วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 01:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 228 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
amazing......
อ้างคำพูด:
วิญญาณหรือวิญญานขันต์นั้นเป็นสิ่งเดียวกันไม่ต้องแยกหรอกครับเพียงแต่มันทำหน้าที่ได้ตามสถานะ ส่วนการมีสติอยู่กับลมนั้นไม่ได้หมายความว่ามาบรรยายเกี่ยวกับอาการของลมหายใจกับจิตที่มันเกิดดับอยู่ตามธรรมชาติ เรากำลังเรียนรู้จิตกับลมที่มันมากกว่าเห็นการเกิดดับ เรากำลังจะเข้าสู่ความไม่เกิดไม่ดับด้วยการใช้จิตกับลมซึ่งถือว่าเป็นการเจริญกายคตาสติที่พระองค์ทรงสรรเสริญเจริญให้มากทำให้มาก

ส่วนคุณจะอธิบายตามอภิธรรมที่แต่งใหม่ขึ้นมานั้น เราคงคุยกันไม่ได้จริงๆ เพราะทั้งหมดนี้เิกิดจากการเข้าถึงเป็นสภาวะจริง มิได้เกิดจากการศึกษา เมื่อเข้าถึงสภาวะที่มีแต่วิญญานล้วน เมื่อไม่มีกายอาตายนะก็ไม่มี ลมหายใจซึ่งเป็นกายในกายก็ไม่มี(ดับไป) วิญญานที่เป็นธาตุรู้กจะพบกับสภาวะไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีตัวตน เป็นสูญญตา และเมื่อจิตกลับสู่สภาวะปรกติ สิ่งที่เคยสงสัยในสิ่งที่ได้เรียนรู้ได้ฟังมาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดก็คลายหายสงสัยโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ

asoka.......

สาธุ อนุโมทนาตามเป็นอย่างยิ่งครับ คุณ Amazing

:b27:
grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
วิญญาณหรือวิญญานขันต์นั้นเป็นสิ่งเดียวกันไม่ต้องแยกหรอกครับเพียงแต่มันทำหน้าที่ได้ตามสถานะ

คุณว่าเหมือนกันหรือ ถ้างั้นวิญญานในปฏิจจสมุบาทก็คงเหมือนวิญญานขันธ์นะซิ
พุทโธ่! พูดไปเรื่อย แล้วมันมีหน้าที่ด้วยหรือ พุดธรรมอย่าพูดเหมือนกำลังอ่านเรียงความซิครับ
สภาวะธรรมมันมีลักษณะตามเหตุปัจจัย มันเกิดแล้วก็ดับ มันมีเวลามาทำหน้าที่หรือครับ :b9:

amazing เขียน:
ส่วนการมีสติอยู่กับลมนั้นไม่ได้หมายความว่ามาบรรยายเกี่ยวกับอาการของลมหายใจกับจิตที่มันเกิดดับอยู่ตามธรรมชาติ เรากำลังเรียนรู้จิตกับลมที่มันมากกว่าเห็นการเกิดดับ เรากำลังจะเข้าสู่ความไม่เกิดไม่ดับด้วยการใช้จิตกับลมซึ่งถือว่าเป็นการเจริญกายคตาสติที่พระองค์ทรงสรรเสริญเจริญให้มากทำให้มาก


คุณกำลังโม้ครับ เท่าที่คุยกับคุณมา คุณยังไม่มีปัญญาเห็นธรรมเลยครับ
ไม่ต้องพูดถึงความไม่เกิดดับเลยครับ แค่ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะธรรมตามจริง คุณยังไม่มี
นับประสาอะไรจะเห็นความไม่เกิดดับ
จะเจริญกายคตาสติ แต่ไม่รู้จักไตรลักษณ์ กายสังขารง่ายๆยังไม่รู้จัก
รูปนามยังอยู่ทนโท่พูดมาได้ว่า ลมหายใจดับไป พระอรหันต์ยังต้องหายใจเลย
พูดจาไม่น่าเชื่อถือ พูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จินตนาการเอาเอง :b13:
amazing เขียน:

ส่วนคุณจะอธิบายตามอภิธรรมที่แต่งใหม่ขึ้นมานั้น เราคงคุยกันไม่ได้จริงๆ เพราะทั้งหมดนี้เิกิดจากการเข้าถึงเป็นสภาวะจริง มิได้เกิดจากการศึกษา

โม้อีกแล้วครับ อ้างสูตรสำเร็จตามเคย พอไม่รู้สิ่งไหนก็จะอ้างนู้น อ้างนี่
มาอีหรอบเดียวกับ "ไม่เป็นพุทธวจนๆๆๆๆๆๆๆ" ตลกจริงๆ :b32:
amazing เขียน:

เมื่อเข้าถึงสภาวะที่มีแต่วิญญานล้วน เมื่อไม่มีกายอาตายนะก็ไม่มี ลมหายใจซึ่งเป็นกายในกายก็ไม่มี(ดับไป) วิญญานที่เป็นธาตุรู้กจะพบกับสภาวะไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีตัวตน เป็นสูญญตา และเมื่อจิตกลับสู่สภาวะปรกติ สิ่งที่เคยสงสัยในสิ่งที่ได้เรียนรู้ได้ฟังมาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดก็คลายหายสงสัยโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ

รูปนามยังอยู่ทนโท่ บอกมาได้ไม่มีกาย แล้วที่บอกอายตนะไม่มี ลมหายใจดับไปเพราะไม่มีอายตนะ
ถามหน่อยรู้จักภวังคจิตมั้ย ตอนเรานอนหลับสนิท ไม่มีอายตนะมากระทบ เรายังหายใจหรือเปล่า

คุณอเมซิ่งครับ แนะนำครับ พูดธรรมมันต้องมีเหตุผล ศาสนาพุทธไม่ใช่ไสยศาสตร์
ธรรมในศาสนาพุทธต้องพูดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช้พูดแบบที่คุณพูด
มันเหมือนการจินตนาการเอาเอง พูดผิดธรรมชาติ จินตนาการเอาเองว่าไอ้โน้นดับไอ้นี้ไม่มี
แบบนี้ถ้าไม่ฟุ้งธรรมก็เพ้อเจ้อบัญญัติครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
asoka.......

สาธุ อนุโมทนาตามเป็นอย่างยิ่งครับ คุณ Amazing

:b27:
grin

ชวนเขาไปวิปัสสนาด้วยเลยซิครับ อย่าลืมออกค่าตั๋วรถทัวร์ให้เขาด้วยนะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2541&Z=2681

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
วิญญาณหรือวิญญานขันต์นั้นเป็นสิ่งเดียวกันไม่ต้องแยกหรอกครับเพียงแต่มันทำหน้าที่ได้ตามสถานะ

คุณว่าเหมือนกันหรือ ถ้างั้นวิญญานในปฏิจจสมุบาทก็คงเหมือนวิญญานขันธ์นะซิ
พุทโธ่! พูดไปเรื่อย แล้วมันมีหน้าที่ด้วยหรือ พุดธรรมอย่าพูดเหมือนกำลังอ่านเรียงความซิครับ
สภาวะธรรมมันมีลักษณะตามเหตุปัจจัย มันเกิดแล้วก็ดับ มันมีเวลามาทำหน้าที่หรือครับ :b9:

amazing เขียน:
ส่วนการมีสติอยู่กับลมนั้นไม่ได้หมายความว่ามาบรรยายเกี่ยวกับอาการของลมหายใจกับจิตที่มันเกิดดับอยู่ตามธรรมชาติ เรากำลังเรียนรู้จิตกับลมที่มันมากกว่าเห็นการเกิดดับ เรากำลังจะเข้าสู่ความไม่เกิดไม่ดับด้วยการใช้จิตกับลมซึ่งถือว่าเป็นการเจริญกายคตาสติที่พระองค์ทรงสรรเสริญเจริญให้มากทำให้มาก


คุณกำลังโม้ครับ เท่าที่คุยกับคุณมา คุณยังไม่มีปัญญาเห็นธรรมเลยครับ
ไม่ต้องพูดถึงความไม่เกิดดับเลยครับ แค่ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะธรรมตามจริง คุณยังไม่มี
นับประสาอะไรจะเห็นความไม่เกิดดับ
จะเจริญกายคตาสติ แต่ไม่รู้จักไตรลักษณ์ กายสังขารง่ายๆยังไม่รู้จัก
รูปนามยังอยู่ทนโท่พูดมาได้ว่า ลมหายใจดับไป พระอรหันต์ยังต้องหายใจเลย
พูดจาไม่น่าเชื่อถือ พูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จินตนาการเอาเอง :b13:
amazing เขียน:

ส่วนคุณจะอธิบายตามอภิธรรมที่แต่งใหม่ขึ้นมานั้น เราคงคุยกันไม่ได้จริงๆ เพราะทั้งหมดนี้เิกิดจากการเข้าถึงเป็นสภาวะจริง มิได้เกิดจากการศึกษา

โม้อีกแล้วครับ อ้างสูตรสำเร็จตามเคย พอไม่รู้สิ่งไหนก็จะอ้างนู้น อ้างนี่
มาอีหรอบเดียวกับ "ไม่เป็นพุทธวจนๆๆๆๆๆๆๆ" ตลกจริงๆ :b32:
amazing เขียน:

เมื่อเข้าถึงสภาวะที่มีแต่วิญญานล้วน เมื่อไม่มีกายอาตายนะก็ไม่มี ลมหายใจซึ่งเป็นกายในกายก็ไม่มี(ดับไป) วิญญานที่เป็นธาตุรู้กจะพบกับสภาวะไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีตัวตน เป็นสูญญตา และเมื่อจิตกลับสู่สภาวะปรกติ สิ่งที่เคยสงสัยในสิ่งที่ได้เรียนรู้ได้ฟังมาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดก็คลายหายสงสัยโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ

รูปนามยังอยู่ทนโท่ บอกมาได้ไม่มีกาย แล้วที่บอกอายตนะไม่มี ลมหายใจดับไปเพราะไม่มีอายตนะ
ถามหน่อยรู้จักภวังคจิตมั้ย ตอนเรานอนหลับสนิท ไม่มีอายตนะมากระทบ เรายังหายใจหรือเปล่า

คุณอเมซิ่งครับ แนะนำครับ พูดธรรมมันต้องมีเหตุผล ศาสนาพุทธไม่ใช่ไสยศาสตร์
ธรรมในศาสนาพุทธต้องพูดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช้พูดแบบที่คุณพูด
มันเหมือนการจินตนาการเอาเอง พูดผิดธรรมชาติ จินตนาการเอาเองว่าไอ้โน้นดับไอ้นี้ไม่มี
แบบนี้ถ้าไม่ฟุ้งธรรมก็เพ้อเจ้อบัญญัติครับ :b13:
คุณโฮฮับเรียนอภิธรรม ที่แต่งใหม่มั่นใจเหรอว่าสิ่งที่เรียนมาถูกต้อง ในเมื่อสองสถาบัน มหามงกุฎ และมหาจุฬาต่างอ้างอิงว่ามาจากบาลีสบามรัฐ แต่ในบาลีสยามรัฐไม่มีเลยแต่งใหม่ทั้ง20เล่ม พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ในอภิธรรมเลย จะมีบ้างก็เล็กน้อยมาก และที่เรียนนั้นส่วนมากก็มาจากอรรถกถา ซึ่งคุณโฮฮับก็รู้ว่าแต่งใหม่หรือว่าไม่รู้ ก็เลยเรียนและก็เข้าใจกันไปตามนั้น

สมมุติว่าพระพุทธองค์ยังอยู่แล้วเอาสิ่งที่พระองค์ไม่ได้กล่าวไว้มาสอน ท่านว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงห้ามเอาไว้ว่า สิ่งที่พระองค์ได้แสดงไว้นั้นสมบูรณ์แล้วดวยอรรถพยัญชนะ ห้ามตัดต่อเพิ่มเติมหรือว่าท่านคิดว่ายังไม่สมบูรณ์พระองค์ทรงลืมที่แสดงหรืออย่างไร หรือตัวท่านเองยังไม่หยั่งลงมั่นในพระตถาคต ก็ยังเอาสิ่งที่แต่งใหม่มาคัดค้าน อย่างเช่นเรื่องลมหายใจที่ดับไปในขณะที่ี่อานาปานสติสมบูรณ์จะต้องเกิดขึ้นชั่วขณะ การนอนหลับเราไม่รู้สึกตัว แต่การบรรลุธรรมนันรู้สึกตัวและก็รู้ว่าลมนั้นดับไปด้วยครับ อย่าาให้การเรียนที่ผิดกลับมาเป็นงูพิษปิดกลั้นสภาวะธรรมที่แท้จริง ลงมือปฎิบัติจริงด้วยอานาปานสติจริงๆเถอะ แล้วท่านจะได้ดื่มด่ำกับสภาวะธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
คุณโฮฮับเรียนอภิธรรม ที่แต่งใหม่มั่นใจเหรอว่าสิ่งที่เรียนมาถูกต้อง ในเมื่อสองสถาบัน มหามงกุฎ และมหาจุฬาต่างอ้างอิงว่ามาจากบาลีสบามรัฐ แต่ในบาลีสยามรัฐไม่มีเลยแต่งใหม่ทั้ง20เล่ม พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ในอภิธรรมเลย จะมีบ้างก็เล็กน้อยมาก และที่เรียนนั้นส่วนมากก็มาจากอรรถกถา ซึ่งคุณโฮฮับก็รู้ว่าแต่งใหม่หรือว่าไม่รู้ ก็เลยเรียนและก็เข้าใจกันไปตามนั้น

พูดไปเรื่อย พูดเหมือนเจ้าสำนักเป่ะ เนี่ยยังสงสัยที่พูดมาจะเข้าใจสิ่งที่ตัวพูดหรือเปล่า
จะบอกอะไรให้ ผมไม่เคยเรียนพระไตรปิฎกไม่ว่าจะฉบับไหน

พระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้เรียน พระไตรปิฎกมีไว้เทียบเคียงผลการปฏิบัติ
ถ้าพูดถึงการเรียน ปุถุชนอย่างเราๆ จะต้องเรียนวิธึการปฏิบัติ ซึ่งต้องเรียนจาก
ครูบาอาจารย์ และเมื่อเราปฏิบัติแล้วผลเป็นอย่างไรจึงเอาไปเทียบกับพระไตรปิฎก

มันต้องรู้สภาวะธรรมของตนให้ได้ซะก่อน จึงค่อยไปรู้บัญญัติในพระอภิธรรมปิฎก
คนที่เขารู้สภาวะธรรม จึงจะเข้าใจพระอภิธรรมปิฎกได้
เพราะมีสภาวะธรรมไปเปรียบเทียบกับบัญญัติในพระอภิธรรมปิฎก
ดังนั้นในความเป็นจริงก็คือ เอาสภาวะธรรมไปหาบัญญัติ ไม่ใช่เอาบัญญัติไปหาสภาวะธรรม

ทั้งผู้ที่อ้าง"พุทธวจน"หรืออ้างพระไตรปิฎกจะฉบับไหนก็ได้
ทั้งสองฝ่ายกำลังเถียงกันในสิ่งที่ไม่ใช่แก่นแท้ของพระธรรม คือเอาบัญญัติมาเถียงกัน
มันจะเป็นพระไตรปิฎกฉบับไหน ถ้าสอนในสิ่งเป็นสภาวะธรรมเป็นใช้ได้


ที่ทำให้ผมตลกที่สุดก็คือ คนที่ชอบอ้างพุทธวจน
แต่เวลาพูดธรรมทำไมมันนอกเรื่องนอกราว ไม่มีทั้งในพุทธวจนและพระอภิธรรมปิฎก
ยิ่งคุณอเมซิ่งเป็นหนัก พูดธรรมเหมือนไสยศาสตร์ แค่พูดว่า...
ลมหายใจดับไปเนี่ย ก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
สมมุติว่าพระพุทธองค์ยังอยู่แล้วเอาสิ่งที่พระองค์ไม่ได้กล่าวไว้มาสอน ท่านว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงห้ามเอาไว้ว่า สิ่งที่พระองค์ได้แสดงไว้นั้นสมบูรณ์แล้วดวยอรรถพยัญชนะ ห้ามตัดต่อเพิ่มเติมหรือว่าท่านคิดว่ายังไม่สมบูรณ์พระองค์ทรงลืมที่แสดงหรืออย่างไร หรือตัวท่านเองยังไม่หยั่งลงมั่นในพระตถาคต ก็ยังเอาสิ่งที่แต่งใหม่มาคัดค้าน

ฟุ้งอีกแล้ว พูดธรรมอย่าตีสำนวนเล่นโวหารเลยครับ สมัยนี้เขาเลิกใช้กันแล้ว
มันมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นอย่างไร

คุณพูดฉอดๆว่า คนอื่นเอาสิ่งที่ไม่ได้มีในพุทธวนมากล่าว แทนที่คุณจะไป
หาพุทธวจนมาอ้างอิงคำพูดของคุณ ดันเพ้อเจ้อฟุ้งบัญญัติอยู่อย่างนี้ มันทำให้คุณดูเป็นตัวตลกครับ

กับความเห็นประโยคอ้างอิงนี้ของคุณ อยากให้คุณไปตั้งสติพิจารณาว่า
พระไตรปิฎกแปลบาลีจะเป็นสยามรัฐหรือจะเป็นมหามงกุฏและมหาจุฬาก็ตาม
ถามสั้นๆเลยว่า พยัญชนะมันเหมือนกันมั้ย เดี๋ยวจะไม่เข้าใจอีก เอาเป็นว่า...
ภาษามันเหมือนกันมั้ย แบบหนึ่งเป็นภาษาไทย แบบหนึ่งเป็นบาลี มันต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ความสำคัญมันอยู่ที่ พระไตรปิฎกแปลหรือแม้แต่อภิธรรมปิฎก มันมีที่มา
เขาสามารถบอกได้ว่า มาจากบาลีตัวไหน

amazing เขียน:
หรือตัวท่านเองยังไม่หยั่งลงมั่นในพระตถาคต ก็ยังเอาสิ่งที่แต่งใหม่มาคัดค้าน อย่างเช่นเรื่องลมหายใจที่ดับไปในขณะที่ี่อานาปานสติสมบูรณ์จะต้องเกิดขึ้นชั่วขณะ การนอนหลับเราไม่รู้สึกตัว แต่การบรรลุธรรมนันรู้สึกตัวและก็รู้ว่าลมนั้นดับไปด้วยครับ อย่าาให้การเรียนที่ผิดกลับมาเป็นงูพิษปิดกลั้นสภาวะธรรมที่แท้จริง ลงมือปฎิบัติจริงด้วยอานาปานสติจริงๆเถอะ แล้วท่านจะได้ดื่มด่ำกับสภาวะธรรม

แทนที่จะเอาสิ่งที่ผมแนะนำไปศึกษาดูว่า มันใช่มั้ยกับคำกล่าวของผม
ดันเอาไปปรุงแต่งสรรหาคำเพื่อเถียงข้างๆคูๆ

ผมแนะนำให้คุณไปศึกษาว่า....
สิ่งที่เราพูดกันอยู่ อะไรคือ...กาย
อะไรคือ...กายสังขาร อะไรคือ....จิตสังขาร

นี่เป็นเรื่องของขันธ์ เป็นความรู้เบื้องต้นที่ต้องรู้ถ้าจะทำสติปัฏฐาน
แต่คุณกลับไม่สนใจ ดันไปเอาเรื่องกระทบกระเทียบไร้สาระมาแย้ง
ผมฟังสำนวนพูดของคุณก็ได้แต่ปลงอนิจจัง


คุณลองไปเปิดดู...อานาปานสติภาวนาในพระสูตร
คุณก็จะรู้ว่า อะไรที่ดับไป มันใช่ลมหายใจแบบที่คุณพูดมั้ย
และมันเป็นแบบที่ผมบอกว่า สิ่งที่ดับเป็นจิตสังขารและกายสังขารไม่ใช่ลมหายใจ


แนะนำเดี๋ยวเปิดพระสูตรแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ไให้ไปดูตรงส่วนที่บอกว่า ระงับดูซิว่าอะไรระงับ
และดูซิ ลมอัสสาสะ ปัสสาสะคืออะไร แล้วจะรู้ว่าที่แท้แล้วอะไรมันดับ


อย่าลืมไปเปิดดูพระสูตร อย่าดีแต่อ้าง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
คุณโฮฮับเรียนอภิธรรม ที่แต่งใหม่มั่นใจเหรอว่าสิ่งที่เรียนมาถูกต้อง ในเมื่อสองสถาบัน มหามงกุฎ และมหาจุฬาต่างอ้างอิงว่ามาจากบาลีสบามรัฐ แต่ในบาลีสยามรัฐไม่มีเลยแต่งใหม่ทั้ง20เล่ม พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ในอภิธรรมเลย จะมีบ้างก็เล็กน้อยมาก และที่เรียนนั้นส่วนมากก็มาจากอรรถกถา ซึ่งคุณโฮฮับก็รู้ว่าแต่งใหม่หรือว่าไม่รู้ ก็เลยเรียนและก็เข้าใจกันไปตามนั้น

พูดไปเรื่อย พูดเหมือนเจ้าสำนักเป่ะ เนี่ยยังสงสัยที่พูดมาจะเข้าใจสิ่งที่ตัวพูดหรือเปล่า
จะบอกอะไรให้ ผมไม่เคยเรียนพระไตรปิฎกไม่ว่าจะฉบับไหน

พระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้เรียน พระไตรปิฎกมีไว้เทียบเคียงผลการปฏิบัติ
ถ้าพูดถึงการเรียน ปุถุชนอย่างเราๆ จะต้องเรียนวิธึการปฏิบัติ ซึ่งต้องเรียนจาก
ครูบาอาจารย์ และเมื่อเราปฏิบัติแล้วผลเป็นอย่างไรจึงเอาไปเทียบกับพระไตรปิฎก

มันต้องรู้สภาวะธรรมของตนให้ได้ซะก่อน จึงค่อยไปรู้บัญญัติในพระอภิธรรมปิฎก
คนที่เขารู้สภาวะธรรม จึงจะเข้าใจพระอภิธรรมปิฎกได้
เพราะมีสภาวะธรรมไปเปรียบเทียบกับบัญญัติในพระอภิธรรมปิฎก
ดังนั้นในความเป็นจริงก็คือ เอาสภาวะธรรมไปหาบัญญัติ ไม่ใช่เอาบัญญัติไปหาสภาวะธรรม

ทั้งผู้ที่อ้าง"พุทธวจน"หรืออ้างพระไตรปิฎกจะฉบับไหนก็ได้
ทั้งสองฝ่ายกำลังเถียงกันในสิ่งที่ไม่ใช่แก่นแท้ของพระธรรม คือเอาบัญญัติมาเถียงกัน
มันจะเป็นพระไตรปิฎกฉบับไหน ถ้าสอนในสิ่งเป็นสภาวะธรรมเป็นใช้ได้


ที่ทำให้ผมตลกที่สุดก็คือ คนที่ชอบอ้างพุทธวจน
แต่เวลาพูดธรรมทำไมมันนอกเรื่องนอกราว ไม่มีทั้งในพุทธวจนและพระอภิธรรมปิฎก
ยิ่งคุณอเมซิ่งเป็นหนัก พูดธรรมเหมือนไสยศาสตร์ แค่พูดว่า...
ลมหายใจดับไปเนี่ย ก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วครับ :b13:
คุณบอกว่าไม่ได้เรียนคุณเอาสภาวะธรรมไปเทียบเคียง กับอภิธรรมที่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ อย่างกายกับกายสังขาร มันก็คือสิ่งเดียวกันเพียงแต่กายสังขารนั้นก้คือกายที่ยังเชื่อมโยงกับจิตอยู่ที่แสดงอาการต่างๆอยู่ในร่างกายกว้างคืบยาววานี่แหล่ะไม่ว่าจะเป็นอะไีรที่แสดงอาการออกมา อย่างเช่นที่รู้พร้อมเฉพาะกายสังขารหายใจออกเข้า ก็คือกำหนดสติไปรับรู้ความรู้ที่เิกิดขึ้นทั่วร่างกายให้ทั่วซึ่งมันจะเกิดอะไรกับกายก็ช่างมันเราบังคับบัญชาไม่ได้ท่านจะพิจารณาเป็น ขันต์ เป็นธาตุ หรืออะไรเพียงรับรู้แล้วก็ปล่อยวางเพราะมันมีอาการอยู่คือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อย่างนี้เรียกว่ารู้กายสังขาร

และเมื่อปฎิบัติไปกายสังขารระงับ กายสังขารจะระงับไปได้นั้นคือรูปดับแยกออกจากนาม หรือจะเรียกว่ากายสังขารดับไปนั้นเอง เมื่อกายสังขารดับไปจิตไม่สามารถรับรูเรื่องของกายทั้งหมดได้ไม่ว่าจะเป็นอาตยนะอะไร (ทั้งลมหายใจด้วยตรงนีแหล่ะครับที่หมายความว่าลมหายใจดับไป) ที่นี้เมื่อกายสังขารดับไปแล้วจิตหรือจิตสังขารยังปรุงแต่งอยู่ยังมี ปีติความสุข ปราโมท์ ยังมีความคิดปรุงแต่งอยู่ฯ เมื่อจิตละทุกสิ่งได้จิตหยุดการปรุงแต่ง นี้เรียกว่าจิตสังขารระงับ เรื่องของเรื่องก็มีเท่านี้ ไม่ห็นต้องเอามาบรรยายกับอภิธรรมแต่งใหม่ด้วยเลย ในการปฎิบัติอานาปานนั้นเพียงแค่เข้าถึงสภาวะความเป็นอมตะ ความไม่เกิดไม่ดับก็ถือว่าจบแล้ว ดั่งที่พระองค์กล่าวว่านิพพานเป็นสภาวะที่เข้าถึงได้ และพระองค์ก็กล่าวในรูปปฎิเสธ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น สิ่งทั้งหลายในนิพพานไม่มี และท่านที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกสำนักไหนก็ไม่สำคัญขอให้เทียบเคียงได้ จบกันเลย!ในเมื่อความจริงเท่าที่เราจะมีได้ไว้เทียบเคียงคือฉบับสยามรัฐเท่านั้น ส่วนอื่นที่แต่งใหม่ตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนการปฎิบัติเราสมควรจะเทียบเคียงกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าท่านเทียบเคียงกับสิ่งแต่งใหม่เท่ากับท่านไม่เชื่อพระพุทธองค์่ พระองค์กล่าวไว้อย่าแต่งเพิ่มตัดต่อ เพราะจะทำให้พระสัทธรรมแท้มันเสื่อมเท่ากับท่านได้ทำร้ายพระสัทธรรมโดยตรง ดั่งกลองอานกะที่มีแต่ลิ่มใหม่เสริมเข้าไปเรื่อยๆจนไม่เหลือเนื้อแท้ และเรื่องที่พระองค์กล่าวว่าที่สุดแล้วลมอัสสาสะ ปัสสาสะดับนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจได้นะว่ามันดับไปเพราะอะไร พระองค์ก็กล่าวไว้แบบนั้นคนที่เขารู้ว่าคนที่เข้าถึงนั้นย่อมรู้ดี แต่ถ้าจะบรรยายตามอภิธรรมแต่งใหม่มีถูกบ้างผิดบ้างก็คือกายสังขารดับไปนั้นเอง

ที่นี้ผมขอถามตรงๆท่านเคยเข้าถึงสภาวะอาตายนะดับทั้งหมดเหลือแต่วิญญานที่เป็นสภาพรู้ ที่เข้าไปรู้ถึงสภาวะไม่เกิดไม่ดับหรือยังครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
คุณบอกว่าไม่ได้เรียนคุณเอาสภาวะธรรมไปเทียบเคียง กับอภิธรรมที่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว มันก็ยิ่งไปกันใหญ่

เห็นชอบพูดนัก"พุทธวจน" แค่นี่ยังไม่รู้อีกว่า พระอภิธรรมคืออะไร
พูดมาได้ว่าว่า พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว
สงสัยคุณคงเข้าใจว่า พระอภิธรรมคืออภิธรรมปิฎกมั้ง แบบนี้ไม่ได้เรื่องแล้วครับ

จะบอกให้ครับ พระอภิธรรมก็อยู่ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงสอน ในสมัยพุทธกาลนั้นแหล่ะ
เพียงแต่พระอรหันตสาวกท่านแยกพระอภิธรรม ออกมาเป็นพระอภิธรรมปิฎกในภายหลัง
ในพระวินัยที่กล่าวถึงสภาวะธรรมอย่างเช่นขันธ์ห้าและอื่นๆนั้นแหล่ะพระอภิธรรม
amazing เขียน:
อย่างกายกับกายสังขาร มันก็คือสิ่งเดียวกันเพียงแต่กายสังขารนั้นก้คือกายที่ยังเชื่อมโยงกับจิตอยู่ที่แสดงอาการต่างๆอยู่ในร่างกายกว้างคืบยาววานี่แหล่ะไม่ว่าจะเป็นอะไีรที่แสดงอาการออกมา อย่างเช่นที่รู้พร้อมเฉพาะกายสังขารหายใจออกเข้า ก็คือกำหนดสติไปรับรู้ความรู้ที่เิกิดขึ้นทั่วร่างกายให้ทั่วซึ่งมันจะเกิดอะไรกับกายก็ช่างมันเราบังคับบัญชาไม่ได้ท่านจะพิจารณาเป็น ขันต์ เป็นธาตุ หรืออะไรเพียงรับรู้แล้วก็ปล่อยวางเพราะมันมีอาการอยู่คือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อย่างนี้เรียกว่ารู้กายสังขาร

เอาอีกแล้ววกกลับมาที่เก่า เหนื่อยที่จะต้องเริ่มต้นอธิบายใหม่หลายเที่ยวแล้วน่ะ
ฟังให้ดี.....บุคคลประกอบด้วย...รูปธรรมและนามธรรม
กายเป็นเพียง.....รูปธรรม
จิตเป็น.......นามธรรม

กายของบุคคลถ้าจิตไม่ไปบ่งการหรือปรุงแต่ง กายนั้นย่อมจะเกิดเป็นกายสังขารไม่ได้
กายสังขารมีเหตุมาจาก จิตหรือจิตสังขาร
จิตสังขารเกิดตามเหตุปัจจัย บุคคลสามารถไม่ให้เกิดจิตสังขารได้ด้วยการ มีสติระลึกรู้ธรรม

การรู้ไม่ใช่รู้กายสังขารหรือลมหายใจเข้าออก ในความเป็นจริง
ท่านให้รู้จิตสังขารในขณะที่ไปปรุงแต่งลมหายใจ(กาย) ให้เกิดลมสั้น ยาว ที่เรียกว่า
อัสสาสะและปัสสาสะ(กายสังขาร)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

และเมื่อปฎิบัติไปกายสังขารระงับ กายสังขารจะระงับไปได้นั้นคือรูปดับแยกออกจากนาม หรือจะเรียกว่ากายสังขารดับไปนั้นเอง เมื่อกายสังขารดับไปจิตไม่สามารถรับรูเรื่องของกายทั้งหมดได้ไม่ว่าจะเป็นอาตยนะอะไร (ทั้งลมหายใจด้วยตรงนีแหล่ะครับที่หมายความว่าลมหายใจดับไป) ที่นี้เมื่อกายสังขารดับไปแล้วจิตหรือจิตสังขารยังปรุงแต่งอยู่ยังมี ปีติความสุข ปราโมท์ ยังมีความคิดปรุงแต่งอยู่ฯ เมื่อจิตละทุกสิ่งได้จิตหยุดการปรุงแต่ง นี้เรียกว่าจิตสังขารระงับ เรื่องของเรื่องก็มีเท่านี้ ไม่ห็นต้องเอามาบรรยายกับอภิธรรมแต่งใหม่ด้วยเลย ในการปฎิบัติอานาปานนั้นเพียงแค่เข้าถึงสภาวะความเป็นอมตะ ความไม่เกิดไม่ดับก็ถือว่าจบแล้ว ดั่งที่พระองค์กล่าวว่านิพพานเป็นสภาวะที่เข้าถึงได้ และพระองค์ก็กล่าวในรูปปฎิเสธ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น สิ่งทั้งหลายในนิพพานไม่มี และท่านที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกสำนักไหนก็ไม่สำคัญขอให้เทียบเคียงได้ จบกันเลย!ในเมื่อความจริงเท่าที่เราจะมีได้ไว้เทียบเคียงคือฉบับสยามรัฐเท่านั้น ส่วนอื่นที่แต่งใหม่ตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนการปฎิบัติเราสมควรจะเทียบเคียงกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าท่านเทียบเคียงกับสิ่งแต่งใหม่เท่ากับท่านไม่เชื่อพระพุทธองค์่ พระองค์กล่าวไว้อย่าแต่งเพิ่มตัดต่อ เพราะจะทำให้พระสัทธรรมแท้มันเสื่อมเท่ากับท่านได้ทำร้ายพระสัทธรรมโดยตรง ดั่งกลองอานกะที่มีแต่ลิ่มใหม่เสริมเข้าไปเรื่อยๆจนไม่เหลือเนื้อแท้ และเรื่องที่พระองค์กล่าวว่าที่สุดแล้วลมอัสสาสะ ปัสสาสะดับนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจได้นะว่ามันดับไปเพราะอะไร พระองค์ก็กล่าวไว้แบบนั้นคนที่เขารู้ว่าคนที่เข้าถึงนั้นย่อมรู้ดี แต่ถ้าจะบรรยายตามอภิธรรมแต่งใหม่มีถูกบ้างผิดบ้างก็คือกายสังขารดับไปนั้นเอง

ผมขี้เกียจตามจินตนาการของคุณ เอาสั้นๆเลย กายสังขารไม่ได้ดับ
ที่ดับไปคือ...จิตสังขาร กายเกิดดับไม่ได้ แต่ที่มันแปรปวนเป็นเพราะจิตสังขาร
พูดธรรมขอร้องครับ เอาแต่เนื้อๆน้ำไม่ต้อง อ่านแล้วมันเสียสมาธิ
amazing เขียน:
ที่นี้ผมขอถามตรงๆท่านเคยเข้าถึงสภาวะอาตายนะดับทั้งหมดเหลือแต่วิญญานที่เป็นสภาพรู้ ที่เข้าไปรู้ถึงสภาวะไม่เกิดไม่ดับหรือยังครับ

ถ้าสภาวะที่คุณพูดมันเกินจากอากาสานัญจายตนะ ผมไม่เคยครับ

คุณเคยหรือครับ ไหนลองเล่าสู่กันฟังหน่อยซิ

พูดดีๆนะครับ อย่าเปิดโอกาสให้ผมแย้งได้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
คุณบอกว่าไม่ได้เรียนคุณเอาสภาวะธรรมไปเทียบเคียง กับอภิธรรมที่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว มันก็ยิ่งไปกันใหญ่

เห็นชอบพูดนัก"พุทธวจน" แค่นี่ยังไม่รู้อีกว่า พระอภิธรรมคืออะไร
พูดมาได้ว่าว่า พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าว
สงสัยคุณคงเข้าใจว่า พระอภิธรรมคืออภิธรรมปิฎกมั้ง แบบนี้ไม่ได้เรื่องแล้วครับ

จะบอกให้ครับ พระอภิธรรมก็อยู่ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงสอน ในสมัยพุทธกาลนั้นแหล่ะ
เพียงแต่พระอรหันตสาวกท่านแยกพระอภิธรรม ออกมาเป็นพระอภิธรรมปิฎกในภายหลัง
ในพระวินัยที่กล่าวถึงสภาวะธรรมอย่างเช่นขันธ์ห้าและอื่นๆนั้นแหล่ะพระอภิธรรม
amazing เขียน:
อย่างกายกับกายสังขาร มันก็คือสิ่งเดียวกันเพียงแต่กายสังขารนั้นก้คือกายที่ยังเชื่อมโยงกับจิตอยู่ที่แสดงอาการต่างๆอยู่ในร่างกายกว้างคืบยาววานี่แหล่ะไม่ว่าจะเป็นอะไีรที่แสดงอาการออกมา อย่างเช่นที่รู้พร้อมเฉพาะกายสังขารหายใจออกเข้า ก็คือกำหนดสติไปรับรู้ความรู้ที่เิกิดขึ้นทั่วร่างกายให้ทั่วซึ่งมันจะเกิดอะไรกับกายก็ช่างมันเราบังคับบัญชาไม่ได้ท่านจะพิจารณาเป็น ขันต์ เป็นธาตุ หรืออะไรเพียงรับรู้แล้วก็ปล่อยวางเพราะมันมีอาการอยู่คือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อย่างนี้เรียกว่ารู้กายสังขาร

เอาอีกแล้ววกกลับมาที่เก่า เหนื่อยที่จะต้องเริ่มต้นอธิบายใหม่หลายเที่ยวแล้วน่ะ
ฟังให้ดี.....บุคคลประกอบด้วย...รูปธรรมและนามธรรม
กายเป็นเพียง.....รูปธรรม
จิตเป็น.......นามธรรม

กายของบุคคลถ้าจิตไม่ไปบ่งการหรือปรุงแต่ง กายนั้นย่อมจะเกิดเป็นกายสังขารไม่ได้
กายสังขารมีเหตุมาจาก จิตหรือจิตสังขาร
จิตสังขารเกิดตามเหตุปัจจัย บุคคลสามารถไม่ให้เกิดจิตสังขารได้ด้วยการ มีสติระลึกรู้ธรรม

การรู้ไม่ใช่รู้กายสังขารหรือลมหายใจเข้าออก ในความเป็นจริง
ท่านให้รู้จิตสังขารในขณะที่ไปปรุงแต่งลมหายใจ(กาย) ให้เกิดลมสั้น ยาว ที่เรียกว่า
อัสสาสะและปัสสาสะ(กายสังขาร)
ง่ายๆเลย กายหรือกายสังขารนั้นคือสิ่งเดียวกันเพียงกายสังขารแสดงอาการต่างๆให้จิตรับรู้ภายใต้กว้างคืบยาววานี้หรือพูดง่ายๆว่าตังแต่หัวจรดเท้านี้เองเมื่อมันระงับลงหรือเรียกตามภาษานักปฎิบัติเขาย่อมรู้กันเป็นภาษาที่เขาเข้าใจกันเมื่อคนที่ปฎิบัติถึงก็เท่านั้น ส่วนคุณจะเรียกให้มันดูดีหน้าปวดหัวมันก็เป็นแค่ภาษาตามตำรา และที่ท่านบอกกายดับไม่ได้ไม่จริงกายดับไปได้โดยสภาวะและแตกสลายเป้นธาตุคืนสู่ธรรมชาติแล้วแต่สถานะที่เป็นอย่างการปฎิบัติถึงสภาวะที่กายดับวิญญานรับรูไม่ได้นันหมายความว่าอาตยนะและลมหายใจดับไปด้วยเพราะทั้งหมดคือกายสังขาร

ส่วนเรื่องอภิธรรมก็บอกแล้วไงว่าพระองค์แสดงไวเลกน้อยมากซึ่งมีอยู่ในบาลีสยามรัฐ แต่ที่แต่งใหม่ที่อางอิงที่มานั้นแต่งใหม่มาก ซึ่งท่านโฮฮับนั้นมักจะนำมาอางอิงก็ขอให้รูว่าเลิกใชไปได้เลย เพราะคำหลายคำไม่มีเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 11:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:

และเมื่อปฎิบัติไปกายสังขารระงับ กายสังขารจะระงับไปได้นั้นคือรูปดับแยกออกจากนาม หรือจะเรียกว่ากายสังขารดับไปนั้นเอง เมื่อกายสังขารดับไปจิตไม่สามารถรับรูเรื่องของกายทั้งหมดได้ไม่ว่าจะเป็นอาตยนะอะไร (ทั้งลมหายใจด้วยตรงนีแหล่ะครับที่หมายความว่าลมหายใจดับไป) ที่นี้เมื่อกายสังขารดับไปแล้วจิตหรือจิตสังขารยังปรุงแต่งอยู่ยังมี ปีติความสุข ปราโมท์ ยังมีความคิดปรุงแต่งอยู่ฯ เมื่อจิตละทุกสิ่งได้จิตหยุดการปรุงแต่ง นี้เรียกว่าจิตสังขารระงับ เรื่องของเรื่องก็มีเท่านี้ ไม่ห็นต้องเอามาบรรยายกับอภิธรรมแต่งใหม่ด้วยเลย ในการปฎิบัติอานาปานนั้นเพียงแค่เข้าถึงสภาวะความเป็นอมตะ ความไม่เกิดไม่ดับก็ถือว่าจบแล้ว ดั่งที่พระองค์กล่าวว่านิพพานเป็นสภาวะที่เข้าถึงได้ และพระองค์ก็กล่าวในรูปปฎิเสธ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น สิ่งทั้งหลายในนิพพานไม่มี และท่านที่กล่าวว่าพระไตรปิฎกสำนักไหนก็ไม่สำคัญขอให้เทียบเคียงได้ จบกันเลย!ในเมื่อความจริงเท่าที่เราจะมีได้ไว้เทียบเคียงคือฉบับสยามรัฐเท่านั้น ส่วนอื่นที่แต่งใหม่ตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนการปฎิบัติเราสมควรจะเทียบเคียงกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าท่านเทียบเคียงกับสิ่งแต่งใหม่เท่ากับท่านไม่เชื่อพระพุทธองค์่ พระองค์กล่าวไว้อย่าแต่งเพิ่มตัดต่อ เพราะจะทำให้พระสัทธรรมแท้มันเสื่อมเท่ากับท่านได้ทำร้ายพระสัทธรรมโดยตรง ดั่งกลองอานกะที่มีแต่ลิ่มใหม่เสริมเข้าไปเรื่อยๆจนไม่เหลือเนื้อแท้ และเรื่องที่พระองค์กล่าวว่าที่สุดแล้วลมอัสสาสะ ปัสสาสะดับนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจได้นะว่ามันดับไปเพราะอะไร พระองค์ก็กล่าวไว้แบบนั้นคนที่เขารู้ว่าคนที่เข้าถึงนั้นย่อมรู้ดี แต่ถ้าจะบรรยายตามอภิธรรมแต่งใหม่มีถูกบ้างผิดบ้างก็คือกายสังขารดับไปนั้นเอง

ผมขี้เกียจตามจินตนาการของคุณ เอาสั้นๆเลย กายสังขารไม่ได้ดับ
ที่ดับไปคือ...จิตสังขาร กายเกิดดับไม่ได้ แต่ที่มันแปรปวนเป็นเพราะจิตสังขาร
พูดธรรมขอร้องครับ เอาแต่เนื้อๆน้ำไม่ต้อง อ่านแล้วมันเสียสมาธิ
amazing เขียน:
ที่นี้ผมขอถามตรงๆท่านเคยเข้าถึงสภาวะอาตายนะดับทั้งหมดเหลือแต่วิญญานที่เป็นสภาพรู้ ที่เข้าไปรู้ถึงสภาวะไม่เกิดไม่ดับหรือยังครับ

ถ้าสภาวะที่คุณพูดมันเกินจากอากาสานัญจายตนะ ผมไม่เคยครับ

คุณเคยหรือครับ ไหนลองเล่าสู่กันฟังหน่อยซิ

พูดดีๆนะครับ อย่าเปิดโอกาสให้ผมแย้งได้ :b32:
ท่านบอกกายดับไม่ได้นี้นั้นขัดแย้งโดยตรง เพราะทุกสิ่งเกิดดับตลอดเวลา สิ่งที่ผมพบนั้นเป็นสภาวะที่เกิดเฉพาะตน เอาเป้นภาษาคนปฎิบัตินะครับ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงมีสติอยู่กับลมหายใจไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ที่เกิดกับผมก็คือ รูป1นาม3ดับไป หรืออธิบายย่อยๆอาตยนะทั้งหมดหายไปนั้นหมายความว่าพูดง่ายให้พอเข้าใจ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสธัมมารมณ์ดับไป เหลือแต่วิญญาฯที่เป็นธาตุรู้ รับรู้ถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไรนานสัก1นาที ก็กลับมาสู่สภาพเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 15:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดวงดาว..กับ..ดวงจันทร์...อยู่บนฟ้า...ยามท้องฟ้า
เดือนกระจ่าง...มันสวยนะครับ...แต่เพียงหลับตาลง....ความสวยนั้นก็จากเราไปซะแล้ว...เ.รา..ควรหรือไม่ควร...ที่จะบอกว่า..เดือนดาราดับ...จากเราซะแล้ว..เพียงแค่เราหลับตาลง

สิ่งที่จะดับได้...มันต้องมีเกิด....
ถ้าเราหลับตา...ไม่เห็นมันว่า..แล้วเรียกว่า...ดับ....สิ่งที่เกิด..คือ..ผัสสะ
สิ่งที่ดับ..จึงเป็น..ผัสสะ....ไม่ใช่เดือนดารา..

เดือนดารา.จะดับ...ก็ดับ...ไปสู่จากสิ่งที่มันเกิด....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 17:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาถ้าให้ตอบแบบอภิธรรมเรื่องรูปหรือนามที่บอกว่ากายดับไม่ได้ เอาคำตอบจากนักอภิธรรมโดยตรง
ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่ำ

กำัลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อ

ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจได้

ว่า แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้น

เป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต และเจตสิก) และสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพ

รู้ คือ รูปธรรม ไม้พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงเหล่านี้เลย

จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอาิรมณ์ เจตสิก ก็เป็น

สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และสำหรับในภูมิ

ที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดทีึ่เดียวกันกับจิต เจตสิกแต่ละประเภทก็เกิดกับจิตตามสมควร

แก่จิตประเภทนั้น ๆ จิตและเจตสิก เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย มี่อาุยุที่สั้นแสนสั้น

คือ เพียงแค่ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และ ขณะที่ดับไปเท่านั้น เมื่อจิต(พร้อมกับ

เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ขณะหนึ่งดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที

ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิกของใคร ก็เป็นเช่นนี้

รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สภาพรู้ ตัวอย่างรูป เช่น ตา หู จมูก ลิ้น

กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นต้น รูปธรรม เกิดขึ้นตามสมุฏฐานของตน ๆ

แล้วก็ดับไปไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน รูปมีมากมากมีทัื้งรูปที่เป็นภายในและภายนอก เกิดขึ้น

แล้วก็ดับไป ทะยอยกันเกิดทยอยกันดับ รูปแต่ละกลุ่มจะไม่ปะปนกัน กล่าวคือ รูปที่

เกิดจากกรรม ไม่ใช่รูปกลุ่มเดียวกันกับรูปที่เกิดจากจิต เป็นต้น และที่ำสำคัญ รูป

จะไม่ปะปนกันกับนามธรรมอย่างเด็ดขาด อาุยุของรูปเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

มีอายุที่ยาวนานกว่าจิต(และเจตสิก) เพราะจิตมีขณะย่อย ๓ อนุขณะ คือ ขณะที่เกิด

ขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สั้นแสนสั้นจริง ๆ ไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งความเป็นไป

ของสภาพธรรมได้เลย ความเป็นจริงของธรรม ก็เป็นเช่นนี้ ใคร ๆ ก็ไม่สามารถ

เปลี่ยนแปลงได้

ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาก็เพื่อความเข้าใจ

ตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรม

แต่ละอย่าง ๆ ทีเ่กิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมนั้น ๆ ได้

เลย ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 18:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนา กับคำอธิบาย อภิธรรมเชิงปฏิบัติ จากผู้ปฏิบัติจริง ของคุณ Amazing ครับ
:b27:
Kiss


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 228 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron