วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 21:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 288 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ท่านเช่นนั้น มนสิการเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง มิใช่มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากที่เกิดร่วมกับจิตแต่ละขณะๆเช่น สมาธิ สติ สัมปชัญญะ เจตนา ฯลฯ ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ

มิใช่เอาแต่ถูกใจอย่างที่เช่นนั้นต้องการ :b1:


เห็นด้วยครับ กรัชกาย มนสิการเป็นเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง
จึงไม่อาจฟันธงลงไปเลยทีเดียวว่ามนสิการเป็นการบอกว่า มีจิตเป็นสมาธิ หรือว่า ฟุ้งไปกับนามรูป

จากข้อมูลที่ กรัชกาย เล่าออกมา แม่นางนั้นฟุ้งไปกับนามรูปตั้งแต่ต้นจริงๆ ไม่มีสติไม่มีสมาธิ
แม่นางนั้นถูกกิเลส ถูกอารมณ์ภายนอกครอบงำ จึงได้แต่ตามพัวพันอยู่กับนามรูปนั้นๆ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ท่านเช่นนั้น มนสิการเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง มิใช่มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากที่เกิดร่วมกับจิตแต่ละขณะๆเช่น สมาธิ สติ สัมปชัญญะ เจตนา ฯลฯ ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ

มิใช่เอาแต่ถูกใจอย่างที่เช่นนั้นต้องการ :b1:


เห็นด้วยครับ กรัชกาย มนสิการเป็นเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง
จึงไม่อาจฟันธงลงไปเลยทีเดียวว่ามนสิการเป็นการบอกว่า มีจิตเป็นสมาธิ หรือว่า ฟุ้งไปกับนามรูป

จากข้อมูลที่ กรัชกาย เล่าออกมา แม่นางนั้นฟุ้งไปกับนามรูปตั้งแต่ต้นจริงๆ ไม่มีสติไม่มีสมาธิ
แม่นางนั้นถูกกิเลส ถูกอารมณ์ภายนอกครอบงำ จึงได้แต่ตามพัวพันอยู่กับนามรูปนั้นๆ



ท่านเช่นนั้น จิตใจมันสั่งสมทั้งกุศลอกุศลมาเนิ่นนาน ผู้ปฏิบัติต้องยอมรับความจริงข้อนี้้ วันหนึ่งเมื่อตนมาปฏิบัติหรือมนสิการนามรูป กิเลสก็ฟุ้ง เมื่อมันฟุ้งขึ้นมา ผู้ปฏิบัติก็ต้องกำหนดรู้เท่าทันมันทุกครั้งทุกขณะ ไม่ว่าดีว่าชั่วถูกใจไม่ถูกใจ นี่คือหลักปฏิบัติธรรม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูตัวอย่างดังกล่าว

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

มีคำถามสองข้อที่สงสัย

1.เกิดอะไรขึ้นกับการทำสมาธิของผมครับ

2.แล้วต้องทำอย่างไรเมื่อเจอแบบนี้อีกครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ


นี่ก็ถูกอีกล่ะครับกรัชกาย
แม่นางคนนี้ ถึงต้องเข้าใจถึง เรื่อง สติเรื่องสมาธิ เสียก่อน
ว่า ให้มีจิตตั้งมั่นคงอยู่ในภายใน จึงจะมีอินทรีย์ มีพละ และปฏิบัติต่อไปได้ กับการตามดูรู้ทันสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก

แม่นางคนนี้ ขาดความเข้าใจต่อพื้นฐานในหลักปฏิบัติจิตตภาวนา
ดังนั้น
สำหรับแม่นางคนนี้
กล่าวได้ว่า แม่นางคนนี้ ต้องฝึกฝนต้องอบรมกันใหม่หมด เรียกได้ว่าเดิมๆ เข้าใจอย่างไร ก็เททิ้งเสียก่อน

หวังว่า กรัชกาย คงต้องลำบากอีกสักนิด ช่วยแม่นางคนนี้ให้มีจิตมั่นคง
อนุโมทนา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ


นี่ก็ถูกอีกล่ะครับกรัชกาย
แม่นางคนนี้ ถึงต้องเข้าใจถึง เรื่อง สติเรื่องสมาธิ เสียก่อน
ว่า ให้มีจิตตั้งมั่นคงอยู่ในภายใน
จึงจะมีอินทรีย์ มีพละ และปฏิบัติต่อไปได้ กับการตามดูรู้ทันสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก

แม่นางคนนี้ ขาดความเข้าใจต่อพื้นฐานในหลักปฏิบัติจิตตภาวนา
ดังนั้น
สำหรับแม่นางคนนี้
กล่าวได้ว่า แม่นางคนนี้ ต้องฝึกฝนต้องอบรมกันใหม่หมด เรียกได้ว่าเดิมๆ เข้าใจอย่างไร ก็เททิ้งเสียก่อน

หวังว่า กรัชกาย คงต้องลำบากอีกสักนิด ช่วยแม่นางคนนี้ให้มีจิตมั่นคง
อนุโมทนา


วิธีของกรัชกายคือการฝึกหัดทำ มิใช่คิดจินนาการเอานั่นเอานี่อย่างเช่นนั้น โดยไม่ลงมือทำ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ท่านเช่นนั้น มนสิการเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง มิใช่มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากที่เกิดร่วมกับจิตแต่ละขณะๆเช่น สมาธิ สติ สัมปชัญญะ เจตนา ฯลฯ ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ

มิใช่เอาแต่ถูกใจอย่างที่เช่นนั้นต้องการ :b1:


เห็นด้วยครับ กรัชกาย มนสิการเป็นเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง
จึงไม่อาจฟันธงลงไปเลยทีเดียวว่ามนสิการเป็นการบอกว่า มีจิตเป็นสมาธิ หรือว่า ฟุ้งไปกับนามรูป

จากข้อมูลที่ กรัชกาย เล่าออกมา แม่นางนั้นฟุ้งไปกับนามรูปตั้งแต่ต้นจริงๆ ไม่มีสติไม่มีสมาธิ
แม่นางนั้นถูกกิเลส ถูกอารมณ์ภายนอกครอบงำ จึงได้แต่ตามพัวพันอยู่กับนามรูปนั้นๆ



ท่านเช่นนั้น จิตใจมันสั่งสมทั้งกุศลอกุศลมาเนิ่นนาน ผู้ปฏิบัติต้องยอมรับความจริงข้อนี้้ วันหนึ่งเมื่อตนมาปฏิบัติหรือมนสิการนามรูป กิเลสก็ฟุ้ง เมื่อมันฟุ้งขึ้นมา ผู้ปฏิบัติก็ต้องกำหนดรู้เท่าทันมันทุกครั้งทุกขณะ ไม่ว่าดีว่าชั่วถูกใจไม่ถูกใจ นี่คือหลักปฏิบัติธรรม :b1:


เพราะจิตใจคนนั้น สั่งสมทั้งกุศลและอกุศลมาเนิ่นนาง
ผู้ให้คำชี้แนะจึงต้องให้ความรู้ว่าอาการฟุ้งเป็นอย่างไร เมื่อฟุ้งขึ้นมาเป็นอันตรายต่อสมาธิ ต่อสติ
ผู้ปฏิบัติถ้าขาดครูอาจารย์ ชี้แนะ ย่อมไม่ทราบว่านี่คือการฟุ้ง และคืออาการของจิตที่ไหลเลื่อนไปกับอารมณ์ที่ฟุ้ง การขาดความรู้อย่างนี้ ผู้ปฏิบัติย่อมไม่อาจกำหนดรู้เท่าทันได้ จริงไหมครับ

จนกว่าจะได้รับการชี้แนะ จึงจะมีปัญญามีสติเพียงพอที่จะอบรมต่อไปอีก

กรัชกายยกตัวอย่างมา ขณะที่แม่นางนี้คิดว่า ตัวแม่นางเองทำสมาธิอยู่นะครับ
กรัชกายกำลังสนทนาถึงสภาวะที่เล่าอยู่ขณะนั้นนะครับ

เมื่อกรัชกายชี้แนะลงไป ก็คือทำเหตุทำปัจจัยให้นางได้มีปัญญาได้มีสติ ก็เป็นการดีในการเพิ่ม อินทรีย์เพิ่มพละแก่แม่นาง
อนุโมทนา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

วิธีของกรัชกายคือการฝึกหัดทำ มิใช่คิดจินนาการเอานั่นเอานี่อย่างเช่นนั้น โดยไม่ลงมือทำ :b1:


เช่นนั้น ไม่ได้คิดจินตนาการเอานั่นเอานี่ ครับ
อ่านสิ่งที่เช่นนั้นเขียนดูดีๆ ครับ ว่า

กรัชกายกำลังสนทนา อยู่เกี่ยวกับแม่นางขณะอยู่ในสภาวะไหน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ท่านเช่นนั้น มนสิการเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง มิใช่มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากที่เกิดร่วมกับจิตแต่ละขณะๆเช่น สมาธิ สติ สัมปชัญญะ เจตนา ฯลฯ ยังต้องฝึกฝนอบรมมันอีก คือตามดูรู้ทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อไปอีก :b1: เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ยังงั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกใจขัดใจ

มิใช่เอาแต่ถูกใจอย่างที่เช่นนั้นต้องการ :b1:


เห็นด้วยครับ กรัชกาย มนสิการเป็นเพียงเจตสิกดวงหนึ่ง
จึงไม่อาจฟันธงลงไปเลยทีเดียวว่ามนสิการเป็นการบอกว่า มีจิตเป็นสมาธิ หรือว่า ฟุ้งไปกับนามรูป

จากข้อมูลที่ กรัชกาย เล่าออกมา แม่นางนั้นฟุ้งไปกับนามรูปตั้งแต่ต้นจริงๆ ไม่มีสติไม่มีสมาธิ
แม่นางนั้นถูกกิเลส ถูกอารมณ์ภายนอกครอบงำ จึงได้แต่ตามพัวพันอยู่กับนามรูปนั้นๆ



ท่านเช่นนั้น จิตใจมันสั่งสมทั้งกุศลอกุศลมาเนิ่นนาน ผู้ปฏิบัติต้องยอมรับความจริงข้อนี้้ วันหนึ่งเมื่อตนมาปฏิบัติหรือมนสิการนามรูป กิเลสก็ฟุ้ง เมื่อมันฟุ้งขึ้นมา ผู้ปฏิบัติก็ต้องกำหนดรู้เท่าทันมันทุกครั้งทุกขณะ ไม่ว่าดีว่าชั่วถูกใจไม่ถูกใจ นี่คือหลักปฏิบัติธรรม :b1:


เพราะจิตใจคนนั้น สั่งสมทั้งกุศลและอกุศลมาเนิ่นนาง
ผู้ให้คำชี้แนะจึงต้องให้ความรู้ว่าอาการฟุ้งเป็นอย่างไร เมื่อฟุ้งขึ้นมาเป็นอันตรายต่อสมาธิ ต่อสติ
ผู้ปฏิบัติถ้าขาดครูอาจารย์ ชี้แนะ ย่อมไม่ทราบว่านี่คือการฟุ้ง และคืออาการของจิตที่ไหลเลื่อนไปกับอารมณ์ที่ฟุ้ง การขาดความรู้อย่างนี้ ผู้ปฏิบัติย่อมไม่อาจกำหนดรู้เท่าทันได้ จริงไหมครับ

จนกว่าจะได้รับการชี้แนะ จึงจะมีปัญญามีสติเพียงพอที่จะอบรมต่อไปอีก

กรัชกายยกตัวอย่างมา ขณะที่แม่นางนี้คิดว่า ตัวแม่นางเองทำสมาธิอยู่นะครับ
กรัชกายกำลังสนทนาถึงสภาวะที่เล่าอยู่ขณะนั้นนะครับ

เมื่อกรัชกายชี้แนะลงไป ก็คือทำเหตุทำปัจจัยให้นางได้มีปัญญาได้มีสติ ก็เป็นการดีในการเพิ่ม อินทรีย์เพิ่มพละแก่แม่นาง
อนุโมทนา


ตัวอย่างหัวข้อนี้ นำมาจากบอร์ดนี้ครับ

http://board.palungjit.org/f4/%E0%B9%84 ... 31155.html

และกรัชกายเองก็ไม่ได้แนะนำอะไรที่นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:

วิธีของกรัชกายคือการฝึกหัดทำ มิใช่คิดจินนาการเอานั่นเอานี่อย่างเช่นนั้น โดยไม่ลงมือทำ :b1:


เช่นนั้น ไม่ได้คิดจินตนาการเอานั่นเอานี่ ครับ
อ่านสิ่งที่เช่นนั้นเขียนดูดีๆ ครับ ว่า

กรัชกายกำลังสนทนา อยู่เกี่ยวกับแม่นางขณะอยู่ในสภาวะไหน



หลักปฏิบัติของเช่นนั้น ไม่มีครับ มีแต่คิดๆนึกเอาสติ เอาสมาธิ เอานั่นเอานี่ โดยไม่ลงมือทำ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:

วิธีของกรัชกายคือการฝึกหัดทำ มิใช่คิดจินนาการเอานั่นเอานี่อย่างเช่นนั้น โดยไม่ลงมือทำ :b1:


เช่นนั้น ไม่ได้คิดจินตนาการเอานั่นเอานี่ ครับ
อ่านสิ่งที่เช่นนั้นเขียนดูดีๆ ครับ ว่า

กรัชกายกำลังสนทนา อยู่เกี่ยวกับแม่นางขณะอยู่ในสภาวะไหน



หลักปฏิบัติของเช่นนั้น ไม่มีครับ มีแต่คิดๆนึกเอาสติ เอาสมาธิ เอานั่นเอานี่ โดยไม่ลงมือทำ :b1:

ผมไม่ได้บอกเล่าหลักปฏิบัติใดๆ ออกมานี่ครับ
ผมเพียงเห็นด้วยกับการแก้ไข ของกรัชกาย ต่อแม่นางคนนั้น
สิ่งที่กรัชกาย แสดงออกมา ก็ดีอยู่แล้วครับ

จึงไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเล่าหลักปฏิบัติใดๆ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2014, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างหัวข้อนี้ นำมาจากบอร์ดนี้ครับ

http://board.palungjit.org/f4/%E0%B9%84 ... 31155.html

และกรัชกายเองก็ไม่ได้แนะนำอะไรที่นั่น


เมื่อกรัชกาย ลอกมา
และไม่ได้แนะนำอะไร

เอามาเล่าเฉยๆ
เช่นนั้น ก็รับฟังด้วยความขอบคุณ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หัวข้อเดิมเขา "ไม่มีครูอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้เรื่องการนั่ง"

แต่กรัชกายเปลี่ยนชื่อ "ถามนักปฏิบัติ" :b1: เอาชัดๆไปเลย

เขาถามดังนี้ครับ

ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้รู้เรื่องการนั่ง


คือดิฉันลองนั่งสมาธิ แล้วได้เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเปนปีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว

ดิฉันอยากถามผู้รู้ว่าที่ดิฉันเห็นแบบนั้นเพราะอะไร และดิฉันมีความสนใจเรื่องณานขั้นต่างๆ อยากรู้วิธิฝึกของแต่ละขั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกได้ถึงขั้นใหน ดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ได้แต่อ่านตามหนังสือ แล้วลองนั่งเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งอยู่ทำถูกหรือว่าผิด

ดิฉันนั่งโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ จนกว่าขาจะเป็นเหน็บชา พอทนไม่ไหวจิงๆก็จะออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตา หลายครั้งคิดว่าจะฝืนนั่งให้นานที่สุด แต่มันก็ปวดขาจิงๆไม่มีสมาธิจะนั่งต่อเลย อยากรู้ว่าคนอื่นๆเค้าทำยังไงเวลานั่งจนปวดขาแล้ว เลิกนั่งเลยหรือเปล่า

ยังคงเป็นขั้นเริ่มต้น ไม่เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เอาอาการปวด ปวดขาก็ไม่รู้ว่าทำไมปวดขา แต่สนใจในแสงสีจากมโน ตัวนี้ทำให้เกิดความกลัว เพราะจิตสังขารบอกว่าน่ากลัว เป็นเรื่องสังขารขันธ์ล้วนๆครับ
การปฎิบัติธรรมต้องเอาจิตตั้ง เอาวิญญาณขันธ์ตั้ง เอากายเป็นฐาน ไม่ใช่เอาสังขารตั้งครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องแยกให้ออกว่าอะไรสังขาร อะไรวิญญาณ วิปัสสนาภาวนาคือการทีวิญญาณไปตั้งที่ใดที่หนึ่งแล้วเกิดตัวรู้ว่า ร้อนหนาวอ่อนแข็งต้องแยกแยะเป็น อะไรโสต อะไรจักษุ จำแนกออกมาแล้วจะรู้ว่าขั้นญาณนั้นเป็นอย่างไร เช่นได้ยินเพราะวิญญาณไปรู้การกระทบ ไม่ใช่สังขารไปคิดว่าเสียงอะไร น่าฟังไม่น่าฟัง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ต้องแยกให้ออกว่าอะไรสังขาร อะไรวิญญาณ วิปัสสนาภาวนาคือการทีวิญญาณไปตั้งที่ใดที่หนึ่งแล้วเกิดตัวรู้ว่า ร้อนหนาวอ่อนแข็งต้องแยกแยะเป็น อะไรโสต อะไรจักษุ จำแนกออกมาแล้วจะรู้ว่าขั้นญาณนั้นเป็นอย่างไร เช่นได้ยินเพราะวิญญาณไปรู้การกระทบ ไม่ใช่สังขารไปคิดว่าเสียงอะไร น่าฟังไม่น่าฟัง



ไหนๆก็ไหนแล้วนะครับ คิกๆๆ วิธีการลงมือทำ หรือวิธีปฏิบัติหรือวิธีภาวนา ของเช่นนั้น กับวิธีของ student ช่วยแก้ปัญหาภาคปฏิบัติอย่างตัวอย่างหัวข้อนี้ไม่ได้หรอกครับ ไม่ทันกิน :b32: เอาหัวเป็นประกันเลยเอ้าา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 05:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:
แก้...ตัวเองดีกว่ามั้ย!!

:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 288 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร