วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2016, 19:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006 s006 s006

สงสัยและเข้าใจผิดมานานหรือเปล่า?

เอก้อนเป็นผู้หญิงหรือครับ?

s006 s006 s006


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2016, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อนุโมทนาสาธุกับเอก้อนและกบที่มาสนทนาธรรมกันต่อแบบบัณฑิต กัลยาณมิตร ทำให้ได้ความรู้ความเข้าใจที่แตกฉานยิ่งขึ้นในธรรม
:b27:
จากเรื่องที่เอก้อนยกมาให้ศึกษาทั้งหมดจะพอวิเคราะห์และจับประเด็นได้ว่า
1.นิ่ง กับ สงบที่เอก้อนวิจารณ์นั้น โดยธรรมจะเกิดสงบก่อน
แล้วนิ่งเกิดตามหลังจากนั้นก็จะเย็น
"สำรวมกายใจ=สงบ มานิ่งรู้ (สติ+ปัญญาสัมมาทิฏฐิ)นิ่งสังเกต(ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)=ตั้งมั่นมีสมาธิ..อยู่กับ
ปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา(แสดงทุกขัง อนิจจัง อนัตตา)

ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนเหตุปัจจัยที่เกิดจากวิบากลดน้อยลงหมดลง ก็จะมีงานให้จิตทำน้อยหรือหมดงานไปเป็นพักๆ
จึงเข้าถึงความหยุดและเย็น


พูดมาอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะเข้าใจกันอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ลองตรอง วิจารณ์ วิจัยดูโดยต้องเทียบกับสภาวธรรมจริงที่พึงเกิดขึ้นในกายในใจด้วยนะครับจะเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

:b11:


มีส่วน..คล้ายๆ...วิธีการเข้าอรูป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 06:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ว่าง

ดับ

เย็น

หยุด


หลวงพ่อพุทธทาสสรุปไว้เมื่อหลายปีก่อนครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 08:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มาอ่าน บทธรรมดี ๆ ที่เพื่อนสมาชิก น่ารัก ๆ เอามาฝากดีก่า ...

ธรรมโฆษ เขียน:
รูปภาพ

"มหาปัญญา ปัญญาที่ทันเหตุการณ์"

" .. เมื่อปัญญาเกิด อะไรปุ๊บมันเกิดขึ้นมา มันแก้ปัญหาของมันได้แล้ว "มันมีปัญหาก็ต้องมีเฉลย" อารมณ์อะไรที่มันเกิดขึ้นมาปุ๊บ เป็นต้น มันเป็นปัญหามา "เมื่อเห็นปัญหาก็เห็นเฉลยพร้อม มันก็หมดปัญหาแล้ว" อันนี้ความรู้มันสำคัญ

"อะไรที่ปัญหามันเกิด แต่เฉลยไม่เกิดก็แย่เหมือนกันนะ" ยังไม่ทันมัน ฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรมาก "เมื่อมีปัญหาขึ้นมาปุ๊บ .. เฉลยพร้อม เป็นปัจจุบันอย่างนี้ .. นี่เป็นปัญญาที่สำคัญที่สุด"

อะไรที่เราไม่ได้นึก .. ไม่ได้คิดอะไรหมด "แต่ปัญหามันเกิดขึ้นมาปุ๊บ .. มันมีตัวเฉลยพร้อม ไม่ต้องไปคว้าเอาตรงนั้น ไม่ต้องไปคว้าเอาตรงนี้ เอาตรงนั้นก็พอแล้ว" คือ "ปัญหานั่นแหละมันบอกให้เฉลยเกิดขึ้นมา" มันเป็นเสียอย่างนั้น "ตรงนั้นมันหมดกันที่ตรงนั้นแหละ ไม่หมดกันที่ตรงไหนหรอก" ปัญญาตรงนี้เป็นปัญญาที่ทันเหตุการณ์ .. สำคัญนะ

"เป็นปัญญาที่ทันเหตุการณ์ ... สำคัญ ถ้าเรามีเช่นนี้ทุกอย่าง .. ทุกข์ไม่มี .. เมื่อใดเกิดปัญหาขึ้นมา มีเฉลยปั๊บ ๆ ทุกข์นั้นเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว" มันวางทั้งนั้น "มันทำลายอุปาทานทั้งนั้นแหละ"

ถ้าเราแก้ปัญหามันที่เกิดขึ้นมา แหม ... ต้องไปกับมันตั้งสองวัน ... สามวัน มันห่างเกินไป มันไม่ทันช่วงของมันแล้ว เกิดเดี๋ยวนั้น ... เอาเดี๋ยวนั้น "เห็นปัญหาเกิด ... มีเฉลยพร้อม ๆ มันทุกขณะ เกิดดับ กลับพร้อมกันเลย" .. อย่างนี้ก็น่าดูเหมือนกันนะ .."

หลวงปู่ชา สุภัทโท

http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahtha ... onLoak.php

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 08:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ...หลวงพ่อชา ... ^^ :b8:

อ้างคำพูด:
ปุจฉา...หลวงพ่อฮะ พูดถึงว่า ถ้าเผื่อว่าลมมันหมดนะฮะ แต่รู้สึกว่าข้างในมันยังไม่หมด นี่แสดงว่า ลมยังไม่หมดใช่ไหมฮะ..

.คือเวลากำหนดน่ะฮ่ะ...ส่วนข้างนอกรู้สึกว่ามันหายไป แต่ข้างในรู้สึกว่ามันยังมีอยู่

วิสัชนา...มันมีอยู่ ก็ดูว่ามันมีอยู่ มันหมดไป ก็ดูว่ามันหมดไป ก็แล้วกันเท่านั้น ไปสงสัยอะไรมัน

ปุจฉา...คือแปลกใจว่า ข้างนอกมันหมดแล้ว แต่ข้างในทำไมมันยังไม่หมด

วิสัชนา...เอ๊า...มันเป็นอย่างนั้นของมัน อันนั้นมันซับซ้อนกันอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องสงสัยแล้ว ตรงนั้นน่ะทำไมมันถึงเป็นยังงั้น

ก็เรื่องของมันจะเป็นยังงั้น มันก็ต้องเป็นของมันยังงั้น

ปุจฉา...แล้วจะทำยังไง...หรือปล่อยเฉยไว้อย่างนี้

วิสัชนา...ไม่ต้องทำซี่...ทำความรู้สึกเท่านั้นแหละ อย่าไปทำอันอื่นเลย อย่าไปลุกเดินลุกวิ่งตามมันเลย ดูมันไปตรงนั้นแหละ

มันจะถึงแค่ไหน มันก็ถึงแค่นั้นของมันแหละ จับจุดอยู่ตรงนั้นเท่านั้นก็พอแล้ว ถึงนั้นแล้วยัง...เคยไปถึงนั้นแล้วยัง



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 08:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ 2 ... หลวงพ่อชา ^^ :b8:

อ้างคำพูด:
ปุจฉา...มันมีความรู้สึกอยู่ ก็พยายามนิ่งเฉยมัน แต่ทีนี้รู้สึกว่าร่างกาย...ตัวเราอยู่ข้างหน้า แต่เห็นไม่ค่อยชัด

วิสัชนา...ไม่เป็นไรๆ

ปุจฉา...แล้วกำหนดไปอีก เห็นเป็นซี่โครงขาวๆ คล้ายๆ กับที่หลวงพ่อแขวนอยู่ที่นี่ นึกๆ ขึ้นมา เลยคิดว่าใจมันเกินไป มันเลยหายวูบไปเลย

วิสัชนา...อันนั้นเขาเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต" ขยายรูป... ขยายแสง ขยายให้ใหญ่ก็ได้ ขยายให้เล็กก็ได้ ขยายให้สั้นก็ได้ ขยายให้ยาวก็ได้ เรื่องเราขยาย
ไอ้ความเป็นจริงนั้นก็จิตที่มันสงบแล้วก็พอแล้วเรื่องนี้...

พอแล้วเป็นฐานแล้วเป็นฐานของวิปัสสนาแล้วไม่ต้องขยายอะไรมันมากมาย
พอที่ว่ามันมีฐานจะให้ปัญญาเกิดแล้ว ก็พอแล้ว

มันเป็นปัญหามาเมื่อเห็นปัญหาก็เห็นเฉลยพร้อม มันก็หมดปัญหาแล้ว อันนี้ความรู้มันสำคัญ อะไรที่ปัญหามันเกิด แต่เฉลย

ไม่เกิดก็แย่เหมือนกันนะ ยังไม่ทันมัน ฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรมาก เมื่อมีปัญหาขึ้นมาปุ๊บ...เฉลยพร้อม เป็นปัจจุบันอย่างนี้..

.นี่เป็นปัญญาที่สำคัญที่สุด อะไรที่เราไม่ได้นึก...ไม่ได้คิดอะไรหมด แต่ปัญหามันเกิดขึ้นมาปุ๊บ...มันมีตัวเฉลยพร้อม ไม่ต้อง

ไปคว้าเอาตรงนั้น ไม่ต้องไปคว้าเอาตรงนี้ เอาตรงนั้นก็พอแล้ว

คือปัญหานั่นแหละมันบอกให้เฉลยเกิดขึ้นมา มันเป็นเสียอย่างนั้น ตรงนั้นมันหมดกันที่ตรงนั้นแหละ ไม่หมดกันที่ตรงไหนหรอก

ปัญญาตรงนี้เป็นปัญญาที่ทันเหตุการณ์...สำคัญนะ เป็นปัญญาที่ทันเหตุการณ์...สำคัญ ถ้าเรามีเช่นนี้ทุกอย่าง...ทุกข์ไม่มี

เมื่อใดเกิดปัญหาขึ้นมา มีเฉลยปั๊บๆ ทุกข์นั้นเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว มันวางทั้งนั้น มันทำลายอุปาทานทั้งนั้นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหา

มันที่เกิดขึ้นมา แหม...ต้องไปกับมันตั้งสองวัน...สามวัน มันห่างเกินไป มันไม่ทันช่วงของมันแล้ว เกิดเดี๋ยวนั้น...เอาเดี๋ยวนั้น

เห็นปัญหาเกิด...มีเฉลยพร้อมๆ มันทุกขณะ เกิดดับ กลับพร้อมกันเลย อย่างนี้ก็น่าดูเหมือนกัน
นะ

ปุจฉา...แล้วอย่างนี้เราจะมีปัญญาอย่างไร ถึงจะรู้ได้เท่าทันมัน...

วิสัชนา...อย่าไปถามมัน มันมีอยู่ในนั้นแหละ มันมีอยู่แล้วตรงนั้นน่ะ
อันนี้ที่ว่าทำไมถึงจะมีปัญญารู้เท่าทันมัน อันนี้คือคนยังไม่ถึง

ตรงนั้น ถึงพูดอย่างนี้ ถ้าถึงตรงนั้น...ปัญหานี้จบ ให้เข้าใจไว้ ไม่มีที่จะสงสัย ไม่มีปัญหาแล้วตรงนี้ ถ้ารู้จุดนั้นแล้ว...อันนี้ไม่ต้องมีปัญหาแล้ว ถึงพูด...ไม่พูด ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
มันรู้เรื่องของมันแล้วตรงนั้นน่ะ



:b1: :b1: :b1:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 18:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
อนุโมทนาสาธุกับเอก้อนและกบที่มาสนทนาธรรมกันต่อแบบบัณฑิต กัลยาณมิตร ทำให้ได้ความรู้ความเข้าใจที่แตกฉานยิ่งขึ้นในธรรม
:b27:
จากเรื่องที่เอก้อนยกมาให้ศึกษาทั้งหมดจะพอวิเคราะห์และจับประเด็นได้ว่า
1.นิ่ง กับ สงบที่เอก้อนวิจารณ์นั้น โดยธรรมจะเกิดสงบก่อน
แล้วนิ่งเกิดตามหลังจากนั้นก็จะเย็น
"สำรวมกายใจ=สงบ มานิ่งรู้ (สติ+ปัญญาสัมมาทิฏฐิ)นิ่งสังเกต(ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)=ตั้งมั่นมีสมาธิ..อยู่กับ
ปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา(แสดงทุกขัง อนิจจัง อนัตตา)

ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนเหตุปัจจัยที่เกิดจากวิบากลดน้อยลงหมดลง ก็จะมีงานให้จิตทำน้อยหรือหมดงานไปเป็นพักๆ
จึงเข้าถึงความหยุดและเย็น


พูดมาอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะเข้าใจกันอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ลองตรอง วิจารณ์ วิจัยดูโดยต้องเทียบกับสภาวธรรมจริงที่พึงเกิดขึ้นในกายในใจด้วยนะครับจะเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

:b11:


มีส่วน..คล้ายๆ...วิธีการเข้าอรูป...


ฮ้าไปอรูปเลยหรอ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาที่เขาทำจริงๆมาให้ดูนะ :b9: (ตัดมา)

กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า
"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมาผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

คำพูดระหว่างคนทำ กับ คนพูดแต่ไม่ทำต่างกัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำอารมณ์ความรู้สึกของคนทำจริงๆมาให้ดูอีก ซึ่งคนทำไม่ถึง หรือไม่ได้ทำ จ้างก็รู้ถึงความรู้ของเค้า



แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ

แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย

มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว..ไหนบอกว่า...ทำจริง..กับ...คิดเอา..มันต่างกันฟ้ากับเหว..


บอกว่า..ให้ทำเอง

กรัชกาย เขียน:
เรื่องของนามธรรมทั้งหมด คือ ทั้งจิตและเจตสิก (ปัญญาเป็นเจตสิก อยู่ในสังขารขันธ์) ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น ไม่มีสีไร้กลิ่น ไม่มีเทวดาหน้าไหนบอกได้ด้วยคำพูด :b1: ต้องทำให้ดู คือพิสูจน์ได้ด้วยการทำ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติว่า เราดื่มเหล้าจนเมาแอ๋ คนเขาสังเกตได้ว่า นี่เมาแล้วๆ คือเขาดูการแสดงออกทางกาย และทางวาจา ทางกายก็เช่น เดินเซไปเซมา กึกๆกักๆ มีกลิ่นเหล้าหึ่งเชีย ทางวาจา ก็เช่น พูดลิ้นพันกันอ้อเอ้ๆ ลิ้นไก่สั้น หนักหน่อยก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปเลย แกเมาแล้ว

ดังนั้น คำพูดที่ว่า นิ่งก็ดี เฉยก็ดี อุเบกขาเป็นต้นก็ดี ฯลฯ เป็นนามธรรมหยิบมาวางให้ดูไม่ได้ จะให้แน่ผู้นั้น จะต้องไปทำเอง แล้วจะรู้เองว่ามันนิ่งได้ไหม เฉยได้ไหม อุเบกขาได้ไหม ตอนนั้นล่ะจึงรู้ด้วยตนเองว่า พูดกับทำมันต่างกันไกลดังฟ้ากับก้นเหว :b13:


แล้วนี้เอาของใครเขามา...ทำไมไม่เอาของตัวเองทำ...มาละ..ท่าน

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้าว..ไหนบอกว่า...ทำจริง..กับ...คิดเอา..มันต่างกันฟ้ากับเหว..


บอกว่า..ให้ทำเอง

กรัชกาย เขียน:
เรื่องของนามธรรมทั้งหมด คือ ทั้งจิตและเจตสิก (ปัญญาเป็นเจตสิก อยู่ในสังขารขันธ์) ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น ไม่มีสีไร้กลิ่น ไม่มีเทวดาหน้าไหนบอกได้ด้วยคำพูด :b1: ต้องทำให้ดู คือพิสูจน์ได้ด้วยการทำ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติว่า เราดื่มเหล้าจนเมาแอ๋ คนเขาสังเกตได้ว่า นี่เมาแล้วๆ คือเขาดูการแสดงออกทางกาย และทางวาจา ทางกายก็เช่น เดินเซไปเซมา กึกๆกักๆ มีกลิ่นเหล้าหึ่งเชีย ทางวาจา ก็เช่น พูดลิ้นพันกันอ้อเอ้ๆ ลิ้นไก่สั้น หนักหน่อยก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปเลย แกเมาแล้ว

ดังนั้น คำพูดที่ว่า นิ่งก็ดี เฉยก็ดี อุเบกขาเป็นต้นก็ดี ฯลฯ เป็นนามธรรมหยิบมาวางให้ดูไม่ได้ จะให้แน่ผู้นั้น จะต้องไปทำเอง แล้วจะรู้เองว่ามันนิ่งได้ไหม เฉยได้ไหม อุเบกขาได้ไหม ตอนนั้นล่ะจึงรู้ด้วยตนเองว่า พูดกับทำมันต่างกันไกลดังฟ้ากับก้นเหว :b13:


แล้วนี้เอาของใครเขามา...ทำไมไม่เอาของตัวเองทำ...มาละ..ท่าน

:b32: :b32: :b32:


แล้วกบว่าของใครน่ะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

คำพูดระหว่างคนทำ กับ คนพูดแต่ไม่ทำต่างกัน :b1:


ก็เอาที่..ตัวทำ...มาซี..

s005 s005 s005

พูด..กับ...ทำ...มันต่างกันราวฟ้า..กับ..เหว...ไม่ใช่รึ?

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:

คำพูดระหว่างคนทำ กับ คนพูดแต่ไม่ทำต่างกัน :b1:


ก็เอาที่..ตัวทำ...มาซี..



ไม่ดูตัวอย่างรึ ขนาดแฟนนอนเตียงเดียวกัน ยังไม่รู้เลย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2016, 19:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พูด..กับ..ทำ....มันต่างกันราวฟ้า..กับ..เหว..ไม่ใช่รึ?

:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร