วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 09:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 ก.ย. 2016, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เพราะกรัชกายไม่สอนหลักในการภาวนาและวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องให้แก่ศิษย์จึงต้องได้คอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากความฟุ้งซ่านและปรุงแต่งไปอย่างมากมายของศิษย์ย่อมจะเหนื่อยและแก้ไม่จบอย่างนี้ตลอดไป
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์(จนหัวลอกหัวล้านอย่างกรัชกายว่า)ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะกรัชกายนำมาประยุกต์ใช้ไม่เป็นเพราะอ่อนภาวนา อ่อนการปฏิบัติจริงมากเกินไป
สังเกตดูแล้วปัญหาแทบทั้งหมดที่ยกมาถามล้วนเป็นเรื่องของคนที่นิวรณ์ 5 ยังไม่สงบ สติยังไม่ทันปัจจุบันอารมณ์
ปัญญาที่จะแยกแยะวินิจฉัยปัญหาแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้รับการอบรมมา
ผมเคยสอนศิษย์ทั้งหลายให้รู้จักหลักพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติดังได้กล่าวข้างตนแล้วบอกย้ำเสมอว่า

สติต้องให้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาต้องตามรู้ตามสังเกตอารมณ์ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นสติอย่าลืมหลักภาวนาว่า ให้มีแต่ "รู้"และ"สังเกต"ไว้เฉยๆจนทุกอารมณ์ดับไปหรือเปลี่ยนไปเองต่อหน้าต่อตา อย่าปรุงแต่งต่อ เอาความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นต่อผัสสะ อารมณ์และความรู้สึกทั้งมวลออกเสียให้ได้ด้วยการ "นิ่งรู้ นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าลืมหลักภาวนาอันนี้คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ถ้าคุณฟุ้งคิดปรุงแต่งไปในเรื่องอื่นแสดงว่าสติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สมาธิยังไม่มีกำลังพอ ไม่ควรแก่งาน ต้องกลับไปเน้นการทำสมาธิใหม่เช่นใช้คำบริกรรมพุทโธ....อนัตตา....
สัมมาอรหัง.....หนอ....หรือกรรมฐานอะไรที่เรียนมามาทำจิตใจให้หมดหรือรำงับจากนิวรณ์ 5 ให้ได้เสียก่อน เมื่อสมาธิตั้งมั่นควรแก่งานแล้วจึงกลับมาเจริญวิปัสสนาภาวนา

คือเจริญสติปัญญาให้รู้และสังเกตอยู่แต่ปัจจุบันอารมณ์ดังหลักการภาวนาที่กล่าวข้างต้น

การหลงเห็นหรือปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆนั่นแสดงว่าคุณกำลังออกนอกทางแล้ว รีบกลับมาหาหลักภาวนา

สติคุณขาด สัมปชัญญะคุณหลุด ต้องกลับมาเจริญสติเจริญปัญญาให้ละเอียดคมเข้มจริงจังมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณไม่ลืมหลักภาวนา ปัญหาทุกอย่างจะถูกแก้ไขไปเองโดยอัตโนมัติ
onion
กรัชกายเองก็ควรจะลงมือทำจริง พิสูจน์หลักภาวนาวิปัสสนาที่แนะนำมานี้ ไม่ช้าก็จะเห็นคุณค่าอันลึกซึ้งของหลักภาวนานี้
และไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์เพราะหลักนี้พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในภาคปฏิบัติจริงเพราะเป็นการรวมเอา ปัจจุบัน
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการไว้ในที่เดียว

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"
:b36:
:b39:
onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

Kiss
...จริงไม่อยากจะว่านะคะ...แต่ขอบ่นหน่อยค่ะ...คนมั่วธรรม...
...คุณลุงวีระในไลน์กลุ่มธรรมจักร...เอาโพสต์ที่คุยกับพี่กาย...
...ไปโพสต์แต่ไม่อ้างอิงลิงค์ในเว็บให้คนอ่านเข้าใจค่ะมั่วมาก...
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


...จริงไม่อยากจะว่านะคะ...แต่ขอบ่นหน่อยค่ะ...คนมั่วธรรม...
...คุณลุงวีระในไลน์กลุ่มธรรมจักร...เอาโพสต์ที่คุยกับพี่กาย...
...ไปโพสต์แต่ไม่อ้างอิงลิงค์ในเว็บให้คนอ่านเข้าใจค่ะมั่วมาก...


วีระไหนอ่ะ ขอไลน์นั่นหน่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เพราะกรัชกายไม่สอนหลักในการภาวนาและวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องให้แก่ศิษย์จึงต้องได้คอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากความฟุ้งซ่านและปรุงแต่งไปอย่างมากมายของศิษย์ย่อมจะเหนื่อยและแก้ไม่จบอย่างนี้ตลอดไป
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์ (จนหัวลอกหัวล้านอย่างกรัชกายว่า)ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะกรัชกายนำมาประยุกต์ใช้ไม่เป็นเพราะอ่อนภาวนา อ่อนการปฏิบัติจริงมากเกินไป
สังเกตดูแล้วปัญหาแทบทั้งหมดที่ยกมาถามล้วนเป็นเรื่องของคนที่นิวรณ์ 5 ยังไม่สงบ สติยังไม่ทันปัจจุบันอารมณ์
ปัญญาที่จะแยกแยะวินิจฉัยปัญหาแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้รับการอบรมมา
ผมเคยสอนศิษย์ทั้งหลายให้รู้จักหลักพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติดังได้กล่าวข้างตนแล้วบอกย้ำเสมอว่า

สติต้องให้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาต้องตามรู้ตามสังเกตอารมณ์ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นสติอย่าลืมหลักภาวนาว่า ให้มีแต่ "รู้"และ"สังเกต"ไว้เฉยๆจนทุกอารมณ์ดับไปหรือเปลี่ยนไปเองต่อหน้าต่อตา อย่าปรุงแต่งต่อ เอาความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นต่อผัสสะ อารมณ์และความรู้สึกทั้งมวลออกเสียให้ได้ด้วยการ "นิ่งรู้ นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าลืมหลักภาวนาอันนี้คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ถ้าคุณฟุ้งคิดปรุงแต่งไปในเรื่องอื่นแสดงว่าสติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สมาธิยังไม่มีกำลังพอ ไม่ควรแก่งาน ต้องกลับไปเน้นการทำสมาธิใหม่เช่นใช้คำบริกรรมพุทโธ....อนัตตา....
สัมมาอรหัง.....หนอ....หรือกรรมฐานอะไรที่เรียนมามาทำจิตใจให้หมดหรือรำงับจากนิวรณ์ 5 ให้ได้เสียก่อน เมื่อสมาธิตั้งมั่นควรแก่งานแล้วจึงกลับมาเจริญวิปัสสนาภาวนา

คือเจริญสติปัญญาให้รู้และสังเกตอยู่แต่ปัจจุบันอารมณ์ดังหลักการภาวนาที่กล่าวข้างต้น

การหลงเห็นหรือปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆนั่นแสดงว่าคุณกำลังออกนอกทางแล้ว รีบกลับมาหาหลักภาวนา

สติคุณขาด สัมปชัญญะคุณหลุด ต้องกลับมาเจริญสติเจริญปัญญาให้ละเอียดคมเข้มจริงจังมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณไม่ลืมหลักภาวนา ปัญหาทุกอย่างจะถูกแก้ไขไปเองโดยอัตโนมัติ
onion
กรัชกายเองก็ควรจะลงมือทำจริง พิสูจน์หลักภาวนาวิปัสสนาที่แนะนำมานี้ ไม่ช้าก็จะเห็นคุณค่าอันลึกซึ้งของหลักภาวนานี้
และไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์เพราะหลักนี้พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในภาคปฏิบัติจริงเพราะเป็นการรวมเอา ปัจจุบัน
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการไว้ในที่เดียว

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"




อ้างคำพูด:
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์ (จนหัวลอกหัวล้านอย่างกรัชกายว่า) ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะกรัชกายนำมาประยุกต์ใช้ไม่เป็นเพราะอ่อนภาวนา อ่อนการปฏิบัติจริงมากเกินไป


แหม่เพิ่งเห็นๆ คิกๆๆ :b32:


คนหัวล้าน - สุรพล สมบัติเจริญ

https://www.youtube.com/watch?v=sjaeNhpqNh0


อ้างคำพูด:
กรัชกายไม่สอนหลักในการภาวนา และวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องให้แก่ศิษย์จึงต้องได้คอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากความฟุ้งซ่านและปรุงแต่งไปอย่างมากมายของศิษย์ย่อมจะเหนื่อยและแก้ไม่จบอย่างนี้ตลอดไป


บอกสองครั้งแระ ท่านอโศกนี่ก็เข้าใจอะไรยาก เดี๋ยวก็เฆียนด้วยหางกะเบนสะหร๊อก เขาไม่ได้เป็นศิษย์เป็นสุดกรัชกายนะ เออ

เขาโพสต์ถามกันและกันตามบอร์ดธรรมะทั่วๆไป จาก 1000 ทิพบ้าง จากพลังจิตพลังใจบ้าง ไปเห็นเขาก็เก็บไว้ คิกๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 ก.ย. 2016, 20:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


...จริงไม่อยากจะว่านะคะ...แต่ขอบ่นหน่อยค่ะ...คนมั่วธรรม...
...คุณลุงวีระในไลน์กลุ่มธรรมจักร...เอาโพสต์ที่คุยกับพี่กาย...
...ไปโพสต์แต่ไม่อ้างอิงลิงค์ในเว็บให้คนอ่านเข้าใจค่ะมั่วมาก...


วีระไหนอ่ะ ขอไลน์นั่นหน่อย

ลักษณะที่โพสต์มีผังแบบอโศกะเลยค่ะ
คงจะเป็นคนเดียวกันไลน์ผ่านลุงหมาน
:b32: :b32:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=10&t=52443


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 18 ก.ย. 2016, 20:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


...จริงไม่อยากจะว่านะคะ...แต่ขอบ่นหน่อยค่ะ...คนมั่วธรรม...
...คุณลุงวีระในไลน์กลุ่มธรรมจักร...เอาโพสต์ที่คุยกับพี่กาย...
...ไปโพสต์แต่ไม่อ้างอิงลิงค์ในเว็บให้คนอ่านเข้าใจค่ะมั่วมาก...


วีระไหนอ่ะ ขอไลน์นั่นหน่อย

ลักษณะที่โพสต์มีผังแบบอโศกะเลยค่ะ
คงจะเป็นคนเดียวกันไลน์ผ่านลุงหมาน
:b32: :b32:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=10&t=52443



กายไม่เล่นไลน์ เข้าไปดูไม่ได้อ่ะนะ

มีผังแบบอโศกะ เป็นวีระโศกมั่งคับ คิกๆๆ เพราะท่านบอกเองว่าเจ้าตำหรับผังนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปฏิบัติจริงต้องออกจากความรู้สึกนี่ ไม่ใช่นั่น (ตัดมา)


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

ฯลฯ

เวลานี้ ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


...จริงไม่อยากจะว่านะคะ...แต่ขอบ่นหน่อยค่ะ...คนมั่วธรรม...
...คุณลุงวีระในไลน์กลุ่มธรรมจักร...เอาโพสต์ที่คุยกับพี่กาย...
...ไปโพสต์แต่ไม่อ้างอิงลิงค์ในเว็บให้คนอ่านเข้าใจค่ะมั่วมาก...


วีระไหนอ่ะ ขอไลน์นั่นหน่อย

ลักษณะที่โพสต์มีผังแบบอโศกะเลยค่ะ
คงจะเป็นคนเดียวกันไลน์ผ่านลุงหมาน
:b32: :b32:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=10&t=52443



กายไม่เล่นไลน์ เข้าไปดูไม่ได้อ่ะนะ

มีผังแบบอโศกะ เป็นวีระโศกมั่งคับ คิกๆๆ เพราะท่านบอกเองว่าเจ้าตำหรับผังนี้

:b32: :b32: :b32:
...ยิ่งชอบเพิ่มอยู่ด้วย...คุยออกรสกว่านี้จะจะ...
:b12:
มีหมายเหตุเล็กน้อยเดี๋ยวพี่กายจำโรสไม่ได้...
ในไลน์มีโรส2คน...Rosary...กะ...Rosarin...ไม่มั่ว...
จะทักโรสนี้ที่ใช้ชื่อRosarinในไลน์ทักได้ใช้ชื่อpimค่ะ...
onion onion onion


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 18 ก.ย. 2016, 20:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
แต่บางคนเขาบอกว่าแชทไลน์
ผ่านทางหน้าจอคอมค่ะพี่กาย
ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำยังไง
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2016, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เพราะกรัชกายไม่สอนหลักในการภาวนาและวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องให้แก่ศิษย์จึงต้องได้คอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากความฟุ้งซ่านและปรุงแต่งไปอย่างมากมายของศิษย์ย่อมจะเหนื่อยและแก้ไม่จบอย่างนี้ตลอดไป
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์(จนหัวลอกหัวล้านอย่างกรัชกายว่า)ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะกรัชกายนำมาประยุกต์ใช้ไม่เป็นเพราะอ่อนภาวนา อ่อนการปฏิบัติจริงมากเกินไป
สังเกตดูแล้วปัญหาแทบทั้งหมดที่ยกมาถามล้วนเป็นเรื่องของคนที่นิวรณ์ 5 ยังไม่สงบ สติยังไม่ทันปัจจุบันอารมณ์
ปัญญาที่จะแยกแยะวินิจฉัยปัญหาแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้รับการอบรมมา
ผมเคยสอนศิษย์ทั้งหลายให้รู้จักหลักพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติดังได้กล่าวข้างตนแล้วบอกย้ำเสมอว่า

สติต้องให้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาต้องตามรู้ตามสังเกตอารมณ์ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นสติอย่าลืมหลักภาวนาว่า ให้มีแต่ "รู้"และ"สังเกต"ไว้เฉยๆจนทุกอารมณ์ดับไปหรือเปลี่ยนไปเองต่อหน้าต่อตา อย่าปรุงแต่งต่อ เอาความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นต่อผัสสะ อารมณ์และความรู้สึกทั้งมวลออกเสียให้ได้ด้วยการ "นิ่งรู้ นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าลืมหลักภาวนาอันนี้คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ถ้าคุณฟุ้งคิดปรุงแต่งไปในเรื่องอื่นแสดงว่าสติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สมาธิยังไม่มีกำลังพอ ไม่ควรแก่งาน ต้องกลับไปเน้นการทำสมาธิใหม่เช่นใช้คำบริกรรมพุทโธ....อนัตตา....
สัมมาอรหัง.....หนอ....หรือกรรมฐานอะไรที่เรียนมามาทำจิตใจให้หมดหรือรำงับจากนิวรณ์ 5 ให้ได้เสียก่อน เมื่อสมาธิตั้งมั่นควรแก่งานแล้วจึงกลับมาเจริญวิปัสสนาภาวนา

คือเจริญสติปัญญาให้รู้และสังเกตอยู่แต่ปัจจุบันอารมณ์ดังหลักการภาวนาที่กล่าวข้างต้น

การหลงเห็นหรือปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆนั่นแสดงว่าคุณกำลังออกนอกทางแล้ว รีบกลับมาหาหลักภาวนา

สติคุณขาด สัมปชัญญะคุณหลุด ต้องกลับมาเจริญสติเจริญปัญญาให้ละเอียดคมเข้มจริงจังมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณไม่ลืมหลักภาวนา ปัญหาทุกอย่างจะถูกแก้ไขไปเองโดยอัตโนมัติ
onion
กรัชกายเองก็ควรจะลงมือทำจริง พิสูจน์หลักภาวนาวิปัสสนาที่แนะนำมานี้ ไม่ช้าก็จะเห็นคุณค่าอันลึกซึ้งของหลักภาวนานี้
และไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์เพราะหลักนี้พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในภาคปฏิบัติจริงเพราะเป็นการรวมเอา ปัจจุบัน
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการไว้ในที่เดียว

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"



อ้างคำพูด:
กรัชกายเองก็ควรจะลงมือทำจริง พิสูจน์หลักภาวนาวิปัสสนาที่แนะนำมานี้ ไม่ช้าก็จะเห็นคุณค่าอันลึกซึ้งของหลักภาวนานี้
และไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์เพราะหลักนี้พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในภาคปฏิบัติจริงเพราะเป็นการรวมเอา ปัจจุบัน
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการไว้ในที่เดียว


แน่ะๆ บอกไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์ :b1:

นี่

อ้างคำพูด:
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37


มันคัมภีร์ทั้งดุ้นนะท่าน :b32: กลัวคนไม่เชื่อ ก็จึงอ้างสติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 คิกๆๆ

จะบอกให้ สติปัฏฐาน 4 มรรคมีองค์ 8 รวมอยู่โพธิปักขิยธรรม 37 นะรู้ป่ะ ดู

โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ได้แก่

-สติปัฏฐาน 4
-สัมมัปปธาน 4
-อิทธิบาท 4
-อินทรีย์ 5
-พละ 5
-โพชฌงค์ 7
-มรรคมีองค์ 8

รวมเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

นับสิครบ 37 ไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2016, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เพราะกรัชกายไม่สอนหลักในการภาวนาและวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องให้แก่ศิษย์จึงต้องได้คอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากความฟุ้งซ่านและปรุงแต่งไปอย่างมากมายของศิษย์ย่อมจะเหนื่อยและแก้ไม่จบอย่างนี้ตลอดไป
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์(จนหัวลอกหัวล้านอย่างกรัชกายว่า)ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเพราะกรัชกายนำมาประยุกต์ใช้ไม่เป็นเพราะอ่อนภาวนา อ่อนการปฏิบัติจริงมากเกินไป
สังเกตดูแล้วปัญหาแทบทั้งหมดที่ยกมาถามล้วนเป็นเรื่องของคนที่นิวรณ์ 5 ยังไม่สงบ สติยังไม่ทันปัจจุบันอารมณ์
ปัญญาที่จะแยกแยะวินิจฉัยปัญหาแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้รับการอบรมมา
ผมเคยสอนศิษย์ทั้งหลายให้รู้จักหลักพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติดังได้กล่าวข้างตนแล้วบอกย้ำเสมอว่า

สติต้องให้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาต้องตามรู้ตามสังเกตอารมณ์ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นสติอย่าลืมหลักภาวนาว่า ให้มีแต่ "รู้"และ"สังเกต"ไว้เฉยๆจนทุกอารมณ์ดับไปหรือเปลี่ยนไปเองต่อหน้าต่อตา อย่าปรุงแต่งต่อ เอาความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นต่อผัสสะ อารมณ์และความรู้สึกทั้งมวลออกเสียให้ได้ด้วยการ "นิ่งรู้ นิ่งสังเกตผัสสะ อารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าลืมหลักภาวนาอันนี้คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ถ้าคุณฟุ้งคิดปรุงแต่งไปในเรื่องอื่นแสดงว่าสติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สมาธิยังไม่มีกำลังพอ ไม่ควรแก่งาน ต้องกลับไปเน้นการทำสมาธิใหม่เช่นใช้คำบริกรรมพุทโธ....อนัตตา....
สัมมาอรหัง.....หนอ....หรือกรรมฐานอะไรที่เรียนมามาทำจิตใจให้หมดหรือรำงับจากนิวรณ์ 5 ให้ได้เสียก่อน เมื่อสมาธิตั้งมั่นควรแก่งานแล้วจึงกลับมาเจริญวิปัสสนาภาวนา

คือเจริญสติปัญญาให้รู้และสังเกตอยู่แต่ปัจจุบันอารมณ์ดังหลักการภาวนาที่กล่าวข้างต้น

การหลงเห็นหรือปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆนั่นแสดงว่าคุณกำลังออกนอกทางแล้ว รีบกลับมาหาหลักภาวนา

สติคุณขาด สัมปชัญญะคุณหลุด ต้องกลับมาเจริญสติเจริญปัญญาให้ละเอียดคมเข้มจริงจังมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณไม่ลืมหลักภาวนา ปัญหาทุกอย่างจะถูกแก้ไขไปเองโดยอัตโนมัติ
onion
กรัชกายเองก็ควรจะลงมือทำจริง พิสูจน์หลักภาวนาวิปัสสนาที่แนะนำมานี้ ไม่ช้าก็จะเห็นคุณค่าอันลึกซึ้งของหลักภาวนานี้
และไม่ต้องอ้างความรู้ในคัมภีร์เพราะหลักนี้พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในภาคปฏิบัติจริงเพราะเป็นการรวมเอา ปัจจุบัน
สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการไว้ในที่เดียว

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"



เทียบกันระหว่างผู้ปฏิบัติจริงเกิดจริงเป็นจริง กับ ความคิดเอาเองของท่านอโศกซึ่งมองสังขารโลกแง่เดียว ขาดประสบการณ์

ดู
:b1:

ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง (ฯลฯ) คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรมและให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ



ท่านอโศกอุเบกขา อุเบกแขนอะไรเป็นต้นเนี่ย เราจะนั่งคิดจัดสรรค์เอาเองหาได้ไม่ มันต้องมีการทำการปฏิบัติที่ถูกต้องมาแต่ต้น ทำไปๆๆ แล้วมันจะอุเบกขาแท้ๆก็โน่น "สังขารุเปกขาญาณ" นี่แหละอุเบกขาของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ จำนำได้ มิใช่เริ่มทำก็ให้อุเบกขาเป็นต้นเอง ได้วิ่งกันป่าราบเท่านั้น

ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจริงทำจริงประสบสภาวะจริง จึงน่าสงสาร สำนักใดใครก็ตาม หากตนเองไม่เคยผ่านสภาวะต่างๆมาก่อน ขาดประสบการณ์จริงแล้ว อย่าเลยๆอย่าแนะนำภาวนามัยต่อบุคคลอื่นเลย เป็นบาปเปล่าๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2016, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
อุเบกขา ไม่ต้องไปสร้างไปทำ ไม่ต้องไปพยายามให้เกิดเพราะ อุเบกขาเป็นผลๆ จากการที่วางยินดี หรือยินร้าย ได้
ยินดีเกิด วางยินดีลงได้ ก็จะได้ อุเบกขา วางเฉย มาแทน
ยินร้ายเกิด วางยินร้ายลงได้ อุเบกขา วางเฉยก็จะเกิดตามมา
เป็นผล

สิ่งสำคัญคือจะวางยินดียินร้ายได้อย่างไร?

ยินดี ยินร้าย จะวางลงได้ มีวิธีการง่ายๆคือ
เมื่อยินดีเกิด ให้เอาสติปัญญา มานิ่งรู้ นิ่งสังเกตความยินดีไว้
เฉยๆ เฉยตอนนี้ต้องใส่เจตนาช่วยนิดๆ เมื่อหมดเหตุปัจจัยของความยินดี ความยินดีก็จะดับไปเอง เฉยก็จะเกิดขึ้นมาแทน ความยินร้ายก็เช่นเดียวกัน


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2016, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
อุเบกขา ไม่ต้องไปสร้างไปทำ ไม่ต้องไปพยายามให้เกิดเพราะ อุเบกขาเป็นผลๆ จากการที่วางยินดี หรือยินร้าย ได้
ยินดีเกิด วางยินดีลงได้ ก็จะได้ อุเบกขา วางเฉย มาแทน
ยินร้ายเกิด วางยินร้ายลงได้ อุเบกขา วางเฉยก็จะเกิดตามมา
เป็นผล

สิ่งสำคัญคือจะวางยินดียินร้ายได้อย่างไร?

ยินดี ยินร้าย จะวางลงได้ มีวิธีการง่ายๆคือ
เมื่อยินดีเกิด ให้เอาสติปัญญา มานิ่งรู้ นิ่งสังเกตความยินดีไว้
เฉยๆ เฉยตอนนี้ต้องใส่เจตนาช่วยนิดๆ เมื่อหมดเหตุปัจจัยของความยินดี ความยินดีก็จะดับไปเอง เฉยก็จะเกิดขึ้นมาแทน ความยินร้ายก็เช่นเดียวกัน


มันจะนิ่งรู้ได้ยังไงล่ะ เพราะขณะจิตนั้นมันกำลังยินดี กำลังยินร้าย กำลังด่าเป็นต้นอยู่ เพราะจิต (ความคิด) เกิดทีละขณะๆ

ตย.

อ้างคำพูด:
ไม่ได้ตั้งใจจะลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตมันแว๊บขึ้นมา จะทำอย่างไร จะให้คำหยาบคำด่า หรืออะไรที่คิดอกุศลหายไปค่ะ

พยายามนึกคิดในสิ่งที่ดี..สวดมนต์ก็แล้ว ยังไม่หยุดไปรบกวน แนะนำด้วยค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ย. 2016, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
อุเบกขา ไม่ต้องไปสร้างไปทำ ไม่ต้องไปพยายามให้เกิดเพราะ อุเบกขาเป็นผลๆ จากการที่วางยินดี หรือยินร้าย ได้
ยินดีเกิด วางยินดีลงได้ ก็จะได้ อุเบกขา วางเฉย มาแทน
ยินร้ายเกิด วางยินร้ายลงได้ อุเบกขา วางเฉยก็จะเกิดตามมา
เป็นผล

สิ่งสำคัญคือจะวางยินดียินร้ายได้อย่างไร?

ยินดี ยินร้าย จะวางลงได้ มีวิธีการง่ายๆคือ
เมื่อยินดีเกิด ให้เอาสติปัญญา มานิ่งรู้ นิ่งสังเกตความยินดีไว้
เฉยๆ เฉยตอนนี้ต้องใส่เจตนาช่วยนิดๆ เมื่อหมดเหตุปัจจัยของความยินดี ความยินดีก็จะดับไปเอง เฉยก็จะเกิดขึ้นมาแทน ความยินร้ายก็เช่นเดียวกัน


มันจะนิ่งรู้ได้ยังไงล่ะ เพราะขณะจิตนั้นมันกำลังยินดี กำลังยินร้าย กำลังด่าเป็นต้นอยู่ เพราะจิต (ความคิด) เกิดทีละขณะๆ

ตย.

อ้างคำพูด:
ไม่ได้ตั้งใจจะลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตมันแว๊บขึ้นมา จะทำอย่างไร จะให้คำหยาบคำด่า หรืออะไรที่คิดอกุศลหายไปค่ะ

พยายามนึกคิดในสิ่งที่ดี..สวดมนต์ก็แล้ว ยังไม่หยุดไปรบกวน แนะนำด้วยค่ะ

:b7:
อ้างคำพูด:
มันจะนิ่งได้ยังไงล่ะ!

s006
พูดออกมาได้อย่างไร ปรมาจารย์ทางวิชาการพุทธศาสนา
แสดงว่ายังไม่มีหลักวิปัสสนาภาวนาอยู่ในหัวใจ จึงทำอะไรไม่ถูก แก้ไขปัญหาอะไรไม่เป็น
s004
หลักเขาบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ถ้าเป็นปัจจุบันอารมณ์ ให้รู้และสังเกตไว้เฉยๆจนมันดับไปเปลี่ยนไป

ความไม่นิ่ง ก็คือ 1 อารมณ์
ยินดี ก็ 1 อารมณ์
ยินร้าย ก็หนึ่งอารมณ์
จิตแว๊บ ก็ 1 อารมณ์
ฯลฯ
สิ่งสำคัญคือพัฒนาสติ ปัญญา ของตนให้มีกำลัง ความสามารถ เฉียบคม ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ ปัญหาทั้งหลายที่สังขารปรุงแต่งมาด้วยอำนาจอัตตา มิจฉาทิฏฐิก็จะหมดเกลี้ยงไปเอง ถ้า

"ไม่ลืมหลักภาวนา วิปัสสนา"
onion


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ย. 2016, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
อุเบกขา ไม่ต้องไปสร้างไปทำ ไม่ต้องไปพยายามให้เกิดเพราะ อุเบกขาเป็นผลๆ จากการที่วางยินดี หรือยินร้าย ได้
ยินดีเกิด วางยินดีลงได้ ก็จะได้ อุเบกขา วางเฉย มาแทน
ยินร้ายเกิด วางยินร้ายลงได้ อุเบกขา วางเฉยก็จะเกิดตามมา
เป็นผล

สิ่งสำคัญคือจะวางยินดียินร้ายได้อย่างไร?

ยินดี ยินร้าย จะวางลงได้ มีวิธีการง่ายๆคือ
เมื่อยินดีเกิด ให้เอาสติปัญญา มานิ่งรู้ นิ่งสังเกตความยินดีไว้
เฉยๆ เฉยตอนนี้ต้องใส่เจตนาช่วยนิดๆ เมื่อหมดเหตุปัจจัยของความยินดี ความยินดีก็จะดับไปเอง เฉยก็จะเกิดขึ้นมาแทน ความยินร้ายก็เช่นเดียวกัน


มันจะนิ่งรู้ได้ยังไงล่ะ เพราะขณะจิตนั้นมันกำลังยินดี กำลังยินร้าย กำลังด่าเป็นต้นอยู่ เพราะจิต (ความคิด) เกิดทีละขณะๆ

ตย.

อ้างคำพูด:
ไม่ได้ตั้งใจจะลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตมันแว๊บขึ้นมา จะทำอย่างไร จะให้คำหยาบคำด่า หรืออะไรที่คิดอกุศลหายไปค่ะ

พยายามนึกคิดในสิ่งที่ดี..สวดมนต์ก็แล้ว ยังไม่หยุดไปรบกวน แนะนำด้วยค่ะ

:b7:
อ้างคำพูด:
มันจะนิ่งได้ยังไงล่ะ!

s006
พูดออกมาได้อย่างไร ปรมาจารย์ทางวิชาการพุทธศาสนา
แสดงว่ายังไม่มีหลักวิปัสสนาภาวนาอยู่ในหัวใจ จึงทำอะไรไม่ถูก แก้ไขปัญหาอะไรไม่เป็น
s004
หลักเขาบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ถ้าเป็นปัจจุบันอารมณ์ ให้รู้และสังเกตไว้เฉยๆจนมันดับไปเปลี่ยนไป

ความไม่นิ่ง ก็คือ 1 อารมณ์
ยินดี ก็ 1 อารมณ์
ยินร้าย ก็หนึ่งอารมณ์
จิตแว๊บ ก็ 1 อารมณ์
ฯลฯ
สิ่งสำคัญคือพัฒนาสติ ปัญญา ของตนให้มีกำลัง ความสามารถ เฉียบคม ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ ปัญหาทั้งหลายที่สังขารปรุงแต่งมาด้วยอำนาจอัตตา มิจฉาทิฏฐิก็จะหมดเกลี้ยงไปเอง ถ้า

"ไม่ลืมหลักภาวนา วิปัสสนา"
onion


พูดเอาแต่ดีแต่ได้ คิกๆๆ

นี่นิ่งได้ไหม นิ่งยังไง

อ้างคำพูด:
รู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ เป็นอันตรายหรือปฏิบัติผิดทางไหมค่ะ เพราะฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆจิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่เป็นทุกข์เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเอง ควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราเหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติรู้สึกตัวค่ะ อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วยบังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ เกิดจากอะไรค่ะ หนูทำผิดทางไหมค่ะ ถ้าเกิดเป็นอีกจะทำอย่างไรดีค่ะ



กรัชกายไม่วาดภาพสวยหรู ยกศัพท์ดีๆเทห์ๆมาแล้วก็สรุปเอาตามความอยากความต้องการของตนอย่างอโศกนะ

อโศกออกแนวๆนี้ " จะเอานี่ ไม่เอานั่น อยากได้นั่น ไม่อยากได้นี่..." คิกๆๆ นั่นมันเป็นวิภวตัณหานะน่ารู้ตัวไหม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร