วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 17:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
huh huh huh

อ๊บซ์ งงรัยน่ะ ... :b32:

งงว่าทำไมเอกอนช่างมั่วได้อย่างหน้ามึนใช่ป๊ะ...

:b13: :b13: :b13:


ข้าพเจ้าความรู้ยังน้อย...เจออะไรที่มันไม่เข้าใจ..ก็งง...เป้นธัมมะดา
:b13:


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 20:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b2: :b2: :b2:
เอาอีก..เอาอีก....


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 26 มิ.ย. 2015, 23:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น




:b6: ...เหร๋อ...

จะให้เอกอนเล่าสภาวะนั้นให้ฟังมั๊ย...จริง ๆ ก็ธรรมดานะ
ไม่เห็นจะพิเศษอะไร ver ปานนั้น

:b1:

สำหรับเอกอน สภาวะนั้น ถือว่าเป็นเบสิกนะ

เพราะ ... เอกอนทดลองนั่งไม่กี่วัน ก็เจอสภาวะนั้นแล้วล่ะ
แต่ก็แปลกที่จิตเอกอนก็ไม่ได้ตกใจอะไรเลย

เพิ่งรู้นะนี้ ว่าอาการอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ มหาศาล ปานนั้น

...

:b6:


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าพยายาม เอาเป็นว่า ได้ผลเล็กน้อย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:

ผลอะไรน๊ออออ...

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เอกอนบอกว่า สภาวะนั้นเป็นเบสิก

เพราะสภาวะที่ยังรู้สึกถึงว่ามีรู มีนั่นมีนี่ มาบีบมาเค้น
นั่นคือ ยังมีรูปให้ได้รู้สึก ใช่มั๊ย...

ไปตรวจสอบองค์ธรรมที่เป็นไปใน อรูปสัญญา หาสิ่งที่จะมาเป็นรูเจอมั๊ย

:b1: :b1: :b1:

ตรองดูดี ๆ ก่อนที่จะ ตัดพ้ออะไร

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 มิ.ย. 2015, 23:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 23:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b23: :b23:


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.larnbuddhism.com/grammathan/arupashan.html

อ้างคำพูด:
อรูปฌาน ๔

วิธีปฏิบัติในอรูปฌาน คือฌานที่ไม่มีรูป ๔ อย่าง คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานา สัญญายตนะ รวม ๔ อย่างด้วยกัน

อรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เป็นฌานละเอียดและอยู่ในระดับฌานที่สูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปทั้ง ๔ นี้แล้ว เจริญวิปัสสนาญาณ ย่อมได้บรรลุมรรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ในอรูปฌานและอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก ต่างแต่ อรูปฌานเป็นสมถภาวนา มุ่งดำรงฌานเป็นสำคัญสำหรับวิปัสสนาภาวนามุ่งรู้แจ้งเห็นจริง ตามอำนาจของกฎธรรมดาเป็นสำคัญ แต่ทว่าอรูปฌานนี้ก็มีลักษณะเป็นฌานปล่อยอารมณ์ คือ ไม่ยึดถืออะไรเป็นสำคัญ ปล่อยหมดทั้งรูปและนาม ถือความว่างเป็นสำคัญ

อานิสงส์อรูปฌาน

ท่านที่ได้อรูปฌานทั้ง ๔ นี้ นอกจากจะมีผลทำให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุข ประณีตในฌานที่ได้ แล้วยังมีผลให้สำเร็จมรรคผลง่ายดายอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย นอกจากนั้นท่านที่ได้ อรูปฌานนี้แล้วเมื่อสำเร็จมรรคผลจะได้เป็น พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ คือ มีคุณสมบัติพิเศษเหนือจากที่ทรงอภิญญา ๖ อีก ๔ อย่าง สำหรับท่านที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณนี้ ท่านทรงอภิญญา ๖ และคุณสมบัติพิเศษอีก ๔ คือ

ปฏิสัมภิทา ๔

อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถ คือฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ ท่านอธิบายมาแล้วอย่างพิสดาร ถอดเนื้อความที่พิสดารนั้นให้ย่อสั้นลงมาพอได้ความชัด ไม่เสียความ
ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ที่ท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้ พิสดารเข้าใจชัด
นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความฉลาดในภาษา รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อย่าง อัศจรรย์
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณเฉลียวฉลาด สามารถแก้อรรถปัญหาได้อย่าง อัศจรรย์
ปฏิสัมภิทาญาณนี้ มีความแปลกจากอภิญญา ๖ อยู่อย่างหนึ่ง คือท่านที่จะทรงปฏิสัมภิทา หรือทรงอรูปฌานนี้ได้ ท่านต้องได้กสิณ ๑๐ และทรงอภิญญามาก่อนแล้วจึงจะปฏิบัติต่อในอรูปนี้ได้ ถ้าท่านนักปฏิบัติที่ไม่เคยเรียนกสิณเลย หรือทรงกสิณได้บางส่วนยังไม่ถึงขั้นอภิญญาแล้วท่านมาเรียนปฏิบัติในอรูปนี้ย่อมปฏิบัติไม่สำเร็จ เพราะการที่ทรงอรูปฌานได้ ต้องใช้กสิณ ๙ ประการ ปฐวี เตโช วาโย อาโป นีล ปีตะ โลหิตะ โอทาตะ อาโลกะ เว้นอากาสกสิณอย่างเดียว เอามาเป็นบาทของอรูปฌานคือต้องเอากสิณ ๘ อย่างนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งมาตั้งขึ้น แล้วเข้าฌานในกสิณนั้นจนถึงจตุตถฌาน แล้วเพิกนิมิตในกสิณนั้นเสีย คำว่าเพิก หมายถึงปล่อยไม่สนใจในกสิณนั้นการที่จะปฏิบัติ ในอรูปฌาน ต้องเข้ารูปกสิณก่อนอย่างนี้ ฉะนั้นท่านที่จะเจริญในอรูปฌานจึงต้องเป็นท่าน ที่ได้กสิณจนคล่องอย่างน้อย ๙ กอง จนชำนาญและได้อภิญญาแล้วจึงจะมาปฏิบัติในอรูปฌานนี้ได้ ฉะนั้นท่านที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณจึงเป็นผู้ทรงอภิญญาด้วย สำหรับอภิญญากับ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ มีข้อแตกต่างกัน อยู่อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติควรทราบ อภิญญานั้น ท่านที่ปฏิบัติกสิณครบ ๑๐ หรืออย่างน้อยครบ ๘ ยกอาโลกกสิณและอากาสกสิณเสีย เมื่อชำนาญในกสิณทั้ง ๑๐ หรือทั้ง ๘ นี้แล้ว ก็ทรงอภิญญาได้ทันทีในสมัยที่เป็นฌานโลกีย์ ส่วนปฏิสัมภิทาญาณ ๔ นี้ เมื่อทรงอรูปฌานที่เป็นโลกียฌานแล้วยังทรงปฏิสัมภิทาไม่ได้ ต้องสำเร็จมรรคผลอย่างต่ำเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหัตตผลปฏิสัมภิทาจึงจะปรากฏ บังเกิดเป็นคุณพิเศษขึ้นแก่ท่านที่บรรลุ ข้อแตกต่างนี้นักปฏิบัติควรจดจำไว้

๑. อากาสานัญจายตนะ

การอธิบายในอรูป ๔ นี้ ขอกล่าวแต่พอเป็นแนวเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็นกรรมฐาน ละเอียดทั้งผู้ที่จะปฏิบัติก็ต้องทรงอภิญญามาก่อน เรื่องการสอนหรืออธิบายในกรรมฐานนี้ มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้ากรรมฐานกองใดท่านผู้อธิบายไม่ได้มาก่อน ก็อธิบาย ไม่ตรงตามความเป็นจริง ท่านที่จะอธิบายได้ถูกต้องและตรงจริง ๆ ก็ต้องได้กรรมฐานกอง นั้นๆ มาก่อน ผู้เขียนนี้ก็เช่นกันอาศัยที่ศึกษาเรื่องของกรรมฐานมาเฉพาะประเภทวิชาชาสามสำหรับเรื่องของวิชชาสามเรียนมาพอเขียนได้อ่านออก ถึงแม้จะไม่ได้สำเร็จมรรคผล ใด ๆ ก็ตาม แต่ก็ฟังคำสอนมาพอเอาตัวรอดได้บ้างพอควร ไม่ถึงเก่งและถ้าไปโดนท่านที่ ฉลาดจริงเข้าท่านอาจไล่เบี้ยเอาจนมุมเหมือนกัน ส่วนด้านอภิญญานั้น อาศัยที่เคยศึกษา ในกสิณบางส่วนมาบ้าง พอเห็นทางไร ๆ แต่ก็ได้ไม่ครบ แต่ถึงจะได้ไม่ครบก็ทราบว่าแนว ของกสิณมีแนวเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้นเรื่องอภิญญาพอจะแอบ ๆ ฟุ้งได้บ้างพอสมควร

(ผู้เขียนมีการออกตัวไว้ก่อนด้วย ... :b12: :b12: :b12: ... ก็อย่างว่านั่นล่ะ
ไม่งั๊นเจอดีก็จะโดนไล่เบี้ย)


อากาสานัญจายตนะนี้ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า ก่อนที่จะเจริญอรูปอากาสานัญจายตนะนี้ ท่านจะเข้าจตุตถฌานในกสิณกองใดกองหนึ่งแล้วให้เพิก คือไม่สนใจในกสิณนิมิตนั้นเสีย ใคร่ครวญว่า กสิณนิมิตนี้เป็นอารมณ์ที่มีรูปเป็นสำคัญ ความสุข ความทุกข์ ที่เป็นปัจจัยของภยันตราย มีรูปเป็นต้นเหตุ เราไม่มีความต้องการในรูปแล้วละรูปนิมิตกสิณ นั้นถืออากาศเป็นอารมณ์จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ แล้วย่อให้สั้นลงมา อธิษฐานให้เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์ ทรงจิตรักษาอากาศไว้โดยกำหนดใจว่า อากาศหาที่สุด มิได้ดังนี้จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นฌาน ๔ ในอรูปฌาน

๒. วิญญาณัญจายตนะ

อรูปนี้กำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ โดยจับอากาสานัญจายตนะ คือกำหนด อากาศจากอรูปเดิมเป็นปัจจัย ถือนิมิตอากาศนั้นเป็นฐานที่ตั้งของอารมณ์ แล้วกำหนด ว่า อากาศนี้ยังเป็นนิมิตที่อาศัยรูปอยู่ ถึงแม้จะเป็นอรูปก็ตามแต่ยังมีความหยาบอยู่มาก เราจะทิ้งอากาศเสีย ถือเฉพาะวิญญาณเป็นอารมณ์ แล้วกำหนดจิตว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมดเด็ดขาดกำหนดวิญญาณ คือถือวิญญาณ ตัวรู้เป็นเสมือน จิต โดยคิดว่าเราต้องการจิตเท่านั้นรูปกายอย่างอื่นไม่ต้องการจนจิตตั้งอยู่เป็นอุเบกขารมณ์

๓. อากิญจัญญายตนะ

อรูปนี้กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ โดยเข้าฌาน ๔ ในวิญญาณ แล้วเพิกวิญญาณคือ ไม่ต้องการวิญญาณนั้น คิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ อากาศ ก็ไม่มีวิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่างหนึ่งแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตุของภยันตราย ฉะนั้นการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยที่สุดแล้วก็กำหนดจิตไม่ยึดถืออะไร ทั้งหมดจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นจบอรูปนี้

๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ

เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ กำหนดว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งมีสัญญาอยู่นี้ก็ทำความรู้สึกเหมือนไม่มีสัญญา คือไม่ยอมรับรู้จดจำอะไรหมด ทำตัวเสมือนหุ่นที่ไร้วิญญาณ ไม่รับรู้ ไม่รับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น หนาวก็รู้ว่าหนาวแต่ไม่เอาเรื่อง ร้อนก็รู้ว่าร้อนแต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย มีชีวิตทำ เสมือนคนตาย คือไม่ปรารภสัญญาคำจดจำใด ๆ ปล่อยตามเรื่องเปลื้องความสนใจใด ๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นเอกัคคตาและอุเบกขารมณ์


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับกับทุกท่าน

พึ่งกลับจากทำงาน อยากจะตั้งใจอ่านทุกบทความอย่างช้าๆ คงจะประมาณช่วงเช้าๆ จะพิจารณาได้ดีกว่าตอนดึก

ขอเก็บไว้อ่านพรุ่งนี้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อนุโมทนาครับกับทุกท่าน

พึ่งกลับจากทำงาน อยากจะตั้งใจอ่านทุกบทความอย่างช้าๆ คงจะประมาณช่วงเช้าๆ จะพิจารณาได้ดีกว่าตอนดึก

ขอเก็บไว้อ่านพรุ่งนี้ครับ


ท่านก็เลือกอ่านแต่เฉพาะที่เกี่ยวกับ ผัสสะ เน๊อะ
ส่วนเรื่อง อรูปญาณ อะไรน่ะ ที่มันเป็นส่วนเกินนอกเหนือไปจากประเด็นคำถาม
ท่านก็ละไว้ ไม่ต้องอ่านก็ได้เน๊อะ ... :b32:
เอกอนก็ไม่รู้ เห็นคุยเรื่องผัสสะอยู่ ๆ ดี ๆ
จู่ ๆ อรูปญาณ โผล่มาได้ไง เอกอนก็เลยเผลอพาออกนอกเรื่องซะยาววววว...

:b3: :b3: :b3:

จบเรื่องอรูปญาณ เต๊อะ ไม่ไหวที่เอกอนจะต้องเสี่ยงโดนผู้รู้จริงมาไล่เบี้ย
จะคุยเรื่องนี้ทีไร เสียวสันหลังวาบอยู่เหมือนกัน ...

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โอ้ว....


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โอ้ว....


อยากต่อ...นิ

ต่อก็ได้ แต่ถ้าเจอคนที่รู้จริงแอบเข้ามาไล่เบี้ยเอกอน อ๊บซ์จะช่วยมั๊ยล่ะ ... :b32:

เอกอนปฏิบัติมาน้อย
:b32: หมายถึงในชาตินี้นะ
ส่วนในชาติก่อน ๆ ... :b9: :b9: ไม่รู้ ... เพราะยังจำอะไรไม่ค่อยจะได้ :b32: :b32:
ถ้าผู้รู้จริงแอบแว๊บผ่านมาเห็น แล้วหมั่นไห เอ้ย..! หมั่นไส้ แล้วคิดจะไล่เบี้ย
เอกอนขอแป๊ะไว้ก่อนได้ป่าว
แบบว่า ให้เอกอนระลึกชาติให้ได้ครบ 100% ก่องแล้วค่อยมาไล่กัน ... ได้ป่าว
คาดว่า...ถ้ามีวันนั้น คงจะพร้อมโดนไล่ ... ถ้ามีวันนั้นนะ :b32:

:b12:

อย่างเจอกรณี มุดรู มุดรู เอกอนก็เป็นได้ข้องจิตอีกแระ
เพราะเอกอนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
คิดว่าเป็นอาการธรรมดาที่คนทำสมาธิทุกคน จะต้องได้เจออาการนี้ ในช่วงต้น ๆ ของรูปญาณ
แต่พอมีผู้มากล่าวดูเป็นอาการที่พิเศษ เอกอนก็เลย เกิดอาการ เหว๋อออออ ... :b10:

ก็เลยต้องไปหาข้อมูล ... :b32: :b32:
ก็ไปค้นเจอนี่

http://www.madchima.org/forum/index.php ... 751.0;wap2

อ้างคำพูด:
อุปจารสมาธิ ... วิถีจิตยังไม่ขึ้นสู่อัปปนาวิถี จิตยังเป็นแค่มหากุศลจิต ยังไม่เป็นมหคตจิตหรือฌานจิต วิถีจิตในอุปจารฯ ยังมีภวังค์และขณะจิตอื่นๆคั่น ไม่เป็นชวนะติดต่อกันไปตลอด

ถาน ๑ ถือว่าเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว (อัปปนาสมาธิหมายถึงฌานทุกๆขั้น) ลักษณะจิตในฌาน ๑ หรือ ฌานอื่นๆก็ตาม จะเป็นมหคตจิต หรือฌานจิต ซึ่งมีพลังมากๆ (ไม่ใช่เป็นแค่มหากุศลจิต) วิถีจิตก็เป็นอัปปนาวิถี ซึ่งจะเป็นชวนะ ต่ดต่อกันไปตลอดนับไม่ถ้วน ไม่มีภวังคจิตหรือจิตอื่นๆมาคั่นเลย

--------------------------------------------
ลักษณะ เมื่อปรากฏในการปฏิบัติจริง ..... คือ เมื่อเข้าถึงอุปปจารสมาธิ จะรู้สึกเหมือนว่า นิวรณ์ต่างๆสงบลงไปจนหมดหรือแทบหมด ไม่มีนิวรณ์มารบกวนอีก รู้สึกจิตสงบเย็นลงมาก พอจะเท่าทันความคิดปรุงแต่งต่างๆได้ทันแทบทุกๆความคิด แต่จิตมันยังมีการปรุงแต่งคิดๆอะไรของมันอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ไวนัก เพราะยังไม่สงบเต็มที่เป็นอัปปนาฯ ในตอนจังหวะที่เป็นอุปจาระนี้ ถ้าสติเผลอ จิตจะปรุงแต่งออกไปข้างนอก มักจะเห็นภาพนิมิตอะไรต่างๆนานา เป็นนิมิตแบบเคลื่อนไหวเป็นเรื่องติดต่อกันไป หรือบางทีเป็นนิมิตเสียงหรือกลิ่นหรืออื่นๆ ฯฯ

แต่ถ้าเข้าสงบถึงอัปปนา หรือเป็นฌาน จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับอุปจาระมากมาย
สมมุติว่าสงบลงเป็นฌานที่ ๑ ตามที่ตั้งคำถาม อาการคือ จะรู้สึกว่า จิตมีพลังแน่วแน่มากๆสุดๆ แข็งแกร่งสุดๆ ก่อนจิตจะรวมถึงระดับอัปปนานี้ สำหรับคนที่รวมครั้งแรก จะผ่านจุดตัดเป็นตัดตาย รู้สึกเหมือนจะโดนดูดลงไปในหลุมดำอะไรทำนองนั้นแหละ ซึ่งต้องยอมตายจึงจะผ่านด่านนี้ ถ้ากลัวตายในจังหวะนี้จิตจะถอนหลับมาก่อนที่จะรวม ... ถ้ายอมตาย และจิตรวมวูบลงไปได้ จะรู้สึกว่าเหมือนกับไปโผล่อีกโลกหนึ่ง
ที่มีแต่ความรู้เท่านั้น ตัวตนและโลกนี้ และอะไรต่างๆ จะรู้สึกเสมือนหายไปหมด และจะมีองค์ประกอบขององค์ฌานทั้ง ๕ ปรากฏออกมาชัดเจนเหมือนกับที่บอกไว้ในตำรา แต่อาการของวิตกวิจาร จะไม่เหมือนกับการวิตกวิจารแบบคนธรรมดา คืออาการของการวิตกวิจารของคนธรรมดาเปรียบเสมือนคนตีระนาดเวลาเล่นเพลง แต่อาการของวิตกวิจารของคนที่จิตเป็นฌาน จะเป็นเสมือนคนตอกตะปูที่ตอกย้ำๆลงที่เดียว และจะรู้สึกว่า ขณะนั้นเวลาจะหยุดนิ่ง จะไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต รู้สึกเวลาเหมือนหยุดนิ่ง แม้รวมสงบแน่วแน่นิ่งไปนานหลายๆชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือนว่ารวมลงไปแค่หายใจเฮือกเดียว เท่านั้น ... ที่สำคัญที่สุดคือ จะเจอกับความสุขที่มหัศจรรย์มากๆ ถ้าเปรียบเทียบกับความสุขที่เคยรับมาตลอดชีวิต เสมือนเมล็ดข้าว ๑ เมล็ด แต่จะพบว่า ความสุขตอนที่จิตสงบเป็นฌาน นั้น เสมือนภูเขาหิมาลัย..
:banghead:


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 23:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อาการมุดรู...เป็นง่ายๆ..จริงๆ..น่าจะอยู่ตรงอุปจาร...จนคนที่มุดไป..คิดว่า..เขาไม่ได้เป็นคนทำเอง...คิดว่ามีครูบาอาจารย์ช่วย..


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 00:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อาการมุดรู...เป็นง่ายๆ..จริงๆ..น่าจะอยู่ตรงอุปจาร...จนคนที่มุดไป..คิดว่า..เขาไม่ได้เป็นคนทำเอง...คิดว่ามีครูบาอาจารย์ช่วย..


:b6: :b6: :b6:

:b32: :b32: :b32:

:b21: :b21: :b21:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร