วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 15:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


อ้อ..คุณโรส..ดูจากพฤติกรรมหยาบๆ...นี้เอง..
มิน่าละ...จึงมีพฤติกรรมหยาบคาย... ไม่รอบคอบ

อ้างคำพูด:
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น


เริ่มเข้าเค้า...การปรากฏขึ้นของความเสื่อมในพระศาสนา..

คือมีเดียรถีย์..อ้างตนว่าเป็นสาวกสังโฆ..อยู่บ้าน..หาเงินหาทอง..ซื้อบ้านซื้อรถ..กินอาหารดีดี..บอกว่าไม่มีกิเลสแล้วนะ...ที่ทำเป็นเพียงกิริยาเฉยๆ...ต่อต่อไป..ก็คงจะกลัดเข็มกลัด..ใส่ต่างหู...แล้วบอกว่าข้านี้แหละสาวกสังโฆ..
huh huh huh

เห็นแววของความเสื่อม..ชัดเจน..

:b32:
ชาวบ้านจะมีมากเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีอาบัตินี่แล้วชาวบ้านเข้าใจคำสอนมากกว่าเนี่ย
เห็นกิเลสบรรพชิตชัดๆคิดให้ตรงสิคะมีอะไรที่ต่างจากชาวบ้านมั่งกิเลสมีเหมือนกัน
รับเงินไม่ได้ไงเพราะตาไม่บอดเห็นเป็นกิเลสเหมือนกันเพราะไม่รู้ถึงชวนะ7คริคริคริ
ทีนี้คิดให้ตรงพฤติกรรมนะคะบรรพชิตเกิดจากบรรพชาคืออุปสมบท
ขออนุญาตสละสมบัติเงินทองลูกเมียญาติพี่น้องเพื่อทำตามพระพุทธเจ้า
เพื่อตามรู้ความจริงตามอารมณ์พระบิดาเพื่อสิกขาคือทำตามสิกกขาบท227ข้อ
ผิดแม้แต่ข้อเดียวแปลว่าศีล5ก็ไม่ผ่านค่ะเพราะศีลตามคำสอนคือศีลเจตสิกเกิดดับทีละ1ขณะ
ผิด1สิกขาบทก็คือทุศีลไงคะบวชเพื่อไม่ประกอบอาชีพไม่ใช้เงินมีบาตรจีวรบริขาร8ติดตัวไปวัดไหนก็ได้
อยู่จำวัดไม่ไปไหนก็มีความจริงทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเท่ากันไม่ว่าบวชหรือไม่บวชไม่เดินทางก็มีไปไหนไม่รู้
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ

ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


อ้างคำพูด:
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะ อยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
อ้างคำพูด:



ไม่อยากทำนั่นแหละเป็นกิเลส กลัวเป็นกิเลสจึงไม่อยากทำ กลายเป็นคนขี้เกียจ ขาดวิริยะขาดความเพียร ชัดเลย คนจะล่วงทุกข์เพราะความเพียรนะขอรับ (วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ) :b13: วิริยะ อยู่ในหมวดธรรมทุกหมวดมั่ง เอาง่ายๆก่อน อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อิอิ

อินทรีย์ ๕ ก็มี วิริยะ นะคะ ไปไล่ดูเองมั่ง

เอายังงี้คุณโรส ก่อนตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ขาดความเพียร คือ ขาดวิริยะเสียอย่าง พระพุทธศาสนาไม่อุบัติในโลก คือ ก่อนประทับที่โพธิบัลลังก์ท่านตั้งใจเด็ดเดี่ยวเลยว่า ถ้ากูไม่ตรัสรู้กูจะไม่ลุกขึ้น ต่อให้เลือดเนื้อเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังเอ็นกระดูก็ตาม นี่ท่านเพียรถึงขนาดนั้นนะขอรับโผม

ทำเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญานี้ตรงความจริงคือฟังก็คือทำฟังน๊า
คุณกรัชกายบอกว่ากิเลสอย่างละเอียดใช้ปัญญาแก้ไม่ใช่หรือคะ
ทบทวนนะคะว่าปัญญาเกิดได้อย่างไรข้ามข้อ1ไม่ได้ทุกครั้งที่ทำปัญญา
ปัญญาทุกลำดับขั้นต้องอบรมเจริญมาจากขั้นการฟังเจริญขึ้นจากการฟังนะคะนะ
1สุตมยปัญญาคือปริยัติ(ข้ามปริยัติผิดทางทันทีนะคะ)
2จินตามยปัญญาคือปะติปัตติ(ไทยเปลี่ยนปเป็นบคือปะติบัติ)
3ภาวนามยปัญญาคือปฏิเวธะคืออบรมฟังจนรอบรู้มีปัญญามาจนเกิดผลแล้ว
ข้ามปัญญาแรกไม่ได้เลยนะคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ คุณจะต้องนั่งขัดสมาธิ (นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงๆ) กำหนดลมหายใจเข้า-ออก คุณถึงจะเห็นกิเลส เมื่อเห็นแล้วขั้นต่อไปก็กำจัดต้นเหตุของมัน แล้วทุกข์ก็หมดไป

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตจนนั่งต่อไม่ได้

พอมีวิธีแก้มั้ยคะ เราทำอานาปานสติ แต่ไม่ได้จับที่ลมหายใจ แค่ดูการเคลื่อนที่ของลำตัว ตอนกลางวันนั่งไป 1 ชม. จนรู้ทั่วตัว แต่พอมาตอนเย็น นั่งแบบเดิม รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตอยู่เรื่อยๆ รู้สึกทีนึงก็หยุด พอนั่งอีกก็โดนช็อตอีก ความรู้สึกเหมือนจั้กกะจี้ค่ะ จนเราต้องนอนแทน แต่นอนก็หลับ พอมีวิธีแก้มั้ยคะ แบบว่านั่งไม่ได้เลย


ถ้าไปนั่งคิดแบบที่อ้างบ่อยๆ จ้างก็ไม่จอง คิกๆๆ :b1:

:b12:
เคยนั่งแล้วรู้แล้วว่าไม่มีตัวตนเป็นยังไงนะคะ
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏนั่นเป็นผลของกรรมเก่านะคะ
ก็ที่ทำกรรมใหม่มันรอไปให้ผลชาติไหนไม่รู้เข้าใจไหมคะ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังมีคือไม่คิดตามคำสอนเพราะขาดสุตมยปัญญาฟังรึยัง
จิตได้ยินเป็นสภาพธรรมเดียวที่ทำให้รู้จักพระพุทธเจ้ารู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ตามเป็นจริง
เป็นสาวกคือผู้ฟังคิดตามตรงคำทีละคำไม่ใช่จำบัญญัติคำมากมายไว้ล่วงหน้าตามที่ทำอยู่
ความจริงที่ตนกำลังทำต้องทำตามคำสอนตรงๆที่คิดได้ตรงความจริงที่กำลังมีที่กายจิตใจตนตรงตาม1คำ
ถ้าไม่ตรงก็ไม่ใข่อุชุปะติปัตติคือไม่ใช่ผู้ตรงต่อการเข้าถึงสัจจะตามที่ตนกำลังมีจริงๆไม่ฟังไม่รู้จักกิเลสน๊า
ฟังแล้วรู้ความจริงตรงตัวตนจริงๆไม่ฟังก็ไม่รู้ว่าตรงคืออย่างไรแปลว่าสัจจะบารมีไม่เกิดจึงไม่ใช่อุชุปฏิบัติ
:b13:
:b32: :b32:



อ้างคำพูด:
เคยนั่งแล้วรู้แล้วว่าไม่มีตัวตนเป็นยังไงนะคะ

ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ นั่นเป็นผลของกรรมเก่านะคะ

ก็ที่ทำกรรมใหม่ มันรอไปให้ผลชาติไหนไม่รู้
เข้าใจไหมคะ


มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก คือ คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ เข้าใจเรื่องกรรมแบบลัทธินิครนถ์ ปัจจุบันไม่ว่าคนจะสุขจะทุกข์อย่างไร ก็โยนให้เป็นผลของกรรมแต่ชาติปางก่อนโน่นๆๆๆไปหมด

ผู้มีแนวความคิดอย่างนี้ ถ้าไปทำกัมมัฏฐานเข้า ไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม จะพุทโธๆไป พองหนอ ยุบหนอไป สัมปฏิจฉามิไป (มีวิธีไหนก็เติมเข้าไปอีก) สภาวธรรมปรากฏ เมื่อมันปรากฏแล้วตัวเองคิดว่าเป็นกรรมเก่า เพราะไม่เข้าใจชีวิตนี้ เพี้ยนขอรับ บ้าลูกเดียว ที่พึ่งสุดท้ายคือศรีธัญญา

อื่อคิดอะไรได้ก็พูดไปเถอะแต่ความจริงกำลังเกิดดับไม่รู้ก็คือไม่รู้้สะสมกิเลสแล้วนี่
ทำอะไรได้ไหมคะประมาทการฟังชาติไหนชาตินั้นแหละไม่มีปัญญาเกิดเพิ่มไงคะ
คริคริคริ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ความจริงรู้ได้ตรงปัจจุบันขณะ
ตะกี้ก็เพิ่งดับไปไม่รู้ตรง1สัจจะ
แปลว่าไม่รู้ทั้งหมดที่กำลังเกิดดับ
ฝึกฟังดูสิคะว่าเป็นเราฟังหรือเป็นธัมมะ
คำของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนใครแต่ไม่ว่าใคร
ที่นำมากล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจตรงลักษณะที่กำลังมี
คือคำวาจาสัจจะคืออริยสัจจธรรมคือคำจริงของพระพุทธเจ้า
:b12:
:b20: :b20:
https://youtu.be/pgF2L113C4E


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 20:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2018, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
สาวกคือผู้ที่มีปัญญาจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วสามารถถ่ายทอดคำสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงถูกต้อง
ไม่ใช่หงุบหงิบๆทำนิ่งใบ้สงบแบบไม่บอกอะไรแล้วก็แอบสะสมกิเลส
เช่นบวชสะสมเงินวัตถุเสบียงอาหารไว้แจกทานคือโลภเพราะกิจที่ควรทำไม่ทำ
บรรพชิตทำสังคมสงเคราะห์ไม่ได้เข้าใจไหมว่าสละสังคมแล้วที่ขออนุญาตบวชนั้นน่ะไม่รู้หรือ
ตัวกิเลสอยู่ในจิตที่ยินดีในลาภสักการะมากๆไม่ประมาณตนตามการบิณฑบาตเกิน1บาตรคือโลภมาก
โลภะติดข้องต้องการคือภาระเพิ่มแต่ตถาคตให้สละเพื่อมาขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยวดเข้าใจให้ถูกนะคะ
ความยินดีที่เพียรทำให้สังคมเห็นว่าตนดีทำอวดเพื่อให้เขาเอามาให้เพิ่มนั้นแหละไม่สำรวมระวังอินทรีย์
ข้างในยินดีติดข้องมากมายมหาศาลนั้นน่าจะเอาออกได้อย่างไรตถาคตกลับไปเอาสมบัติมาแจกสาวกไหม
จะไปทำดีอวดเพื่อขอเงินก่อสร้างวัตถุนั่นก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิตทบทวนกิจคันถธุระและวิปัสสนาธุระดูสิ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2018, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ทำตามๆกันด้วยความไม่รู้คือไม่มีกาลามสูตร10
เอาภาระทางโลกไปให้บรรพชิตให้ท่านรับเงินน่ะ
ไม่สงสารบรรพชิตที่เป็นคนที่ตนเคารพหรือคะ
รู้ไหมว่าคำสอนตรงมากส่งท่านไปนรกที่รับเงิน
ไม่มีใครช่วยใครได้เลยดูอย่างพระเทวทัตไปไหน
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2018, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
สาวกคือผู้ที่มีปัญญาจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วสามารถถ่ายทอดคำสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงถูกต้อง
ไม่ใช่หงุบหงิบๆทำนิ่งใบ้สงบแบบไม่บอกอะไรแล้วก็แอบสะสมกิเลส
เช่นบวชสะสมเงินวัตถุเสบียงอาหารไว้แจกทานคือโลภเพราะกิจที่ควรทำไม่ทำ
บรรพชิตทำสังคมสงเคราะห์ไม่ได้เข้าใจไหมว่าสละสังคมแล้วที่ขออนุญาตบวชนั้นน่ะไม่รู้หรือ
ตัวกิเลสอยู่ในจิตที่ยินดีในลาภสักการะมากๆไม่ประมาณตนตามการบิณฑบาตเกิน1บาตรคือโลภมาก
โลภะติดข้องต้องการคือภาระเพิ่มแต่ตถาคตให้สละเพื่อมาขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยวดเข้าใจให้ถูกนะคะ
ความยินดีที่เพียรทำให้สังคมเห็นว่าตนดีทำอวดเพื่อให้เขาเอามาให้เพิ่มนั้นแหละไม่สำรวมระวังอินทรีย์
ข้างในยินดีติดข้องมากมายมหาศาลนั้นน่าจะเอาออกได้อย่างไรตถาคตกลับไปเอาสมบัติมาแจกสาวกไหม
จะไปทำดีอวดเพื่อขอเงินก่อสร้างวัตถุนั่นก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิตทบทวนกิจคันถธุระและวิปัสสนาธุระดูสิ
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2018, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
สาวกคือผู้ที่มีปัญญาจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วสามารถถ่ายทอดคำสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงถูกต้อง
ไม่ใช่หงุบหงิบๆทำนิ่งใบ้สงบแบบไม่บอกอะไรแล้วก็แอบสะสมกิเลส
เช่นบวชสะสมเงินวัตถุเสบียงอาหารไว้แจกทานคือโลภเพราะกิจที่ควรทำไม่ทำ
บรรพชิตทำสังคมสงเคราะห์ไม่ได้เข้าใจไหมว่าสละสังคมแล้วที่ขออนุญาตบวชนั้นน่ะไม่รู้หรือ
ตัวกิเลสอยู่ในจิตที่ยินดีในลาภสักการะมากๆไม่ประมาณตนตามการบิณฑบาตเกิน1บาตรคือโลภมาก
โลภะติดข้องต้องการคือภาระเพิ่มแต่ตถาคตให้สละเพื่อมาขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยวดเข้าใจให้ถูกนะคะ
ความยินดีที่เพียรทำให้สังคมเห็นว่าตนดีทำอวดเพื่อให้เขาเอามาให้เพิ่มนั้นแหละไม่สำรวมระวังอินทรีย์
ข้างในยินดีติดข้องมากมายมหาศาลนั้นน่าจะเอาออกได้อย่างไรตถาคตกลับไปเอาสมบัติมาแจกสาวกไหม
จะไปทำดีอวดเพื่อขอเงินก่อสร้างวัตถุนั่นก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิตทบทวนกิจคันถธุระและวิปัสสนาธุระดูสิ
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
การฟังไม่ทำให้เดือดร้อนแต่คนที่ไม่ฟังเดือดร้อน
เพราะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรนะคะกบ
ถามใจตัวเองเถอะว่าชาตินี้ฟังแล้วกี่คำ
แค่คำว่าธัมมะคำเดียวคิดว่าพูดได้
แต่ปัญญาที่รู้แล้วคือตถาคต
เพราะทรงตรัสรู้ก่อนพูด
ไปอ่านท่องจำมาพูดแต่ไม่เข้าใจน่ะ
เป็นกิเลสจำแค่บัญญัติคือสัญญาตายแล้วลืม
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงการรู้ความจริงตามคือฟัง
ธัมมะไม่ใช้ตัวตนไปคิดทำแยกออกไปจากปกติที่ทำเป็นปกติอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามปกติคือธัมมะคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
ที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจละเอียดตามอภิธัมมะคือปรมัตถธัมมะ
ไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะใช้ว่าสิ่งที่มีจริงเข้าใจในภาษาที่ตนใช้
แค่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามได้ทีละน้อยโดยใช้กาลามสูตร10
ไม่ใช่ใช้ตัวตนไปทำแค่มีศรัทธาเลื่อมใสฟังคำวาจาสัจจะ
ความตรงสัจจะอยู่ที่ความตรงจริงของผู้ฟังถ้ายังไม่ตรง
ก็ต้องเข้าใจว่าปัญญาไม่มีไงจึงต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา
ฟังแล้วไตร่ตรองสังขารขันธ์ที่เกิดร่วมกับจิตปรุงแต่งจิตเอง
ไม่ต้องแยกออกไปปลีกวิเวกเพื่อทำเพราะปัญญาไม่มีก็คือ
ทำกิเลสอวิชชาเพิ่มเข้าไปอีกเพราะตอนไปทำไม่พึ่งคำสอนแล้ว
ปัญญามีทางรู้ทางเดียวคือจิตได้ยินเข้าใจไหมคะ
จะฟังหรือไม่ฟังจะฟังใครก็ตามใช้กาลามสูตร10
ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ
ไม่มีคนมีแต่สภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
ลืมตาดูสิมีแต่ตัวตนตนเองทะเลาะกับคำตถาคตที่เขียนให้อ่านอยู่นี่ไงคะ555
https://youtu.be/jRFrydKUBOg
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2018, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ทำตามๆกันด้วยความไม่รู้คือไม่มีกาลามสูตร10
เอาภาระทางโลกไปให้บรรพชิตให้ท่านรับเงินน่ะ
ไม่สงสารบรรพชิตที่เป็นคนที่ตนเคารพหรือคะ
รู้ไหมว่าคำสอนตรงมากส่งท่านไปนรกที่รับเงิน
ไม่มีใครช่วยใครได้เลยดูอย่างพระเทวทัตไปไหน


ไปเกี่ยวกับเทวทัตตรงไหนคุณโรส อิอิ มั่วไปเรื่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
สาวกคือผู้ที่มีปัญญาจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วสามารถถ่ายทอดคำสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงถูกต้อง
ไม่ใช่หงุบหงิบๆทำนิ่งใบ้สงบแบบไม่บอกอะไรแล้วก็แอบสะสมกิเลส
เช่นบวชสะสมเงินวัตถุเสบียงอาหารไว้แจกทานคือโลภเพราะกิจที่ควรทำไม่ทำ
บรรพชิตทำสังคมสงเคราะห์ไม่ได้เข้าใจไหมว่าสละสังคมแล้วที่ขออนุญาตบวชนั้นน่ะไม่รู้หรือ
ตัวกิเลสอยู่ในจิตที่ยินดีในลาภสักการะมากๆไม่ประมาณตนตามการบิณฑบาตเกิน1บาตรคือโลภมาก
โลภะติดข้องต้องการคือภาระเพิ่มแต่ตถาคตให้สละเพื่อมาขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยวดเข้าใจให้ถูกนะคะ
ความยินดีที่เพียรทำให้สังคมเห็นว่าตนดีทำอวดเพื่อให้เขาเอามาให้เพิ่มนั้นแหละไม่สำรวมระวังอินทรีย์
ข้างในยินดีติดข้องมากมายมหาศาลนั้นน่าจะเอาออกได้อย่างไรตถาคตกลับไปเอาสมบัติมาแจกสาวกไหม
จะไปทำดีอวดเพื่อขอเงินก่อสร้างวัตถุนั่นก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิตทบทวนกิจคันถธุระและวิปัสสนาธุระดูสิ
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
การฟังไม่ทำให้เดือดร้อนแต่คนที่ไม่ฟังเดือดร้อน
เพราะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรนะคะกบ
ถามใจตัวเองเถอะว่าชาตินี้ฟังแล้วกี่คำ
แค่คำว่าธัมมะคำเดียวคิดว่าพูดได้
แต่ปัญญาที่รู้แล้วคือตถาคต
เพราะทรงตรัสรู้ก่อนพูด
ไปอ่านท่องจำมาพูดแต่ไม่เข้าใจน่ะ
เป็นกิเลสจำแค่บัญญัติคือสัญญาตายแล้วลืม
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงการรู้ความจริงตามคือฟัง
ธัมมะไม่ใช้ตัวตนไปคิดทำแยกออกไปจากปกติที่ทำเป็นปกติอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามปกติคือธัมมะคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
ที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจละเอียดตามอภิธัมมะคือปรมัตถธัมมะ
ไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะใช้ว่าสิ่งที่มีจริงเข้าใจในภาษาที่ตนใช้
แค่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามได้ทีละน้อยโดยใช้กาลามสูตร10
ไม่ใช่ใช้ตัวตนไปทำแค่มีศรัทธาเลื่อมใสฟังคำวาจาสัจจะ
ความตรงสัจจะอยู่ที่ความตรงจริงของผู้ฟังถ้ายังไม่ตรง
ก็ต้องเข้าใจว่าปัญญาไม่มีไงจึงต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา
ฟังแล้วไตร่ตรองสังขารขันธ์ที่เกิดร่วมกับจิตปรุงแต่งจิตเอง
ไม่ต้องแยกออกไปปลีกวิเวกเพื่อทำเพราะปัญญาไม่มีก็คือ
ทำกิเลสอวิชชาเพิ่มเข้าไปอีกเพราะตอนไปทำไม่พึ่งคำสอนแล้ว
ปัญญามีทางรู้ทางเดียวคือจิตได้ยินเข้าใจไหมคะ
จะฟังหรือไม่ฟังจะฟังใครก็ตามใช้กาลามสูตร10
ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ
ไม่มีคนมีแต่สภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
ลืมตาดูสิมีแต่ตัวตนตนเองทะเลาะกับคำตถาคตที่เขียนให้อ่านอยู่นี่ไงคะ555
https://youtu.be/jRFrydKUBOg
:b12:
:b32: :b32:


:b32: :b32: :b32:
ไม่กล้าตอบตรงๆ...
อ้อมแอ่ม..ตอบว่า.."ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ"

งั้น..ฟังผมพูดนะ..คุณโรส..

1. รักษาศีลให้ดีๆนะคุณโรส...ระงับนิสัยชอบตำนิติเตียนให้ดี..หากไปเห็นโบสถ์เห็นศาลาสวยๆ..เห็นภิกษุใช้มือถือราคาแพงๆ...ก็หัดระงับจิตใจ..อย่าด่วนตำนิ..ว่า..วัดอารายหรูหร่า..รับเงินรับทอง...เล่นโซเซียลไม่สำรวมตัดกิเลส...ฯ...สำรวมใจ..วาจา..กาย..ในศีลให้ดี

2. รักษาศีลเพราะเชื่อในพระพุทธเจ้า..พระพุทธ..พระธรรม..พระอริยะสงฆ์..สอนใว้อย่างไร..เราเชื่อว่าดีจริง...ขั้นแรกท่านสอนให้..รักษาศีล..ทำบุญทำทาน..เราก็ทำเพราะว่าเห็นแล้วว่าดีจริงๆ..เรารักษาศีลก็เพราะท่านสอน..ดังนั้นเราก็ทำตามท่านสอน..สำรวมสังวรระสังวาจาให้ดี

3. อย่าประมาทในการมีชีวิต .ชีวิตไม่ได้ยืนยาว..คิดเสมอๆ..ว่าเด้วเราก็ตาย..คนอื่นก็ตายเหมือนกัน...วัดสวยๆก็เสื่อมโทรมได้กลายเป็นไม่สวย..มือถือแพงๆก็เสื่อมก็เสียได้ไม่ได้ยั่งยืนอะไร...สิ่งใดที่ไม่ยั่งยืน..สิ่งนั้นมีสาระหรือไม่มีสาระ? แล้วเรา(คุณโรส)จะไปตำนิติเตียนในสิ่งที่ไม่มีสาระ.ไปทำไม...ให้จิตติดความเลวไปซะเปล่าๆ...ไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าตัวเองดีแล้วนะ...สำรวมในศีล..ใครจะเป็นอย่างไรก็คิดว่า..ชั่งเขา...ให้เรา(คุณโรส)เชื่อและทำตามพระองค์สอน..ก็พอ.

กระผมพูดความจริงแล้ว..แล้วแค่นี้ผมก็เป็นสาวกสังโฆ..แล้วยัง? :b32:

ยัง...ใช่มั้ยละ.. :b32: :b32: :b32:

ดังนั้น...ตรรกะ ของคุณโรส ที่ว่า..
"ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ"
จึง..ใช้ไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต
ตถาคตคือบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ฟังแล้วไม่รู้ว่าคำไหนคือคำตถาคตแปลว่า
ไม่รู้จักตถาคตจำแต่เรื่องราวบัญญัติคำต่างๆ
จำผิดวิปลาสไม่รู้ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังปรากฏขาดแค่ฟัง
คิดต่อดูสิคะฉลาดมากไหมไม่เคยคิดถูกตัวจริงธัมมะตามได้ไงคะ
:b32: :b32: :b32:


ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

คุณโรส ตอบว่า..

คำของเกจิอาจารย์ไม่ใช่คำของตถาคต

บ้าไปแล้วรึเปล่าเนี้ย..

อ่านทีละคำนะคุณโรส...รู้ทีละปัจจุบันขณะนะคุณโรส..ให้เข้าใจ
ถามว่า..

คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
สาวกคือผู้ที่มีปัญญาจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วสามารถถ่ายทอดคำสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงถูกต้อง
ไม่ใช่หงุบหงิบๆทำนิ่งใบ้สงบแบบไม่บอกอะไรแล้วก็แอบสะสมกิเลส
เช่นบวชสะสมเงินวัตถุเสบียงอาหารไว้แจกทานคือโลภเพราะกิจที่ควรทำไม่ทำ
บรรพชิตทำสังคมสงเคราะห์ไม่ได้เข้าใจไหมว่าสละสังคมแล้วที่ขออนุญาตบวชนั้นน่ะไม่รู้หรือ
ตัวกิเลสอยู่ในจิตที่ยินดีในลาภสักการะมากๆไม่ประมาณตนตามการบิณฑบาตเกิน1บาตรคือโลภมาก
โลภะติดข้องต้องการคือภาระเพิ่มแต่ตถาคตให้สละเพื่อมาขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยวดเข้าใจให้ถูกนะคะ
ความยินดีที่เพียรทำให้สังคมเห็นว่าตนดีทำอวดเพื่อให้เขาเอามาให้เพิ่มนั้นแหละไม่สำรวมระวังอินทรีย์
ข้างในยินดีติดข้องมากมายมหาศาลนั้นน่าจะเอาออกได้อย่างไรตถาคตกลับไปเอาสมบัติมาแจกสาวกไหม
จะไปทำดีอวดเพื่อขอเงินก่อสร้างวัตถุนั่นก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิตทบทวนกิจคันถธุระและวิปัสสนาธุระดูสิ
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?
ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปด

cool
การฟังไม่ทำให้เดือดร้อนแต่คนที่ไม่ฟังเดือดร้อน
เพราะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรนะคะกบ
ถามใจตัวเองเถอะว่าชาตินี้ฟังแล้วกี่คำ
แค่คำว่าธัมมะคำเดียวคิดว่าพูดได้
แต่ปัญญาที่รู้แล้วคือตถาคต
เพราะทรงตรัสรู้ก่อนพูด
ไปอ่านท่องจำมาพูดแต่ไม่เข้าใจน่ะ
เป็นกิเลสจำแค่บัญญัติคือสัญญาตายแล้วลืม
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงการรู้ความจริงตามคือฟัง
ธัมมะไม่ใช้ตัวตนไปคิดทำแยกออกไปจากปกติที่ทำเป็นปกติอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามปกติคือธัมมะคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
ที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจละเอียดตามอภิธัมมะคือปรมัตถธัมมะ
ไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะใช้ว่าสิ่งที่มีจริงเข้าใจในภาษาที่ตนใช้
แค่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามได้ทีละน้อยโดยใช้กาลามสูตร10
ไม่ใช่ใช้ตัวตนไปทำแค่มีศรัทธาเลื่อมใสฟังคำวาจาสัจจะ
ความตรงสัจจะอยู่ที่ความตรงจริงของผู้ฟังถ้ายังไม่ตรง
ก็ต้องเข้าใจว่าปัญญาไม่มีไงจึงต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา
ฟังแล้วไตร่ตรองสังขารขันธ์ที่เกิดร่วมกับจิตปรุงแต่งจิตเอง
ไม่ต้องแยกออกไปปลีกวิเวกเพื่อทำเพราะปัญญาไม่มีก็คือ
ทำกิเลสอวิชชาเพิ่มเข้าไปอีกเพราะตอนไปทำไม่พึ่งคำสอนแล้ว
ปัญญามีทางรู้ทางเดียวคือจิตได้ยินเข้าใจไหมคะ
จะฟังหรือไม่ฟังจะฟังใครก็ตามใช้กาลามสูตร10
ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ
ไม่มีคนมีแต่สภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
ลืมตาดูสิมีแต่ตัวตนตนเองทะเลาะกับคำตถาคตที่เขียนให้อ่านอยู่นี่ไงคะ555
https://youtu.be/jRFrydKUBOg
:b12:
:b32: :b32:


:b32: :b32: :b32:
ไม่กล้าตอบตรงๆ...
อ้อมแอ่ม..ตอบว่า.."ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ"

งั้น..ฟังผมพูดนะ..คุณโรส..

1. รักษาศีลให้ดีๆนะคุณโรส...ระงับนิสัยชอบตำนิติเตียนให้ดี..หากไปเห็นโบสถ์เห็นศาลาสวยๆ..เห็นภิกษุใช้มือถือราคาแพงๆ...ก็หัดระงับจิตใจ..อย่าด่วนตำนิ..ว่า..วัดอารายหรูหร่า..รับเงินรับทอง...เล่นโซเซียลไม่สำรวมตัดกิเลส...ฯ...สำรวมใจ..วาจา..กาย..ในศีลให้ดี

2. รักษาศีลเพราะเชื่อในพระพุทธเจ้า..พระพุทธ..พระธรรม..พระอริยะสงฆ์..สอนใว้อย่างไร..เราเชื่อว่าดีจริง...ขั้นแรกท่านสอนให้..รักษาศีล..ทำบุญทำทาน..เราก็ทำเพราะว่าเห็นแล้วว่าดีจริงๆ..เรารักษาศีลก็เพราะท่านสอน..ดังนั้นเราก็ทำตามท่านสอน..สำรวมสังวรระสังวาจาให้ดี

3. อย่าประมาทในการมีชีวิต .ชีวิตไม่ได้ยืนยาว..คิดเสมอๆ..ว่าเด้วเราก็ตาย..คนอื่นก็ตายเหมือนกัน...วัดสวยๆก็เสื่อมโทรมได้กลายเป็นไม่สวย..มือถือแพงๆก็เสื่อมก็เสียได้ไม่ได้ยั่งยืนอะไร...สิ่งใดที่ไม่ยั่งยืน..สิ่งนั้นมีสาระหรือไม่มีสาระ? แล้วเรา(คุณโรส)จะไปตำนิติเตียนในสิ่งที่ไม่มีสาระ.ไปทำไม...ให้จิตติดความเลวไปซะเปล่าๆ...ไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าตัวเองดีแล้วนะ...สำรวมในศีล..ใครจะเป็นอย่างไรก็คิดว่า..ชั่งเขา...ให้เรา(คุณโรส)เชื่อและทำตามพระองค์สอน..ก็พอ.

กระผมพูดความจริงแล้ว..แล้วแค่นี้ผมก็เป็นสาวกสังโฆ..แล้วยัง? :b32:

ยัง...ใช่มั้ยละ.. :b32: :b32: :b32:

ดังนั้น...ตรรกะ ของคุณโรส ที่ว่า..
"ใครที่ไม่บอกความจริงให้เข้าใจไม่ใช่สาวกสังโฆ"
จึง..ใช้ไม่ได้

สาวก อ่านว่า สาวะกะ แปลว่าผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจต้องฟังเข้าใจด้วยนะถึงจะเริ่มเป็นปัญญา
เพราะปัญญาเป็นโสภณเจตสิกที่เกิดร่วมกับสติและกุศลอื่นๆที่ปรุงกุศลจิตไม่มีอกุศลปนทีละ1ขณะจิต
ผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจไม่มีใครอิจฉาหรอกค่ะเพราะเขารู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วตรงตามคำสอนที่แสดงไว้
แค่ตั้งใจฟังลืมตาดูพฤติกรรมผู้ที่คิดว่าตนเป็นพูทธบริษัทแต่ทำผิดตามที่ทรงแสดงไว้ล่วงหน้า
ตั้งแต่ก่อนปรินิพพานว่าอนาคตภิกษุจะไม่เงี่ยโสตลงสดับคำตถาคตด้วยดีแต่จะชอบกลอน
ภิกษุนอกธรรมวินัยจะย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่ทำลายคำสอนเป็นมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นพระพุทธศาสนาบิดเบือนคำสอนกล่าวคำคถาคตโดยทำเพื่อลาภสักการะเงินทอง
เป็นภิกษุหยากเยื่อเป็นผู้ไปแล้วจากเราตถาคตไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยนี้อ่านชัดๆ
แล้วก็มองดูหัวโล้นห่มผ้าเหลืองที่รับเงินทองและมีเกินบริขาร8ใช้เงินทอง
เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเดินบิณฑบาตเอาไปฝากใครเกิน1บาตร
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ในการแจกทานเพราะเป็นการให้ลาภต่อลาภไงคะ
ภิกษุทำคันถธุระและวิปัสสนาธุระได้ไปดูคำแปลให้ชัดๆคืออะไร?*
สังคมสงเคราะห์ก็มีหน่วยงานราชการชาวบ้านติดยศน่ะไม่แปลก
ก็ลองอ่านทบทวนตั้งแต่ต้นจนจบดูนะคะกบเพราะกรรมไม่เว้น
เพราะเป็นสมมุติก็เป็นสมมุติที่ไม่ทำผิดนะคะแต่ทำผิดแล้ว
ไม่สำนึกตถาคตแสดงไว้ว่าภิกษุรับเงินคือมิจฉาชีพน๊า
บริโภคอย่างเป็นหนี้เพราะไม่บรรลุอริยสัจจธรรม
ตรงมากรับเงินทองปิดกั้นมรรคผลนิพพาน
มีอบายภูมิวินิบากนรกเป็นที่ไปเพราะ
เป็นครุกรรมที่เป็นอาจิณกรรมน๊า
และพันปีที่3บรรลุได้แค่อนาคามี
ไม่บวชก็บรรลุธรรมชั้นนี้ได้น๊า
ลองไปค้นสิคะมีบันทึกไว้ในตำราตรงไหนจะได้
เอามาเทียบตามคำสอนได้ตรงความจริงที่ตาตัวเองเห็นพฤติกรรมต่างๆนานา
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2018, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

สาวก อ่านว่า สาวะกะ แปลว่าผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจต้องฟังเข้าใจด้วยนะถึงจะเริ่มเป็นปัญญา
เพราะปัญญาเป็นโสภณเจตสิกที่เกิดร่วมกับสติและกุศลอื่นๆที่ปรุงกุศลจิตไม่มีอกุศลปนทีละ1ขณะจิต
ผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจไม่มีใครอิจฉาหรอกค่ะเพราะเขารู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วตรงตามคำสอนที่แสดงไว้
แค่ตั้งใจฟังลืมตาดูพฤติกรรมผู้ที่คิดว่าตนเป็นพูทธบริษัทแต่ทำผิดตามที่ทรงแสดงไว้ล่วงหน้า
ตั้งแต่ก่อนปรินิพพานว่าอนาคตภิกษุจะไม่เงี่ยโสตลงสดับคำตถาคตด้วยดีแต่จะชอบกลอน
ภิกษุนอกธรรมวินัยจะย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่ทำลายคำสอนเป็นมหาโจรเศรษฐีหัวโล้น
ปล้นพระพุทธศาสนาบิดเบือนคำสอนกล่าวคำคถาคตโดยทำเพื่อลาภสักการะเงินทอง
เป็นภิกษุหยากเยื่อเป็นผู้ไปแล้วจากเราตถาคตไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยนี้อ่านชัดๆ
แล้วก็มองดูหัวโล้นห่มผ้าเหลืองที่รับเงินทองและมีเกินบริขาร8ใช้เงินทอง
เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเดินบิณฑบาตเอาไปฝากใครเกิน1บาตร
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ในการแจกทานเพราะเป็นการให้ลาภต่อลาภไงคะ
ภิกษุทำคันถธุระและวิปัสสนาธุระได้ไปดูคำแปลให้ชัดๆคืออะไร?*
สังคมสงเคราะห์ก็มีหน่วยงานราชการชาวบ้านติดยศน่ะไม่แปลก
ก็ลองอ่านทบทวนตั้งแต่ต้นจนจบดูนะคะกบเพราะกรรมไม่เว้น
เพราะเป็นสมมุติก็เป็นสมมุติที่ไม่ทำผิดนะคะแต่ทำผิดแล้ว
ไม่สำนึกตถาคตแสดงไว้ว่าภิกษุรับเงินคือมิจฉาชีพน๊า
บริโภคอย่างเป็นหนี้เพราะไม่บรรลุอริยสัจจธรรม
ตรงมากรับเงินทองปิดกั้นมรรคผลนิพพาน
มีอบายภูมิวินิบากนรกเป็นที่ไปเพราะ
เป็นครุกรรมที่เป็นอาจิณกรรมน๊า
และพันปีที่3บรรลุได้แค่อนาคามี
ไม่บวชก็บรรลุธรรมชั้นนี้ได้น๊า
ลองไปค้นสิคะมีบันทึกไว้ในตำราตรงไหนจะได้
เอามาเทียบตามคำสอนได้ตรงความจริงที่ตาตัวเองเห็นพฤติกรรมต่างๆนานา


ที่สาวิกามีคุณโรสเป็นต้นฟังมา ๗-๘ ปีนั่นน่าเป็นศาสดีแม่สุจิน :b13: ฟังแล้วก็มโนไปตามกิเลสของแต่ละคนๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2018, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
......
สาวก อ่านว่า สาวะกะ แปลว่าผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจต้องฟังเข้าใจด้วยนะถึงจะเริ่มเป็นปัญญ
..................................
และพันปีที่3บรรลุได้แค่อนาคามี
ไม่บวชก็บรรลุธรรมชั้นนี้ได้น๊า
ลองไปค้นสิคะมีบันทึกไว้ในตำราตรงไหนจะได้
เอามาเทียบตามคำสอนได้ตรงความจริงที่ตาตัวเองเห็นพฤติกรรมต่างๆนานา
:b13:
:b32: :b32:


:b9: :b9: :b9:
คุณโรส...มักจะบอกว่า..ต้องฟังคำพระพุทธเจ้า..

แต่..การกระทำกลับไม่เป็นอย่างที่พูด..คือ..ไปฟังคำใครก็ไม่รู้.. :b32:

ไหน..บอกมาซิ...คำว่า.."และพันปีที่3บรรลุได้แค่อนาคามี"

เป็นคำของใคร?...เป็นของพระพุทธเจ้า..หรือของใคร..

คุณโรสยืนยันหน่อย..ซี..ว่าเป้นคำของใคร..

:b32: ...ตอบไม่ได้ว่าเป็นคำของใคร..ใช่มั้ยละคุณโรส.. :b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร