล้วนั่นแหละจักเป็นศาสดาแทนเรา"

ส่วนข้อสุดท้าย สังฆทาส ดูจะไม่ค่อยมีใครประกาศตน แต่คนที่เป็นสังฆทาสกลับมีจำนวนเยอะที่สุดในปัจจุบัน ชี้วัดได้จากสิ่งก่อสร้างในพระพุทธศาสนา มีมูลค่ามหาศาล ถ้าจะมาทำการสำรวจวิเคราะห์กันจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ว่ามีกลไกอะไรที่ทำให้ผู้คนมาลงทุนในด้านนี้มากกว่า ความเป็นพุทธทาส ธรรมทาส
grin
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
คงหมดคำถาม และทำให้อุทธัจจะนิวรณ์อันเป็นเครื่องกั้นขวางไม่ให้ถึงความดีตัวร้ายที่สุดสงบลงได้กันแล้วนะครับ

ต่อไปเมื่อนิวรณ์ทั้ง 5 ถูกสงบ สยบลงได้ชั่วคราวแล้วเราก็จะมีเวลาได้มาต่อยอดเจริญปัญญา วิปัสสนาภาวนาเพื่อพาตนให้พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงได้

สรุปว่า

ครึ่งชั่วโมง จะทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ได้ จะต้องใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

ต้องเข้าสมาธิให้ได้รวดเร็ว คล่องแคล่ว ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่จนชำนาญ

พึงมีสังขารุเปกขาญาณเป็นที่อยู่ ที่พักประจำ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2014, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
อุทธัจจะนิวรณ์ หรือความฟุ้งซ่านของจิตนั้นร้ายนัก สยบได้ยาก และลึกซึ้ง แยบยล

ความฟุ้งซ่านของจิตในภาษาง่ายๆก็คือ "ความคิดนึก" นั่นเอง

ภาวนาอย่างไรให้หยุดคิด?

หยุดและข่มด้วยสติ สมาธิ ขุดถอนทำให้เบาบางด้วยปัญญา

การสวดมนต์ ท่องบ่น บริกรรม หรือเพ่งกรรมฐาน เป็นการบังคับจิตให้รวมลงที่เดียว ที่นิยมใช้กันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ท่านเรียกว่า "สมถะภาวนา" เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการหยุด เบรค และกลบบังความคิด ตัวอย่างเช่นการกำหนดสติไว้กับคำบริกรรมสักอย่างหนึ่งเช่น พุทโธ.....สัมมาอรหัง.......อนัตตา.....โอม มณีปัทวฮุม ...?..
ท่องถี่ๆจนกลบความคิดนึกได้นานๆ จิตก็จะรวมเป็นหนึ่งได้จนเกิด ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ขึ้นไปตามลำดีับ เข้าฌาณ ทรงฌาณได้จนคล่องแคล่ว ชำนาญ หลีังจากนั้นก็มาทำงานขุดถอนความคิดด้วยปีัญญา หรือทำวิปีัสสนาภาวนา เพื่อทำให้กำลังความคิดนั้นเบาบาง อ่อนลง

การขุดถอนความคิดนั่้นก็เพียง นิ่งรู้นิ่งสังเกตความคิดที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันอารมณ์จนดับไป ๆ
:b36:

เส้นทางแสนสวย
(tulip)(tulip)(tulip)(tulip) http://mp.weixin.qq.com/mp/appmsg/show? ... lang=zh_TW
ดวั


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 30, 31, 32, 33, 34, 35, 36 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร